Posts

อยากรู้ว่ากี่โมงหรอ? ดูที่เท้าได้เลย! ไปชมรองเท้าหนังทรง Mary Jane กับดีเทลสนุกๆอย่างสายคาดนาฬิกาชิ้นไฮไลต์จากคอลเล็กชั่นล่าสุด Fendi FW22

อยากรู้ว่ากี่โมงหรอ? ดูที่เท้าได้เลย 🤣 สถานการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ไม่อยากครับถ้ามีรองเท้าหนัง Mary Jane คู่ล่าสุดจาก Fendi คอลเล็กชั่น Fendi FW22 ที่เพิ่มดีเทลนาฬิกาลงบนสายคาดหน้าเท้า (มีมตลกดัดแปลงจากภาพยนตร์แฟชั่นชื่อดัง The Devil Wears Prada ปี 2006)


เลื่อนเพื่อชมดีเทลเต็มๆของชิ้นไฮไลต์จากคอลเล็กชั่นล่าสุดของแบรนด์หรูจากอิตาลีผลงานการออกแบบของ Silvia Venturini Fendi ได้เลยครับ! ส่วนเรื่องราวของคอลเล็กชั่นเต็มๆอ่านได้ที่นี่เลยครับ

เรื่องเรียบเรียง rhunrun

ว่ากันว่าการใส่รองเท้าดีดีมักพาเราไปที่ที่ดีดีเสมอ

อัพเดทเทรนด์รองเท้าสีดำที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็จะคงความคลาสสิคไว้ได้เสมอ

Derby
จุดเด่นของ Derby คือ กระดุมรูร้อยเชือกจะถูกเย็บติดไว้กับตัวลิ้นรองเท้าให้สามารถมองเห็นได้จากด้านบน แต่เดิมนั้นนิยมใส่เดินป่าและล่าสัตว์ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะช่วงหัวรองเท้าที่เป็นแบบหนังชิ้นเดียว ทำให้รองเท้า Derby มีสไตล์ที่เรียบร้อยเหมาะสำหรับการใช้งานที่เป็นทางการและสุภาพเป็นส่วนใหญ่

Brioni

Oxford
สาเหตุที่เรียกว่า Oxford ก็เพราะเหล่านักศึกษาจากมหาวิยาลัย Oxford นิยมใส่กันนั่นเอง จุดสังเกตของรองเท้าชนิดนี้คือ กระดุมรูร้อยเชือกจะถูกเย็บติดไว้ข้างใต้แผ่นหนังด้านบนของรองเท้า ซึ่งมองไม่เห็นจากด้านบน มีถิ่นกำเนิดในประเทศสก็อตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือโดยมีทั้งสไตล์ที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ

Gucci

Loafer
Loafer หรือ Penny Loafer เป็นรองเท้าแบบสวมไม่มีการผูกเชือก จุดเริ่มต้นเกิดมาจากช่วงยุค 1950s เด็กนักเรียนนิยมนำเหรียญ Penny มาเก็บไว้ในช่องที่ด้านหน้าของรองเท้า สำหรับโทรศัพท์หรือขึ้นรถบัสกลับบ้าน ต่อมา John F. Kennedy (จอห์น เอฟ. เคนเนดี้) ได้สวมรองเท้า Loafer แบบไม่สวมถุงเท้ากับชุดสูท ทำให้เกิดความนิยมแพร่หลายขึ้นมา

Jimmy_Choo

Monk Strap
บางแหล่งอาจจะเรียกว่า ‘Monk Shoes’ ซึ่งก็แปลได้ตรงตัวว่าเป็นรองเท้าที่บาทหลวงนิยมใส่กัน ลักษณะเด่นของรองเท้าชนิดนี้คือ บริเวณด้านบนเป็นแถบหนังคาดมีตัวล็อกห้วเข็มขัด 2 ชิ้น ไม่มีเชือกผูก ต่อมาจึงได้แพร่หลายและเป็นที่นิยมของคนทั่วไปมีทั้งแบบหนังที่ให้ลุคทางการและแบบหนังกลับที่ให้สไตล์แคชชวล

Salvatore_Ferragamo

Brogue
คลาสสิกเหนือกาลเวลาต้องยกให้รองเท้า Brogue ที่มีต้นกำเนิดในประเทศสก็อตแลนด์ โดยมีจุดเด่นที่ลวดลายฉลุบนตัวรองเท้าที่ในสมัยก่อนนั้นมีประโยชน์ไว้เพื่อระบายนำ้หรือแอ่งโคลนและความชื้นตามบนชทที่คุณอาจต้องเดินลุยมันไป หัวรองเท้ามีลายเย็บแบบ ‘W’ หรือลายปีกนก รอยฉลุปัจจุบันจะหลงเหลือไว้เพื่อเอกลักษณ์นั่นเอง

Tod_s

Boat Shoes
สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า ‘Deck Shoes’ ซึ่งชื่อเรียกก็มาตามที่มา เพราะรองเท้าชนิดนี้ถูกผลิตออกมาเพื่อใส่บนเรือ รูปทรงและพื้นรองเท้าจึงถูกออกแบบมาให้ยึดติดกับพื้นเรือ หนังที่ใช้จะถูกเคลือบสารกันน้ำ โดยมีจุดเด่นคือเชือกหนังที่ถูกร้อยไว้รอบตัวรองเท้าและเชื่อมกับด้านบน เหมาะกับสไตล์แคชชวลสำหรับวันหยุดพักผ่อนของคุณ

Valentino

Slippers
แต่ก่อนนั้นรองเท้า Slippers ถูกผลิตมาไว้สำหรับใส่ภายในบ้านของบรรดาเหล่าผู้ลากมากดี มักจะทำจากผ้ากำมะหยี่เป้นส่วนใหญ่ โดยด้านหน้าของรองเท้านั้นมักนิยมปักตราสัญลักษณ์ประจำตระกูล โดยในปัจจุบันได้พัฒนาและนิยมนำมาใส่กับชุดสูทหรือทักซิโด้แบบไม่สวมถุงเท้า เพื่อเพิ่มสไตล์ที่โดดเด่นและลดความเป็นทางการลง

Versace

Desert Boots
ถูกผลิตขึ้นมาครั้งแรกสำหรับทหารที่ออกไปรบในตะวันออกกลาง มีลักษณะเด่นคือเป็นรองเท้าบู๊ตหุ้มข้อที่ไม่สูงมาก พื้นรองเท้าทำจากยางพาราเพื่อสะดวกในการเดินย่ำบนทะเลทราย ปัจจุบันนิยมนำมาใส่อย่างแพร่หลายและมักจะจับคู่รองเท้าประเภทนี้กับเครื่องแต่งการแบบ Workwears

Boss

Chelsea Boots
เป็นรองเท้าอีกชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาอย่างยาวนานค้นเจอได้ในช่วงยุคสมัยวิตอเรียน โดยจุดประสงค์ที่ผลิตขึ้นมาคือมีไว้เพื่อใส่สำหรับขี่ม้า จุดสังเกตและลักษณะที่โดดเด่นอยู่ที่เป็นรองเท้าบู๊ต แบบสวมไม่มีเชือกผูก ด้านข้างมีการเย็บตัดต่อผืนหนังกับผ้าไว้สำหรับช่วยให้ยืดหยุ่นเวลาสวมใส่ทำให้กระชับกับเท้าและไม่ต้องกังวลกับเชือกผูก

Origins of Brogues

เชื่อแน่ว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักรองเท้า Brogue ที่มีความเก่าแก่โดยมีต้นกำเนิดมาจากประเทศไอร์แลนด์และสก็อตแลนด์ช่วงปลายศตวรรษที่ 16 แล้วคุณทราบบ้างหรือไม่ว่าไอ้เจ้ารูที่อยู่บนรองเท้านั้นมีไว้เพื่ออะไร แน่นอนว่าไม่ได้ไว้เพียงความสวยงามและเป็นสัญลักษณ์ที่คุ้นตาดีของรองเท้าโบรกแน่ ลองหลับตาและย้อนนึกภาพตามนะครับ สมัยก่อนโบรกถูกออกแบบมาสำหรับเพื่อใส่ทำงานกลางแจ้งตามแถบชนบทของสก็อตแลนด์และไอร์แลนด์ ทีนี้ตามถนนหนทางสมัยก่อนจะมีช่วงภูมิประเทศที่เป็นที่ลุ่ม แอ่งโคลน บ่อน้ำตื้นๆ เจ้ารูที่ปรุอยู่ตามรองเท้าจึงมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์ที่จะช่วยระบายน้ำออกจากรองเท้าเวลาที่คุณจำเป็นต้องย่ำน้ำโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และกลายเป็นที่นิยมแพร่หลายตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันแน่นอนว่าเราต้องไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องลุยน้ำแบบนั้นแล้ว (ตั้งแต่เกิดนวัตกรรมที่เรียกว่า ‘ยาง’) ดีเอ็นเอของความคลาสสิกในรองเท้าโบรกจึงหลงเหลือมาเพียงรอยรูเล็กๆ ที่ได้รับการเรียงรายออกแบบมาเพื่อสวยงามแทนที่ประโยชน์ใช้งานเหมือนดังแต่ก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าความคลาสสิกและประวัติของโบรกก็ยังคงเสน่ห์ไว้ในตัวเองเช่นเดิม

oh__1949

Tom Ford ราคา 58,500 บาท
Tod’s ราคา 23,500 บาท
Vivienne Westwood ราคา 19.900 บาท
Brioni สอบถามราคาได้ที่ร้าน
Bottega veneta ราคา 39,900 บาท
Prada ราคา 29,500 บาท

Have a shiny day, have a shiny shoes : เทคนิคการขัดรองเท้าหนัง

นอกเหนือจากเสื้อผ้าหน้าผมแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ตัดสินความเนี้ยบของคุณสุภาพบุรุษคือรองเท้าหนังมันเงาที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แน่นอนว่ารองเท้าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการแต่งกาย หากทุกอย่างดีหมด แต่รองเท้าหนังคู่เก่งของคุณสกปรก หมองหม่นและเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ลุคโดยรวมของคุณต้องออกมาไม่น่าดูเป็นแน่

วันนี้ ลอปติมัมจึงขอนำเสนอวิธีการขัดรองเท้าหนัง เพื่อรองเท้าหนังของคุณจะได้เงางามและใหม่อยู่ตลอดเวลา

ดังคำกล่าวที่ว่า “Good shoes bring you to good places.” การดูแลรองเท้าคู่เก่งของคุณเป็นเรื่องพิถีพิถันและละเอียดอ่อน เริ่มจากการเลือกอุปกรณ์ อันได้แก่ แปรงขนม้าเพื่อป้องกันรองเท้าเป็นรอย เศษผ้าเก่าใช้เช็ดทำความสะอาดและลงน้ำยาขัดเงา และแปรงขัดรองเท้า

hb130s1

ขั้นแรก ทำความสะอาดรองเท้าด้วยแปรงขนม้า

ขั้นที่สอง ใช้เศษผ้าเก่าป้ายน้ำเล็กน้อยพร้อมกับน้ำยาขัดเงา และลงน้ำยาบนรองเท้า

leather-care-cadillac-shine-cloth-1

ขั้นที่สาม ใช้แปรงขัดรองเท้าขัดตัวรองเท้ารอบๆ

shoe-polishing-brush-set

ขั้นสุดท้าย พ่นลมหายใจอุ่นๆ ใส่บริเวณที่ต้องการให้เงาเป็นพิเศษอย่างถนุถนอม และเช็ดออกด้วยเศษผ้า

c0a33d98-d450-4155-9998-7382568a635f

เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ นี้ รองเท้าหนังของคุณจะเงางามพร้อมสำหรับวันพิเศษ พิธีการต่างๆ งานประชุมเล็กๆ ในบริษัท ตลอดจนการออกเดตกับสาวคนใหม่พร้อมกับรองเท้าเก่าคู่เดิม

Have a nice shoes day!

TEXT : Suwicha Sangkayoolakul

ลอปติมัมรวบรวมรองเท้าสุดคลาสสิกจาก Tod’s มาให้คุณได้ชมกัน

casual Steps

ถึงนาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักรองเท้าสุดคลาสสิกอย่าง Gommino จากแบรนด์เครื่องหนังสัญชาติอิตาลี Tod’s เช่นนั้นแล้วเราจะขอรวมญาติในรองเท้าตระกูลนี้มาให้ชมกันเผื่อใครยังไม่ได้เป็นเจ้าของ

1200

Mocassino Gommini ราคา 19,800 บาท

New Laccetto Occhielli New Gommini 122 ราคา 19,800 บาท

Laccetto My Colors New Gommini 122 ราคา 21,500 บาท

Morsetto Legno Gommini Nuovo ราคา 22,500 บาท

Mocassino Gommini ราคา 19,800 บาท

New Laccetto Occhielli New Gommini 122 ราคา 19,800 บาท

Morsetto Legno Gommini Nuovo ราคา 22,500 บาท

Morsetto Legno Gommini Nuovo ราคา 22,500 บาท

Content by Chanond Mingmit, Photography by F/Number 9

การเดินทางเพื่อค้นหาช่างฝีมือทำรองเท้าสุภาพบุรุษ Christian Louboutin ตอกย้ำความเชื่อของเราที่ว่า ‘เมดอินอิตาลี’ คือที่สุดของคุณภาพ

Four Days of Naples

บันทึกการเดินทางช่วงเวลาสี่วัน จากกรุงเทพสู่เนเปิลส์ เพื่อค้นหาช่างฝีมือทำรองเท้าสุภาพบุรุษ Christian Louboutin หลังจากที่ได้เยี่ยมชมขั้นตอนการผลิตสุดคราฟท์ของแบรนด์ทำให้ตอกย้ำความเชื่อของเราที่ว่า ‘เมดอินอิตาลี’ คือที่สุดของคุณภาพ

Processed with VSCOcam with hb2 preset

ถ้าถามผู้ชายอกสามศอกว่า Christian Louboutin (คริสติยอง ลูบูแตง) คืออะไร หลายคนอาจขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ถ้าคุณถามแฟนสาว หรือเพื่อนผู้หญิงที่ทำงานของคุณแล้วละก็ พวกเธอต้องร้องกรี๊ดเลยทีเดียว เพราะ คริสติยอง ลูบูแตง คือแบรนด์
รองเท้าหรูจากฝรั่งเศสที่ผู้หญิงทั่วโลกๆ คลั่งไคล้กันสุดขีด ชื่อเสียงจากรองเท้าผู้หญิงของแบรนด์นั้นเป็นที่ทราบกันดี 
แต่หลายคนไม่ทราบว่า คริสติยอง ลูบูแตง ก็ทำรองเท้าผู้ชายด้วยเช่นกัน เริ่มต้นในปี 2011 หลังจากที่ทำแต่รองเท้าผู้หญิงมา 20 ปีเต็ม หลังจากที่เปิดตัวไลน์รองเท้าผู้ชาย ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดี จากบรรดาสุภาพบุรุษทั่วโลกตั้งแต่นักธุรกิจในลอนดอน นายธนาคารในวอลล์สตรีท แน่นอนว่ารวมถึงผู้ชายที่รักแฟชั่นเป็นชีวิตจิตใจ 
และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ คริสติยอง ลูบูแตง ได้เชิญให้ลอปติมัม 
ไทยแลนด์ บินลัดฟ้าไปยังประเทศอิตาลี เพื่อเยี่ยมชมการผลิตรองเท้าสุภาพบุรุษของ Christian Louboutin ในทุกขั้นตอน ทำไมแบรนด์รองเท้าแฟชั่นฝรั่งเศสอย่าง คริสติยอง ลูบูแตง ถึงพาเรามาที่เนเปิลส์ (Naples) หรือ นาโปลี (ในภาษาอิตาเลียน) เมืองท่าฝั่งตะวันตกของอิตาลี? คำตอบที่ได้ก็คือที่นี่เป็นแหล่งผลิตเครื่องหนังชั้นดี มีช่างผลิตงานที่สืบย้อนประวัติศาสตร์ไปได้ถึง
ยุคสัมฤทธิ์

Procida

การเดินทางจากกรุงเทพฯ มาถึงนาโปลีกินระยะเวลาพอสมควร แต่ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายอย่างราบรื่น แม้ว่าระหว่างทาง
จะมีการประท้วงปิดถนนเพื่อต่อรองการขึ้นค่าแรงของคนขับรถ 
แต่ดูเหมือนจะเป็นวิถีชีวิตปกติสำหรับคนอิตาลีนาโปลีเป็นเมืองท่าเศรษฐกิจสำคัญของอิตาลี ใหญ่เป็นอันดับสามรองจากกรุงโรมและมิลาน นอกจากนี้ยังเป็นเมืองท่องเที่ยว
เต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์สำคัญ หลายคนรู้จักนาโปลีจากตำนานเมืองปอมเปอี ที่ถูกลาวาจากภูเขาไฟทำลายไปเมื่อสองพัน
ปีก่อน และพิซซ่าต้นตำรับที่ว่ากันว่าอร่อยที่สุดในโลก แน่นอนสิ่งแรกที่เราทำหลังจากเช็คอินคือตรงดิ่งไปยัง
ร้านพิซซ่าที่ถูกปักหมุดว่าเป็นต้นตำรับ ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย ระหว่างทางมีโอกาสได้เดินเตร็ดเตร่ชมเมือง สังเกตเห็นร้านเครื่องหนังและรองเท้าแบรนด์ท้องถิ่นหลายแห่ง ทำให้หวนนึกถึงวรรณกรรมคลาสสิกของ Elena Ferrante นักเขียนชื่อก้องจากเมืองนาโปลี เจ้าของวรรณกรรม My Brilliant Friend ที่ตัวละครเอกของเรื่อง
มาจากครอบครัวช่างทำรองเท้าแบรนด์ Christian Louboutin ลักชัวรีแบรนด์ระดับโลก
เพียงไม่กี่แบรนด์ที่ยังคงของดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งจริงๆ อย่างไรก็ดีนักออกแบบชาวฝรั่งเศสผู้นี้ เคยยอมรับว่าเขาเคยมีความคิดที่จะขายลิขสิทธิ์ (licencing) ชื่อ Christian Louboutin ให้กับนายทุนเพื่อเอาไปแปะสินค้าต่างๆ ตั้งแต่แว่นตาไปจนถึงเสื้อผ้า โชคดีเขากลับใจ
เสียก่อน ลูบูแตงยังคงยึดมั่นกับการออกแบบและผลิตรองเท้าระดับ
ไฮเอนด์ ‘ผมไม่มีวันทำไลน์สินค้าราคาถูกเด็ดขาด’ ดีไซเนอร์
เคยกล่าวไว้กับนักข่าวเพราะความชื่นชอบในการทำรองเท้า เขาเริ่มฝึกงาน ก่อตั้งแบรนด์ในปี 1991 ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็กลายเป็นนักออกแบบรองเท้าชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก รายชื่อลูกค้า
ที่หลงใหลรองเท้าส้นเข็มสูงพื้นสีแดงสดมีตั้งแต่ เจ้าหญิงแคโรไลน์
แห่งโมนาโก, คาทรีน เดอเนิฟ, มาดอนน่า, ทีน่า เทอร์เนอร์ ฯลฯ 
ความโดดเด่นของ คริสติยอง ลูบูแตง คือความโฉบเฉี่ยวของดีไซน์ เส้นสายของรองเท้าที่มีความเย้ายวน ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกว่าเซ็กซี่สุดๆ นอกจากนี้ยังผลิตด้วยวัสดุคุณภาพสูงโดยช่างฝีมือที่ชำนาญ และ
องค์ประกอบที่สำคัญคือพื้นรองเท้าแล็กเกอร์สีแดงสดที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

Applying Patine on Alligator

การทำรองเท้าผู้ชายนั้นมีขั้นตอนที่แตกต่างจากรองเท้าผู้หญิงในหลายรายละเอียดและคริสติยอง ลูบูแตง เป็นคนที่ไม่ประนีประนอมเรื่องคุณภาพ เขาจึงเสาะหาผู้ผลิตรองเท้าผู้ชายที่มีคุณภาพอยู่นาน จนกระทั่งเจอโรงงานผลิตรองเท้าหนังเล็กๆ ในเมืองนาโปลี ซึ่งบริหารงานโดยครอบครัวช่างทำรองเท้ามานานกว่า 3 เจเนอเรชั่น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาช่างทำรองเท้าคุณภาพในระดับท็อปในยุคนี้ แม้ว่าอิตาลีจะขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือ แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานมีฝีมือเหมือนเช่นเดียวกับ
หลายประเทศทั่วโลก หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ไม่สนใจที่จะสานต่องานฝีมือ แต่โรงงานแห่งนี้ยังสามารถรักษาช่างระดับครูไว้ได้ เราพบช่างฝีมือ
พ่อลูกคู่หนึ่งในโรงงาน การได้เห็นการส่งผ่านทักษะการทำรองเท้าหนังชั้นสูงถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นนั้นเป็นภาพที่น่าประทับใจ

Patine on Education Navy

วันที่เราไปเยี่ยมชมโรงงาน เป็นช่วงเวลากลางฤดูร้อน อากาศจึงอบอ้าวเป็นพิเศษ แม้ว่าเราจะเห็นเครื่องจักรหลายตัววางอยู่
ทั่วโรงงาน เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า โรงงานแห่งนี้ ผลิตรองเท้าแบบแฮนด์เมดจริงๆ เพราะช่างฝีมือที่ทำงานร่วมกับเครื่องจักร
เหล่านั้นต้องใช้ทักษะของมนุษย์ที่มีความแม่นยำสูง ตัวอย่างเช่น
ขั้นตอนการเจียรขอบรองเท้า หากผิดพลาดแค่นิดเดียวก็อาจต้องทิ้งรองเท้าข้างนั้นไปเลย หรือขั้นตอนการตัดหนัง ที่ถือว่าเป็นหนึ่งใน
ขั้นตอนที่ต้องใช้ความชำนาญมากที่สุด เริ่มจากตรวจสอบริ้วรอยของหนังที่ได้มาว่าสม่ำเสมอกันหรือไม่ ก่อนจะวางแพทเทิร์นรองเท้า
ลงไป ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะหากเป็นหนังจระเข้ที่มีราคาแพงแล้ว การตัดสินใจพลาดนิดเดียวหมายถึงต้องเสียเงินหลายร้อยยูโร ช่างตัดต้องเลือกวางแพทเทิร์นลงบนหนังที่มีลวดลายใกล้เคียงกันมากที่สุด เพราะลายบนผิวหนังของจระเข้
แต่ละตัวนั้นแตกต่างกัน ไม่ต่างจากลายมือของคน หลังจากที่ตัดหนังตามแพทเทิร์นที่วางไปแล้ว ก็สู่กระบวนการการประกอบร่างขึ้นรูปให้เป็นรองเท้า ซึ่งแยกย่อยหลายขั้นตอน 
และใช้ช่างฝีมือหลายคนที่ชำนาญเฉพาะขั้นตอนนั้นจริงๆ การใส่ไม้ก๊อกลงไปในส้นรองเท้าเพื่อซับแรงกระแทก 
เป็นเทคนิคการผลิตรองเท้าคุณภาพสูงแบบโบราณที่แทบหาไม่ได้
ที่ไหนอีกแล้วถึงจะเป็นรองเท้าของผู้ชาย แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือพื้นรองเท้า
สีแดงเป็นซิกเนอเจอร์ของแบรนด์ พื้นรองเท้าแล็กเกอร์สีแดงสดของ 
คริสติยอง ลูบูแตง ผลิตแยกต่างหากจากที่อื่น ด้วยกระบวนการ
อันซับซ้อนและเป็นความลับ พื้นผิวแล็กเกอร์มันวาวถูกปกป้องด้วย
แผ่นฟิล์มอย่างทะนุถนอม จะถูกลอกออกในขั้นตอนสุดท้าย 
คือตอนแพคใส่กล่อง

11 photo by Paolo Ferrarini for COOL HUNTING

ความแตกต่างอีกอย่างของขั้นตอนการทำรองเท้าที่โรงงาน
แห่งนี้คือจะทำสีเป็นขั้นตอนท้ายสุด หลังจากที่ตัดเย็บเสร็จสิ้นแล้ว 
ในขณะที่โรงงานผลิตรองเท้าทั่วไปมักจะนำหนังที่ฟอกย้อมสีเสร็จสมบูรณ์มาตัดเย็บ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน นั่นคือรองเท้าแต่ละคู่จะมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง สิ่งที่ทำให้เราแปลกใจคือช่างทำสีแต่ละคนจะมีแชมเปญขวดใหญ่วางอยู่ พวกเขาคงไม่ได้จิบแชมเปญสร้าง
ความรื่นรมย์ คำตอบที่ได้คือการขัดผิวรองเท้าต้องใช้น้ำยาพิเศษ
ที่ใช้ร่วมกับแชมเปญ…ใช่ แชมเปญจากฝรั่งเศสเท่านั้น Prosecco จากอิตาลีก็ไม่ได้ เพราะจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน หลังจากที่ลงสีเรียบร้อยแล้ว ช่างจะใช้ถุงน่องขัดให้หนังขึ้นเงามันวาว คุณอ่านไม่ผิดหรอกว่า ‘ถุงน่อง’ ช่างทำรองเท้าที่ทำงานที่นี่มากว่า 30 ปี บอกกับเราว่าถุงน่องของผู้หญิงมีเนื้อผ้าละเอียดเหมาะกับการขัดรองเท้าหนังเป็นที่สุด!

Lasts

เราได้พูดคุยกับเจ้าของโรงงานผู้ดูแลกิจการเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 เธอบอกว่าความท้าทายของการทำรองเท้าให้กับ คริสติยอง ลูบูแตง คือดีไซเนอร์จากฝรั่งเศสผู้นี้ต้องการทดลองทำสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ใช้วัสดุใหม่ๆ ผสมผ้าและหนังเข้าไว้ด้วยกัน จึงต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตรองเท้าให้สอดคล้องกับจินตนาการของลูบูแตง โดยที่ยังคงต้องรักษาคุณภาพไว้ให้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ความสามารถของช่างฝีมือเกิดจากประสบการณ์และจิตวิญญาณที่ถ่ายทอดมายังรุ่นสู่รุ่น ความสัมพันธ์ของตาและมือที่แม่นยำ 
ความสามารถในการปรับตัวต่อความผิดพลาด (adaptability) ของมนุษย์นั้นเหนือกว่าคอมพิวเตอร์หลายขุม เราเชื่อว่าต่อให้เครื่องจักรกลที่ฉลาดที่สุดก็ไม่สามารถเลียนแบบทักษะของช่างอิตาเลียนเหล่านี้ได้

Content by Editorial Team, Photography by Paolo Ferrarini