บทสัมภาษณ์กับตัวพ่อแห่งอุตสาหกรรมซีรีส์ ‘ออฟ-จุมพล’
คุยกับตัวพ่อแห่งอุตสาหกรรมซีรีส์ และชายที่สนุกกับบทบาทตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
Photographer: Ponpisut Pejaroen
Fashion Editor: Chanond Mingmit
Author: Neeraj Trirongaubon

“เดือนนี้มีวันหยุดแค่ 1 วันเองครับ” คำตอบที่ไม่ต้องใช้ความพยายามสักเท่าไหร่ในการพูดในท่าทางสบายๆ ของออฟ – จุมพล อดุลกิตติพร ดาราหนุ่มผู้ภักดีต่อค่ายดังย่านอโศก เขากำลังนั่งหลับตา ให้ช่างแต่งหน้าคอยเก็บรายละเอียดของผิวพรรณที่ผ่านประสบการณ์มากว่า 32 ปี ถ้าให้พูดอย่างตรงไปตรงมา ผู้ชายที่อ่านนิตยสารลอฟฟีเซียล ออมส์ อาจไม่ค่อยคุ้นชินกับผลงานซีรีส์วายของเขาสักเท่าไหร่ เพราะมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าฐานแฟนคลับผู้สนับสนุนและขับเคลื่อนวงการซีรีส์วายส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง หรือ ‘สาววาย’ อย่างที่เราเรียกกันจนคุ้นเคย สื่อบันเทิงในหมวดหมู่ ‘ซีรีส์วาย’ เข้ามาปะทะกับสังคมตอนไหนไม่มีใครปักหมุดหมายไว้อย่างชัดเจน ถ้าไม่นับจอนกับทีในซิทคอม ‘รักแปดพันเก้า’ หรือมิวกับโต้งใน ‘รักแห่งสยาม’ ผลงานการแสดงที่ออฟ – จุมพล เล่นไว้ก็นับเป็นซีรีส์วายเจนแรกของเมืองไทย หรือเรียกแบบเท่ๆ ได้ว่าเขาเป็น pioneer ของอุตสาหกรรมนี้ “ถึงตอนนี้ที่เราคุยกันผมก็อยู่ในวงการบันเทิงมา 10 ปีแล้ว เร็วเหมือนกันนะ” ออฟพาเราย้อนกลับไปนั่งดูตัวเขาเองในสมัยที่รับบทเป็นตัวประกอบเล็กๆ ในซีรีส์ ‘ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น’ ที่ออกฉายครั้งแรกในปี 2556 “เมื่อก่อนผมมองคนอายุ 32 ว่าเริ่มมีอายุแล้ว แต่พอตัวเองมาถึงอายุ 32 จริงๆ ก็รู้สึกว่าไม่ได้แก่ขนาดนั้น และไม่อยากดูแก่ เพราะเรายังทำงานตรงนี้อยู่ แต่มีสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสังเกตได้เลยก็คือกลายเป็นคนที่โดนเคารพจากคนอื่น ทุกคนรู้สึกว่าเราอายุเยอะ แต่จริงๆ แล้วผมรู้สึกว่ายังไม่เยอะเลยสำหรับคนสมัยนี้ 32 มันแค่ตัวเลข ผมทำงานอยู่ตรงนี้ เรายังเจอวัยรุ่นหรือรุ่นน้องที่อายุ 18-20 เราก็ยังเป็นเพื่อนกับเขาได้”


ถ้าจะนับว่ายุคแห่งซีรีส์วายเริ่มต้นขึ้นได้ยังไง เราอาจนับกันอย่างหยาบๆ ได้ว่า Love Sick The Series (รักวุ่น วัยรุ่นแสบ) เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่ปักธงซีรีส์ที่มีตัวละครชายกับชายเป็นพระเอกกับนายเอกคู่กัน ถึงแม้ว่าหลายฉากอาจดูประดักประเดิดไปหน่อย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการบันเทิงระดับสากล เพราะอันที่จริงแล้วคำว่า ‘วาย’ นั้นมาจากตัวอักษรแรกของ Yaoi ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของการ์ตูนแนวมังงะในญี่ปุ่น และแน่นอนว่าต้องมีตัวละครหรือ ‘คู่จิ้ม’ แบบเคะกะเมะเป็นแพทเทิร์นหลักของเรื่องราวประเภทนี้ ถ้าย้อนกลับไปอีกครั้งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คงไม่มีวัยรุ่นผู้ชายคนไหนจินตนาการออก หรือมีความฝันว่าตัวเองอยากประสบความสำเร็จจากการโดนจับคู่กับนักแสดงชายอีกคนหนึ่ง เพราะความเข้าใจของสื่อบันเทิงประเภทนี้ยังคงมีข้อจำกัดอยู่อีกมาก “10 ปีที่ผ่านมา ผมพยายามพัฒนาตัวเองมาตลอด ถามการบ้านจากพี่ๆ และผู้กำกับที่เราได้เจอในหลายๆ เรื่องว่าเราขาดตรงไหน ไม่ดีตรงไหน แล้วก็พยายามผลักดันตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ผมไม่อยากให้เป็น 32 ที่เหมือนวันแรกที่เข้ามา อยากทำงานให้ดีขึ้นเสมอ” ที่ผ่านมาออฟมีผลงานในวงการหลายด้าน เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นพิธีกรรายการเพลงก่อนที่จะมาเฉิดฉายในวงการซีรีส์ “ผมยังไม่เคยเล่นหนังเลย จริงๆ มีบทส่งมาเยอะมาก แต่ว่ายังไม่โดนใจ อยากเล่นในเรื่องที่เราสนใจ” ออฟตอบในสิ่งที่เราคาใจว่าทำไมเขาถึงไม่เคยเล่นภาพยนตร์ ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นโอกาสที่ไกลเกินเอื้อม หรือซีรีส์วายจะกลายเป็นเซฟโซนของเขาไปแล้ว “มันไม่ใช่เซฟโซนหรอกครับ ผมมีเป้าหมายของตัวเองว่าอยากเล่นหนังที่มีเนื้อหาแนวคอมเมดี้ แต่โอกาสส่วนมากที่เข้ามาจะเป็นดราม่าหนักๆ ไปเลย ซึ่งผมไม่อยากไปเล่นหนักขนาดนั้นในรูปแบบของหนัง ผมกลัวทำไม่ได้ในช่วงของการเริ่มต้น ผมอยากทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราทำแล้วจะออกมาดีก่อน


“ไม่มีการแสดงไหนที่ผมรู้สึกผิดหวังในตัวเอง เพราะตั้งใจทำทุกอัน แต่แค่ในช่วงแรกเราอาจจะยังไม่เก่ง ยังไม่รู้ว่าต้องจับจุดตรงไหน เรายังใหม่ และพอได้ย้อนกลับมาดูบางงานก็รู้สึกตลกตัวเองอยู่เหมือนกันที่เล่นแบบนั้นออกไป” เป็นหนึ่งในดารารุ่นใหม่ไม่กี่คนที่สามารถตอบคำถามได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มาก ราวกับว่าเขาคิดคำตอบรอไว้ก่อนอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะวัยที่ผ่านเลขสามมาแล้วจึงทำให้เขาดูมั่นใจทั้งน้ำเสียงและแววตา แต่นี่เป็นความมั่นใจที่พอดิบพอดี จริงใจ และสามารถเรียบเรียงความคิดของตัวเองได้จนเห็นภาพ “แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังอยากพูดถึงอยู่ ก็คือ Not Me – เขาไม่ใช่ผม (2564) เป็นอีกเรื่องที่ได้เล่นกับ กัน – อรรถพันธ์ ผู้กำกับเป็นพี่นุชี่ – อนุชา บุญยวรรธนะ พี่เขาเป็นนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทยด้วย และสอนหลายๆ อย่างให้ระหว่างการทำงาน ผมรู้สึกว่าได้อะไรจากในเรื่อง Not Me เยอะมาก การเป็นตัวละคร การเข้าใจตัวละคร สามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้ในเรื่องอื่นได้อีกมากมายเลย” อีกครั้ง เผื่อใครยังไม่มีโอกาสได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ หรือไม่คุ้นชินกับวงการวายเท่าไหร่นัก ‘Not Me – เขาไม่ใช่ผม’ น่าจะเป็นซีรีส์วายเพียงไม่กี่เรื่อง (หรือเป็นเรื่องเดียวด้วยซ้ำ!) ที่พูดถึงความหลากหลายทางเพศอย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมาความใกล้ชิดระหว่างชายกับชายมักถูกจัดวางความสัมพันธ์ให้อยู่ในหมวดหมู่พิเศษที่ไม่ใช่หนังเกย์ ซีรีส์ LGBTQ+ หรืออะไรก็ตาม จริงอยู่ที่เพศมีความลื่นไหลและไม่ควรมีคำจำกัดความแค่คำเดียว แต่ความพยายามหลีกหนีการถกเถียง หรือไม่เผชิญหน้ากับการตอบคำถาม (หรือปฏิเสธการร่วมกันต่อสู้ในบางครั้ง) ก็สามารถกลายเป็นดาบสองคมให้กับนักแสดงซีรีส์วายได้เหมือนกัน แน่นอนว่าคุณสามารถเริ่มดูผลงานของออฟได้จากเรื่องนี้

แม้ว่า 10 ปีในโลกยุคปัจจุบันอาจจะดูเหมือนเป็นระยะเวลาที่ไม่ได้นานนัก แต่ก็นานพอที่ออฟจะได้เห็นสัจธรรมในตึกสูงย่านอโศกที่ขึ้นชื่อว่ามีความหลากหลายมากที่สุด มีนักแสดงที่ดังเปรี้ยง หล่นวูบ หรือกำลังจะดังก็หมดพลังไปเสียก่อน เราในฐานะคนเสพความบันเทิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าออฟจะหากินกับซีรีส์วายไปถึงเมื่อไหร่ มันก็น่าสนใจดีที่พล็อตซีรีส์อีกหน่อยจะมีคุณอาปิ๊งกับครูหนุ่มตอนไปส่งหลานที่โรงเรียน ความยากก็คือบริบทและความ ‘ไม่เด็ก’ ของตัวละครอย่างนี้จะถูกใจแม่ๆ ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักของพวกเขาไหม หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องตัดแต่งออฟอีกครั้งให้กลับมาอยู่ในกรอบพระเอก-นางเอกอย่างที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำตรงนี้ได้ดีแค่ไหน “แต่ผมรู้สึกสนุกนะที่จะได้ทำอะไรใหม่ๆ” ออฟหันมาคุยอย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากที่ตอบคำถามแบบไม่ได้มองตากันมาสักระยะเพราะวุ่นอยู่กับการแต่งหน้า “ผมเนี่ยเริ่มได้ทำงานแฟชั่นจริงๆ เมื่อสองปีที่ผ่านมา ช่วงโควิดพอดีเลย ตอนนั้นตัดผมสั้นเพราะเล่นซีรีส์เรื่อง Not Me นี่ล่ะ และหลังจากนั้นก็มีงานสายแฟชั่นเข้ามาเรื่อยๆ ผมเป็นคนชอบแต่งตัวอยู่แล้ว พอได้งานแฟชั่นก็สนุกเลย เพราะได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมไม่รู้ว่าเขาเรียกใช้ผมจากอะไร (หัวเราะ) คนอาจจะคิดว่าเราเปลี่ยนลุค ก็เลยเอามาใช้ในด้านแฟชั่น พอเริ่มมีคนใช้งานในด้านนี้ หลังจากนั้นก็ไปเกือบทุกแบรนด์เลย เป็นด้านที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาทำ”


จากงานเบื้องหน้าที่ได้เห็นอย่างดาษดื่น หลายคนก็คงอยากรู้ว่าอีกมุมหนึ่งของเขาตอนอยู่คนเดียวเป็นอย่างไร เราพยายามถามหนังสือที่ชอบ หนังในดวงใจ หรือพิพิธภัณฑ์ที่เขาโปรดปราน แต่ก็ดูเหมือนว่าออฟจะไม่ค่อยมีข้อมูลด้านนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขายุ่งมากจนไม่มีเวลาใส่ใจ หรือไม่ได้เป็นความสนใจของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว สิ่งที่เราพอจะรู้จากเขามากขึ้นคือ ออฟชอบแอน แฮทธาเวย์ มาก ชอบมาตั้งแต่เรื่อง The Princess Diaries ที่เคยดูตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่าแอนเป็นนักแสดงที่เก่งมาก แต่ชิลล์มาก ไม่ถือตัวแม้จะเป็นนักแสดงระดับโลก ออฟเลยมองแอนเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตที่ดาราก็ทำตัวปกติได้ และต้องไม่ลืมจุดที่เราโตมา เขาใช้วิธีไถไอจีดูนั่นนี่ที่คอนโดหลังทำงานเสร็จ และก่อนเข้านอน เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาจะได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากที่สุด “จากนี้อีก 10 ปี ผมจะอายุ 42 ถึงตอนนั้นก็น่าจะใกล้เกษียณแล้วมั้ง เพราะวางแผนให้ตัวเองไว้ว่าจะเกษียณประมาณ 45 สำหรับงานในวงการบันเทิงก็เอาเท่าที่ไหว ถ้ายังมีคนติดตามผม ผมก็พร้อมที่จะอยู่ เราต้องรู้ตัวเองว่าควรอยู่ถึงเมื่อไร สมมติตรงนี้ไม่รอด ก็ไปทำยูทูบ หรือทำธุรกิจ ออฟเป็นคนชอบทำธุรกิจอยู่แล้ว ตอนนี้งานในวงการเป็นงานหลัก แต่ในอนาคตอาจจะไม่ใช่แล้ว อาจจะเป็นงานรอง” เขาทบทวนตัวเองอีกครั้งและพาเรามองไปข้างหน้าด้วยกัน ออฟดูซับซ้อนน้อยกว่าที่เราคิด คุยด้วยแล้วรู้สึกสบายแบบอยู่ในระนาบเดียวกัน นี่อาจจะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เขายังคงอยู่รอดในมหาสมุทรสีแดงแห่งความวายมาจนถึงทุกวันนี้ “ผมอยากกลับไปทำพิธีกร เพราะเราโตมากับงานพิธีกร ก่อนผมจะมาเล่นซีรีส์ก็เป็นพิธีกร Five Live มาตลอด คนอาจจะลืมภาพที่ผมเป็นพิธีกรไปแล้ว เราเลยอยากรักษาไว้ว่าเรายังเป็นพิธีกรอยู่ เป็นงานที่มีความสุขมากเพราะได้เป็นตัวเอง เบื้องหลังก็ชอบนะ อยากเป็นผู้กำกับซีรีส์หรือโฆษณา อยากลองดูว่าตัวเองจะทำได้ดีหรือเปล่าเพราะจบนิเทศฯ มาผมอยากทำงานที่มันสนุก ทุกวันนี้ออกไปทำงานนอกบ้านก็เหนื่อย แต่สนุก เราได้เจอเพื่อนทุกวัน ถ้าสนุกอยู่ก็ทำไปก่อน ถึงวันไหนที่ไม่สนุกแล้วก็จะกลับมาหาเวลาคุยกับตัวเองอีกที”
Make Up: Yotiny Chuaysri
Hair: Sukwasa Khadphab
Assistant Photographers: Supasit Sookawat / Manosit Boonnon
Assistant Fashion Editor: Pattaradanai Niyavemanont
Digital Content Creator (Fashion): Teeratat Somudomsup