Posts

SAINT LAURENT RIVE DROITE THE VINTAGE กับคอลเล็กชั่นของวินเทจสุดหายากที่คัดสรรมาแล้วอย่างมีสไตล์

Saint Laurent ที่นำโดย Anthony Vaccarello ครีเอทีฟไดเรคเตอร์คนเก่งได้รวบรวมเอาไอเท็มวินเทจมากมายหลายสายทั้ง เครื่องเสียงจาก Braun แบรนด์ดังจากเยอรมัน เสื้อยืดปีลึกตะเข็บเดี่ยวในยุค 80s-90s รวมไปถึงหนังสือและงานศิลปะหายากต่างๆมากมายออกมาโชว์ที่ร้าน Saint Laurent Rive Droite สาขาปารีสและแอลเอ

ซึ่งก็ไม่ใช่แค่โชว์และจัดแสดงอย่างเดียวหลายๆไอเท็มยังมีการวางขายอีกด้วย ไฮไลต์ในส่วนของเสื้อผ้าอย่างเสื้อยืดกราฟฟิกผลงานของ Keith Haring Fresh และคอนเสิร์ต Stop Aids ก็ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นการคัดสรรด้วยรสนิยมที่มีระดับเลยครับสำหรับไอเท็มตั้งแต่ยุค 70’s ถึง 2000’s เหล่านี้

ไปชมชิ้นไฮไลต์กันได้เลย!

rhunrun เรียบเรียง

BEAMS แบรนด์ไลฟ์สไตล์รีเทลเลอร์มาดเท่จากญี่ปุ่นกับคอลเล็กชั่นล่าสุด AUTUMN/WINTER 2021ด้วยลุคทันสมัยแมตช์ง่ายได้หลายสไตล์ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าคนสำคัญ!

BEAMS (บีมส์) แบรนด์เครื่องแต่งกายชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นนำเสนอคอลเลคชั่นประจำฤดูกาล Autumn/Winter 2021ผ่านการรังสรรค์เครื่องแต่งกายให้มีความน่าสนใจขึ้นไปอีกขั้น ด้วยแรงบันดาลใจสุดล้ำที่ถูกนำมาถ่ายทอดในแบบฉบับของ BEAMS ด้วยเสื้อผ้าที่โดดเด่นในเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานผสานการเลือกใช้วัสดุต่างๆหลากหลายชนิดที่นำมาใช้ในการตัดเย็บ  

ไม่ว่าจะเป็น BEAMS PLUS ที่นำเสนอเสื้อผ้าสไตล์คลาสสิคแต่แฝงไปด้วยความทะมัดทะแมง หรือ BEAMS (B-SEC) ที่เลือกหยิบยกความแคชช่วลแบบวินเทจที่เป็นสไตล์ที่โด่งดังที่สุดในช่วงปลายยุค 80 กลับมาทำใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น, BEAMS BOY ที่รังสรรค์ชุดสำหรับผู้หญิงให้ดูทะมัดทะแมงในแบบฉบับของบีมส์โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องแบบทหาร, Ray BEAMS ที่หยิบเอาความมินิมอลมาถ่ายทอดในสไตล์เรโทรชิคได้อย่างกลมกล่อม, RBS หนึ่งในแบรนด์ที่คัดสรรเฉพาะวัสดุชั้นเยี่ยมมาเนรมิตให้เครื่องแต่งกายผู้หญิงดูสวยสง่าในแบบของคุณ และที่ขาดไม่ได้ maturely ที่ผสมผสานงานฝีมืออันประณีตจากประเทศอุซเบกิสถานเข้ากับสไตล์ร่วมสมัยของ BEAMS เป็นต้น โดยทุกแบรนด์ภายใต้ BEAMS ต่างถ่ายทอดคอนเซ็ปต์หลักที่แตกต่างกันเอาไว้และเราจะพาไปชมในส่วนของไลน์สำหรับผู้ชายดังนี้ครับ

BEAMS BEAMS (บีมส์) แบรนด์เครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชายที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1976 โดยเน้นแนวคิดการออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘BASIC & EXCITING’ โดยเน้นความลำลองและการสวมใส่ที่สะดวกสบายในทุกๆวัน ซึ่งในฤดูกาลนี้ BEAMS ได้นําเสนอสไตล์แคชช่วลที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากทั้งชุดกีฬา ชุดทำงาน และชุดเครื่องแบบทหาร ในการรังสรรค์สไตล์อันหลากหลายทั้ง ร็อค เซิร์ฟสเก็ต หรืออเมริกัน-ไอวี่

และในฤดูกาลนี้ BEAMS ได้พาย้อนกลับไปในช่วยปลายยุค 80 จนถึงต้นยุค 90 ที่ผู้คนในโตเกียวต่างชื่นชอบและคลั่งไคล้ความวินเทจ อีกทั้งยังเสริมกลิ่นอายของ American Casual ในช่วงกลางยุค 80 จากฤดูกาลก่อนหน้านี้ให้เกิดลุคต่างๆที่มีความน่าสนใจ เช่น โครงชุดโอเวอร์ไซส์ที่ให้ความโมเดิร์น หรือการจับคู่ไอเท็มต่างๆมาซ้อนทับกันเป็นเลเยอร์เพื่อเพิ่มความทะมัดทะแมง พร้อมสีประจำฤดูกาลอย่าง สีกรมท่า สีเขียวมะกอก สีขาวงาช้าง สีน้ำตาล และสีดำ 

BEAMS+ (บีมส์-พลัส) ที่เน้นการออกแบบในสไตล์อเมริกันยุค American Good Old Day เพื่อถ่ายทอดเครื่องแต่งกายผู้ชายที่สามารถสวมใส่ได้ตลอดกาลอย่างไม่น่าเบื่อและไม่มีวันตกยุค ใน Autumn/Winter 2021 นี้ BEAMS+ ยังคงรักษาดีไซน์ของเครื่องแต่งกายที่ชวนให้ย้อนนึกถึงอดีต เพื่อคงไว้ซึ่งสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ผ่านรุ่นสู่รุ่น โดยดีไซน์ของฤดูกาลนี้ได้มีแนวคิดมาจากการทำกิจกรรม และการทำงานนอกบ้านที่ต้องอาศัยความลุยและทะมัดทะแมง ซึ่ง BEAMS+ สามารถถ่ายทอดการเป็นเครื่องแต่งกายที่มีจุดเด่นด้านฟังก์ชั่นการใช้งานพร้อมกับสไตล์ที่ดูคลาสสิคได้อย่างแท้จริง

และพิเศษสำหรับลูกค้าคนสำคัญ!!
รับทันที “BEAMS COTTON MINI BAG” สำหรับเมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 4,900 บาทขึ้นไปรับทันที “BEAMS FOLDABLE TOTE BAG” สำหรับเมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 7,900 บาทขึ้นไปเริ่มแล้ววันนี้ที่ร้าน BEAMS ทุกสาขา (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด)

เรียบเรียง rhunrun

งานรวมพลที่ห้ามพลาดสำหรับผู้รักรถยนต์ที่มีคาแร็กเตอร์และสไตล์ที่ชัดเจน

Vintage roadsters

งาน Chantilly Arts & Elgance Richard Mille ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปีที่ผ่านมานั้นได้บริษัทประมูลอย่าง Bonhams ส่งรถยนต์สวยๆ เข้าร่วมงานอย่างมากมาย แม้ว่าคนจะไม่คลั่งไคล้การประมูลรถยนต์เหมือนกับงานในปีก่อนๆ แต่เสน่ห์ของรถยนต์รุ่นเก่าๆ ที่เข้ามาร่วมประมูลนั้นก็ยากที่จะต้านทานได้จริงๆ

มอเตอร์โชว์ครั้งสำคัญอย่าง Chantilly Arts & Elgance Richard Mille ที่จัดขึ้นเป็นปีที่สามแล้วได้ถูกจัดให้เป็นงานรวมพลที่ห้ามพลาดสำหรับผู้รักรถยนต์ที่มีคาแร็กเตอร์และสไตล์ที่ชัดเจนและแตกต่างจากงานแสดงรถยนต์อื่นๆ

ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัด ผู้เข้าร่วมงาน (ซึ่งคาดว่าจะมีถึง 13,500 คน ในปีนี้) บรรยากาศในงาน การแสดงแฟชั่น ดนตรี และที่ขาดไม่ได้ ก็คือรถยนต์รุ่นหายากและราคาแพงลิบ ทุกอย่างรวมอยู่ในงานนี้แล้ว งานอวดโฉมรถยนต์ครั้งนี้มีคอนเซ็ปต์คาร์จาก 8 ค่ายเข้าร่วมงานทั้ง Aston Martin (แอสตัน มาร์ติน) BMW (บีเอ็มดับเบิ้ลยู) Bugatti (บูกัตติ) Lexus (เล็คซัส) McLaren (แม็กลาร์เรน) Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) Rolls-Royce (โรลส์-รอยซ์) DS Automobiles (ดีเอส ออโตโมบิลส์) และ DS E-Tense (ดีเอส อี-เท็นซ์) ซึ่งคว้ารางวัล Best Of Show ไป “เราได้รับรางวัลอันทรงเกียรติหลายรางวัลจากการจัดงานสองครั้งแรก ทำให้เราได้รับยกย่องให้เป็นงานมอเตอร์โชว์ที่ดีที่สุดงานหนึ่ง และก็ทำให้บริษัทรถยนต์หลายต่อหลายค่ายตอบรับเข้าร่วมงานของเรา เป้าหมายของเราในปีถัดๆ ไปนั้นอยากจะให้ยอดผู้เข้าชมทะลุถึง 20,000 – 25,000 คน คู่แข่งสำคัญของเราก็ได้แก่งาน Le Mans Classics ทำให้เราต้องหารถที่โดดเด่น แปลก และแตกต่างมาสู้ อย่างไรก็ตาม ผมก็มั่นใจว่าอนาคตของ Chantilly Arts & Elégance Richard Mille จะสดใสอย่างแน่นอนครับ” Patrick Peter (แพทริค ปีเตอร์) ผู้จัดงานกล่าว

นอกเหนือไปจากค่ายผลิตรถยนต์ต่างๆ ที่ตบเท้ากันเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ยังมีบริษัทประมูล Bonhams ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ลอนดอน นิวยอร์ก และฮ่องกง ได้นำเสนอโฉมงามสี่ล้อจำนวน 29 คันให้เข้าร่วมประมูลในงาน ตั้งแต่รถเปิดประทุนรุ่น 1,500 คันกะทัดรัดจาก Nash Metropolitan     (แนช เมโทรโพลิแทน) ไปจนถึงรุ่น 911 (Type 964) Turbo 3.6.  คันบึกบึนจาก Porsche (ปอร์เช่) ไม่จำเป็นต้องรอให้รถทุกคันขายจนหมด ยอดเงินรวมที่ได้จากการประมูลก็เกิน 9 ล้านยูโรไปแล้ว  แค่ Mercedes-Benz 500K Roadster 1935 คันเดียวก็จบการประมูลไปที่ 5,290,000 ยูโรแล้ว ทำให้ Malcolm Barber (มัลคอล์ม บาร์เบอร์) ผู้อำนวยการร่วมของ Bonhams กล่าวว่า “Chantilly Arts & Elégance Richard Mille เป็นอีเวนต์สุดหรู  และ Bonhams ก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนในงานนี้ และเราก็พอใจกับผลลัพธ์มากเลยครับ” แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์  ไปสักเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจไม่น้อยทีเดียว

7C5A0894R1

MERCEDES-BENZ 500K ROADSTER 1935

€5,290,000

ในที่สุด เจ้า 500K คันนี้ก็ได้ประมูลออกไปด้วยราคา 5,290,000 ยูโร ประวัติของรถคันนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง ตั้งแต่เปิดตัวที่เบอร์ลินในปีค.ศ. 1935 นักธุรกิจชาวเยอรมันนามว่า Hans Friedrich Prym (ฮานส์ ฟรีดริช พรีม) ก็ได้ไปครอง หลังจากถูกขโมยในปีค.ศ. 1945 ก็ไปโผล่อยู่ที่อเมริกาอีกครั้งในปีค.ศ. 1970 ถึงจะเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วหลายครั้ง แต่นับตั้งแต่ปีค.ศ. 2012 เป็นต้นมา รถคันนี้ก็กลับไปสู่อ้อมกอดของตระกูลพรีมอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความแรงระดับ 160 แรงม้าและความเร็วสูงสุดที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้รถยนต์คันนี้มีสมรรถนะสูงสุดคันหนึ่งของยุค ผลิตออกมาทั้งหมด 354 คัน แต่มีเพียง 29 คันเท่านั้นที่ได้ประกอบตัวถัง Roadster

24066247-4-35

Horch 853 Spezialroadster 1937

€1,035,000

ก่อนที่ Audi (ออดี้) จะถือกำเนิด เจ้ารถยนต์สัญชาติเยอรมันคันนี้ซึ่งทั้งโฉบเฉี่ยวและสง่างามในคราเดียวกัน ถูกผลิตออกมาเพียง 950 คัน คันที่ Bonhams เสนอขายนั้นมีประวัติที่ซับซ้อน เคยไปพักผ่อนอยู่แถวท้องไร่ท้องนาในยูเครนมาเป็นเวลานาน และถูกดัดแปลงตัวถังให้เป็นรถกระบะเพื่อใช้งานแบบอเนกประสงค์ ทำให้บริษัท Horch Classic ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพรถกันอย่างยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. 2009 กว่าจะแปลงร่างกลับมาเป็นสภาพแบบนี้

Lot 8 Porsche

Porsche 911 (Type 964) 3.6 Turbo 1993

€238,625

ด้วยดีไซน์ยั่วยวนใจ และพลังอันเหลือล้น ทำให้เจ้า 964 Turbo คันนี้เป็นหนึ่งในปีศาจตัวเทพแห่งยุค ’90s คันนี้ซื้อที่ประเทศโอมานในปีค.ศ. 1993 และวิ่งไปน้อยกว่า 50,000 กิโลเมตร การันตีได้ถึงประสิทธิภาพที่ยังอัดแน่นอยู่เต็มตัวถัง

1626421-1600-951

Ferrari Dino 246 GT Berlinette 1973

€262,200

เวลาไม่สามารถทำอะไรเจ้า Ferrari Dino 246 คันนี้ได้เลย และดูเหมือนว่าโฉมรถจะงามขึ้นทุกปีๆ เสียด้วย รถคันนี้เป็นหนึ่งใน 200 คัน จาก E-Series ถึงแม้ว่าสีรถจะไม่ใช่สีเดิมซึ่งเป็นสีฟ้า แต่ก็มีผู้มาประมูลไปด้วยราคาที่ไม่โหดมาก คือ 262,000 ยูโร ยังไม่รวมค่าขนส่ง

24071121-1-59

BMW Z1 1990

€69,000

Z1 คันนี้ไม่เคยเก่าเลย เหมือนกับระบบประตู มหัศจรรย์” ที่ผลุบลงไปในบังโคลนรถได้อัตโนมัติ จริงๆ แล้ว ไม่มีบริษัทผลิตรถยนต์ค่ายไหนซื้อไอเดียประกอบประตูรถยนต์แบบนี้เลย รถคันนี้วิ่งมาแล้ว 23,203 กิโลเมตร จุดเด่นอยู่ที่การเล่นสีซึ่งได้หายาก (มีรถแค่ 133 คันที่ผลิตระหว่างปีค.ศ. 1988 – 1991 ที่ใช้สีนี้) เปลี่ยนเจ้าของมาแค่สองมือ แต่ราคาประมูลพุ่งสูงถึง 69,000 ยูโรไม่รวมค่าขนส่ง

24067073-1-28

Range Rover 4×4 1975

€40,250

ถ้าคุณยังแคลงใจกับสมรรถนะของ Range Rover (แรนจ์โรเวอร์) ที่ตกรุ่นอยู่ในกรุเช่นนี้ ราคาประมูลเกิน 40,000 ยูโรของรถปีค.ศ. 1975 ที่เปลี่ยนเจ้าของมาแล้วห้าคนคันนี้คงจะพิสูจน์อะไรได้ไม่มากก็น้อย รถวิ่งไปเพียง 74,000 กิโลเมตรเท่านั้น สภาพเดิมแบบสุดๆ แถมสีทองคลาสสิกนี้ก็ดูเข้ากับรูปลักษณ์ตัวถังเป็นอย่างดี

สรุปยอดการประมูล  

€5,290,000

Mercedes-Benz 500K Roadster 1935

€1,035,000

Horch 853 Spezialroadster 1937

€632,500

Horch 853A Sportcabriolet 1938

€632,500

Horch 780B Cabriolet 1934

€293,250

Bentley Continental S1 Coup 1956

€262,200

Ferrari Dino 246 GT Berlinette 1973

€238,625

Porsche 911 (Type 964) 3.6 Turbo 1993

€207,000

Rolls-Royce Silver Cloud III Cabriolet 1965

€138,000

British Salmson 20/29 HP 2.6 Litre Roadster 1938

€101,200

Porsche 928 GTS 1994

€70,150

Jaguar XJ-S V12 Lynx Eventer 1984

€69,000

BMW Z1 1990

€51,750

Alfa Romeo Montral Coup 1972

€40,250

Range Rover 4×4

1975

€17,825

Nash Metropolitan

1500 Cabriolet 1962

€16,675

Ferves Ranger 4×4

1969