Posts

ไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีนแผ่นดินใหญ่กันที่เมืองซีอาน

Journey through the Chinese History

หากเอ่ยชื่อซีอานให้บรรดานักอ่านนิยายจีนต่อสู้อิงประวัติศาสตร์ได้ยิน เชื่อว่าส่วนใหญ่จะร้อง “อ๋อ” เพราะหลายต่อหลายเรื่องมีฉางอานหรือซีอานเป็นฉากหลังในการดำเนินเรื่องด้วยเพราะเมืองนี้เป็นที่ตั้งของราชวงศ์ถึง 13 ราชวงศ์ นักเขียนชาวจีนจึงมีวัตถุดิบ มีช่วงเวลามากมายที่สามารถเลือกพาผู้อ่านดำดิ่งไปในห้วงเวลาของประวัติศาสตร์จีน และเมื่อพรรณนาถึงซีอานจะมีบรรยากาศของเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง เมืองที่มีผู้คนอยู่อาศัยมากมาย มีพระราชวังอันโอ่อ่า เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง มีตลาดที่เต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายผู้คน และความคึกคัก

ซีอานนับเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สำคัญเมืองหนึ่ง มีอายุถึงสามพันกว่าปี ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองโบราณที่สำคัญของจีน ชื่อเดิมของซีอาน คือ “ฉางอาน” มีความหมายว่า “ความสงบสุขชั่วนิรันดร์” ในอดีตซีอานยังเป็นเมืองปลายทางของการค้าขายในเส้นทางสายไหม ซีอานจึงเป็นเมืองนานาชาติอย่างแท้จริง เพราะเป็นที่รวมของพ่อค้าที่มาจากหลากหลายแห่งฉางอานถูกเปลี่ยนชื่อเป็นซีอานในสมัยราชวงศ์หมิง และถูกใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนยุคปัจจุบันเกือบทั่วโลกรู้จักซีอาน คือ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งถูกค้นพบในปีค.ศ. 1974 โดยเรียกหลุมขุดค้นที่ถูกเปิดขึ้นเพื่อทำการศึกษาและให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมว่า The Terracotta Army เป็นสถานที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เดินทางมาเยือนซีอาน ภายในมีหลุมขุดค้นที่เปิดให้เข้าชมสามหลุม มีขนาดแตกต่างกัน The Terracotta Army เป็นจุดหมายหลักที่เราปักหมุดไว้สำหรับการเดินทางมาซีอาน เฉกเช่นเดียวกับนักเดินทางทั้งหลาย

เมื่อได้มายืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพหุ่นทหาร (ดินเผา) ในหลุมขุดค้นที่หนึ่งหรือ Pite1 ซึ่งเป็นหลุมขุดค้นที่ใหญ่ที่สุด ก็ห้ามความตื่นเต้นได้ยากจริงๆ มิใช่เพราะขนาดที่ใหญ่โตเท่านั้น บรรดาหุ่นทหารที่ยืนแถวเรียงรายอยู่จำนวนมาก ไม่ใช่งานสร้างที่ง่าย ทุกตัวมีรายละเอียดสมจริง ใบหน้าของหุ่นแต่ละตัวไม่ซ้ำกันเลย นอกจากทหารแล้วยังมีบรรดาม้าศึกอีกจำนวนมาก เมื่อกองทัพทหารดินเผาเดินทางผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน และเผยโฉมสู่ชาวโลกด้วยการค้นพบโดยบังเอิญของชาวนาผู้หนึ่ง ทำให้เรื่องราวของ “จิ๋นซี” จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของโลกองค์หนึ่งยิ่งลึกลับและมีมิติ ชวนให้นักโบราณคดีนักประวัติศาสตร์อยากเจาะเวลาย้อนกลับไปหายุคสมัยของพระองค์

ที่หลุมขุดค้นที่สอง ด้านหนึ่งมีพื้นที่จัดแสดงหุ่นบางส่วนที่นำขึ้นมาจากหลุมขุดค้น โดยจัดโชว์อยู่ในตู้กระจกสี่ด้านให้ได้ชม รอบๆตู้มีผู้คนเข้ามามุงล้อมไม่ขาดช่วง เพื่อพินิจดูรายละเอียดของหุ่นแบบใกล้ชิด

ซีอานไม่ได้มีแค่ The Terracotta Army ในตัวเมืองยังมีสถานที่น่าสนใจมากมายให้ไปเยือน อาทิ กำแพงเมืองโบราณของซีอาน ตลาดมุสลิม วัดเจดีย์ห่านป่าใหญ่ (สร้างในรัชสมัยจักรพรรดิถังเกาจง) ซึ่งนับเป็นจุดที่ไม่ควรพลาดการไปเที่ยวชม เป็นวัดที่พระถังซัมจั๋งเคยจำวัดอยู่ เป็นสถานที่ตั้งต้นเดินทางไปยังชมพูทวีปของท่านเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมายังเมืองจีน ถือเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ของเมืองซีอานที่ยังคงหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน

สถานที่อีกแห่งในตัวเมืองที่ไม่ควรพลาดการไปเที่ยวชม คือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ซ่านซี (Shaanxi History Museum) พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรี โดยกำหนดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละวันไว้ที่สี่พันคน แบ่งเป็นสองรอบ รอบเช้าสองพันห้าร้อยคน รอบบ่ายพันห้าร้อยคน โดยช่วงเช้าเปิดให้รับบัตรตั้งแต่ 8.30 น. นักท่องเที่ยวต้องนำพาสปอร์ตไปยื่นขอบัตร รอบบ่ายจะเปิดแจกบัตรตอน 13.30 น. ภายในมีสิ่งของทางด้านประวัติศาสตร์ของจีนที่สำคัญมากมาย

ยามบ่ายแก่ๆไปจนถึงย่ำค่ำเป็นช่วงเวลาที่เดินเที่ยวย่านตลาดมุสลิมได้สนุก (Muslim Quarter) ที่นั่นมีของขายสารพัด สินค้าต่างๆ ของที่ระลึก โดยเฉพาะอาหารมีให้เลือกหลากหลาย ตลาดมุสลิมมีผู้มาเยือนมากมาย ทั้งคนท้องถิ่นและผู้มาเยือนจากต่างแดนต่างถิ่น

สถานที่อีกแห่งในตัวเมืองที่ต้องแวะไปเยือนคือกำแพงเมืองซีอาน ซึ่งเป็นกำแพงโบราณ ผ่านการบูรณะก่อสร้างเพิ่มเติมมาหลายยุคสมัย โอบล้อมเขตตัวเมืองซีอานชั้นในไว้ มีความยาวประมาณสิบสี่กิโลเมตร สูงถึง 12 เมตร เริ่มต้นสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1370 การเที่ยวชมให้รอบตัวกำแพง ทำได้ด้วยการเช่าจักรยาน ปั่นไปตามทางเดินกว้างบนตัวกำแพงเมือง กำแพงเมืองโบราณของซีอานมีประตูอยู่หลายทิศ แต่ประตูที่สำคัญที่สุดคือ ประตูเสวียนอู่ (ประตูทางทิศเหนือ) ในอดีตนอกจากเป็นประตูหลักที่เชื่อมตรงเข้าสู่ที่ประทับของฮ่องเต้แล้ว ยังเป็นประตูสำคัญในการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถัง เป็นจุดเปลี่ยนในการขึ้นสู่จุดสูงสุดของบุรุษนามหลี่ซื่อหมิน หรือที่รู้จักกันในนามฮ่องเต้ถังไท่จง ผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์จีนเมื่อมาเยือนซีอานล้วนอยากไปยืนอยู่ที่ประตูเสวียนอู่สักครั้งหนึ่ง

เมื่อเที่ยวซีอานจนทั่วแล้วหากอยากไปยังเมืองอื่นๆจากซีอานสามารถเดินทางได้สะดวกสบายด้วยบริการรถไฟความเร็วสูง เราเลือกเมืองประวัติศาสตร์ที่เคียงคู่อยู่กับซีอานคือลั่วหยาง เป็นเมืองข้างเคียงในการโฉบออกไปสำรวจสั้นๆ นั่งรถไฟใต้ดินจากตัวเมืองมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟความเร็วสูงซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย เดินขึ้นไปข้างบนคือตัวสถานีรถไฟความเร็วสูงที่ใหญ่โตทันสมัย นับว่าสะดวกสบายมาก จุดหมายของเราคือเมืองลั่วหยาง อีกหนึ่งเมืองโบราณที่อยู่ไม่ไกลจากซีอาน

ด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของรถไฟความเร็วสูงทำให้การแวะไปเที่ยวลั่วหยางแบบทริปสั้นๆจากซีอานทำได้สะดวก เราแวะไปนอนลั่วหยางหนึ่งคืน เพื่อไปชื่นชมมรดกโลกแห่งลั่วหยาง ถ้ำผาหลงเหมิน (ถ้ำผาประตูมังกร) ถ้ำโบราณที่เกิดจากการสลักเสลาผนังหินเป็นโพรง สลักรูปปั้นเทพเจ้าและพระพุทธรูปจำนวนมาก ตลอดความยาว 1 กิโลเมตรของผาถ้ำ มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยถึง 2,345 คูหาถ้ำ จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องมาชมเมื่อมาถึงลั่วหยาง ทั้งงดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ จากตัวเมืองสามารถนั่งรถประจำทางมาสุดสายที่ถ้ำผาหลงเหมินริมแม่น้ำอี้ เพื่อเข้าไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของงานประติมากรรมที่เกิดจากความศรัทธาของผู้คนในอดีต

ย่ำค่ำเราออกไปเดินเที่ยวตลาดอาหารกลางคืนในย่านเมืองเก่าใกล้กับที่เราพัก ส่งภาษามือกับบรรดาพ่อค้าแม่ขายสั่งอาหารจีนรับประทาน ครึ่งวันเช้าก่อนกลับไปซีอาน เราตื่นแต่เช้าออกไปเดินสำรวจชีวิตผู้คนชาวลั่วหยาง ทั้งที่ตลาดย่านเช้าและย่านค้าขายในเขตเมืองเก่า สีสันของชีวิตผู้คนที่นี่แตกต่างไปจากซีอานที่ทันสมัยและมีความเจริญกว่า ตกเย็นเรานั่งรถไฟความเร็วสูงกลับซีอาน พักที่ซีอานอีกหนึ่งคืนก่อนจะบินกลับกรุงเทพฯ เมืองจีนยุคสมัยใหม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยสะดวกจริงๆ เป็นจีนที่ก้าวกระโดดและก้าวไปข้างหน้า ในแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ในขณะเดียวกันยังคงเก็บรักษาประวัติศาสตร์ที่เป็นต้นธารของประเทศชาติ ผู้คน และศิลปะวัฒนธรรมเก่าก่อนไว้ได้อย่างดี

เมื่อหุบเขาตระหง่านกระซิบเล่าตำนานมาตามสายลม ในดินแดนเหนือสุดของประเทศอังกฤษ ‘วินเดอร์เมียร์’

a Tale of the wind

เมื่อหุบเขาตระหง่านกระซิบเล่าตำนานมาตามสายลมในดินแดนเหนือสุดของประเทศอังกฤษ ‘วินเดอร์เมียร์’

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มันคงเป็นเวลาสาย ๆ ของวันหนึ่งที่ผมตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เนื่องจากเลยเวลาที่นัดเพื่อนไว้มา 1 ชั่วโมงแล้ว ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะรีบไปเจอเพื่อนๆ ที่ป่านนี้คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อเจอหน้ากัน
ก็ขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ก่อนที่อารมณ์จะดีขึ้น เพราะเรายังต้องอยู่ด้วยกันบนรถเช่า 7 ชั่วโมง จากลอนดอนสู่จุดหมายปลายทาง ‘วินเดอร์เมียร์’ เป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขา ล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่ มากมาย เมื่อพวกเราไปถึงเวลาก็ล่วงเลยไปมืดค่ำแล้ว อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งผมเลยจุดนี้ไป ผมคงไม่ได้มาเหยียบที่นี่ เพราะการเดินทางอันยากลำบาก นับเป็นโชคดีของผมที่มีเพื่อนๆ ขาลุยคอยหาข้อมูลต่างๆ ที่พักของเราอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 นาที  เราต่างนำเสบียงอาหารออกมาทำกินกันในห้องครัวของบ้านพัก    
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราก็เข้านอนเร็วกว่าปกติเพราะ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและคาดหวังถึงการผจญภัยในวันพรุ่งนี้

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วินเดอร์เมียร์เป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ผู้คนที่นี่  ส่วนมากเป็นคนสูงอายุที่หากไม่ได้เป็นคนท้องถิ่น ก็คงมาใช้ชีวิตใน   วัยเกษียณ และที่สำคัญเป็นต้นกำเนิดของนิทาน ‘Peter the rabbit’ ที่มีพิพิธภัณฑ์อยู่ใจกลางเมือง วันนี้ผมเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการกินข้าวเช้าพลางมองดูผู้คนเดินผ่านไปมา ผมมักจะตีความการมองวิถีชีวิตของผู้คน ก็เสมือนการมองวัฒนธรรมที่มีชีวิต คนแก่ที่มองรถก่อนเดินข้ามถนนอย่างรอบคอบ เด็กๆ ที่กินไอศกรีม เพราะครอบครัวพามาเที่ยวช่วงปิดเทอม ทุกๆ อย่างดูมีเรื่องราวเต็มไปหมด อาจเพราะเราเป็นชาวต่างชาติ ทริปนี้จึงเปรียบเสมือนหนังสือน่าอ่านที่อยากจะอ่านไปอย่างช้าๆ เก็บรายละเอียด ให้ครบถ้วน บางทีผมรู้สึกว่ามันช่างขัดแย้งกับตัวเองมากเลย (ที่พอถึงโรงแรมปุ๊บก็ถามถึงรหัส Wi-Fi) หลังจากที่เราเสร็จภารกิจในเมือง 
เราก็ขึ้นรถไปดูแม่น้ำต่างๆ บนหุบเขา

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ระหว่างทาง มีจุดจอดรถชมวิวมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงการเอาใจใส่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ไม่มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างมาบดบังทัศนียภาพใดๆ ไม่มีเศษขยะหรือแม้แต่ก้นบุหรี่ ‘Westwater’ (เวสต์วอเตอร์) คือที่แห่งแรกที่เรามาถึง ในแนวสายตา ของผมเห็นภูเขาและแม่น้ำขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ สิ่งที่สวยงามที่สุดที่โลกของเราพึงมี ประหนึ่งว่าวินาทีนั้นมีคนขโมยลมหายใจไปจากผม เพื่อให้ผมได้ใช้สมาธิทั้งหมดพินิจรายละเอียดของหุบเขา ถึงแม้ว่าผมจะสามารถหยุดเวลาของวิวนี้ไว้ในภาพถ่าย แต่ไม่ว่าจะใช้กล้องตัวไหนก็คงไม่สู้เลนส์ที่เรียกว่าตา และวิวไฟน์เดอร์ที่เรียกว่าใจอีกแล้วเราเดินไปรอบๆ เพื่อเก็บบันทึกภาพลงกล้องและความทรงจำ สีของหญ้ากับแม่น้ำตัดกันดั่งภาพวาดในยุคเรเนซองส์ แม่น้ำที่เป็นกระจกให้ท้องฟ้าราวกับเกิดมาช่วยส่งเสริมความงามซึ่งกันและกัน อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหมันต์ยังอายุน้อย ทำให้ลำธารยังไม่กลายเป็นน้ำแข็ง และต้นไม้ก็ยังไม่ทันแก่ผลัดใบ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงหอมหวานที่เหมาะแก่การมาชมธรรมชาติที่นี่ ตกบ่ายเรากลับเข้าเมืองมาซื้อเครื่องดื่มและของสดสำหรับคืนนี้ ผมซึ่งได้ฉายาว่าคอแป๊บ (แป๊บเดียวเมา) ก็ขอหยิบเบียร์และไวน์แดงติดไม้ติดมือ มานิดหน่อยเพื่อความสำราญ คืนนี้ผมได้โชว์ฝีมือทำอาหารให้แก่เพื่อนๆ  อ่อนหวานบ้าง หนักเค็มบ้าง ก็ต้องปรับปรุงกันต่อไป ก่อนนอนอาบน้ำอุ่นท่ามกลางคืนที่หนาวเหน็บผ่อนคลายจากความเมื่อยล้ามาทั้งวัน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันที่สองเราไปแหล่งนักท่องเที่ยวใจกลางเมือง บริเวณท่าเรือที่
ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ เราขับรถมุ่งหน้าตรงไป
ร้านอาหารเพื่อเติมพลังก่อน เราเดินวนเวียนกันอยู่ในเมืองว่าจะหาอะไรกินดี ระหว่างเดินก็สังเกตบ้านของคนที่นี่ไปเรื่อย ส่วนมากเป็นบ้านของคนมีเงินเพราะมีทั้งสนามหญ้าและตกแต่งสวยงาม เห็นแกะยืนเคี้ยวหญ้าอยู่ตามสวน จนเรามาจบลงที่ร้านอาหารใจกลางเมือง สายๆ ที่แดดแรงเช่นนี้ เราเลยวางแผนกันว่าจะไป ‘Ullswater’ (อูลล์วอเตอร์) ที่เป็นลักษณะของแม่น้ำกับหุบเขา

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเรามาถึงที่นี่ ก็เริ่มมีหมอกลงบางๆ เหมือนสาวน้อยที่ตบแป้งฝุ่นอ่อนๆ ทำให้วิวของที่นี่ดูสวยงามเหมือนที่ควรจะเป็น ขณะที่ผมกำลังเดินหามุมถ่ายรูปอยู่ ผมก็เหลือบไปเห็นกระท่อมไม้เล็กๆ หนึ่งหลัง ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาและหมอก ประหนึ่งว่า วินาทีนั้นมีคนขโมยลมหายใจไปจากผม เพื่อให้ผมได้ใช้สมาธิทั้งหมดพินิจรายละเอียดของหุบเขา ถึงแม้ว่าผมจะสามารถหยุดเวลาของวิวนี้ไว้ในภาพถ่าย แต่ไม่ว่าจะใช้กล้องตัวไหนก็คงไม่สู้เลนส์ที่เรียกว่าตา และวิวไฟน์เดอร์ที่เรียกว่าใจอีกแล้ว ตกบ่าย เรากลับเข้าเมืองมาชมพิพิธภัณฑ์ ปีเตอร์ เดอะ แรบบิท เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง ภายในจัดแสงไฟสลัวเพื่อขับเน้นจุดรับชมตามจุดต่างๆ ได้อย่างน่าตื่นตา บริเวณชั้น 2 มีสวนเล็กๆ ตกแต่งกระจุกกระจิกตามสไตล์อังกฤษ เช้าวันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ เราแวะไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารพื้นบ้านร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียง เป็นร้านเล็กๆ อยู่นอกเมือง เมื่อทานอาหารเสร็จ เราก็แล่นรถไปตามแนวภูเขา แวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวต่างๆ เพื่อเก็บความทรงจำของวันสุดท้าย ก่อนที่จะมีเป้าหมายต่อไปอยู่ที่เมืองยอร์ก

Content by Editorial Team

ตะลุยเทือกเขาอันนะปุรณะ ประเทศเนปาลกับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ

the uniquely Unforgettable Annapurna

ช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินเท้าจาก
เส้นทาง Thorong La pass บนเทือกเขาอันนะปุรณะ ประเทศเนปาล เป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะเป็นเส้นทางเส้นทางที่สวยและเดินทางไม่ยากมากนัก เมื่อเราได้ไปเดินด้วยตัวเองก็พบว่าเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ

ช่วงครึ่งแรกของการเดิ
<<เมื่อเราไปถึงกาฐมาณฑุ เห็นสภาพอากาศที่ดูอึมครึม พร้อมกับมองภูเขาสูงตรงหน้า เราก็อดถามเพื่อนชาวเนปาลของเราไม่ได้ว่า นี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเดินทางหรือไม่>>

Tea House เล็กๆ

“ไม่มีปัญหา” เขาตอบพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่คุณก็รู้ไม่ใช่หรือว่าอากาศบนภูเขานั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าอากาศไม่ดีคุณก็อย่าเสี่ยง การเดินย้อนกลับลงมาดีที่สุดนะ มายเฟรนด์”

Thorong La Passw1

หลังคริสต์มาสหนึ่งวัน อรุณรุ่งบนภูเขาอากาศเย็นเยียบ หลังจากนั่งรถยาวนานออกมาจากกาฐมาณฑุ เราก็เริ่มต้นเดินก้าวแรกบน   เส้นทางยอดนิยมของนักเดินบนเทือกหิมาลัยของเนปาล Thorong La pass ซึ่งเป็นทางข้ามภูเขาเส้นที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูง 5,416 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ชาวเนปาลผู้เป็นทั้งพ่อครัว w1

ในช่วงปลายเดือนธันวาคมไม่ค่อยมีใครมาเดินเท้าบนเส้นทางนี้นัก เพราะถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่น เมื่อนักเดินน้อย ที่พักร้านอาหารที่เปิดตามรายทางก็จะน้อยไปด้วย แต่ก็พอมีเปิดให้กับนักเดินจำนวนน้อยนิดที่เลือกเดินในช่วงนี้ เหตุผลหนึ่งคงเป็นเรื่องของความหนาวเย็น และอาจหมายรวมไปถึงความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศเข้าไปด้วย หลายช่วงของการเดินมีแต่เราเท่านั้นที่เดินหอบหายใจอยู่บนเส้นทางอย่างโดดเดี่ยว

ที่ Manang หลังฟ้าปิดมาห

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมกับเพื่อนมาเทร็กกิ้งกันที่ประเทศเนปาล เริ่มจากไปเดินขึ้นยอด Gokyo ต่อด้วย Langtang และ Annapurna  ทั้งสามเส้นทางนี้เราเดินในช่วงที่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการมาเยือน ต้องลุ้นเรื่องสภาพอากาศ แต่ก็ได้มาซึ่งความไม่พลุกพล่านของผู้คนเราเรียกการเดินของเราว่าเดินนอกฤดู สภาพอากาศในช่วงรอยต่อของปีบนเส้นทางเดินเท้ามีทั้งดีและย่ำแย่ ความเหน็บหนาวนั้นสุดๆ ช่วงครึ่งแรกของการเดินอากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส จวบจนกระทั่งเราเดินถึงเมือง Manang ที่ความสูง 3,519 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศก็เริ่มส่อเค้าว่าต้องวัดดวงกันว่าสภาพอากาศวันที่เราจะข้าม Thorong La นั้นจะเป็นเช่นไร

บรรดาไกด์และลูกหาบเติม

Manang คือหมู่บ้านศูนย์กลางของเขตพื้นที่ Manang ก่อนสิ้นปีมีที่พักเปิดอยู่เพียงสองสามแห่งเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ Tilicho Hotel   น่าจะเป็นที่พักที่ดีที่สุดของ Manang ซึ่งเราได้เข้าพัก ชายหนุ่มชาวเนปาลเชื้อสายทิเบต เจ้าของบอกกับเราว่า เขาเปิดทั้งปีไม่มีหยุด ที่พักแห่งนี้พ่อของเขาสร้างขึ้นมา ทุกวันนี้เขารับช่วงบริหารต่อ แน่นอนว่าเขาบริหารได้ดีที่เดียว หลังจากที่กินแต่อาหารที่มีแต่แป้งมาหลายวัน ฝ่าความชันและเหน็บหนาวของแต่ละค่ำคืนมาจนถึงเมืองสำคัญของเส้นทางอย่าง Manang เป็นเมืองที่เราจะพักสองคืนเพื่อปรับสภาพร่างกายให้รับกับความสูงได้ ก่อนที่จะไต่ระดับไปหาสี่พันและห้าพันเมตร ได้เจอกับที่พักดี ที่สำคัญคืออาหารของที่นี่ดีมาก แม้ว่าจะมีราคาสูงแต่เราก็อดไม่ได้ที่จะปรนเปรอร่างกายของเราด้วย Yak Steak ปิดท้ายด้วยพายแอปเปิ้ลและชานมร้อนๆที่เมือง Manang อากาศปิด มีช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นที่เราได้มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์ แต่ในวันที่เราออกจาก Manang ท้องฟ้ากลับมาเปิดอีกครั้ง แต่ก็เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีขาวลอยล่องอยู่เต็มท้องฟ้า

ประตูเข้าออกห

ออกจาก Manang เส้นทางมีแต่ชันขึ้น เมื่อพ้นสี่พันเมตรเหนือระดับน้ำทะเลไปแล้ว ระยะก้าวของเราก็หดสั้นลงๆ ความเหนื่อยในการก้าวเท้าออกไปแต่ละก้าวดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้น เป็นผลมาจากทั้งระดับความสูง ความชันของเส้นทาง และอากาศที่เบาบาง อยู่ที่พื้นราบใกล้ระดับน้ำทะเลที่กรุงเทพฯ ร่างกายเราได้รับออกซิเจน 100% ที่ความสูงสี่พันเมตรออกซิเจนจะลดลงเหลือ 60% วิวทิวทัศน์บนที่สูงของโลกงดงามชวนให้หลงใหล เริ่มตั้งแต่ออกจาก Upper Pisang มาแล้ว เทือกเขารอบๆ ตัวเราห่มคลุมด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เส้นทางที่เราย่ำเท้าผ่านไปก็ถูกปูลาดด้วยหิมะเกือบตลอด ออกจาก Manang เดินอีกสองวันเราจะปถึงจุดพักสุดท้ายก่อนเดินข้าม Thorong La

วัดสำคัญของเมือง

วันข้าม Thorong La นับเป็นวันที่สำคัญที่สุดและถือว่ายากที่สุด เพราะเราต้องเดินบนหิมะที่ความสูงห้าพันกว่าเมตรไปเกือบจนถึงจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางที่ 5,416 เมตร เราภาวนาว่าขอให้อากาศดี ท้องฟ้าเปิดในวันที่เราเดินข้ามด้วยเถอะ

 

ตีสองผมละจากความอุ่นของถุงนอนเดินออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกสบายใจเพราะท้องฟ้าเปิดมองเห็นรอบๆ ตัวได้ชัดเจน แต่พอตื่นมาอีกครั้งตอนตีสี่เตรียมตัวออกเดิน ข้างนอกหิมะเริ่มตกแล้ว เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย เพื่อนชาวเกาหลีตัดสินใจไม่เดินข้ามเพราะพ่วงเอาลูกชายตัวเล็กสองคนมาเดินด้วย แต่ไกด์บริษัททัวร์กลุ่มใหญ่ที่เราเดินเกาะกลุ่มมาบอกว่าวันนี้ยังข้ามได้แต่พรุ่งนี้ไม่แน่แล้ว ตัดสินใจเอาว่าจะเดินข้ามหรือเดินกลับ

หมู่บ้าน Ngawal ของชาวเนปาลเชื้อสายทิเบต

ประมาณตีห้าเราเริ่มออกเดินท่ามกลางความมืดและเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนไปทั่ว เราก้าวเดินอย่างช้าๆ ตามกันไป พอเริ่มมีแสงสว่างในตอนสายเราก็อยู่ระหว่างทาง ย่ำเท้าจมหายลงไปในผืนหิมะ วิวทิวทัศน์ รอบตัว หรือมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีขาวสีเทา ขบวนนักเดินสิบกว่าคน ทยอยก้าวเท้าตามกันไป สภาพของผมรู้ตัวได้เลยว่าแย่มาก บนเขตแดน  ห้าพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเลเป็นโลกที่ห่างไกลจากความคุ้นเคย ที่ไปได้คือด้วยกำลังใจล้วนๆ และความคิดที่ว่าเดี๋ยวก็จบแล้วกัดฟันอีกนิดเดียว   วนเวียนอยู่เช่นนี้ มองปลายเท้านับจังหวะลมหายใจ หาคำสวดภาวนาให้สอดคล้องกับจังหวะหายใจจังหวะก้าวเดิน รู้สึกตัวได้เลยว่านี่เป็นความเหนื่อยที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิตเลย พลังงานในร่างกายตกไปอยู่ในขีดขั้นต่ำแทบจะหมดถังอยู่แล้ว ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดก่อนที่ทางเดินจะเทลาดลงไปอีกด้านหนึ่งของเทือกเขา เจดีย์องค์เล็กถูกพันไว้ด้วยธงมนต์ ป้ายแสดงตำแหน่งความสูง พร่าเลือนอยู่ในเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนอยูในอากาศสภาพอากาศย่ำแย่เอามากๆ ทีเดียว เราทำเฉกเช่นทุกๆ คน คือไปยืนอ่อนระโหยถ่ายภาพกับป้ายเพื่อยืนยันว่า เราฝ่าฟันมาถึงจุดที่สูงที่สุดแล้ว เรียกว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งที่รออยู่คือเดินลงจากจุดนี้ลงไปหาเมือง Muktinath ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเส้นทางที่ง่ายเพราะค่อนข้างชัน รวมทั้งบรรยากาศของวันนี้ที่ถูกพายุหิมะลูกย่อมๆ ผ่านมาเยือน

 

ในโลกของความขาวโพลน ถัดจากวันนี้ไปคงอีกหลายวันกว่าที่ผู้คนจะเดินข้าม Thorong La ได้อีกครั้ง หิมะที่ตกลงมาในวันนี้และน่าจะตกอีกวันได้ทำหน้าที่เป็นกุญแจที่ลั่นดาลเอาไว้เรียบร้อย เรารู้สึกโชคดี ที่วันเวลาในทริปที่เราวางไว้มาประจวบกับดินฟ้าอากาศเช่นนี้พอดิบพอดี หากมาช้าอีกวัน เราคงต้องย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม ไม่อาจข้าม Thorong La อย่างที่ตั้งใจได้ แม้บรรยากาศจะไม่สว่างสดใส แต่ก็มีความงดงามอีกรูปโฉมที่แสดงความจริงอีกด้านหนึ่งของภูเขาให้เราได้ประจักษ์ ในขณะเดียวกันสถานที่แห่งนี้ก็ทำให้เราได้ค้นพบพลังเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราเช่นเดียวกัน

เด็กชาวชายเนปาล1

คืนนั้นเราฉลองกันเล็กๆ ที่ Muktinath ด้วยการสั่งเบียร์มาดื่ม มองดูเกล็ดหิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกที่พัก แม้ว่าจะยังไม่จบทริป แต่เราก็หาได้กังวลอะไรแล้ว เพราะเราได้ผ่านส่วนที่ยากที่สุดของเส้นทางมาแล้ว สรุปแล้วแม้จะไม่ได้เดินรอบใหญ่ของเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเกือบเดือน  แต่เราก็ได้เดินไปบนช่วงที่ถือเป็นไฮไลท์ของเส้นทาง Thorong La แล้ว 10 วันกับระยะทางร่วมหนึ่งร้อยกิโลเมตรบนเทือกเขาอันนะปุรณะ การเดินนอกฤดูนั้นยากลำบากและได้เห็นบรรยากาศของทิวทัศน์   ที่มักไม่ปรากฏอยู่บนคู่มือท่องเที่ยว ถึงจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเดิน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นความจริงอีกมุมหนึ่งของเทือกเขาอันนะปุรณะที่ยากจะลืมเลือน
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปนคร กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ด้วยบริการของสายการบินไทยที่สะดวกสบาย ที่พักในกาฐมาณฑุเราเลือกย่านทาเมลเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของนักเดินทาง ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายราคา ที่สำคัญคือในย่านนี้มีทุกอย่างให้เลือกซื้อหาสำหรับนักเดินทาง โดยเฉพาะกับบรรดานักเดินเขาที่จะไปออกทริปเลียนแบบ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้เลือกนั่ง แต่เราแนะนำให้ไปที่ Garden Of Dreams ซึ่งตั้งอยู่ในย่านทาเมลเช่นกัน (ต้องเสียเงินค่าเข้า) ด้านในมีสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงามมีร้านอาหาร และร้านกาแฟ บรรยากาศสงบเงียบ การเดินเท้าบนภูเขาสามารถติดต่อบรรดาบริษัททัวร์ซึ่งมีอยู่หลายเจ้าในย่านทาเมล ทุกเส้นต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าไปเดินเท้า ที่พักบนภูเขาหากอยู่ในช่วงฤดูท่องเที่ยวมีให้เลือกหลายแห่ง ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก

สำหรับเด็กชาวท้องถิ่นแล้วความหนาว
วีซ่าเข้าเนปาลสามารถทำได้ที่ สถานทูตเนปาลที่กรุงเทพฯ หรือ จะมาทำ Visa on Arrival ที่สนามบินก็ทำได้โดยไม่ยุ่งยาก (เราเลือกมาทำวีซ่าแบบ Visa on Arrival ที่สนามบินกาฐมาณฑุเลย ใช้เวลาไม่นาน) หลังจากย่ำเท้าบนเทือกเขาหิมาลัยมาสิบวัน วันกลับ เมื่อเดินขึ้นบนเครื่องการบินไทยที่กาฐมาณฑุ  เราก็รู้สึกเหมือนกลับถึงบ้านแล้ว รอยยิ้มที่อบอุ่นและการบริการที่คุ้นเคย ขณะที่เครื่องทะยานขึ้นจากสนามบิน เรามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเทือกหิมาลัย ทอดตัวยาวถูก ห่มคลุมด้วยหิมะสีขาวสะอาดตา

ผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยรถไฟ ไม่เกินกลางปีที่จะถึงนี้ คุณจะมีตัวเลือกให้ท่องเที่ยวมากกว่าแค่ทางรถไฟสายทรานไซบีเรียแล้ว

ฺBack On The Track

เส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลกนั้นคือเส้นทางรถไฟบริเวณเทือกเขาเปรูจากเมืองคุสโก้ไปจนถึงทะเลสาบทิติคาก้าและเมืองอาเรควิป้า ประเทศเปรู ซึ่งเป็นเส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่านทั้งธรรมชาติอันงดงามแห่งเทือกเขาอันสลับซับซ้อน ทะเลสาบน้ำจืด และอาณาจักรเปรูโบราณ และในเดือนพฤษภาคมนี้ Belmond Andean Explorer เส้นทางรถไฟตู้นอนสุดหรูหราแห่งแรกของทวีปอเมริกาใต้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้คุณได้เดินทางอย่างหรูหราพร้อมเข้าใจซึ้งถึงคำที่เขาว่ากันว่า การเดินทางไม่ได้สำคัญที่จุดมุ่งหมายเท่านั้น แต่เป็นระหว่างทางมากกว่าที่จะทำให้มุมมองของคุณต่อโลกใบนี้เปลี่ยนไป

aep-dest-35

Belmond Andean Explorer ถูกออกแบบเพื่อให้แขกผู้เข้าพักรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมในเขตที่ราบสูงเปรูแห่งนี้ ภายในรถไฟตกแต่งด้วยลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากลายผ้าทอมือพื้นเมืองของชาวเปรู แต่ใช้โทนสีที่เบาลงเพื่อให้ความรู้สึกพักผ่อนแม้กระทั่งในยามที่คุณกำลังเดินทางอยู่ก็ตาม

aep-obs-01

รถไฟขบวนนี้รองรับแขกได้ทั้งหมด 68 ชีวิต โดยแบ่งเป็นดับเบิ้ลเคบิ้น 2 ห้อง ทวินเคบิ้น 20 ห้อง และเคบิ้น เตียงสองชั้นสำหรับสองท่านอีก 12 ห้อง พร้อมเสิร์ฟอาหาร สดใหม่ที่ปรุงจากวัสดุท้องถิ่นโดยฝีมือของเชฟจากโรงแรม Belmond Hotel Monasterio ที่เมืองคุสโก้ในโบกี้อาหาร นอกจากนั้นยังมีโบกี้เปิดโล่งเพื่อให้แขกได้ดื่มด่ำกับวิวรอบทิศทางแบบไร้อะไรบดบังในขณะที่ละเลียดอาหารและเครื่องดื่มเย็นๆ

aep-cab-01

ราคาเริ่มต้นสำหรับประสบการณ์สุดหรูนั้นก็ไม่แพงจนน่าตกใจ เพียง 462 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งท่านสำหรับแพ็กเกจ ‘Spirit of the Andes’ จำนวนหนึ่งคืน โดยจะมีให้เลือกหลายแพ็กเกจทั้งหนึ่งคืนและสองคืน ใครที่อยากจะเก็บกระเป๋า ซื้อตั๋วเครื่องบินไปเปรูเสียเดี๋ยวนี้ เราขอแนะนำให้อดใจรอสักพัก เพราะ Belmond Andean Explorer นี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ดูรายละเอียดแพ็กเกจและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.belmond.com

หากคุณคลั่งไคล้การปั่นจักรยาน Copenhagen คือเมืองที่คุณไม่ควรพลาด

Copenhagen on Bicycle

หากคุณเป็นคนที่คลั่งไคล้การปั่นจักรยาน หรือเห็นคนอื่นปั่นจักรยานแล้วมีความสุข อาจด้วยพลังงานจากทั้งผู้คนที่เคลื่อนไหวไปมา Copenhagen เมืองหลวงแห่งประเทศเดนมาร์กคือเมืองที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

dscf0782_w1

ด้วยระยะทางการบินจากกรุงเทพมหานครของเราถึงโคเปนฮาเกน หรือที่คนท้องถิ่นออกเสียงว่า คู้บ เบ็น ฮ้าว” เพียง 11 ชั่วโมง (หากบินตรง) หรือหากต้องต่อเครื่องจากลอนดอนก็ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น

dscf0766_w1

ในยุคที่ผู้คนดูเหมือน “รักโลก-รักเรา” อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมืองนี้ที่วางแผนว่าจะเป็นเมืองที่ใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้พลังงานแบบดั้งเดิมทั้งหมด 100% โดยพลังงานหมุนเวียนนั้นก็ได้แก่ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ มีเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จทั้งเมืองให้ได้   ภายในปีค.ศ. 2050 เราจึงมองเห็นกังหันลมขนาดยักษ์สีขาวหมุนไปหมุนมาดูเพลินตาดี

dscf0721_w1

ก่อนที่เครื่องจะแลนด์ลงบนแผ่นดินเดนมาร์ก เราขอแนะนำให้คุณมองออกมาจากช่องหน้าต่างเครื่องบินเพื่อชื่นชมถนนเชื่อมระหว่างเมืองโคเปนเฮเกนกับเมืองแมลหมู (Malmö) ประเทศสวีเดน เป็นอุโมงค์  ลอดใต้ทะเลออเรซุนด์ (Øresund) สะพานแห่งนี้มีความยาว 8 กิโลเมตรจากอ่าวสวีเดนมาจนถึงเกาะที่ถมทะเลและอุโมงค์ความยาว 4 กิโลเมตรจากเกาะเพเบอร์ฮอล์ม (Peberholm) จนถึงโคเปนเฮเกน ซึ่งเปิดใช้  เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2000 ถนนเส้นนี้ช่วยทำให้การคมนาคม  กับคนในแสกนดิเนเวียและนักท่องเที่ยวสามารถนำจักรยานขึ้นรถไฟไปปั่นเพื่อไปมาหาสู่กันได้อย่างสบายใจ

dscf0949_w1

กระบวนการพิธีการตรวจคนเข้าเมืองไม่เข้มงวดเลยสักนิด ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเราได้ผ่านการออกวีซ่ากลุ่มประเทศเชงเก้นจากสถานทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดมากที่สุดมาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามมากมายเหมือนกับการเดินทางเข้ามหานครลอนดอนหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ในยุโรป

dscf0864_w1

การเดินทางมาโคเปนเฮเกนในครั้งนี้ของเราไม่มีจุดหมายสำคัญนอกจากตั้งใจว่าจะไปดูงานศิลปะที่ Museum of Modern Art LOUISIANA มีงานประติมากรรมกลางแจ้ง และงานของศิลปินเลื่องชื่ออย่าง Yayoi Kusama (ยาโยอิ คุซามะ) ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปิน แขนงอื่นๆ สร้างสรรค์ผลงานแตกหน่อออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด งาน Installation “Gleaming Lights of the Souls” จัดแสดงไว้ในห้องเล็กๆ ทำให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมปลดปล่อยจินตนาการโดยไม่ต้องรอคิวยาวเหยียดเหมือนจัดแสดงที่ลอนดอน

dscf0724_w1

แน่นอนว่าก่อนกลับขอแนะนำให้แวะที่ร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ “Louisiana Butik” ที่ขนงานดีไซน์จากนักออกแบบทั้ง  ชาวเดนิชเองและจากประเทศเพื่อนบ้านมีตั้งแต่งานเซรามิก งานผ้า น้ำหอม ถ้วยโถโอชาม หรือแม้แต่หนังสือดีๆ ที่อาจหาที่อื่นได้ เรียกว่ามีของให้ช็อปตั้งแต่หลักสิบยันหลักหมื่น (โครน) และที่ห้ามพลาดคือการนั่งชิลด์จิบกาแฟที่ Louisiana Cafe เลือกที่นั่งริมระเบียงเพื่อมองวิวริมทะเลจะช่วยทำให้คุณผ่อนคลายพร้อมๆ ไปกับพักสายตาด้วยประติมากรรมชิ้นเอกจากประติมากรชาวอเมริกันเลื่องชื่อ Alexander Calder (อเล็กซานเดอร์ คัลเดอร์)

The Nyhavn docks become alive as the sun sets in this Danish summer night.

เราได้รับการดูแลอย่างดีจากคุณกอล์ฟ – ยศอนันต์ มากสมบูรณ์ เพื่อนรุ่นน้องที่มาใช้ชีวิตตามประสาคติ Slow Life อยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้มานานถึง 17 ปี คุณกอล์ฟมีภรรยาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ และมีลูกน้อยหน้าตาหล่อเหลามาก คาดเดาว่าโตขึ้นสามารถเป็นนายแบบได้อย่างสบาย

dscf0980_w1

ก่อนเรามาคุณกอล์ฟช่วยทำการบ้านให้ด้วยการแนะนำให้เราซื้อ Copenhagen Card ด้วยคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการของบัตรที่จะทำให้เราสามารถขึ้นรถบัส รถไฟใต้ดิน รถไฟและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ได้อย่างไม่จำกัดถึง 73 แห่งภายในระยะเวลา 24-120 ชั่วโมงนับว่าคุ้มมากที่สุด (ราคาเริ่มตั้งแต่ 379-839 โครนสำหรับผู้ใหญ่) บัตรนี้มีจำหน่ายที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใจกลางเมืองตรงข้ามกับสวนสนุก Tivoli แลนด์มาร์กหลักของเมือง ที่สนามบิน และที่พิพิธภัณฑ์ทุกแห่ง

dscf0733_w1

การเดินทางจากในเมืองโคเปนเฮเกนเพื่อไปยัง Louisiana ต้องนั่งรถไฟจากสถานีรถไฟกลางเมืองไปอีก 40 นาที เราขอแนะนำว่าคุณสามารถลงทะเบียนรับบริการ Free-Wifi ได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประจำเมืองเช่นกัน ช่วยประหยัดสตางค์ไปได้อีกนิดและไม่หลุดการเชื่อมต่อจากโลกโซเชียล

dscf0760_w1

หากคุณมีเวลาสัก 2 คืนในเมืองแห่งนี้ ขอแนะนำให้แวะไปทำความเข้าใจกับวิถีชีวิตของคนที่นี่และประเทศใกล้เคียงรวมถึงประวัติศาสตร์ ของโลกตั้งแต่ยุคน้ำแข็งจนถึงยุคปัจจุบัน มีการจัดแสดงงานไว้เป็นหมวดหมู่เข้าใจง่ายที่ The Museum Of National History ซึ่งอยู่บริเวณเกาะใจกลางเมืองใกล้ๆกับอาคารรัฐสภา หอสมุดแห่งชาติ (หรือที่เรียกว่า The Black Diamond) หรือพระราชวังคริสเตียนเบิร์ก ไม่ว่าจะไปที่ไหน หากคุณเป็นคนชื่นชอบสถาปัตยกรรมยุโรปหรือดีไซน์ร่วมสมัยแล้ว เมืองนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน โดยเฉพาะความล้ำเลิศในการจัดการกับ “ที่ว่าง” ให้ดูโล่ง เมื่อเดินหรืออยู่ในอาคารนั้นๆ จะไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด ด้วยเหตุนี้เองคนเดนิชเลยเป็นนักออกแบบสร้างสรรค์ระดับโลก ข้อนี้เราคิดเอาเองเพราะความมหัศจรรย์แห่งความ “ว่าง” ที่สถาปนิกนักออกแบบตกแต่ง นักจัดวางภูมิทัศน์ ฯลฯ หรืออาจเหมาเอาได้ว่าคน  ที่นี่มีความว่างที่เป็นบ่อเกิดของการกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ให้ทำงานอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ

dscf0772_w1

เสร็จจากเดินชมพิพิธภัณฑ์แล้วก็ควรหาเวลาเดินเล่น หรือปั่นจักรยานที่มีให้ยืมทั่วไป จักรยานรุ่นใหม่นำทางด้วยระบบ GPS ใช้ระบบการจ่ายด้วยเครดิตการ์ดไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ชาวเมืองด้วยกัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วได้รับความนิยมพอสมควร การแข่งขันให้เช่าจักรยาน   ก็ดูเป็นเทรนด์ที่มาแรงมาก มีจักรยานให้เลือกเช่าหลายแบบ เช่น แบบมาตรฐาน (2 ล้อ) ราคา 110 โครน (ต่อ 24 ชั่วโมง) หรือแบบครอบครัว (3 ล้อที่มีที่นั่งกระบะด้านหน้า) ราคา 450 โครน (ต่อ 24 ชั่วโมง)

golfcopen_w1

หรือหากจะออกแรงเดินให้เพลินๆ สามารถทำได้โดยไล่ไปตั้งแต่อาคารหอสมุดหรือที่รู้จักกันในชื่อ The Black Diamond ไปจนถึงบริเวณท่าจอดเรือ Nyh Havn เดินข้ามสะพาน Inderhavnsbroen ที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ เปิดใช้เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมปีนี้เอง แม้ว่าจะใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 5 ปี (ประวัติคร่าวๆ ก็คือ สะพานนี้เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 2011 ตอนแรกกะจะสร้างเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 แต่สร้างไปครึ่งปี ก็พบว่าแปลนที่วาดมามีข้อผิดพลาด จึงต้องทำการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พอแก้ไขเสร็จ บริษัทรับเหมาก่อสร้างเดิมที่รับผิดชอบอยู่ก็ประกาศล้มละลาย ต้องหาบริษัทใหม่มารับช่วงต่อ หลังจากนั้นก็ยังไม่หมดเรื่อง เพราะงบประมาณแรกที่ตั้งไว้ 220 ล้านโครนนั้น ใช้ไปหมดจากความล่าช้าที่เกิดขึ้น ทำต้องอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมมาอีก  100 ล้านโครน จึงเสร็จจนได้) นับเป็นสะพานแห่งมิตรภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของจริง ชาวเมืองโคเปนเฮเกนล้วนภาคภูมิใจ สะพานนี้เองเชื่อมระหว่าง Nyhavn ไปจนถึง Christianhavn และมีสะพานเล็กเชื่อมไปที่เกาะกระดาษ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Copenhagen Street Food ที่ชื่อว่าเกาะกระดาษ (PapirØen) ก็เพราะว่าสมัยก่อนเป็นที่ตั้งของโรงงาน ทํากระดาษ ที่นี่ประกอบไปด้วยร้านอาหารนานาชาติ มีร้านอาหารไทย เกาหลีญี่ปุ่น อินเดีย ฯลฯ มากมายถึง 35 ร้าน บาร์เบียร์หลากสัญชาติ   5 แห่ง ห้องน้ำใหญ่โตกว้างขวางมีพื้นที่นั่งด้านนอกรับลมริมทะเลเป็นแหล่ง แฮงค์เอาท์ของคนหนุ่มสาว วัยทำงาน นักท่องเที่ยว เรียกว่าเป็นโครงการนำเอาอาคารเก่าที่เคยเป็นโรงงานกระดาษมาปรับใช้พื้นที่เพื่อการสันทนาการ ให้สอดรับกับวิถีคนเมือง จุดนี้เองที่ทำให้โคเปนเฮเกนมีชีวิตชีวาไม่ดูอึมครึมหรือเงียบเหงาเหมือนบางเมืองในยุโรปที่เคยไปมา

dscf1037_w1

แค่เดินเล่นในโคเปนเฮเกนรับพลังงานจากคนทุกเพศทุกวัยที่ขับขี่จักรยานวนเวียนไปมาตั้งแต่เช้ายันดึก (หนุ่มสาวและคนวัยทำงานชอบออกมาดื่มด่ำรับลมยามค่ำคืนกันมาก ที่นั่งด้านนอกบาร์จึงมักได้รับ ความนิยม ช่วยเพิ่มอรรถรสการเป็นนักสังเกตการณ์ได้เป็นอย่างดี    หากจิบเบียร์ Tuborg ด้วยก็จะได้อารมณ์มาก) เดินเล่นๆ สูดรับอากาศบริสุทธิ์ริมทะเล มองเห็นคนใช้ชีวิตกลางแจ้งเล่นเรือใบ ว่ายน้ำ ตกปลา กีฬาทางน้ำแทบทุกชนิด ก็นับว่าเพียงพอต่อการมาชาร์จแบตเพิ่มพลังให้กับชีวิตแล้ว รับรองว่าไฟในตัวคุณจะลุกโชนจนอยากหาจักรยานเอาไว้ปั่นสักคัน

 

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google กลับมาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นใหม่ ที่ตอบโจทย์คนรุ่นปัจจุบันที่รักการท่องโลก

Smart Traveller’s Guidebook

Google Trips 

imagejoiner-2016-09-16-at-12-08-13-pm

คือแอพพลิเคชั่นที่ทำงานร่วมกับฐานข้อมูลของกูเกิ้ลและแผนที่ดาวเทียม ช่วยคุณวางแผนการเดินทางครั้งต่อไปของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการจัดระเบียบข้อมูลการจองโรงแรมต่างๆ ตลอดทริป สถานที่สำคัญที่ควรไป ซึ่งหมายถึงวิธีเดินทาง ระยะทาง และร้านอาหารระหว่างทางที่ควรลิ้มลอง โดยคุณสามารถวางแผนจัดการผ่านแอพพลิเคชั่นนี้ และบันทึกไว้ใช้โดยที่ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ต เรียกได้ว่า สะดวกสบายและแสนประหยัด

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดมาลองใช้ได้แล้ววันนี้เพียงค้นคำว่า Google Trips ใน App Store ของคุณ

The Phone That changeS Your Life

lightphonefloatinghigh

แม้สมาร์ทโฟนจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะความอัจฉริยะของฟังก์ชั่นซึ่งตอบโจทย์วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ แต่ความครบสมบูรณ์นี้เองที่กลับสร้างความเหนื่อยล้าแก่ผู้ใช้เพราะต้องคอยอัพเดทและติดต่อสื่อสารกับสิ่งรอบกายจนมีเวลาชื่นชมสิ่งรอบข้างและอยู่กับตัวเองน้อยลงทุกที กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า Light จึงออกโทรศัพท์มือถือแบบใหม่ Light Phone ที่มีฟังก์ชั่นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเติมเต็มความจำเป็นเรื่องการสื่อสารแบบตามสมควร หน้าตาของมันก็เหมือนโทรศัพท์มือถือแบบเก่าทั่วไปที่มีปุ่มเลขและหน้าจอเล็กๆ แสดงเวลาและเบอร์โทรเข้า-ออก แต่สิ่งที่พิเศษคือขนาดเท่าบัตรที่พกได้ในกระเป๋าสตางค์ แถมบางเฉียบ วิธีการทำงานของมันคือ เจ้า Light Phone จะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเครื่องหลักของมันผ่านแอพพลิเคชั่น คุณสามารถทิ้งสมาร์ทโฟนเครื่องโปรดไว้ที่บ้านและออกไปสัมผัสธรรมชาติ โดยหากมีคนโทรเข้า แอพพลิเคชั่นก็จะทำหน้าที่โอนสายมายัง Light Phone เครื่องจิ๋วของคุณอัตโนมัติ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อได้ที่ www.thelightphone.com

ผ่อนคลายแบบใกล้ชิดธรรมชาติที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก Four Seasons Tented Camp Golden Triganle

Hidden Adventure

ซุกตัวอยู่ในทิวเขาสีเขียวสดโอบล้อมลำโขงที่ไหลระหว่างพรมแดนลาว พม่า และไทย คือเต็นท์สีขาวจำนวน 15 หลังและฝูงช้างป่าที่รอให้คุณมาสัมผัสประสบการณ์ความผ่อนคลายแบบใกล้ชิดธรรมชาติที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก Four Seasons Tented Camp Golden Triganle

CHR_015_aspect16x91

แหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังของจังหวัดเชียงรายเห็นจะหนีไม่พ้นบริเวณเกาะแก่งแผ่นดินของสามประเทศเพื่อนบ้านมาบรรจบกัน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อสามเหลี่ยมทองคำ ความงดงามของลำน้ำและทิวเขาของบริเวณนี้เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้ Four Seasons รังสรรค์แคมป์หรูหรากลางป่า เพื่อต้อนรับนักผจญภัยที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายจำเจ เมื่อนั่งเรือหาวยาวจากฝั่งโขงไปเป็นระยะเวลาประมาณ 15 นาที คุณจะเริ่มเห็นหลังคาเต็นท์สีขาว ซ่อนตัวมิดชิด กระจายตัวห่างกันอยู่ตามไหล่เขา เชื่อมถึงกันด้วยสะพานที่สร้างจากเชือกเกลียวหนาและไม้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ คุณสามารถเลือกที่จะผ่อนคลายอยู่ในเต็นท์ส่วนตัวที่ตกแต่งด้วยโทนสีไม้และขาว พร้อมทิวทัศน์ของเทือกเขาที่จะผ่อนคลายสายตา หรือออกไปเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ Four Seasons เตรียมไว้ให้

04742-A

04742-A

Explorer

นอกจากสถานที่ตั้งและรูปแบบของสถาปัตยกรรมแล้ว ที่นี่ยังโดดเด่นด้วยกิจกรรมที่จะเปิดโอกาสให้คุณลองเป็นนักผจญภัย ไม่ว่าจะเป็นการสอนขี่ช้างและเลี้ยงช้างตามภูมิปัญญาของคนพื้นเมืองที่นี่ การเดินเขาตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ลัดเลาะไปตามแนวป่าจนพบกับทิวทัศน์ที่คุณคาดไม่ถึง พ้นเขตแคมป์ไปแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก น้ำพุร้อน ในห้วยหมากเลี่ยม หรือยอดดอยสะโงะ

CHR_124

Epicurean

แต่ถ้าไม่รักการผจญภัยเท่าใดนัก ที่นี่ก็พร้อมจะพาคุณไปเรียนรู้เรื่องวัตถุดิบและพืชสมุนไพรที่ปลูกในบริเวณแคมป์ก่อนจะนำมาปรุงอาหาร หลังจากออกเก็บเกี่ยวและเลือกสรรวัตถุดิบสดๆ จากต้น เชฟแห่ง Four Seasons Tented Camp Golden Triangle ก็จะรอคุณอยู่ที่ปลายทางเพื่อสอนวิธีการปรุงวัตถุดิบเหล่านั้นทันที อีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าสนใจคือการนั่งเรือหางยาวล่องไปตามลำน้ำเพื่อรับชมสามเหลี่ยมทองคำจากมุมมองใหม่ เชื่อเถอะว่าหมอกสีขาว สายลม และน้ำที่สาดกระเซ็นจะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อย Four Seasons พร้อมที่จะผ่อนคลายคุณด้วยสปาแบบเปิดโล่งที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ พร้อมบริการคุณด้วยทรีทเมนต์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น นวดไทย นวดน้ำมัน ขัดตัว ฯลฯ

CHR_069

ที่ตั้ง: สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

การเดินทาง: เดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพมหานคร ใช้เวลาประมาณ 75 นาที จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถยนต์เป็นระยะทาง 65 กิโลเมตร จากนั้นลงเรือหางยาวเป็นเวลา 15 นาที

ราคา: เริ่มต้นที่ประมาณ 93,000 บาทต่อคืน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ (ฤดูหนาว)

CHR_086_aspect16x9

Content by Ronnakorn R., Photography By Four Seasons

5 สถานที่ท่องเที่ยวสุดมหัศจรรย์ ที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้

สถานที่ท่องเที่ยวที่มหัศจรรย์ที่คุณอาจจะสงสัยว่ามันมีอยู่บนโลกนี้จริงๆ หรือ ลอปติมัมให้คำตอบคุณได้ว่า มันมีอยู่จริงและคุณก็ควรไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์นี้สักครั้งในชีวิตนี้

1.Zhangye Danxia landform in Gansu Chaina

Zhangye_Danxia_landform.
ภูเขาสีรุ้งในเขตมณฑลกันซู่ ประเทศจีน เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นศิลปะจากธรรมชาติโดยแท้ ภาพภูเขาสีรุ้งนี้เกิดจากตะกอนของหินทรายและแร่ธาตุต่างๆ ทับถมรวมกันนานกว่า 24 ล้านปี และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 อันดับสถานที่ที่สวยที่สุดในโลก

2.The Great Blue Hole in Belize

An aerial view of the coral reef and deep cave that make up the famous diving spot of the Blue Hole in the Caribbean Ocean off the coast of Belize.

หลุมยักษ์น้ำเงินครามแห่งเบลิซ หลุมนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งเบลิซประมาณ 60 ไมล์ เส้นผ่านศูนย์กลาง 984 ฟุต กับความลึกประมาณ 410 ฟุต เชื่อกันว่าเป็นหลุมที่เส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ที่สุดในโลก สันนิษฐานกันว่าเกิดจากการก่อตัวในยุคน้ำแข็ง และยังเป็น 1 ใน 7 ที่ที่นักประดาน้ำจัดอันดับว่าสถานที่ที่น่าดำน้ำที่สุดในโลกอีกด้วย

3.Iguazu Fall Argentina

Iguazu_Falls_-_klein
น้ำตกอีกวาซู เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนตินา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จะทำให้คุณทึ่งกับความแรงของสายน้ำที่ไหลมานานกว่าหนึ่งล้านปี มีขนาดแนวยาว 4 กิโลเมตร สูง 269 ฟุต

4.Salar De Uyuni in Bolivia

Salar_De_Uyuni
Salar De Uyuni เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่และเป็นกระจกเงาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพื้นราบประกอบด้วยเกลือจำนวนมหาศาลบนเนื้อที่ 10,582 ตารางกิโลเมตร อยู่ติดเขตระหว่างสองจังหวัดคือ Potosi และ Oruro ทางตอนใต้ของประเทศโบลิเวีย

5.Mount Roraima

Mount Roraima
ภูเขา Roraima สูงเสียดฟ้าแห่งนี้ เกิดจากการก่อตัวทางธรณีวิทยาที่เก่าแก่ยาวนานที่สุดในโลก ราวๆ ประมาณ 2 พันล้านปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่ชายแดนระหว่าง 3 ประเทศ คือ บราซิล, กายอานา และเวเนซุเอลา

และนี้ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น และทางลอปติมัมได้นำมาฝากคุณ
Content by Thachakorn Meeprasert

จัดกระเป๋าเดินทางไปบิสซิเนสทริปในแบบผู้ชายฉบับมือโปร

หนุ่มๆ หลายคนคงเคยปวดหัวกับการจัดกระเป๋าเดินทางไปประชุมงานต่างประเทศ เพราะไม่สามารถม้วนพับเชิ้ตทำงานและชุดสูทสุดเนี้ยบลงกระเป๋าได้เหมือนการจัดกระเป๋าท่องเที่ยวที่มีเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนส์ เคล็ดลับเจ็ดข้อนี้จะช่วยให้การจัดกระเป๋าเพื่อเดินทางไปทำงานไม่เป็นเรื่องยุ่งยากอีกต่อไป

FU7A7904_w1

1. Size the Luggage
การเลือกขนาดกระเป๋าให้เหมาะสมกับจำนวนเสื้อผ้าเป็นด่านแรกที่ช่วยให้เสื้อผ้าของคุณดูเนี้ยบพร้อมใส่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ กระเป๋าขนาดเล็กเกินไปจะทำให้เสื้อผ้าต้องพับเล็กลงลงจนอัดแน่นกันและสร้างรอยยับเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่กระเป๋าที่ใหญ่เกิน จะทำให้เหลือที่ว่างจนทุกอย่างไหลมากองรวมกัน และแน่นอน เป้แบบแบ็กแพ็กไม่เหมาะกับลุคทางการสำหรับบิสซิเนสทริปของคุณแน่ๆ

2. Less is More
การเดินทางไปประชุมไม่ใช่เวทีแฟชั่นโชว์ที่คุณจะขนชุดหวือหวาไปใส่โชว์ลูกค้าหรือคู่เจรจาธุรกิจ เลือกสูทคัทติ้งดีๆ สีกลางๆ อย่างสีเทาหรือสีน้ำเงิน ช่วยให้ลุคของคุณดูโปรแต่มีสไตล์แทนสูทสีดำที่อาจดูน่าเบื่อเกินไป หากคุณเดินทางเพียงสั้นๆ สูทเพียงชุดเดียวก็เพียงพอ ใช้วิธีใส่สลับกับเชิ้ตและเน็กไทสีอื่น ก็จะได้ลุคใหม่โดยไม่ต้องขนเสื้อผ้าไปมาก

3. Wrinkle-Free
เทคโนโลยีเส้นใยผ้าในปัจจุบันพัฒนาไปมากจนช่วยให้ปัญหาเรื่องรอยยับเชิ้ตลดลง เลือกหยิบเชิ้ตแบบ Wrinkle-Free สำหรับการจัดกระเป๋าเดินทางครั้งต่อไป เพื่อให้เสื้อผ้าของคุณดูเนี้ยบยิ่งขึ้น

4. Casual in Style
หลังการประชุมคุยงานเคร่งเครียดมาตลอดทั้งวัน คุณอาจจะต้องไปแฮงก์เอาต์ต่อในตอนค่ำ อย่าลืมนำชุดสำรองเพื่อการนี้ไปสักหน่อย แค่เสื้อยืดโปโลเท่ๆ สำหรับสถานที่สบายๆ กับกางเกงสแลก หรือถ้าจะต้องไปที่ที่มีระดับขึ้นอีกนิด เบลเซอร์สักตัวช่วยคุณได้เสมอ

5. How to Fold
ปัญหาใหญ่ที่สุดหลังจากเลือกหยิบเสื้อผ้ามาได้ครบแล้วคือ จะแพ็กทุกอย่างลงกระเป๋าเดินทางอย่างไรให้ทุกอย่างยังดูเนี้ยบเหมือนเดิม หลักการง่ายๆ คือ ลดจำนวนการพับเพื่อสร้างรอยยับให้น้อยที่สุดและพับในจุดที่เป็นรอยต่อ เช่น กางเกงควรพับครึ่งเพียงครั้งเดียวตรงช่วงเข่าแล้ววางพาดยาวในกระเป๋าแทนการพับทบแบบสามตอนที่จะทำให้เกิดรอยยับมากกว่า การพับเชิ้ตและสูทก็ใช้หลักการเดียวกัน โดยพับที่รอยต่อช่วงแขนเสื้อทั้งสองข้างเข้าด้านในตัวเสื้อ แล้วจึงพับชายเสื้อขึ้นมาเพียงครั้งเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดรอยยับจากการพับน้อยกว่าวิธีพับเสื้อแบบเดิมๆ

6. Utilise the Space
เมื่อเราใช้พื้นที่ส่วนหลักของกระเป๋าเดินทางในการจัดเสื้อผ้าชุดทำงานไปแล้ว อย่ามองข้ามพื้นที่เล็กๆ น้อยๆ บริเวณมุมซอกกระเป๋า คุณสามารถใช้พื้นที่ในส่วนนี้เพื่อจัดเรียงเสื้อผ้าที่ม้วนเล็กได้ เช่น กางเกงชั้นใน ชุดนอน และอุปกรณ์อาบน้ำ หากคุณจำเป็นต้องแพ็กรองเท้าไปด้วยอีกคู่ การม้วนถุงเท้าใส่ไปในรองเท้านอกจากช่วยประหยัดพื้นที่แล้ว ยังทำให้รองเท้าไม่เสียทรงอีกด้วย

7. Professionally Unpack
เพียงแค่เปิดกระเป๋าและนำเสื้อผ้าที่บรรจงพับมาอย่างดีใส่ไม้แขวนเรียงเข้าตู้เสื้อผ้าหลังจากเช็กอินเข้าโรงแรม ก็ช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องจุกจิกเสียเวลาไปสักหน่อยสำหรับผู้ชาย แต่รับรองว่า เสื้อผ้าของคุณจะยังคงเรียบร้อยพร้อมใส่เสมือนหยิบจากตู้เสื้อผ้าที่บ้านโดยไม่ปะปนกับเสื้อผ้าใส่แล้วที่คุณโยนลงกระเป๋าอย่างแน่นอน

Content by Amoraey

ตามรอยงานสถาปัตยกรรม ของสถาปนิกระดับตำนานชาวอเมริกัน Frank Lloyd Wright

Trail of Frank LLoyd wright

pittsburgh-8242-2-1-W1

ทันทีที่เข้าสู่เขตเมืองคลีฟแลนด์ (Cleveland) เราได้เห็นเค้าลางอดีตอันรุ่งโรจน์ของที่นี่ซึ่งเคยเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ของอเมริกา เพราะว่าเมื่อขับไปตามถนนไฮเวย์ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเมืองนั้น เราจะผ่านหุบเขาที่เผยให้เห็นร่องรอยของการปรับปรุงสภาพพื้นที่รกร้างในอดีตให้สามารถใช้งานได้ และเนื่องจากเป็นเขตเวลาที่ต่างกันกับที่บ้านเรา ช่วงกลางคืนของที่นี่จึงแสนสั้นและช่วงกลางวันจะยาวนานมาก เราจำต้องตื่นและเดินทางต่อไปยังเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นรัฐที่อยู่ติดกันห่างออกไปไม่กี่สิบไมล์แต่กินพื้นที่ไกลไปจนถึงเมืองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) สุดชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าเราต้องลาจากริมฝั่งทะเลสาบอีรี (Erie) เพื่อไปเยี่ยมเยียนดินแดนท้องทุ่งที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา โดยต้องลัดเลาะไปให้ถึงที่ตั้งของ “บ้านน้ำตก” (Falling Water House) สุดยอดบ้านในตำนานของสถาปนิก แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ (Frank Lloyd Wright) ซึ่งอยู่ห่างไปทางใต้ของเมืองพิตต์สเบิร์ก (Pittsburg) ราวหกสิบไมล์ ไม่ไกลจากหมู่บ้านมิลล์ รัน (Mill Run) นัก

fallingwater-W1

บ้านพักหลังนี้มีระเบียงของแต่ละชั้นเหลื่อมซ้อนกันและปลูกคร่อมอยู่บนธารน้ำตกในใจกลางป่าใหญ่ หากใครไม่รู้จักที่นี่แล้วละก็ ถือได้ว่าพลาดผลงานชิ้นเอกของสถาปนิกชื่อดังชาวอเมริกันคนนี้ไปแล้วจริงๆ แต่จะอย่างไรก็ช่างเถิด ถึงตอนนี้เราก็ได้เห็นมันแล้วอย่างเต็มตา อันที่จริง บ้านพักหลังนี้ตระกูลคอฟแมน (Kaufmann) เจ้าของเครือธุรกิจห้างสรรพสินค้าของพิตต์สเบิร์กได้ว่าจ้างไรต์ให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1935 ในเวลานั้น ไรต์ ถือว่าเป็นสถาปนิกผู้มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของอเมริกา เพราะนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1890 เป็นต้นมา ผู้คนต่างกล่าวขวัญถึงแนวคิดทางสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของเขาที่ต้องการผสมสร้างรูปแบบศิลปะการตกแต่งอาคารด้วยวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติ เช่น หิน และ ไม้ อันเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ “อินทรียสถาปัตยกรรม หรือ Organic Architecture” นั่นเอง

kentuckknob-7841-W1

ลินดา แว็กกอเนอร์ (Lynda Waggoner) ผู้จัดการบ้านพักหลังนี้ซึ่งปัจจุบันสถาบันการดนตรีแห่งเพนซิลเวเนีย (Conservatory of Pensylvania) เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ ได้กล่าวถึงสไตล์แบบบ้านนี้ว่า “ครอบครัวคอฟแมนได้ให้แนวทางการสร้างบ้านหลังนี้ไว้อย่างชัดเจน นั่นคือให้สร้างบ้านสำหรับไว้พักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นแบบกระท่อมไม้ในสมัยก่อน และปลูกไว้บนที่ที่มีลำธารและน้ำตกไหลผ่าน” ทว่า “กระท่อม” หลังใหม่ดังกล่าวได้ไปไกลเกินกว่าที่วาดฝันเอาไว้เพราะสุดท้ายแล้วได้กลับกลายเป็น “คฤหาสน์ขนาดย่อม” ดีๆ นี่เอง หลังจากใช้เวลาก่อสร้างถึง 4 ปี ครอบครัวคอฟแมนอันประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูกชายทั้งหลายก็ได้มาพักผ่อนสุดสัปดาห์อย่างสงบสุข ณ ที่แห่งนี้สมดังใจ นอกจากนี้คุณลินดายังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “บ้านหลังนี้ไรต์ได้สร้างให้มันเป็นอาภรณ์จากห้องเสื้อชั้นสูง หาใช่เสื้อขายยกโหลตามท้องตลาด ทั้งนี้ เขาได้ลงพื้นที่ศึกษาสำรวจอย่างจริงจัง แล้วจึงรังสรรค์บ้านพักให้เป็นประหนึ่งชะง่อนผาหินขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางธารน้ำตก แตกต่างจากที่ตระกูลคอฟแมนคิดเอาไว้ในตอนแรก และภายในบ้าน เขาก็ได้บรรจงวาดลวดลายตกแต่งไปเสียทุกสิ่งอัน ไม่เว้นแม้แต่เฟอร์นิเจอร์” ห้องภายในบ้านจึงล้วนได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ดังเช่น ห้องรับประทานอาหารที่ถูกเลือกให้อยู่ตรงระเบียงคฤหาสน์หินผา ซึ่งสามารถมองเห็นจากภายนอกได้อย่างชัดเจน และครอบครัวคอฟแมนเองก็ชอบมาปิกนิกกันที่นี่บ่อยๆ

duncanhouse-7657-W1

หลังจากเที่ยวบ้านน้ำตกเสร็จ เรายังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปเจออะไรที่น่าประหลาดใจได้มากไปกว่านี้แล้ว แต่ใครจะรู้กันล่ะว่าที่ดันแคนเฮ้าส์ (Duncan House) จุดหมายปลายทางต่อไปก็น่าหลงใหลไม่แพ้กัน ที่นี่เป็นบ้านพักหนึ่งในหกหลังโดยฝีมือการออกแบบของไรต์ที่เราสามารถเข้าพักได้ เราจึงขับรถไปที่นั่นโดยใช้ถนนไฮเวย์ สาย 381 ที่ลดเลี้ยวไปตามทุ่งหญ้าป่ากว้าง และพบว่ามีโบสถ์เมทอดิสต์ (Methodist) และอิแวนจิลิสต์ (Evangelist) อยู่ตามรายทางมากกว่าโรงแรมและร้านอาหารเสียอีก แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของที่นี่ ที่ในปี ค.ศ.1950 ได้มีกลุ่มสถาปนิกนำโดย ปีเตอร์ เบิร์นสตัน (Peter Berndston) ศิษย์เก่าของไรต์เข้ามาพัฒนาพื้นที่ป่าให้กลายเป็นรีสอร์ทตากอากาศประกอบด้วยบ้านพักทั้งหมดจำนวน 20 หลัง ทว่าท้ายที่สุดปีเตอร์ก็สร้างได้แล้วเสร็จเพียงสองหลังเท่านั้น ซึ่งถือว่ายัง
ไม่เพียงพอสำหรับที่จะบุกเบิกธุรกิจรีสอร์ทแบบเฉพาะดังกล่าว อนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการประกาศขายดันแคนเฮ้าส์ซึ่งเป็นบ้านแบบสำเร็จรูปและราคาประหยัดที่ไรต์ออกแบบขึ้นในปี ค.ศ.1957 และลอรา อาร์เจนไบรท์ (Laura Argenbright) ผู้จัดการรีสอร์ทได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวว่า “บ้านหลังนี้เดิมอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ แต่ถ้าดูคอนเซ็ปต์ของตัวบ้านแล้ว หากย้ายมันมาอยู่ที่นี่คงจะสร้างรายได้ให้ไม่น้อยเลย” ดังนั้น ทางรีสอร์ทจึงได้ซื้อและขนย้ายดันแคนเฮ้าส์มาปลูกใหม่ที่ โพลีแมท ปาร์ค รีสอร์ท (Polymath Park Resort) แห่งนี้ ที่จริงแล้ว คอนเซ็ปต์ของดันแคนเฮ้าส์ก็ออกจะเรียบง่ายกว่าบ้านน้ำตก อยู่มาก เพราะมันถูกออกแบบให้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวพร้อมห้องใต้ดิน มีหลังคาเป็นเพิงแหงนเรียบๆ โครงสร้างมีลักษณะคล้ายกระสวยอวกาศคือมีเพียงห้องใหญ่ห้องเดียวทำด้วยหินและมีมุมทำครัวอยู่ในตัว ดูไปแล้วเหมือนกับว่าดันแคนเฮ้าส์นั้นได้สร้างไว้ที่รีสอร์ทแห่งนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที แถมยังกลมกลืนไปกับป่าทึบโดยรอบอีกต่างหาก คุณลอราได้พูดปิดท้ายว่า “มองให้ดีจะเห็นได้ว่ารีสอร์ทนี้ให้บริการลูกค้าเหมือนกับเป็นเกสต์เฮ้าส์ด้วยเหมือนกัน เพราะสามารถจองบ้านพักทางโทรศัพท์หรือทางอินเตอร์เนตก็ได้ จากนั้นก็นัดมารับกุญแจ แล้วคุณก็จะได้เป็นเจ้าของบ้านของสถาปนิกในตำนานในทันที”

cleveland2R-W1

ต่อจากนั้นเราได้ขับรถลงใต้ไปตามถนนไฮเวย์ สาย 381 จนถึงยังปลายเนินเขาเคนตัก น็อบ (Kentuck Knob) ณ ที่แห่งนี้ ในช่วงยุค 50 ครอบครัวเฮแกน (Hagan) ได้ว่าจ้างไรต์ให้สร้างบ้านพักทำด้วยไม้และหินเปลือยพร้อมตกแต่งด้วยเหล็กดัดรูปหกเหลี่ยมขึ้น นับเป็นผลงานการออกแบบบ้านลำดับท้ายๆ ของ ไรต์ แล้วเพราะในขณะนั้นเขามีอายุได้ 86 ปี อย่างไรก็ดี บ้านที่เคนตัก น็อบ นี้ก็มีความงดงามแปลกตาไม่น้อยไปกว่าบ้านน้ำตกเลย เพราะที่นี่ ไรต์ได้บรรจงเสกสร้างผลงานที่หลอมรวมมนุษย์เราให้เข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1986 คุณเฮแกนได้ล้มป่วยลงอย่างหนัก จึงได้ตัดสินใจขายบ้านหลังนี้ แพทริเซีย คอยล์ (Patricia Coyle) เจ้าหน้าที่นำชมพิพิธภัณฑ์บ้านเคนตัก น็อบหลังน้อยนี้ กล่าวย้ำถึงประเด็นดังกล่าวว่า “แต่โชคดีที่ ลอร์ด พาลัมโบ (Lord Palumbo) หนุ่มผู้คลั่งไคล้งานสถาปัตยกรรมได้มาซื้อบ้านหลังนี้ต่อและได้เปิดให้ผู้คนสามารถเข้ามาชมได้ บ้านหลังนี้จึงยังคงรูปแบบดั้งเดิมไว้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน” และในบรรดาเรื่องราวทั้งหลายที่เกี่ยวกับไรต์นั้น

pittsburgh-8290-W1

เรารู้สึกสนใจใคร่รู้เรื่องของเนมาโคลิน วูดแลนด์ รีสอร์ท (Nemacolin Woodlands Resort) ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมครบวงจรขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างจากที่นี่ไปเพียงไม่กี่ไมล์ เมื่อไปถึงที่นั่น เราจำต้องตกตะลึงกับภาพของบรรดาอาคารที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงามเหมือนฝันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลาง ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอาคารโรงแรม ชาโต ลาฟาแย็ตต์ (Château Lafayette) ที่ทอดตัวยาวอวดความหรูหราอลังการเฉกเช่นเดียวกับโรงแรมริตซ์ (Ritz) ในปารีสที่เป็นต้นแบบ และโดยเฉพาะอาคารโรงแรม ฟอลลิง ร็อก (Falling Rock) ที่มีรูปทรงราวกับว่าออกมาจากโต๊ะเขียนแบบของไรต์อันที่จริงแล้ว โรงแรมนี้มีศิษย์เก่าของโรงเรียนการสถาปัตยกรรมที่ไรต์ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นผู้ออกแบบโดยใช้สไตล์ศิลปะเดียวกันกับบ้านน้ำตกของไรต์เพื่อดึงดูดใจลูกค้าที่ต้องการความสบายเป็นส่วนตัวนั่นเอง ที่นี่ประกอบไปด้วยสนามบินส่วนตัว สนามกอล์ฟขนาด 18 หลุมซึ่ง พีท ดาย (Pete Dye) เป็นผู้ออกแบบ ภัตตาคาร โฟร์ ไดมอนด์ (Four-Diamonds) ห้องสวีทถึง 42 ห้องพร้อมด้วยแม่บ้านประจำแต่ละห้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ด้วยลวดลายที่ เรียกได้ว่าเป็น “ไรต์ เจนเนอเรชันใหม่” เลยทีเดียว  งานนี้แม้ว่าจะเป็น “แฝดคนละฝา” แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่เป็น “เซอร์ไพร์ส” ของจริง…

 Content by Olivier Reneau, Photography by Philippe Levy, Translation by Arthit Wongsanga