Posts

Seiko Prospex Hanuman Thailand เรือนเวลาสุดลิมิเต็ดที่ถ่ายทอดวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ในเรื่องรามเกียรติ์

รับศักราชใหม่ด้วยตัวละครเอกแห่งวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ในเรื่องรามเกียรติ์สู่เรือนเวลาที่รังสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง เฉพาะประเทศไทย “หนุมาน”

Seiko Prospex Hanuman Thailand Limited Edition

หนุมาน เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์วรรณคดีไทยที่ดัดแปลงมาจากมหากาพย์รามายณะ วรรณกรรมที่มีอายุมากกว่า 2,400 ปีจากอินเดีย โดยหนุมานในอินเดียนั้นถูกยกย่องในฐานะเทพเจ้าองค์หนึ่งเสมือนซึ่งอวตารของมหาเทพสดาศิวะ แต่ในประเทศไทยลักษณะของหนุมานนั้นคือ นักรบผู้เก่งกาจมีฤทธิ์มาก เป็นทหารเอกผู้ซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อพระรามมีลักษณะเป็นพญาวานรเผือก มีกายสีขาว เมื่อตอนสำแดงฤทธิ์จะมี 4 หน้า 8 กร

จากคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นของหนุมานนั้นจึงบังเกิดเป็นคอลเลกชันนาฬิกา Thailand Edition สุดเอ็กซ์คลูซีฟต้อนรับปี 2566 ภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า
Seiko Prospex Hanuman Thailand Limited Edition (MM300) รหัส SLA068J นาฬิกาโปรไดเวอร์ที่โดดเด่นด้วยพื้นหน้าปัดสีงาช้างขาวนวลพร้อมลวดลายไทยประยุกต์รูปคลื่นลมที่วนอยู่จนเต็มหน้าปัด สื่อถึงหนุมานผู้ซึ่งเป็นบุตรของพระพายเทพแห่งสายลม สีแดงที่ขอบหน้าปัดถูกดึงมาจาก “เส้นฮ่อ” ลายเส้นสีแดงที่วาดบนเศียรโขนเป็นเส้นที่แสดงถึงทิศทางการขยับของอวัยวะบนบนใบหน้า ริ้วรอยของผิวหนัง ชั้นตาเส้นขนบางๆ และรวมถึงสัญลักษณ์พิเศษบางอย่างของตัวละครนั้นๆ ขอบตัวเรือนเซรามิคสีเขียวมาจากเส้นไพร เส้นสีเขียว เส้นสำคัญอันดับที่ 1บนหน้าโขน เพราะเป็นเส้นที่แสดงถึงเค้าโครงหลักๆ ของโครงหน้าหัวโขน เพื่อสะดวกในการวาดองค์ประกอบอื่น

Hanuman Thailand Limited Edition อยู่ในซีรีย์ท๊อปของพรอสเปกซ์ไฮเอนอย่าง Marine​ Master 300 หรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า MM300 ที่มีจุดเริ่มต้นในปี 1968 เมื่อ Seiko
ได้เปิดตัวนาฬิกาดำน้ำที่สามารถใช้ในแบบ SAT หรือ Saturation ได้จนเกิดเป็นที่มาของรุ่น 6215-7000 ในปี 1967 และได้พัฒนากลายมาเป็นรุ่น 6159-7001 ที่มากับตัวเรือน Mono case ที่สามารถกันน้ำได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 300 เมตร

โดยถือเป็นต้นกำเนิดของ MM300 ในอีก 32 ปีต่อมาผนวกรายละเอียดที่มีความประณีตด้วยการขัดแต่งเข็มชั่วโมง, นาที
และเพิ่มสีทองตรงเข็มวินาทีเพื่อขับแสงให้เข็มวินาทีงดงามเด่นชัดขึ้นขับเคลื่อนด้วยกลไก cal.8L35 ความถี่ 4Hz (28,800 vph) สามารถสำรองพลังงาน 50 ชั่วโมง ตัวเรือน mono case แบบดั้งเดิม ที่สามารถดำน้ำลึก 300 เมตรตามมาตรฐานของนาฬิกาดำน้ำระดับโปรฯ

Seiko Prospex Hanuman Thailand Limited Edition รหัส SLA068J สนนราคาที่ 135,000 บาท จำหน่ายในแบบจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือน
วางจำหน่ายที่บูติกของ Seiko เซ็นทรัลพระราม9, เคาท์เตอร์ไซโก ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และร้านตัวแทนจำหน่ายของ Seiko ทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์ ที่ไซโกบูติกออนไลน์, www.seikoboutiquethailand.comเปิดจองพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 นี้

rhunrun เรียบเรียง

เปิดตัว “อเล็กซ์ เรนเดลล์” ไซโก แบรนด์เฟรนคนที่ 3 ของปี 2022​

ไซโก (ประเทศไทย) จัดงานเปิดตัว“อเล็กซ์ เรนเดลล์” Brand Friend คนที่ 3 ของปี 2022 นักแสดงหนุ่มหล่อมากความสามารถเจ้าของบทบาทมากมายบนจอโทรทัศน์ที่มีความสนใจและได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังมาตลอดหลายปี พร้อมแคมเปญใหม่ “Sustainable for Life” เพื่อร่วมรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์และฟื้นฟูด้านสิ่งแวดล้อม ทั้ง 2 โปรเจกต์ คือ Seiko Save the Ocean และ Seiko Save the Forest

โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากสื่อมวลชน และตัวแทนจากมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ ณ โรงแรม แบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ ท่ามกลางบรรยากาศสวนสีเขียวขจีใจกลางกรุง เมื่อวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 อาคิระ​ ซากาอิริ กรรมการผู้จัดการ ไซโกประเทศไทย กล่าวต้อนรับผู้มีเกียรติภายในงาน กับแคมเปญใหม่ของ ไซโก ประเทศไทย Sustainable for Life โครงการที่ตอบรับนโยบาย SDGs หรือ “Sustainable Development Goal” หรือ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยแรกเริ่มนั้น SEIKO มุ่มมั่นที่จะสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นเพื่อการใช้งานได้อย่างยาวนานและเป็นปรัชญาพื้นฐานของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่เองคือรากฐานของจิตวิญญาณในแบบของเราในการเริ่มต้นที่จะพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน และตอนนี้ SDGs ก็ได้มาเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทไซโกใน mid-term plan ด้วย ไซโก (ประเทศไทย) มีโครงการที่โดดเด่น อย่าง Seiko Save the Ocean Project ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว โดยเป็นโครงการที่ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูท้องทะเลไทย โดยในปีนี้ก็มีอีก 1 โครงการใหม่เกิดขึ้น โดยโครงการนี้เชื่อมโยงกับการดูแล ฟื้นฟู สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับป่าไม้คือ “Save the Forest Project” โดยมุ่งหวังที่จะสนับสนุนหน่วยงาน องค์กร หรือชุมชน และเมื่อรวมทั้งสองโปรเจกต์เข้าด้วยกันจึงเกิดเป็น Seiko “Sustainable for Life” โดยมีคุณอเล็กซ์ เรลเดลล์ มาร่วมเป็นแบรนด์เฟรนด์ในครั้งนี้ด้วย

พัทธ์สิตา สิทธิพรวัฒนากุล ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ขึ้นร่วมพูดคุยถึงแนวคิดเรื่องแคมเปญ Sustainable for Life “ปกติ ไซโก จะมีแคมเปญใหญ่ๆเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการดำน้ำทั้งหมด แต่ปีนี้มีความพิเศษที่ เราอยากให้แฟนๆไซโกหรือนักสะสมทั้งหลาย ได้รู้จักกับคอลเลคชั่นอัลเพนิสมากขึ้น ซึ่งคอนเซปต์ของนาฬิกาเกี่ยวกับภาคพื้นดิน ก็เลยนึกถึงในเรื่องทรัพยากรป่าไม้ โดยทำให้มันเป็นประโยชน์เพื่อสอดคล้องกับ โปรเจกต์ SDGs ผนวกกับช่วงปลายปีทางไซโกประเทศไทย มีโปรเจกต์ Save the Ocean อยู่แล้วก็เลยรวบมาให้อยู่ภายใต้ Seiko Sustainable for Life”


วรรฑณี วาทนากรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ เล่าถึงนาฬิการุ่นพิเศษว่า “จากโจทย์เริ่มต้น คือต้องการดีไซน์นาฬิการุ่นพิเศษให้กับนาฬิกาในกลุ่มของคอลเลคชั่นอัลเพนีส พร้อมคอนเซ็ปต์ไอเดียว่าเราจะทำเกี่ยวกับป่าไม้ และจากไอเดียดังกล่าวจึงหาข้อมูลหาองค์กรที่ทำประโยชน์ให้กับป่าไม้เป็นหลัก ทางไซโก เลยประสานงานกับมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร และได้ดำเนินงานร่วมกันจนสำเร็จออกมาเป็น Seiko Prospex Alpinist Seub Nakhasatien Thailand Limited Edition เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิการุ่นพิเศษนี้ ไปมอบให้กับมูลนิธิเพื่อสนับสนุนและจัดซื้ออุปกรณ์ให้กับเจ้าหน้าที่ต่อไป”


อเล็กซ์ เรนเดลล์ Brand Friend ไซโก (ประเทศไทย) คนล่าสุด ได้กล่าวถึงความรู้สึก “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและ ดีใจมากๆ เพราะตัวผมเองเป็นแฟนไซโก ชอบไซโกอยู่แล้ว เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกันกับทางไซโกมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เป็นการร่วมงานแบบเป็นแบรนด์เฟรนด์ แล้วเป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ผมถนัดด้วย ผมยิ่งยินดีมากๆ ผมอยากปลูกฝังให้คนรุ่นหลัง หรือเจนเนอร์เรชั่นต่อไปได้เรียนรู้ ดูแลรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติเพื่ออนาคต”

โปรเจกต์ของบริษัท ไซโก (ประเทศไทย) ทั้ง Save the Ocean และ Save the Forest จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดการสนับสนุนจากลูกค้า แฟนๆและนักสะสมทั้งชาวไทยและนักสะสมทั่วโลก และหวังว่าโครงการเล็กๆทั้งสองโครงการนี้ จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเล็กๆที่เป็นประโยชน์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคต
Keep Going Forward ไม่สิ้นสุด ถ้าไม่หยุดไปต่อ
Website : https://www.seikoboutiquethailand.com/
FB : Seiko Club by Seiko Thailand
IG : Seiko_Thailand
LINE OA : @Seiko_Thailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-255-1245 ต่อ 888

Seiko เปิดตัวแบรนด์เฟรนด์คนที่ 2

Seiko เปิดตัวแบรนด์เฟรนด์คนที่ 2 เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ขีดสุดแห่งศักยภาพ ของเจ้าบุญจัง อุ้ม “ธีราทร บุญมาทัน” นักเตะทีมชาติไทยที่ชาวญี่ปุ่นให้ฉายาว่า บุญจัง นักฟุตบอลอาชีพชาวไทย ที่ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งแบ๊คซ้ายและเป็นกับตันทีมชาติไทย ด้วยผลงานท๊อปฟอร์มในลีกต่างๆ ยังทำให้อุ้มยังได้รับอีกฉายาหนึ่งว่า “เท้าซ้ายปีศาจ”

ในวัยเด็กอุ้มมีโอกาสได้เล่นฟุตบอลเยาวชนร่วมกับ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ และสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลระดับนักเรียนด้วยกันหลายรายการ โดยเส้นทางสายลูกหนังของอุ้มหลังจากจบมัธยมปลายแล้ว ก็ได้เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสร ราชประชา ในปี 2551 ก่อนที่ต่อมา เขาจะมีโอกาสย้ายไปสร้างชื่อในสโมสรชั้นนำในประเทศไทยอีกมากมาย ตลอดเส้นทางการค้าแข้งในวงการลูกหนัง อุ้มได้สร้างชื่อให้กับตัวเองและต้นสังกัดอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2554 เขาสามารถพาทีม คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ หรือแชมป์ 3 รายการภายในปีเดียว ซึ่งนับเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลไทยที่ทำได้ และในปี 2556 อุ้มยังได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของไทยลีกประจำฤดูกาลอีกด้วย


จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในเส้นทางอาชีพของ อุ้ม-ธีราทร เกิดขึ้นในปี 2561 เมื่อเขาถูกยืมตัวไปเล่นในเจลีก ของประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลาหนึ่งฤดูกาลกับสโมสร วิสเซล โกเบ ซึ่งทำให้มีโอกาสได้เล่นกับนักฟุตบอลระดับโลกอย่าง อันเดรส อิเนียสต้า และ ลูคัส โพดอลสกี้ ที่เคยผ่านการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว อุ้ม ต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อการแย่งตำแหน่งภายในทีม ก่อนที่สุดท้ายเขาจะได้รับโอกาสลงเล่นในลีกไป 28 เกม และสามารถทำได้ 2 แอสซิสต์
จากนั้นในปีถัดมาความท้าทายครั้งใหม่ก็ได้เข้ามาทดสอบ อุ้ม อีกครั้ง กับต้นสังกัดใหม่อย่าง โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ยอดทีมจากแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี ก่อนที่การตัดสินใจครั้งนี้จะกลายเป็นสิ่งที่เค้าต้องจดจำไปตลอดกาล เมื่อเขาได้สร้างประวัติศาสตร์ กลายเป็นนักเตะไทยคนแรก ที่คว้าแชมป์เจลีก หรือลีกสูงสุดของญี่ปุ่น ได้สำเร็จ
และช่วงเวลาที่น่าจดจำของอุ้ม เกิดขึ้นในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล เป็นเกมตัดสินแชมป์ของคู่แข่งที่แย่งแชมป์กันโดยตรง ระหว่างโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ทีมต้นสังกัด กับ เอฟซี โตเกียว ในนาที 26 เมื่อเขาสามารถยิงประตูขึ้นนำแบบสุดสวย ก่อนที่สุดท้ายทีมของเขาจะเอาชนะ ไปได้ 3-0 ทำให้คว้าแชมป์เจลีก 2019 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ สร้างความประทับใจให้กับชาวเมืองโยโกฮาม่า และแฟนบอลชาวไทยทั้งประเทศ
จากผลงานอันสุดยอดของอุ้มตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นี่คือบทพิสูจน์ที่สามารถชี้ชัดได้แล้วว่า นักเตะแข้งทองคนนี้คือ แบ็กซ้ายระดับแถวหน้าของเอเชีย และจะยังคงไม่หยุดตามล่าหาความสำเร็จเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน


นับเป็นการโคจรมาพบกันครั้งแรกของ 2 เรื่องราวความสำเร็จระหว่าง นาฬิกา Seiko Prospex SPEEDTIMER ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีการพัฒนาต่อยอดมาจากนาฬิกาจับเวลาที่ใช้สำหรับการแข่งขันในกีฬาระดับโลก และ อุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน กับผลงานอันน่าชื่นชม รวมถึงความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหยุดพัฒนา ไซโก (ประเทศไทย) จึงเลือกให้ธี​ราทร มาร่วมเป็น Brand Friend คนที่สองในปี 2022นี้ กับแคมเปญ KEEP GOING FORWARD ต่อจาก อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม Brand Friend คนแรก โดย อุ้ม-ธีราทร ได้จับคู่กับอีกหนึ่งคอลเลคชั่นหลักของ Seiko Prospex กับ SPEEDTIMER เรือนเวลาที่โดดเด่นด้วยระบบจับเวลาแบบโครโนกราฟ สะท้อนแรงบันดาลใจของ “นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่” โดยอยู่เคียงข้างกับนักกีฬามาอย่างยาวนาน โดยนาฬิกา Seiko Prospex SPEEDTIMER ได้ถูกนำกลับมาเปิดตัวรุ่นใหม่อีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว ทั้งแบบกลไกอัตโนมัติ SPEEDTIMER Mechanical Chronograph และแบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสง SPEEDTIMER Solar Chronograph

Prospex Speedtimer Solar Chronograph
(พรอสเป็กซ์ สปีดไทเมอร์ โซลาร์ โครโนกราฟ)
การผสานที่ลงตัวของรูปลักษณ์นาฬิกาข้อมือแบบจับเวลาเรือนแรกของโลก กับกลไกโซล่าอันล้ำสมัย
นาฬิกาจับเวลาพลังงานแสงรุ่นใหม่ 3 เรือน มาพร้อมกับตัวเรือนที่ถูกออกแบบโดยอ้างอิงนาฬิการุ่นสำคัญในอดีต
นาฬิการุ่น SPEEDTIMER ของ Seiko ได้เปิดตัวในปี 1969 และถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของวงการนาฬิกาจับเวลา เพราะนี่คือนาฬิกาข้อมือแบบจับเวลาเรือนแรกของโลกที่มาพร้อมกับกลไกรหัส 6139 ซึ่งมีความเที่ยงตรงสูงพร้อมความล้ำสมัยของกลไกที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของนาฬิกาข้อมือกลไกอัตโนมัติ
เผยโฉมคอลเลคชั่น SPEEDTIMER Chronograph รุ่นใหม่ในปีนี้พร้อมกัน 3 ลุค โดยทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดใหม่ด้วยการผสมผสานจิตวิญญาณของนาฬิกาจับเวลาเรือนแรกที่มีความสำคัญของแบรนด์มาออกแบบใหม่และจับคู่เข้ากับกลไกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี SOLAR ของ Seiko ที่ตอบสนองได้ทั้งความเที่ยงตรง ความเชื่อใจในการทำงาน และความยั่งยืนในการใช้งาน
หน้าปัดขัดแต่งในแบบ Sunray พร้อมกับสีสันที่โดดเด่น ช่วยทำให้การอ่านค่าเวลาชัดเจน และดีไซน์ที่ทันสมัย

สิ่งที่อยู่บนตัวเรือนของนาฬิกา SPEEDTIMER Chronograph ทุกรุ่น คือรายละเอียดของการออกแบบที่สะท้อนถึงความเที่ยงตรงในระดับสูงสุดของการจับเวลาที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ตรงนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากสำหรับนาฬิกาจับเวลา เข็มวินาทีของระบบจับเวลาถูกออกแบบให้ยาวขึ้น เพื่อความสะดวกและการอ่านค่าที่แม่นยำและรวดเร็วเมื่อต้องทำงานร่วมกับสเกลจับเวลาทาคีมิเตอร์ (Tachymeter) ที่มีหลักบอกค่าอยู่ตรงขอบนอกของหน้าปัด เข็มจับเวลานาทีวางในตำแหน่ง 6 นาฬิกา โดยเข็มทั้ง 2 ชุดฉาบด้วยสีแดงเพื่อความโดเด่น และลุคสปอร์ตที่โฉบเฉี่ยว อีกทั้งเพื่อความสะดวกในการอ่านค่าเวลาได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงทีแม้เพียงแค่เหลือบตามองไปที่หน้าปัด ช่องหน้าต่างบอกวันที่จะถูกวางไว้ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา
ทั้ง 3 รุ่นขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ V192 พร้อมกลไก SOLAR ของ Seiko ซึ่งมีฟังก์ชั่นในการจับเวลาสูงสุด 60 นาที ระบุเวลาแบบ 24 ชั่วโมง สำรองพลังงานได้นานถึง 6 เดือน หลังจากการชาร์จเต็ม สามารถตรวจสอบระดับพลังงานสำรองได้ที่หน้าปัดย่อยตำแหน่ง 6 นาฬิกาทั้งเข็มชั่วโมงและนาที รวมถึงหลักชั่วโมงทั้ง 12 ตำแหน่งได้รับการเคลือบสารเรืองแสงลูมิไบร์ท (Lumibrite) ทำให้สามารถมองเห็นและอ่านค่าเวลาได้ แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีแสงน้อย

สัมผัสความสปอร์ตที่ผสานความคลาสสิคที่ลงตัวผ่านการขัดแต่งบนตัวเรือนและสายด้วยลายริ้วแฮร์ไลน์ที่ แมตช์คู่กับกระจกแซฟไฟร์ทรงโค้งฟีลนาฬิกาคลาสสิคพร้อมเคลือบสารกันการสะท้อนแสงที่ด้านใน หน้าปัดมีการขัดแต่งในแบบซันเรย์ (Sunray) จึงมั่นใจได้ว่าจะทำให้การมองเห็นและอ่านค่าต่างๆ บนหน้าปัดมีความชัดเจน

Seiko Prospex SPEEDTIMER Solar Chronographs รหัส SSC911, SSC913 และ SSC915 จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 1 พฤจิกายน 2022 ที่บูติกของ Seiko เซ็นทรัลพระราม9 ไซโกบูติกออนไลน์ เคาท์เตอร์ไซโก ณ ห้างสรรพสินค้าชั้น และร้านตัวแทนจำหน่ายของ Seiko ทั่วประเทศ ราคาจำหน่าย 30,000 บาท
สามารถดูรายละเอียดสินค้าได้ที่
https://www.seikowatches.com/global-en/products/prospex/special/speedtimer/index

Seiko Prospex Speedtimer Solar Chronographs: SSC911, SSC913, SSC915
กลไก : V192 แบบ Solar Chronograph มาพร้อมเข็มแสดงเวลาในแบบ 24 ชั่วโมง และมาตรวัดแสดงระดับกำลังสำรอง
เปลี่ยนแสงให้เป็นกระแสไฟฟ้าเพื่อเก็บในแบตเตอรี่
ข้อมูลทางเทคนิค
ตัวเรือนและสายผลิตจากสแตนเลสสตีล
กระจกแซฟไฟร์แบบโค้งพร้อมเคลือบสารกันการสะท้อนแสงที่ด้านใน
การกันน้ำ : 10 บาร์
ความต้านทานสนามแม่เหล็ก : 4,800 A/m
มิติตัวเรือน เส้นผ่านศูนย์กลาง : 41.4 มม. ความหนา : 13.0 มม.
บานพับแบบทบ 3 ชั้นพร้อมปุ่มกดคลาย]Hvd

เปิดตัว Seiko Brand Friend กับนักแสดงมาดเท่ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม และแคมเปญใหม่ล่าสุดของ Seiko Prospex Zimbe

SEIKO Thailand จัดงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ของ SEIKO PROSPEX ZIMBE  นาฬิกาซีรีย์ยอดนิยม พร้อมเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่  Zimbe 16 และ Zimbe 17 และกลับมาพร้อม Seiko Brand Friend คนแรกของปี 2022 อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม อย่างเป็นทางการ  โดยงานจัดขึ้นในค่ำวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา ณ Sea Life Bangkok Ocean World สยามพารากอน โดย อากิระ ซากาอิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก ประเทศไทยร่วมกล่าวเปิดงานพร้อมถือโอกาสนี้ในการขอบคุณแฟนไซโกที่ให้การสนับสนุนอย่างเสมอมาและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของทะเลประเทศไทยให้สวยงามขึ้นในทุกๆปีจากรายได้ส่วนหนึ่งของการจำหน่ายนาฬิการุ่น Prospex Zimbe และนาฬิกาดำน้ำรุ่นอื่นๆจากไซโกที่ได้นำไปจัดทำโครงการ Seiko Save The Ocean เพื่อดูแล ฟื้นฟู และอนุรักษ์ท้องทะเลไทยอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 5 ปี

“ไซโกต้องการที่จะปลุกจิตวิญญาณของจิมเบขึ้นมาอีกครั้งจึงได้เปิดตัวนาฬิกาทั้งสองรุ่นอย่าง SEIKO PROSPEX ZIMBE รุ่น 16 และ 17 ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลามวาฬอย่างแท้จริง SEIKO PROSPEX ZIMBE รุ่น 16 นั้นมาในรูปแบบของ Baby Tuna ที่ตัวเรือนนั้นมีโครงสร้างของขอบตัวเรือนอีกชั้นหนึ่งเพื่อเสริมประสิทธิภาพความแข็งแรงทนทานและรองรับการดำน้ำเช่นเดียวกับผิวหนังของฉลามวาฬที่จะมีความหนา และมีเกล็ดเล็กๆเสมือนเกราะป้องกัน ส่วน SEIKO PROSPEX ZIMBE รุ่น 17 นั้นมาในรูปแบบ King Samurai ที่มีขอบตัวเรือนสีน้ำเงินเข้ม เปรียบเสมือนน้ำทะเลในช่วงกลางคืนที่ฉลามวาฬนั้นได้แหวกว่ายอยู่ในท้องทะเล” วรรฑนี วาทนากรณ์ (ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์การตลาดแห่งไซโก)กล่าว

Seiko Prospex Zimbe รุ่น 16 วางจำหน่ายพร้อมกัน 15 กันยายนนี้ ทั่วประเทศ และนาฬิกา Seiko Prospex Zimbe รุ่น 17 เริ่มวางจำหน่ายแบบ Exclusive ในวันที่ 28 กันยายน นี้ ที่แรกในงาน Central International watch fair 2022 ที่เซ็นทรัลชิดลม และพร้อมจำหน่ายทั่วประเทศ  12 ตุลาคม โดยทั้ง 2 รุ่นจัดจำหน่ายแบบจำนวนจำกัดเพียงรุ่นละ 1,000 เรือนเท่านั้นเฉพาะประเทศไทย

รายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกา Seiko Prospex Zimbe Limited Edition จะถูกนำไปต่อยอด โครงการ Seiko save the ocean เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ท้องทะเลไทย

สามารถติดตามรายละเอียดต่างๆ ของไซโกได้ที่ 02-255-1245 ต่อ 888

Website: https://www.seikowatches.com/th-th/products

FB: Seiko Club by Seiko Thailand

IG: Seiko_Thailand

Line: @Seiko_Thailand

YouTube: Seiko Club by Seiko Thailand

Twitter : @Seiko_Thailand

rhunrun เรียบเรียง

Seiko Prospex : The heart of Explorer.

ท้องทะเล ภูเขาน้ำแข็งและบทพิสูจน์แห่งความแข็งแกร่งของนาฬิกาดำน้ำ 3 รุ่นใหม่จาก Seiko Prospex (ไซโก พรอสเป็กซ์) ที่จะพาคุณย้อนกลับสู่ประวัติศาสตร์แห่งความท้าทายบนดินแดนแห่งขั้วโลก ชื่อเสียงของนาฬิกาดำน้ำประวัติศาสตร์จากไซโกในแง่ของความทนทานและความไว้วางใจในการใช้งานนั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 เมื่อได้รับเลือกโดยนักผจญภัยและนักวิจัยที่มีภารกิจในการสำรวจขั้วโลกเหนือและใต้

โดยครั้งนี้ Seiko ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่จากคอลเลคชั่นนาฬิกาดำน้ำที่ถูกสร้างสรรค์และตีความใหม่ให้มีความสวยงามและทันสมัยจากนาฬิการุ่นดังในอดีตทั้ง 3 รุ่นของไซโกอีกครั้ง โดยมาพร้อมกับการออกแบบซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากธารน้ำแข็งที่นักบุกเบิกเหล่านี้ได้พบเห็นและเป็นธารน้ำแข็งที่ถูกหล่อหลอมขึ้นเป็นรูปทรงจนเป็นทิวทัศน์ทางบกและทางทะเลที่น่าตื่นตาตื่นใจจากทวีปอาร์กติก และแอนตาร์กติกา สำหรับหน้าปัดของนาฬิกาแต่ละเรือนจะมีเฉดสีที่แตกต่างกันออกไปของธารน้ำแข็งโดยเริ่มจากสีน้ำเงินเข้มไปจนถึงสีขาว

พลังและความสวยงามของธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกถูกจำลองและนำเสนอได้อย่างสมบูรณ์แบบผ่านทางลวดลายที่อยู่บนหน้าปัดซึ่งมีสีน้ำเงิน โดยนาฬิการุ่นนี้ได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงจากนาฬิกาดำน้ำเรือนแรกของไซโกที่เปิดตัวในปี 1965 และได้รับการพิสูจน์จากคนทั่วโลกถึงความทนทานเมื่อถูกใช้งานโดยสมาชิกของนักสำรวจขั้วโลกใต้ของญี่ปุ่น (Japanese Antarctic Research Expedition) ในช่วงระหว่างปี 1966-1969

หน้าปัดสีฟ้าอ่อนและขอบตัวเรือนที่มาพร้อมกับสีน้ำเงินที่มีโทนเข้มกว่า ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นบนตัวเรือนนาฬิกาดำน้ำที่ถูกสร้างสรรค์และตีความใหม่ให้มีความสวยและทันสมัยโดยอ้างอิงจากนาฬิกาดำน้ำที่เปิดตัวในปี 1968 ซึ่งเป็นนาฬิกาดำน้ำเรือนแรกของไซโกที่มีความสามารถในการกันน้ำ 300 เมตร พร้อมกลไกที่มีความถี่ในระดับ 10 ครั้งต่อวินาที

หน้าปัดสีขาวได้ถูกนำมาใช้ในนาฬิการุ่นพิเศษที่มีรูปทรงอันโดดเด่นและเป็นผลงานที่ถูกสร้างสรรค์โดยได้รับอิทธิพลจากนาฬิกาสุดคลาสสิคในปี 1970 ซึ่งได้รับการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและทนทานจากการถูกสวมใส่โดยนักผจญภัยชาวญี่ปุ่นอย่าง Naomi Uemura (นาโอมิ อุเอมูระ) ในระหว่างปี 1974-1976 ผู้เดินทางเป็นระยะทางถึง 12,500 กิโลเมตร ด้วยการใช้เพียงสุนัขลากเลื่อนเพื่อข้ามทวีปจากกรีนแลนด์ไปยังอลาสก้า

นาฬิกาทั้ง 3 เรือนนี้ได้รับการขับเคลื่อนด้วยกลไกที่มีความทนทานและมั่นใจได้อย่าง 6R35 ซึ่งมีพลังงานสำรองมากถึง 70 ชั่วโมง และยังมีความสามารถในการกันน้ำได้ถึง 200 เมตร มาพร้อมกับสายสตีลที่มีบานพับที่มีระบบล็อกอย่างแน่นหนาและมีข้อต่อขยายเพื่อรองรับกับการสวมใส่ทับลงบนชุดดำน้ำ ตัวเรือนได้รับการเคลือบแข็งแบบ Super-Hard Coating และตัวกระจกเป็นแบบแซฟไฟร์ที่มีการเคลือบสารกันการสะท้อนแสงที่ด้านใน เพื่อให้ความมั่นใจว่าคุณจะสามารถมองเห็นรายละเอียดบนหน้าปัดได้อย่างชัดเจนและคมชัดไม่ว่าจะมองจากในมุมใดของนาฬิกาเมื่อคาดอยู่บนข้อมือ และบนหลักชั่วโมงทั้ง 12 ตำแหน่ง เช่นเดียวกับบนชุดเข็มจะมีการเคลือบสารสะท้อนแสงลูมิไบร์ท (Lumibrite) ซึ่งจะส่องสว่างในระดับสูงสุดเมื่ออยู่ในที่มืดหรือที่แสงน้อย

นาฬิกาทั้ง 3 รุ่นนี้จะถือเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่อยู่ในคอลเลคชั่น Prospex Save the Ocean (พรอสเป็กซ์ เซฟ ดิ โอเชี่ยน) ของไซโก โดยแคมเปญนี้จะนำรายได้ส่วนหนึ่งที่ได้จากการจำหน่ายนาฬิกาเข้ามาสนับสนุนการทำงานขององค์กรการกุศลที่อนุรักษ์ทรัพยากรทางน้ำที่ทางไซโกได้คัดเลือก

สำหรับนาฬิกาทั้ง 3 เรือนนี้จะวางจำหน่าย ตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2565 ที่บูติกของไซโกและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วโลกที่ได้รับการคัดเลือก
สำหรับรายละเอียดของโครงงาน Save the ocean สามารถคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่

https://www.seikowatches.com/global-en/products/prospex/special/keepgoingforward/savetheocean/

Seiko Save The Ocean 2022

กลับมาอีกครั้งกับ Seiko “Save The Ocean” ในปี 2022 นี้เป็นปีที่ 5 อย่างเป็นทางการที่ไซโกได้ร่วมสนับสนุน ฟื้นฟูและอนุรักษ์ท้องทะเลไทย โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกา Seiko Prospex มาจัดทำโครงการดีๆ นี้ในทุกๆปี โดยโครงการ “Save The Ocean” ได้จัดทำมาแล้วอย่างต่อเนื่อง โดยหน้านี้ในแถบ หมู่เกาะราชา จังหวัดภูเก็ต, เกาะกระดาน จังหวัดตรัง และ บริเวณอ่าวท่าเลน จังหวัดกระบี่ มาปีนี้เรามาที่ภูเก็ตและหมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่


นำทีมโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ นาฬิกาไซโก , มิสเตอร์ฮิโรยูคิ อะกาชิ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไซโก (ประเทศไทย) พร้อมด้วยเจ้าที่และผู้บริหาร คุณวิเชษฐ์ ชูเชื้อ กรรมการผู้จัดการบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย (ทุ่งสง) และ มีแขกพิเศษคือ ศิลปินแม็กซ์-ณัฐวุฒิ เจนมานะ ที่วันนี้ไม่ได้มาชวนเดินเข้าป่าแต่ชวนมาอนุรักษ์ท้องทะเลกัน รวมถึงสื่อมวลชนหลากหลายแขนง ที่ร่วมสำรวจพื้นที่ สร้างและปล่อยปะการังเทียมลงสู่ท้องทะเล
เมื่อเราเดินทางไปถึงจังหวัดภูเก็ตซึ่งตรงกับมื้อกลางวัน ไซโกไม่ยอมให้เราหิวโดยแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Good Forest ส่วนตัวขอแนะนำเลยว่าใครมาภูเก็ตต้องแวะร้านนี้ อาหารอร่อยรสเข้มข้น(ไม่เผ็ด)เพราะใช้เครื่องแกงของชาวมุสลิมที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่เครื่องเทศแต่ไม่มีกลิ่นฉุนรสเข้มถึงใจไม่เน้นเผ็ด แน่นอนว่าเราติดใจกับขนมจีนน้ำยาปู แกงเขียวหวานไก่ แกงมัสมั่นเสิร์ฟมากับโรตีมันฝรั่ง ไข่เจียวปูก็ล้ำ ต้องไม่พลาดจานนี้ แต่ชอบที่สุดก็คือห่อหมก ไม่ได้กินรสนี้นานแล้วต่างจากห่อหมกภาคกลางอย่างโดดเด่น และที่บอกว่าต้องเผื่อท้องไว้ก็คือขนมหวานในแนวขนมอบต่างๆ ร้านที่กรุงเทพฯ หลายๆ ร้านอาจจะต้องหลบให้เพราะอร่อยหอมมันไม่หวานจัด มาช่วงนี้ก็ต้องทาร์ตมะยงชิด พลาดไม่ได้จริงๆ
จากนั้นเราก็เข้าที่พักที่ Foto Hotel Phuket ที่สวยทั้งตัวสถาปัตยกรรมและพักผ่อนสบายด้วยเตียงที่นอนหลับลึก และตื่นมาอีกทีกับวิวพระอาทิตย์ขึ้น แม้ที่นี่จะไม่มีหาดส่วนตัวแต่การออกแบบให้มีสระว่ายน้ำแทรกอยู่ในตัวสถาปัตยกรรม และหาดทรายเล็กๆที่สร้างขึ้นมาริมทะเลก็ถือว่าไม่ทำให้เสียความตั้งใจจะมานอนอาบแดดหรือลงว่ายน้ำ เพราะมีสระว่ายน้ำแทบจะทุกมุมของโรงแรม แถมสถานที่ตั้งก็ไม่ไกลจากตัวเมืองเก่าภูเก็ต

ในปีนี้ ไซโก รวมถึงคณะสื่อมวลชน, เหล่าคนรักนาฬิกาไซโก และ พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ ได้กลับมาทำโครงการบ้านปลาเพื่ออนุบาลสัตว์ทะเล ให้กับชุมชนชาวแหลมตุ๊กแก ที่บริเวณอ่าวซันไรส์ จังหวัดภูเก็ตร่วมกับชาวบ้าน และยังจัดทำแนวปะการังเทียมระยะทางกว่า 10 เมตร เพื่อนำไปหย่อนลงบริเวณอ่าวเปลว ในแถบหมู่เกาะพีพี เพื่อหวังให้เกิดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลรวมถึงเป็นที่ยึดเกาะของปะการังจริงเพื่อสร้างความสมดุลให้กับท้องทะเลในระยะยาว โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรอย่าง บริษัท SCG จำกัด มหาชน ที่ร่วมสนับสนุนปะการังเทียมที่ผลิตจากนวัตกรรมใหม่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลเพิ่มเติมให้กับโครงการ รวมถึงยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของกรมอุทธยาน หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี อีกด้วย

ชุมชนชาวแหลมตุ๊กแก แถบหมู่เกาะสิเหร่ เป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีอาชีพประมงเป็นหลัก โดยทางไซโก ได้ร่วมสนับสนุนชุมชน ในการสร้างบ้านปลา เพื่ออนุบาลสัตว์น้ำขนาดเล็กในบริเวณอ่าวซันไรส์ที่ชาวบ้านใช้เป็นแหล่งจับสัตว์น้ำเพื่อประกอบอาชีพ จำนวนกว่า 10 หลัง เพื่อเพิ่มจำนวนสัตว์น้ำและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนในการสร้างอาชีพ โดยมีชาวบ้านและคณะ มาร่วมแสดงศิลปะพื้นเมืองของภาคใต้อย่าง “รองเง็ง” ในวันแถลงข่าวและร่วมกันทำบ้านปลาอีกด้วย

หลายต่อหลายครั้งที่เรามักละหลงลืม และเผลอทำร้ายธรรมชาติโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งจากชุมชนหรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยว ทำให้ในปัจจุบันนั้นมีหลากหลายหน่วยงานที่เดินหน้าในการทำโครงการอนุรักษ์เพื่อปลูกจิตสำนึกและคืนความสวยงามให้กับท้องทะเลอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับ Seiko ของเราที่เป็นหนึ่งในองค์กรที่ได้ก้าวออกมาจัดทำโครงการเล็กๆ ด้วยจุดประสงค์ที่จะฟื้นฟูท้องทะเลไทย โดยมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้ว ภายใต้ชื่อโครงการ Seiko “Save The Ocean” เพื่อทำกิจกรรมคืนความสวยงามสู่ท้องทะเลจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่ความจริงจังและวิธีการที่เป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

จังหวัดภูเก็ตขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติทางทะเลที่สมบูรณ์ของประเทศไทย และมีเกาะมากมายที่สวยงามระดับโลก โดยเฉพาะหมู่เกาะพีพี ซึ่งแน่นอนว่าความสวยงามของสถานนั้นนอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกคงหนีไม่พ้นมลพิษทางทะเลทั้งขยะและการทำลายแนวปะการังจากเรือท่องเที่ยวรวมถึงนักดำน้ำ โดยครั้งนี้ ไซโก ได้ร่วมกับกรมอุทธยานแห่งชาติ หาดนพรัตน์ ธารา หมู่เกาะพีพี ในการเสริมสร้างแนวปะการังเทียมเพิ่มเติม เพื่อฟื้นฟูปะการังเดิมที่ถูกทำลายไป และเพื่อเปลี่ยนแปลงธรรมชาติให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง โดยปะการังเทียมทั้งหมดนี้ถูกผลิตขึ้นจากซีเมนต์พิเศษขึ้นรูปโดยการใช้เทคโนโลยี 3D Printing

ปะการังเทียม 3D Printing
ปะการังเทียมที่ใช้ในการปล่อยลงสู่ทะเลในครั้งนี้ มีแบบสวยงามเสมือนปะการังจริงกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยวัสดุที่ใช้ผลิตจากปูนนั้นเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล โดยมี calaium carbonate (แคลเซียม คอร์บอเนต)ที่เป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนปะการังใช้ดักจับจากน้ำทะเลในธรรมชาติเพื่อเอามาสร้างเป็นที่อยู่อาศัยของตนเองอยู่แล้ว โดยทาง SCG พัฒนาแบบพื้นผิวให้เหมาะสมกับการยึดเกาะตัวอ่อนปะการังและดีไซน์ให้โครงสร้างมีความซับซ้อนเพื่อให้ เหมาะให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปอยู่อาศัยและช่วยฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลได้อย่างยั่งยืนและยาวนากว่า

ทางบริษัท ไซโก (ประเทศไทย) หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ Seiko save the ocean จะเป็นโครงการเล็กๆที่ก่อให้เกิดประโยชน์และการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนให้กับชุมชนและท้องทะเลต่อไป

ช่วงเวลาพิเศษ บทเพที่สะท้อนความหลากหลายอันสวยงามของทั้ง 4 ภูมิภาคของประเทศไทยโดย Seiko Thailand จับมือกับ High Cloud Entertainment โดย กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่

ช่วงเวลาพิเศษ โดย Seiko Thailand จับมือกับ High Cloud Entertainment โดย กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ร่วมแต่งบทเพลงพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี บริษัท ไซโก (ประเทศไทย) เพื่อขอบคุณแฟนๆไซโกทั่วทุกภูมิภาคที่สนับสนุนไซโกมาตลอดระยะเวลา 30 ปี

โดยผลงานเพลงนี้ ถูกนำมาร้องด้วย Rapper รุ่นใหม่ทั้ง 4 คน มีพื้นเพมาจากในแต่ละภูมิภาค นำโดย

  • เก่งธชย – ตัวแทนภาคใต้
  • J Jazzper – Rapper สาวน้อยจากเวที The rapper Thailand ตัวแทนจากภาคอิสาน
  • กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ – ศิลปิน Rapper แนวหน้าของเมืองไทย ตัวแทนภาคเหนือ
  • และ เทอร์โบ เจ้าของเพลง Rap ฮิตติดอันดับ 60 ล้านวิว อย่างเพลงน้ำลาย ตัวแทนภาคกลาง

โดยเนื้อเพลงยังสะท้อนความหลากหลายของทั้ง 4 ภูมิภาคของไทยได้อย่างสนุกและเต็มไปด้วยกลิ่นไอวัฒนธรรมครับ

Seiko Save The Ocean Project #4

โครงการเพื่อคืนสิ่งดีๆ สู่สังคมจากบริษัทไซโก (ประเทศไทย) ที่กลับมาอีกครั้งในปี 2021 โดยไซโก ได้ร่วมกับเหล่าพันธมิตร อาทิ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) จังหวัดกระบี่, อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล กลุ่มแฟนพันธ์แท้ไซโก สื่อมวลชน และชุมชนชาวท่าเลน จังหวัดกระบี่ เพื่อคืนความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ให้กับท้องทะเล


โดยโครงการ Seiko Save The Ocean นี้ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 แล้ว และโครงการนี้เริ่มต้นมาจากแนวคิดที่แบรนด์ไซโกเอง ได้นำเอาแรงบันดาลใจในการออกแบบนาฬิกาดำน้ำหลากหลายรุ่นมาจากท้องทะเล รวมถึงรุ่นสำคัญที่ผลิตเฉพาะในประเทศไทย อย่าง “พรอสเปกซ์ จิมเบ” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก “ฉลามวาฬ” เพื่อวางจำหน่ายจนโด่งดังไปทั่วโลก ทางบริษัทฯ จึงมีความตั้งใจที่จะนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิกา ไซโก จิมเบ และ นาฬิกา ไซโก เซฟ ดิ โอเชียน มาทำกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์กลับไปยังท้องทะเลไทย ซึ่งในครั้งนี้ได้ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” ไซโก แบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด มาร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย


โดยกิจกรรมหลักคือร่วมกันสร้างบ้านปลาจากวัสดุธรรมชาติ ณ The Tubkkak Boutique resort ทำไมปลาต้องมีบ้าน บ้านปลาคือภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ช่วยหาแหล่งอนุบาลให้กับปลาตั้งแต่วางไข่ ลูกปลาเล็กๆ จะได้มีที่หลบภัย บางคนอาจจะสงสัยว่าธรรมชาติของปลาจำเป็นต้องมีบ้านหรือ ปลามีบ้านโดยธรรมชาติอยู่แล้วนั่นก็คือแนวปะการัง แต่ทุกวันนี้แนวปะการังถูกทำลาย ชาวประมงท้องถิ่นจึงต้องกาแหล่งอนุบาลปลาในธรรมชาติที่พวกเขาสร้างให้ปลาได้ นั่นก็คือบ้านปลาที่ทำจากโครงสร้างไม้เป็นรูปสามเหลี่ยม มุงด้วยใบมะพร้าวที่มัดให้ติดกับโครงบ้านปลา โดยทางมะพร้าวนี้เมื่อทิ้งไว้ในน้ำทะเลก็จะเป็นแหล่งพักของลูกปลาเล็กๆ ที่เพิ่งออกจากไข่ เมื่อเวลาผ่านไปทางมะพร้าวก็ย่อยสลายกลายเป็นอาหารปลาด้วย สำหรับบ้านปลานี้เมื่อทางมะพร้าวย่อยสลายไปแล้วสามารถนำเอาโครงไม้มาผูกกับทางมะพร้าวใหม่แล้วปล่อยลงทะเลอีกครั้ง


กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งท้องทะเลและชุมชน นำโดยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก ประเทศไทย นายฮิโรยูกิ อาคาชิ และเหล่าพันธมิตร ชาวบ้านชุมชนท่าเลนที่ร่วมกันสร้างบ้านปลาและสัตว์ทะเลที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติอย่างไม้และทางมะพร้าวเพื่อนำไปหย่อนกลางทะเลบริเวณอ่าวท่าเลนให้เป็นแหล่งอนุบาลปลาและสัตว์ทะเลให้ชุมชน ณ โรงแรมเดอะทับแขก บูทีค รีสอร์ท โดยกิจกรรมร่วมกันสร้างบ้านสัตว์น้ำในครั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้ทะเลมีความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มและขยายพันธ์สัตว์น้ำและให้ชุมชนมีแหล่งอาหารเพื่อนำมาเป็นรายได้แก่ครอบครัวต่อไป


นอกจากนี้ ยังรวมตัวกันพายเรือคายัคเพื่อเข้าไปในพื้นที่ป่าชายเลน บริเวณท่าเลน แคนย่อนเพื่อร่วมกันปล่อยปูดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดกระบี่คืนสู่ธรรมชาติเพื่อขยายพันธ์กว่า 1,000 ตัว โดยมีเป้าหมายถึงจะฟื้นฟูระบบนิเวศน์ของท้องทะเลบริเวณป่าชายเลนให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกด้วย

#Seiko #SeikoThailnd #SeikoProspex #SeikoSaveTheOcean2021 #CSR