Posts

ลือสนั่น!!! กงยูร่วมอ่านบทซีรีส์ไซไฟที่อาจร่วมแสดงกับเบดูนา

วันที่ 21 เมษายนนี้ ตัวแทนจากเอเจนซี่ Management Soop ของนักแสดงชื่อดังอย่าง Gong Yoo ออกมายอมรับว่ากงยูกำลังพิจารณาเพื่อรับบทในซีรีส์ไซไฟของ Netflix ที่มีชื่อว่า Ocean of Silence อยู่

โดยก่อนหน้านี้ Ocean of Silence ได้รับความสนใจเมื่อมีข่าวว่าจะได้นักแสดงอย่าง Jung Woo-sung มาร่วมแสดงและโปรดิวซ์ไปพร้อมกัน ซึ่งจะเป็นเรื่องราวไซไฟทริลเลอร์ในยุคที่โลกกลายเป็นทะเลทรายทั้งใบ กลุ่มนักสำรวจจึงต้องถูกส่งไปหาสิ่งมีชีวิตใหม่ๆ ที่ดวงจันทร์

ในขณะที่ Bae Doo-na นักแสดงนำจากซีรีส์ของ Netflix เรื่อง Kingdom เองก็อยู่ในระหว่างการเจรจาร่วมแสดงเป็นหนึ่งในทีมสำรวจดวงจันทร์เช่นกัน และถ้าหากกงยูยอมรับข้อเสนอนี้ เขาจะรับบทเป็น Yoon Jae หัวหน้าทีมสำรวจ ผู้ที่เป็นทหารเก่า

คุณคิดว่าหากข่าวลือข้างต้นทั้งหมดเป็นจริง จะเป็นอย่างไรกันนะ?

ต้นตอข่าวลือ คลิก ที่นี่ และ ที่นี

What’s Wrong with Secretary Kim? : ภารกิจในการค้นหาชีวิตของตัวเอง

ภายใต้ความกุ๊กกิ๊ก เบาสมองที่ฉาบเคลือบซีรีส์ What’s Wrong with Secretary Kim? อยู่นั้น เราอาจจะได้เรียนรู้ทั้งตัวตนของตัวเอง ไปพร้อมกับการทำความเข้าใจตัวตนของคนอื่นไปพร้อมกันก็เป็นได้

Author: Pacharee Klinchoo

“ฉันอยากมีชีวิตที่ไม่ใช่เลขา และไม่ต้องดูแลครอบครัว”

คือเหตุผลที่เลขาคิม (นำแสดงโดย Park Min-young) ให้กับท่านรองประธาน อียองจุน (นำแสดงโดย Park Seo-jun) เมื่อเธอบอกเขาว่าเธอตัดสินใจลาออกจากอาชีพเลขานุการส่วนตัวของเขาที่เธอทำมา 9 ปี ‘ด้วยเหตุผลส่วนตัว’ ซึ่งหมายถึงการใช้หนี้ของครอบครัว และส่งพี่สาวทั้งสองเรียนต่อจนจบ มีงานมีการทำเรียบร้อยแล้วนั่นเอง แต่เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ นอกเหนือจากความกุ๊กกิ๊กน่ารักสดในของฉากคู่พระ-คู่นางแล้ว เราก็จะไปร่วมสำรวจในจิตใจของทั้งเลขาคิม และตัวละครหลายๆ ตัวว่าแท้จริงแล้ว ความหมายแห่งตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไรกันแน่ 

ฟังดูอาจจะเวอร์ หรือคิดมากไปนิด หากจะมาชวนคุยวิเคราะห์เรื่องนี้จากซีรีส์ที่หน้าหนังดูเบาสมองเยี่ยงนี้ แต่ในระหว่างทางที่เรื่องดำเนินไปนั้น เราก็ได้เห็นอย่างค่อนข้างชัดเจนว่า หลายครั้งหลายคราที่ ‘ตัวตน’ ของเรานั้นคือสิ่งที่เราตัดสินใจเลือกลงมือทำ และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาจนกระทั่งความสามารถเหล่านั้นกลายเป็นเสมือนอวัยวะในร่างกายของเรา ไม่แตกต่างจากความสามารถของคิมมีโซ ในฐานะเลขาคิมตลอดเรื่องนั่นเอง 

ในขณะเดียวกัน ตัวละครอย่างอีซองยอน (นำแสดงโดย Lee Tae-hwan) นั้นเองกลับเป็นผู้ที่หลงทางกับตัวตนของตัวเองได้อย่างมากที่สุด แม้ว่าเขาจะเลือกอาชีพที่ดูเหมือนจะเป็นอาชีพที่ ‘ติสต์’ และ ‘เป็นตัวของตัวเอง’ อย่างที่สุดในสายตาคนปกติอย่างนักเขียนก็ตาม 

ด้วยเหตุการณ์พลิกผันในวัยเด็กของทั้งอียองจุน และอีซองยอน ทำให้พวกเขาเดินตามเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว หากมองด้วยแว่นตาของคนปกติแล้ว การใช้ชีวิตในฐานะศิลปินโดยไม่ต้องดูแลกิจการของครอบครัวนั้นอาจจะดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ ‘มีความสุข’ และ ‘เป็นตัวของตัวเอง’ มากกว่าการมารับหน้าที่เป็นรองประธานธุรกิจขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ?

(นับจากนี้ไป มีสปอยล์เนื้อหาหลักของเรื่อง)

บทบาทของพระเอ๊ก…​ พระเอก… ที่อาจทำร้ายบางคนโดยไม่รู้ตัว

ในวันที่อียองจุนตัดสินใจโกหกคำโตเพื่อทำให้พ่อและแม่ของเขาสบายใจ และให้ครอบครัวของตัวเองดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุขนั้น อาจจะเป็นวันที่เขาคิดแล้วว่านั่นคือการเสียสละอันยิ่งใหญ่ โดยการแบกรับความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดมาไว้ในตัวเอง แต่ในวันนั้นเอง…​ ก็เป็นวันที่เขาปลดเปลื้องตัวตนของอีซองยอนไปได้ในแบบที่เขาไม่ทันคิดได้เช่นกัน

การที่อียองจุนตัดสินใจแบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดไว้กับตัวเอง และไม่เปิดโอกาสให้อีซองยอนเข้ารับการบำบัดรักษาอาการทางจิตที่เกิดจากความรู้สึกผิดในใจนั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตของอีซองยอนไปได้ตลอดกาล เราจะพูดแรงไปไหมว่า นี่เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าใจร้ายและเห็นแก่ตัวมากที่สุดเลยก็ว่าได้… แม้ว่ามันจะมาจากความปรารถนาดีที่สุดของเด็กตัวน้อยคนหนึ่งก็ตาม 

ในวันที่เหตุการณ์ทั้งหมดคลี่คลายออก ทุกคนรับรู้ความจริงที่ปิดบังกันมานานกว่าสองทศวรรษแล้ว สิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ อียองจุนไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวเองใดๆ ไปในระหว่างที่เขาบอกตัวเองว่าเขาโกหกเพื่อคนอื่น แต่อีซองยอนนั้นกลับใช้ชีวิตในสองทศวรรษที่ผ่านมาในความทรงจำปลอมๆ ของคนอื่น… และเมื่อทุกอย่างเปิดเผย… เขากลับกลายเป็นผู้ไร้ตัวตนอย่างแท้จริง 

เราแอบทึ่งในความเข้มแข็งของตัวละครที่สามารถยอมรับความจริงทั้งหมดนี้ได้โดยไม่บุบสลายมากมายดังที่ควรจะเป็น สิ่งที่เขาทำคือตัดสินใจออกเดินทางค้นหาตัวตนของตัวเอง ด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่งหลังจากได้รับการบำบัดอย่างที่ควรจะเป็น และเขาก็สัญญากับน้องชายว่า จะกลับมาพร้อมหนังสือเล่มใหม่…

ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า หนทางสายอาชีพนักเขียนที่เขาเลือกนั้น ก็กลายมาเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญในชีวิตเขา คือตัวตนของเขาในรูปแบบหนึ่ง ไม่ต่างจากตัวตนของคิมมีโซในฐานะเลขาคิมเลย

บทสรุปแห่งเส้นทางชีวิตที่เลือกเดิน

ด้วยความโรแมนติกคอมเมอดี้ของซีรีส์เรื่องนี้ บทสรุปทั้งหมดจึงเป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น พระเอกและนางเอกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตราบนิรันดร์… และภารกิจในการค้นหาตัวตนของคิมมีโซก็มีบทสรุปง่ายๆ แต่น่ารักถูกใจแฟนๆ ว่า แท้จริงแล้ว ตัวตนของเธอนั้นก็ผูกพันแนบแน่นกับอียองจุนมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และตลอดระยะเวลาการทำงานเก้าปีที่ผ่านมากับเขา ก็สร้างอัตลักษณ์ความเป็นตัวเองขึ้นมา และเธอก็ได้รับการยอมรับในฐานะเลขามืออาชีพ ส่วนตัวเธอเองก็ยอมรับได้ในที่สุดว่า คงจะไม่มีใครทำตำแหน่งนี้ได้ดีไปกว่าเธออีกแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคิมมีโซ หรือเลขาคิม ทั้งสองคนนั้นหลอมรวมเป็นตัวตนเดียวกันจนแทบจะแยกไม่ออกแล้วก็ว่าได้

บทสรุปตรงนี้ทำให้เราอดย้อนกลับไปนึกถึงหนังสือเรื่อง The Alchemist (ชื่อภาษาไทย : ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน) ของ Paolo Coelho ไม่ได้ เพราะในวันที่เด็กหนุ่ม ตัวเอกของเรื่องตัดสินใจออกจากที่พักของตัวเองเพื่อไปตามหาขุมทรัพย์ที่ปลายฝันนั้น คือวันที่ชะตากำหนดให้เขาย้อนกลับมาค้นพบขุมทรัพย์ก้อนใหญ่ใต้ที่นอนของเขานั่นเอง แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งยากลำบากใดๆ มากมายมหาศาลเพื่อพบสัจธรรมเล็กๆ ว่าแท้จริงแล้ว ขุมทรัพย์นั้นอยู่ตรงหน้าเขามาตลอด แต่หากเขาไม่ตัดสินใจออกเดินทางก้าวแรกเพื่อ ‘ค้นหา’ แล้ว ขุมทรัพย์นั้นคงนอนนิ่งอยู่ใต้ที่นอนของเขาไปตราบนิรันดร์กาล 

ซึ่งก็ไม่ต่างจากเส้นทางการค้นหาตัวตนของเลขาคิมและอียองจุนนั่นเอง ในวันที่เธอตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เธอคุ้นชิน และในวันที่เขาตัดสินใจปล่อยเธอไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง ก็คือวันที่เขาและเธอค้นพบว่า แท้จริงแล้ว ตัวตนของทั้งคู่นั้นผูกพัน และพึ่งพิงกันและกันมามายขนาดไหน 

บทสรุปนี้อาจจะดูเหมือนแสนหวาน แต่แท้จริงแล้ว จะมีใครสักกี่คนบนโลกนี้ที่เห็นคุณค่าของที่อยู่ในมือก่อนที่เราจะสูญเสียมันไปจริงๆ กันล่ะ?

What’s Wrong with Secretary Kim? สตรีมมิ่งที่ Netflix 

รีวิวด่วนๆ The King: Eternal Monarch สองตอนแรก!!!

หรือเราจะอยู่ในโลกคู่ขนานของกันและกัน?

Author: Pacharee Klinchoo

ถึงขั้นเซ็ตเรตติ้งใหม่ให้ช่อง SBS ทันทีที่ตอนแรกของ The King: Eternal Monarch ออกฉายวันแรกเมื่อศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยแม่เหล็กของนักแสดงนำทั้ง Lee Min-ho (ที่เพิ่งจะออกมาจากกรมสดๆ ร้อนๆ) และ Kim Go-eun และเนื้อหาแฟนตาซีสุดเพ้อฝันนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เรียกว่าเกินคาดไปแม้แต่น้อย

เพิ่งจะผ่านไปได้แค่สองตอน เนื้อหาหลักๆ เกี่ยวข้องกับประเทศเกาหลีในโลกคู่ขนาน โดยโลกหนึ่งมีประเทศที่ชื่อว่า จักรวรรดิเกาหลี (Kingdom of Corea) ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์โดยมีพระเจ้าอีกน (รับบทโดย Lee Min-ho) ขึ้นปกครองหลังจากที่เสด็จพ่อโดนพระเชษฐาองค์โตลอบปลงประชนม์ และหนีไปยังโลกคู่ขนานที่มีประเทศสหพันธรัฐเกาหลี (Republic of Korea) ที่ปกครองด้วยระบอบประธานาธิบดี และกษัตริย์อีกนก็เดินทางข้ามมายังโลกคู่ขนานเพื่อค้นหาผู้ช่วยชีวิตของพระองค์ไว้ในวันเกิดเหตุ ซึ่งก็คือผู้หมวดจองแทอึล (รับบทโดย Kim Go-eun) นั่นเอง 

ดูท่าแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้คงจะเป็นซีรีส์ดราม่าผสานโรแมนติกตามแบบฉบับซีรีส์เกาหลีสูตรปกติทั่วไป แต่ประเด็นน่าสนใจในสองตอนแรกที่เห็นท่าแล้วจะไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือการสร้างโลกคู่ขนานขึ้นมาโดยที่โลกหนึ่งเป็นประเทศเกาหลีที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย และจักรวรรดิเกาหลีภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ ซึ่งมีการอธิบายไว้ในเนื้อเรื่องอย่างชัดเจนว่าทั้งสองโลกคู่ขนานนั้นมีประวัติศาสตร์ร่วมและแยกจากกันอย่างไร ซึ่งเราเดา(เอาเอง)ไว้ก่อนว่า ประเด็นนี้น่าจะกลายมาเป็นหนึ่งในจุดขยี้ของเนื้อเรื่องนี้ได้ไม่มากก็น้อย

หลังจากสองตอนผ่านไป เราพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ถ้าคุณเป็นคนชอบซีรีส์แนวโรแมนติกคอมเมอดี้เบาสมอง คุณก็สามารถสนุกสนานกับซีรีส์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่ในขณะเดียวกัน… ถ้าคุณต้องการซีรีส์ที่มีประเด็นทางสังคมบ้าง เราก็แนะนำให้คุณลองเปิดใจให้ The King: Eternal Monarch ดู ไม่แน่ว่า ตอนต่อๆ ไปอาจจะเข้มข้นมากกว่านี้ก็เป็นได้

The King: Eternal Monarch ออกฉายทาง Netflix ทุกวันศุกร์ และเสาร์ เวลา 21.30 น.

เปิดตัวอย่างแรกซีรีส์สายดาร์กรับอากาศอันร้อนระอุ ‘Extracurricular – ชมลับ ธุรกิจรัก’

หน้าร้อนนี้จะระอุกว่าที่เคย เมื่อ Netflix ส่งซีรีส์เกาหลีแนวฮาร์ดคอร์ Extracurricular (ชมรมลับ ธุรกิจรัก) พร้อมที่จะเข้ามาเพิ่มดีกรีความฮอต และระเบิดความดาร์กแบบฉุดไม่อยู่ โดยงานนี้ได้นักแสดงวัยรุ่นเลือดใหม่ไฟแรงอย่าง คิม ดงฮี (Kim Dong-hee)จอง ดาบิน (Jung Da-bin) และ พัค จูฮยอน (Park Ju-hyun) มาร่วมฉายภาพเบื้องลึกเบื้องหลังความดาร์กของนักเรียนไฮสคูลที่ก้าวเท้าเข้าสู่ธุรกิจด้านมืดของเกาหลีใต้
ที่ทั้งดุเดือดและเข้มข้นชนิดที่เรียกว่า ‘พลาดไม่ได้’

Extracurricular บอกเล่าเรื่องราวสุดเข้มข้นของกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายที่เลือกที่จะก่ออาชญากรรมเพื่อแลกกับเงิน และความเสี่ยงที่แสนสาหัสคือผลลัพธ์ที่ตามมา โอ จีซู (รับบทโดยคิม ดงฮี) เลือกที่จะก่ออาชญากรรมเพื่อตอบสนองความมุ่งมั่นในการหาเงินส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจวิธีการและความถูกต้อง ในขณะที่ซอ มินฮี (รับบทโดย จอง ดาบิน) มีส่วนพัวพันกับอาชญากรรมครั้งนี้เช่นเดียวกับ แบ กยูรี (รับบทโดยพัค จูฮยอน) เพื่อนร่วมชั้นของจีซู การตัดสินใจที่ผิดพลาดนำมาสู่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจแก้ไข เมื่อหันหลังกลับไม่ได้ หนทางแห่งอาชญากรรมและความรุนแรงคือสิ่งที่รอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า

สามารถรับชมตัวอย่างแรกได้แล้ววันนี้ ที่นี่ และเตรียมติดตามเรื่องราวของเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้พร้อมการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาได้ใน Extracurricular วันที่ 29 เมษายน บน Netflix เท่านั้น

ทบทวนบทบาทของกษัตริย์ และภาวะผู้นำที่ผู้คนต้องการยามประเทศเกิดวิกฤติการณ์โรคระบาดไปกับรัชทายาทอีชาง จาก Kingdom ซีซั่นล่าสุด

เปิดตัวอย่างสวยงามถูกจังหวะและเวลากับซีรีส์ Kingdom ซีซั่นสองที่ลงสตรีมมิ่งใน Netflix ในช่วงเวลาที่โลกกำลังประสบภัยซอมบี้จากไวรัสโคโรน่าระบาดพอดิบพอดี อยู่บ้านกักตัวช่วยชาติ ชมซีรีส์สนุกๆ แล้วมาลองมองย้อนดูสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวเรากันดีกว่า

Author: Pacharee Klinchoo

Kingdom

“A King’s duty is to his people. Without them, he is no king at all. – หน้าที่ของกษัตริย์นั้นมีต่อประชาชน หากไร้ซึ่งประชาชน ก็ไร้ซึ่งกษัตริย์เช่นกัน” คำพูดอันโด่งดังของ Ling Yao (หลิน เหยา) องค์ชายรัชทายาทจากประเทศชิน ในมังงะชื่อดังเรื่อง Fullmetal Alchemist หรือ ‘แขนกลคนแปรธาตุ’ นั้นดูจะมาพ้องพานกับเนื้อหาที่ปรากฏในซีรีส์ชื่อดังอย่าง Kingdom แบบไม่น่าเชื่อ ในแง่ของ ‘หน้าที่’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ของผู้นำเมื่อคราวที่ประเทศประสบกับภัยพิบัติใดๆ ก็ตาม

เราจะปล่อยเรื่อง Fullmetal Alchemist เอาไว้ก่อนในตอนนี้ เพราะประเด็นเรื่องภาวะผู้นำที่ปรากฏในซีรีส์เรื่อง Kingdom ซีซั่นนี้ดูน่าจะสนใจ และสอดคล้องกับคำพูดของหลิน เหยาที่เรายกมาตอนต้นในแบบที่ทำให้เราเชื่อได้เลยว่า พื้นฐานจิตใจมนุษย์ ไม่ว่าจะชนชาติไหนก็คล้ายคลึงกันอย่างแท้จริง และเราแอบเชื่อว่า ป่านนี้ทุกคนคงจะได้เสพซีรีส์ซีซั่นนี้กันไปหมดแล้ว เราจึงขออนุญาตเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับบทความนี้แบบไม่ระวังสปอยล์แล้วกัน

ภาพลักษณ์ขององค์รัชทายาทอีชางในฐานะผู้นำในอุดมคติ

Kingdom

ในซีซั่นนี้ องค์รัชทายาทอีชาง (รับบทโดย Ju Ji-hoon) ได้เปล่งประกายความเป็นผู้นำแบบอุดมคติให้เหล่าพสกนิกรที่นั่งเฝ้าหน้าจอได้ประจักษ์กันอย่างชัดเจนเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นการปักหลักรับมือกับฝูงซอมบี้เป็นด่านหน้าร่วมหัวจมท้ายกับทหารคู่ใจที่ป้อมปราการเมืองซังจูโดยไม่ล่าถอยง่ายๆ ตัดสินใจบุกเดี่ยว (พร้อมทหารคู่ใจ) ไปแจ้งข่าวเรื่องโรคระบาดที่เมืองหลวงฮันยาง ไปจนถึงฉากที่ตัดสินใจสั่งปิดประตูวังหลวงเพื่อกั้นซอมบี้ไว้ภายในวัง ไม่ให้ออกไปเพ่นพ่านทำร้ายชาวบ้านร้านตลาดนอกรั้ววัง ทั้งๆ ที่ในทุกสถานการณ์นั้น องค์รัชทายาทสามารถลี้ภัยไปทำตัวเงียบๆ หลบภัยโรคระบาดจนกว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนก็ย่อมได้ แต่บทกลับใส่ภาพพระเอกเต็มตัวให้กับองค์รัชทายาทผู้ถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏต่อกษัตริย์องค์ปัจจุบันแบบนี้

สิ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนเรื่องการพัฒนาบทภาพยนตร์เรื่อง Kingdom นี้คือการนำเอาเศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงมาปรุงแต่งจนกระทั่งดูน่าเชื่อถือตามตรรกะของเรื่องแต่ง ไม่ว่าจะแทนโรคระบาดด้วยซอมบี้ หรือการเล่าถึงการแบ่งแยกชนชั้น ความกระหายอำนาจของชนชั้นปกครอง รวมไปถึงอำนาจที่แท้จริงเบื้องหลังบัลลังก์กษัตริย์ในแต่ละราชวงศ์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ภาพขององค์รัชทายาทอีชางที่ถูกแต่งแต้มตามหลักการและเหตุผลในการดำเนินเรื่องนั้นจึงไม่พ้นภาพกษัตริย์ในอุดมคติที่เหล่าไพร่ฟ้าราษฎรเฝ้าฝันถึงนั่นเอง

ภาพองค์รัชทายาทวางแผนจัดการเหล่าซอมบี้ พร้อมบุกตะลุยแนวหน้าด้วยพระองค์เอง เป็นภาพที่เหล่าพสกนิกรไพร่ฟ้าทั่วโลกได้รับรู้พร้อมกันว่า ‘นี่แหละผู้นำที่เราต้องการ’ ซึ่งความเฉลียวฉลาดในการแต่งแต้มบทโดยดึงเอาประวัติศาสตร์เกาหลีในยุคราชวงศ์โชชอน (รัชสมัยพระเจ้าซอนโจ หรือรัชกาลที่ 14 ของราชวงศ์นี้) ซึ่งเกาหลีต้องตั้งรับการรุกรานจากประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งเผชิญสภาวะภัยหนาวยาวนานต่อเนื่อง (และภัยหนาวนี้เองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝูงซอมบี้ออกอาละวาดอย่างหนักหน่วงรุนแรงในซีรีส์ซีซั่นนี้) นั้นทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูได้สนุกสนาน แต่ก็สอดแทรกบริบททางประวัติศาสตร์ที่เราอยากให้เป็นไว้ได้อย่างแยบคาย

ผู้ชนะคือผู้จารึกพงศาวดาร

Kingdom

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในตอนเกือบจบซีรีส์ซี่ซั่นนี้เห็นจะได้แก่ประเด็นหลังจากที่เหล่าฝูงซอมบี้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว และฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเยือนประเทศนี้ นั่นคือ การดำรงอยู่ต่อของสถาบันกษัตริย์อันเป็นสถาบันชั้นปกครองที่ยังหายไปไม่ได้ ทว่า… หลังจากเกิดเหตุการณ์ร้ายต่างๆ ไล่มาตั้งแต่องค์รัชทายาทถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ การบั่นคอกษัตริย์พระองค์ก่อนด้วยตัวเอง และการล่มสลายของราชวงศ์เกือบทั้งหมดจาก ‘โรคระบาด’ องค์ชายรัชทายาทจะสามารถสร้างความชอบธรรมในการขึ้นบัลลังก์ และความเชื่อมั่นศรัทธาจากประชาชนที่ได้รับข่าวเพียงว่าพระองค์เป็นกบฏ และเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์พระองค์เก่าด้วยมือพระองค์เองกันได้ล่ะ

ซึ่งผู้เขียนบทก็ยังใส่ภาพผู้นำในอุดมคติเข้าไปในองค์รัชทายาทอีชางเช่นเคย การให้องค์รัชทายาทตัดสินใจมอบบัลลังก์ให้กับโอรสของกษัตริย์องค์ก่อน (ที่ทุกคนก็รู้กันหมดว่าเจ้าชายน้อยนั้นไม่ได้สืบสายเลือดตรงของทั้งกษัตริย์หรือมเหสี) พร้อมสั่งให้จารึกประวัติศาสตร์เสียใหม่ว่า พระบิดา พระมารดา รวมถึงพระเชษฐาของเจ้าชายน้อยนั้นเสียชีวิตจากโรคระบาดทั้งหมด บัลลังก์จึงตกสู่เจ้าชายน้อยโดยชอบธรรม ไร้ข้อกังขา… ตรงนี้นั้นแสดงถึงภาพลักษณ์ของ ‘เจ้าชายในฝัน’ ทั้งในแง่ของการเสียสละเพื่อส่วนรวม มองเห็นผลประโยชน์และความสงบสุขของประเทศเป็นสำคัญกว่าอำนาจและอภิสิทธิ์ที่ตนเองจะได้รับจากการขึ้นครองบัลลังก์ แต่ในขณะเดียวกัน สาส์นหนึ่งที่ซ่อนไว้อย่างแยบคายก็คือคำจารึกบนพงศาวดารนั้น… จากน้ำมือผู้ชนะนั่นเอง

เหตุผลที่พสกนิกรที่เฝ้าหน้าจออยู่นั้นรับได้กับบทตรงนี้ เป็นเพราะว่าตรรกะของซีรีส์นี้ได้วางให้องค์รัชทายาทรับบท ‘พระเอก’ ผู้เสียสละ และในความเป็น ‘คนดี’ ขององค์รัชทายาทอีชางนั้นเอง ก็ทำให้การจารึกประวัติศาสตร์ที่ดูยังไงก็ ‘ผิด’ นี้ กลายเป็นเรื่องที่ ‘ชอบธรรม’ และ ‘ยอมรับได้’ เลยเถิดไปถึงว่าเป็นพฤติกรรม ‘ที่น่าสรรเสริญ’ เพราะคือการเสียสละเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตนนั่นเอง

แต่ถ้าหากว่า… สถานการณ์คลี่คลายไปในทางกลับกันล่ะ? ถ้าหากว่าผู้ที่จารึกประวัติศาสตร์คืออัครมหาเสนาบดีโจฮักจู และองค์ราชินีโจ… คุณคิดว่าข้อโต้แย้งภายในใจของพสกนิกรที่เสพซีรีส์นี้อยู่หน้าจอจะเป็นไปในทิศทางไหนกัน? และทำไมเราถึงยอมรับตรรกะว่า ‘คนดี’ มีสิทธิเขียนพงศาวดารตามใจตัว ในขณะที่ ‘คนไม่ดี’ อาจจะไม่ได้รับสิทธินั้นตั้งแต่การวางบทแล้วกันล่ะ? 

ดูซีรีส์ ดูละคร แล้วมาย้อนดูบ้านเมือง

Kingdom

ขอย้อนกลับมาคำพูดของหลิน เหยา แห่ง Fullmetal Alchemist ที่เรายกมาไว้ตั้งแต่เริ่มบทความนี้ “A King’s duty is to his people. Without them, he is no king at all. – หน้าที่ของกษัตริย์นั้นมีต่อประชาชน หากไร้ซึ่งประชาชน ก็ไร้ซึ่งกษัตริย์เช่นกัน” เพราะเมื่อดูซีรีส์ Kingdom จนจบครบทั้งสองซีซั่นแล้ว ก็เห็นได้เลยว่า ภาพของผู้นำในอุดมคติที่ถูกวาดไว้ในซีรีส์เรื่องนี้นั้น เป็นข้อบ่งชี้สำคัญว่าประเทศชาติจะดำเนินไปในทิศทางใดยามเกิดปรากฏการณ์ใดๆ ก็ตามที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ดังเช่นเหตุการณ์โรคระบาดซอมบี้ในเรื่องนี้

การที่อัครมหาเสนาบดีโจฮักจู และอาจารย์อันฮยุน ‘ตัดสินใจ’ สังเวยคนในหมู่บ้านของยองชินให้กลายเป็นซอมบี้เพื่อเป็นด่านหน้าป้องกันข้าศึกจากประเทศญี่ปุ่นนั้น ทำให้เกิดผลพวงอันร้ายแรงต่อมา นั่นคือการระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว และทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาเดือดร้อนจากมาตรการที่ลงมือทำโดยคนที่มีอำนาจอยู่ในมือ ซึ่งถ้าจะให้มองกันตรงๆ แล้ว การตัดสินใจอย่างลับๆ ระหว่างผู้นำทั้งสองนั้น ก็เกิดจาก ‘ภาระหน้าที่’ ที่ต้องป้องกันบ้านเมือง แต่ดูเหมือนว่าการทำตามหน้าที่ของตนนั้น กลับหลงลืม ‘คุณธรรม’ ของความเป็นผู้นำไป

ในขณะเดียวกัน การ ‘ตัดสินใจ’ ของมเหสีโจที่จะปล่อยซอมบี้ที่เลี้ยงไว้ออกมาเพ่นพ่านในวังให้ทุกคนติดเชื้อโรคระบาดกันไปหมด เนื่องจากตัวเธอเองก็ไม่สามารถยึดอำนาจการปกครองไว้ได้อีกต่อไปแล้วนั้น ก็เป็นการแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า ถ้าหากว่าอำนาจหลุดไปอยู่ในมือคนที่ไม่สนอะไรเลย นอกจากประโยชน์ส่วนตนนั้น จะนำพาหายนะมาสู่บ้านเมืองได้มากขนาดไหน และถ้าองค์รัชทายาทไม่ ‘ตัดสินใจ’ ออกคำสั่งปิดกั้นประตูวังทั้งหมด โรคระบาดก็จะลุกลามออกไปในเมืองหลวงฮันยางที่ยังไม่เกิดโรคระบาด และไพร่ฟ้าราษฎรก็จะได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจของมเหสีโจไปแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

การมาถึงขององค์ชายรัชทายาท และการ ‘ตัดสินใจ’ ต่างๆ โดยที่บทวางให้พระองค์นึกถึงแต่ประโยชน์ของไพร่ฟ้ามากกว่าประโยชน์ส่วนตนนั้น ทำให้พสกนิกรที่นั่งเฝ้าหน้าจอเชื่อและคล้อยตามการตัดสินใจขององค์รัชทายาทได้อย่างง่ายๆ โดยเราไม่ตั้งคำถามถึงความถูกต้อง หรือเหมาะสมที่เกิดจากการตัดสินใจนั้นๆ เสียด้วยซ้ำ… หรือถ้าใครคิดจะตั้งคำถาม ก็จะมีคำตอบว่า ‘ทรงตัดสินใจเพื่อประชาชน’ และทำให้คำถามเหล่านั้นถูกปัดตกไปได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้น คำพูดของหลิน เหยา ที่ยกมานั้น แฝงไว้ด้วยนัยยะที่ลึกซึ้งไปมากกว่า ‘หน้าที่’ ของ ‘กษัตริย์’ ที่มีต่อ ‘ประชาชน’ แต่มันหมายรวมว่า หากกษัตริย์องค์นั้นตัดสินใจใดๆ ก็ตาม เพื่อ ‘ประชาชน’ เป็นที่ตั้งมากกว่าประโยชน์ส่วนตน… กษัตริย์ก็จะสามารถกระทำการมิชอบได้โดยชอบธรรม 

ใช่หรือไม่? 

Kingdom ทั้งสองซีซั่น สตรีมมิ่งแล้วทาง Netflix.com 

Vagabond – เจาะแผนลับเครือข่ายนรก: โลกแฟนตาซีที่ไม่มีมังกรบินได้

ไม่แปลกใจเลยที่ซีรีส์เรื่อง Vagabond – เจาะแผนลับเครือข่ายนรกของช่อง SBS ที่ออกฉายทั่วโลกผ่าน Netflix จะได้รับเรตติ้งสูงถึง 10.4% ในตอนแรกทันทีที่ออกฉาย นอกเหนือไปจากความสนุกสนาน ชวนระทึกให้ติดตามตามสไตล์หนังแอ็กชั่นสืบสวนสอบสวนแล้ว สาส์นที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้นั้นก็ช่างพอเหมาะลงตัวกับสถานการณ์บ้านเมืองช่วงนี้อย่างแท้จริง

Author: Pacharee Klinchoo

ซีรีส์แอ็กชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องนี้เพิ่งเริ่มไปได้เพียงหนึ่งซีซั่น แม้จะมีข่าวว่ากำลังวางแผนสร้างซีซั่นสองอยู่ แต่ด้วยความอลังการของทั้งบท ฉาก และคิวดารานำตัวใหญ่หลายต่อหลายคน เราอาจจะต้องกด pause ซีรีส์เรื่องนี้กันไปยาวๆ ก็เป็นได้ 

ในระหว่างนั้น… เรามาลองคิดเล่นๆ กันดูไหมว่า เหตุใดซีรีส์เรื่องนี้ถึงเรตติ้งสูงแซงซีรีส์ประเภทรักโรแมนติกที่มักจะเข้าถึงคนดูได้กว้างกว่ากันแน่

คนธรรมดากับชะตาชีวิตที่ผกผัน

Vagabond เล่าเรื่องราวของชาดัลกอน (รับบทโดย Lee Seung-gi) สตันท์แมนหนุ่มตกอับที่ต้องสูญเสียชาฮุน หลานชายเพียงคนเดียวของตัวเองไปจากเหตุการณ์เครื่องบินตก ที่เขาบังเอิญไปรับรู้ว่าแท้จริงแล้วนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อการร้าย และด้วยความช่วยเหลือของโกแฮรี (รับบทโดย Bae Suzy) เจ้าหน้าที่ข่าวกรองแห่งชาติของประเทศเกาหลี พร้อมด้วยพรรคพวกเพียงไม่กี่คน ชาดัลกอนก็สามารถเปิดโปงแผนลับระดับชาติซึ่งมี ‘รัฐบาลเกาหลี’ ชักใยอยู่เบื้องหลังสำเร็จจนได้

เรื่องย่อมีแค่ย่อหน้าที่แล้วที่เราเล่าไปนั่นล่ะ แต่การดำเนินเรื่องสุดระทึก บวกกับการออกแบบคิวบู๊สุดตื่นตา ทำให้ผู้ชมที่ชมซีรีส์เรื่องนี้ลุ้นระทึกไปพร้อมกับตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่า… ปัจจัยของ ‘ความดัง’ เปรี้ยงปร้างนั้นมีเพียงแค่เท่านั้นจริงๆ หรือ?

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า ชาดัลกอนเป็นเพียงสตันท์แมนหนุ่มตกอับ เป็นชายโสดที่ใช้ชีวิตไปวันๆ จนกระทั่งสูญเสียหลานชายเพียงคนเดียวไปจากเหตุการณ์ปริศนาครั้งนี้ ในขณะที่โกแฮรีเองก็เป็นเพียงพนักงานระดับล่าง ไม่ได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าหน่วย แต่ในยามที่ทั้งคู่มาร่วมมือกันอย่างจริงจัง การณ์กลับกลายเป็นว่า ทั้งคู่สามารถเปิดโปงความลับดำมืดเบื้องหลังรัฐบาลเกาหลี ที่มีองค์กรร้ายใหญ่กว่านั้นชักใยอยู่เบื้องหลังจนล้มยักษ์ลงได้ภายในระยะเวลาแค่ 16 ตอนเท่านั้น

ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในชีวิตจริงมีอยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์กัน? นั่นเพียงพอหรือยังที่จะทำให้เราออกปากว่า ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์แฟนตาซีเพ้อฝันที่ไร้ซึ่งมังกรบินได้ หากถูกฉาบเคลือบด้วยฉาก ผู้คน วันเวลา และสถานที่ที่มีอยู่จริง ทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วม และเชื่อได้อย่างเต็มที่ว่าเหตุการณ์ในซีรีส์ก็จะสามารถเป็นไปได้ในชีวิตจริง

แล้วมันเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ?

อำนาจในมือคนธรรมดา

เรื่องราวในซีรีส์นั้นคลี่คลายปมไปเรื่อยๆ ในระหว่างทาง มันทำให้คนดูที่กำลังลุ้นระทึกไปกับโลกเสมือนจริงตรงหน้านั้นเชื่ออย่างหมดหัวใจว่า เมื่อคนธรรมดาอย่างชาดัลกอนและโกแฮรีตั้งมั่นมากพอ พวกเขาสามารถทำตัวเป็นเดวิดที่ล้มยักษ์โกไลแอธลงได้ และในที่สุดแล้ว โลกก็จะรับรู้ความเป็นจริงได้ในที่สุด ไม่ว่าอิทธิพลมืดนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม 

แม้กระทั่งกีแทอุง (รับบทโดย Shin Sung-rok) หัวหน้าหน่วยของโกแฮรีเอง ก็ยังเกิดอาการลักลั่น เมื่อต้องคราวต้องอยู่จุดปะทะกันระหว่าง ‘คุณธรรม’ และ ‘หน้าที่รับใช้ประชาชน’ ที่ถูกกรอกหูมาตลอดชีวิต กับ ‘หน้าที่ในฐานะลูกจ้างรัฐบาล’ และถึงแม้ว่าการกระทำของเขาจะคลี่คลายไปในทิศทางเอาใจคนดู แต่ในระหว่างการตัดสินใจสลับไปสลับมานั้น การกระทำของเขาก็ตีแผ่อะไรที่ติดอยู่ในใจของ ‘ประชาชน’ ทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการต้องเลือกระหว่างการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน และปกป้องพยานเพียงคนเดียวที่จะตีแผ่แผนลับดำมืดในคดีที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ กับการทำตามคำสั่งของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด และปล่อยให้เหตุการณ์ที่ตนเองรู้อยู่แก่ใจว่า ‘ผิดศีลธรรม’ เกิดขึ้นตรงหน้า หรือการที่ต้องตัดสินใจ ‘ตามน้ำ’ ไปกับรัฐ โดยการปรักปรำฝั่งชาดัลกอนทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘เราจะตัดสินใจอย่างไร ถ้าต้องสวมรองเท้าของกีแทอุงเข้าไปยืนอยู่ ณ จุดนั้น’ คำตอบนั้นอาจจะไม่ต่างจากการตัดสินใจของเขาเลยก็เป็นได้

มันเป็นความจริง… แม้จะแสนเศร้าและหดหู่ แต่มันก็คือความจริง 

อย่างไรก็ดี… ซีรีส์เรื่องนี้ก็คือซีรีส์แฟนตาซี… มันคลี่คลายไปในทิศทางที่เอาใจผู้ชมคนธรรมดาที่เฝ้าหน้าจออยู่โดยส่งสารออกมาทื่อๆ เลยว่า คุณธรรม ความดี และความตั้งใจจริงของคนธรรมดานั้น อยู๋เหนืออำนาจใดๆ ก็ตาม และทุกคนสามารถเป็นฮีโร่กอบกู้โลกได้ 

เรียกได้ว่า… โลกทั้งใบอยู่ในมือเรา ถ้าเรายึดมั่นในคุณธรรมมากพอ 

ความดำมืดในจิตใจที่ไม่อาจปล่อยวางได้

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กับประเด็นแฟนตาซีเดวิดล้มยักษ์โกไลแอธที่กล่าวไปข้างต้นนั้นเห็นจะได้แก่ประเด็นที่ว่าด้วยความดำมืดในจิตใจของชาดัลกอน ที่ต้องการแก้แค้นให้กับหลานชายของตัวเอง ซึ่งทำให้การกระทำของเขานั้นกลายเป็น ‘ทำเพื่อชาติ’ ไปโดยปริยาย 

แต่แท้จริงแล้ว… ในใจของชาดัลกอนนั้น เขาต้องการที่จะ ‘ตีแผ่’ ความเป็นจริงอันฟอนเฟะเบื้องหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายที่พรากเอาหลานชายเพียงคนเดียวไปจากตัวเขา หรือเขาต้องการที่จะ ‘ฆ่าล้างโคตร’ คนที่มีส่วนทำให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกันแน่?

คำตอบของคำถามนี้ถูกเฉลยไว้ในช่วงท้ายๆ ของซีรีส์ เมื่อเขาตัดสินใจที่จะตัดขาดจากโกแฮรีอันเป็นที่รัก และเข้าร่วมองค์กรทหารรับจ้าง เพื่อสาวไปให้ถึงตัวบงการตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมครั้งนี้โดยไม่พึ่งพาอำนาจรัฐหรืออะไรใดๆ เรียกได้ว่าลงใต้ดินอย่างเต็มตัว และเมื่อเขาได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับตัวการที่พรากหลานชายไปจากเขาแบบตัวต่อตัว… เขาก็ตัดสินใจตั้งศาลเตี้ยจัดการด้วยตัวเอง

นั่นอาจจะเป็นฉากแรกที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้หลุดออกจากความเป็นแฟนตาซีมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงก็ว่าได้ 

เพราะในวันที่อำนาจรัฐพึ่งพาไม่ได้ ไร้การตรวจสอบ ไม่โปร่งใสนั้น ‘เหยื่อ’ ที่เกิดจากความหละหลวมดังกล่าวนั้นดูจะไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากฉีกกรอบ ‘คุณธรรม’ และ ‘กฎหมาย’ พื้นฐานเพื่อตั้งศาลเตี้ยจัดการเรื่องอยุติธรรมที่เกิดจากกระบวนการยุติธรรมที่อยู่เหนือกว่านั่นเอง 

เนื้อเรื่องของซีรีส์ Vagabond นั้นยังไม่จบ เราไม่อาจคาดเดาได้ว่า มันจะดำเนินไปสำรวจคุณธรรมในตัวชาดัลกอนและพรรคพวกจนถึงจุดไหน โกแฮรีจะหันหน้าเข้าหาความมืดเพื่อแก้แค้นให้กับชาดัลกอนหรือไม่ และชาดัลกอนจะสามารถถอนตัวออกจากหลุมดำที่เรียกว่าความแค้นได้ไหม และที่สำคัญ… ซีรีส์เรื่องนี้จะยังคงดำเนินเรื่องความเป็นแฟนตาซีโดยเขียนให้รัฐบาลเกาหลีกลับมาโปร่งใส ตรวจสอบได้อีกครั้งหรือไม่

คงต้องรอลุ้นซีซั่นสองไปพร้อมกันครับ 

รับชม Vagabond ได้ที่ www.netflix.com 

Triple Frontier: เมื่อกฎที่เคยเชื่อ กลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เหล่านักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง Triple Frontier

ก่อนที่เราจะเข้าไปสัมภาษณ์ roundtable กับสื่อมวลชนอื่นๆ จากประเทศไทย เราได้รับบรีฟอย่างชัดเจนว่า ‘ห้ามถามเรื่องส่วนตัวของดารา’ ขอให้โฟกัสอยู่กับผลงานการแสดงของพวกเขาเท่านั้น เพราะเพรสทริปครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง Triple Frontier ที่กำลังจะสตรีมมิ่งอย่างเป็นทางการในวันนี้แล้ว นอกเหนือไปจากทัพนักแสดงหลักๆ ถึงห้าคนไล่มาตั้งแต่ เบน แอฟเฟล็ก, ออสการ์ ไอแซ็ก, ชาร์ลี ฮันแนม, แกร์เร็ต เฮดลันด์ และเปโดร ปาสกาล มารวมหลังออกปล้นเงินพ่อค้ายาแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้ผู้กำกับอย่าง เจ.ซี. แซนเดอร์ (Margin Call และ All Is Lost) พ่วงด้วยมาร์ก โบล ผู้เขียนบทจาก The Hurt Locker และ Zero Dark Thirty มาร่วมเขียนบทอีกด้วย

เบน แอฟเฟล็ก ผู้รับบท ทอม “เรดฟลาย” เดวิส

บรรยากาศในงานแถลงข่าวช่วงเช้าเป็นไปอย่างสบายๆ นักแสดงทั้งสามและโปรดิวเซอร์ตอบคำถามทั่วไปของนักข่าวอย่างเป็นกันเอง เบนอธิบายเรื่องราวคร่าวๆ ในภาพยนตร์ด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำน่าฟัง “หนังเรื่องนี้รวบทั้งความตื่นเต้น ยุทธการทางทหาร การปล้นเงิน และแอ็กชั่นมาเต็มๆ เลยครับ มันสนุกมากเลยนะครับ และภายใต้ความแอ็กชั่นนั้น มันก็บอกเล่าเรื่องราวของนายทหารที่เก่งมากๆ รับใช้ประเทศมานาน สนิทสนมกัน และต้องมารวมตัวกันปฏิบัติภารกิจที่แตกต่างจากที่พวกเขาเคยเชื่อมาตลอดชีวิต มันเป็นเรื่องราวของการตั้งคำถามเรื่องสงคราม ศักดิ์ศรี และอะไรหลายๆ อย่างครับ ทุกคนเอ็นจอยแน่นอนครับ”

ในส่วนของการเตรียมตัวเพื่อร่วมแสดงนั้น แกร์เร็ตบอกว่า พวกเขาต้องเตรียมตัวกันอย่างหนักมากในระยะเวลาเพียงสั้นๆ “พวกเราเริ่มต้นจากการเข้าพูดคุยกับผู้คนในวงการทหาร ที่เป็นที่ปรึกษาในหนังเรื่องนี้ เรามีเวลาเตรียมตัวก่อนถ่ายแค่ 4 วันเท่านั้นเอง เราต้องเรียนรู้การยิงปืน เครื่องมือทางการทหารต่างๆ และอะไรอีกมากมายในเวลาจำกัดเท่านั้น แต่พวกเรารู้จักกันมาก่อนหน้าแล้วครับ ผมกับออสการ์รู้จักกันมาเป็นสิบปีแล้ว ส่วนผมกับชาร์ลีนี่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก สิบห้าปีแล้ว การทำความเข้าใจสัมพันธภาพของตัวละครในเรื่องนั้นไม่ยากเท่าไหร่ และสำหรับตัวผมเองนั้น คาแร็กเตอร์ของผมเป็นนักสู้ MMA ผมต้องฝึกศิลปะป้องกันตัวต่างๆ มีจูจิตสึด้วยนะ ที่ปรึกษาจากกองทัพให้คำแนะนำดีๆ กับผมเยอะแยะไปหมด พวกเขามีความสามารถจริงๆ เป็นคนที่เก่งมากๆ พวกเขายินดีที่จะแบ่งปันอะไรต่อมิอะไรแบบไม่หวงเลย มันเยี่ยมมากเลยครับ

“ผมเทรนหนักมากเลยครับ แต่เอาจริงๆ นะ ไม่ว่าคาแร็กเตอร์ผมจะเป็นอะไร นี่มันคือแอ็กชั่นฟิล์ม มันก็ต้องมีการฝึกฝนร่างกายอยู่แล้ว ปู่และพ่อของผมเองก็เคยเข้าร่วมกองทัพมานะครับ ปู่เคยไปสงครามเสียด้วยซ้ำ ผมเคยแสดงเป็นทหารมาก่อนแล้ว และในการรับบทเป็นทหาร ไม่ว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นจะอยู่ใน category อะไร คุณก็ต้องเคารพเครื่องแบบ และกฎกติกาของพวกเขา เพราะเวลาคุณสวมเครื่องแบบ คุณต้องเชื่อว่าตัวเองเป็นทหาร ไม่ใช่เอาเครื่องแบบมาสวมแล้วทำท่าเลียนแบบพวกเขาเท่านั้น เรื่องนี้ให้ความสำคัญกับจุดนี้มาก มันเลยเป็นภาพยนตร์ที่ ‘จริง’ ที่สุดเท่าที่ผมเคยแสดงมา”​ และเมื่อเขาอธิบายความหนักหน่วงของการเทรนด์ก่อนแสดงจบ ชาร์ลีก็อดไม่ได้ที่จะเสริมขึ้นมา

แกร์เร็ต เฮดลันด์ ผู้รับบท เบน มิลเลอร์

“ช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุดในการทำงานเป็นนักแสดงคือช่วงเวลาที่เราเตรียมตัวก่อนเปิดกล้องนี่ล่ะครับ เพราะการเตรียมตัวแต่ละเรื่องมันไม่เหมือนกันเลย การรับบทแต่ละบทก็ไม่เหมือนกัน นั่นคือความตื่นเต้นในการทำงานเป็นนักแสดงเลยนะครับ มันหลากหลายมากจริงๆ แต่ละบทก็ต้องการสกิลล์ที่แตกต่างกัน ก็อย่างที่แกร์เร็ตบอกล่ะครับ เรื่องนี้ เราต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม คุยกับที่ปรึกษาที่มาจากกองทัพ มีคนมาจากทีมซีลสามทีม จากเดลต้าฟอร์ซ พวกเขาให้พวกเราออกไปฝึกยิงปืนจริงๆ ทันทีที่เราเจอกันเลยนะครับ ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเบน ไม่เคยเจอออสการ์มาก่อนเลยครับ เจอกันครึ่งชั่วโมง ก็ออกไปยิงปืนด้วยกันแล้ว นั่นมันเป็นเรื่องที่จริงมากเลยนะครับที่ซ้อมกันแบบนี้ เราจะได้ไม่คิดว่านี่คือการเล่นเกม แต่มันคือสงครามของจริง และพวกเราจะได้อินกับบทบาทของตัวเอง เพราะส่วนหนึ่งในการทำให้ภาพยนตร์ดูน่าเชื่อถือก็คือ พวกเราเองก็จะต้องเชื่อมั่นในความเป็นพี่เป็นน้องของตัวละครพวกเรา พวกเราต้องดูแลระวังหลัง และรับผิดชอบชีวิตของกันและกัน การได้ใช้เวลาร่วมกับพวกเขานอกจอ ทำให้ผมอยากจะปกป้องพวกเขาเวลาอยู่ในจอน่ะครับ การใช้คนจากกองทัพมาช่วยกระตุ้นให้พวกเรารู้สึกแบบนี้มันดีมากเลยครับ และในขณะเดียวกัน สิ่งที่พวกเราคิดร่วมกันก็คือ เราต้องระวังความปลอดภัยของเพื่อนนักแสดงด้วยกันเอง เวลาเข้าฉากน่ะครับ การได้รู้ว่าเพื่อนร่วมกองของเราต่างระวังหลังให้กันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลยครับ”​ ซึ่งจากคำตอบนี้ เราก็เดาได้ไม่ยากว่า สายสัมพันธ์ในชีวิตจริงของเหล่านักแสดงนั้นคงจะสะท้อนออกมาเป็นภาพอันอบอุ่นในภาพยนตร์ที่เรายังไม่ได้ดูนี้อย่างแน่นอน

เซสชั่นแถลงข่าวจบลงไปด้วยคำถามจากนักข่าวประเทศเพื่อนบ้านเรา พวกเราเข้าไปรอสัมภาษณ์ roundtable กับสามนักแสดงต่อหลังจากงานแถลงข่าวจบ เบนดูมีทีท่าเกือบจะเจ็ตแลก แต่เขาก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดการสัมภาษณ์สั้นๆ กับพวกเรา ส่วนแกร์เร็ตและชาร์ลีดูมีทีท่าสบายๆ ไม่ปรากฏอาการเหนื่อยอ่อนใดๆ

“เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อค้ายา หรือวงการยาเสพติดนั้นถือเป็นเรื่อง global issue อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อหลายคนบนโลก ถึงชีวิตเลยก็เห็นกันอยู่” เบนตอบ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งถามว่า อะไรที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นแตกต่างจากภาพยนตร์เกี่ยวกับการค้ายาเรื่องอื่นๆ “ผมว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจนั้นเพราะมันไม่ได้พูดถึงเรื่องการค้ายาตรงๆ แต่มันพูดถึงเรื่องทหารที่ใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ทางการทหารเป๊ะๆ มีเกียรติ มีหน้าที่รับผิดชอบ มีภารกิจต้องปฏิบัติ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เป็นทหารอีกแล้ว แล้วพวกเขาจะต้องทำอย่างไรกับทักษะต่างๆ ที่ฝึกฝนมาตลอดชีวิตล่ะ และสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ เมื่อชีวิตของพวกเขามาถึงจุดที่สิ่งที่พวกเขายึดมั่นอย่างกฎเกณฑ์เหล่านั้นมันถูกท้าทายจากการใช้ชีวิต จากสิ่งยั่วยวนใจต่างๆ นั่นเป็นสิ่งที่หลายๆ คนน่าจะเข้าใจร่วมกันได้ไม่ยากนัก เพราะเรื่องนี้มันพูดถึงความโลภ พูดถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง และชีวิตของพวกเขาเวลาต้องเผชิญกับทางเลือกในชีวิตที่ต้องตัดสินใจน่ะครับ”

ชาร์ลี ฮันแนม ผู้รับบท วิลเลียม “ไอรอนเฮด” มิลเลอร์

เรารีบยกมือถามต่อทันทีว่า คำตอบเมื่อสักครู่ ฟังแล้วเหมือนกับว่าตัวละครที่เขาสวมนั้นกำลังเผชิญกับวิกฤติการวัยกลางคนอยู่ เราเข้าใจถูกหรือผิดแค่ไหนกัน ซึ่งเบนก็ตอบทันที “มันมีหลายมุมมองนะ ผมว่าหนังต้องการสื่ออะไรหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งก็คือสิ่งที่คุณเรียกว่า ‘วิกฤติวัยกลางคน’ นี่แหละ ก็ใช่นะ เพราะมันคือการใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่ง แล้วคุณจะตั้งคำถามว่า “นี่เรากำลังทำอะไรอยู่กันนะ” นี่เรากำลังใช้ชีวิตที่มีคุณค่าอะไรบางประการอยู่หรือเปล่า นี่เป็นคำถามที่เหล่าอดีตทหารในเรื่องกำลังถามตัวเองอยู่ พวกเขาใช้เวลา 20 ปีในชีวิตทุ่มเทให้กับอาชีพตัวเอง มีจุดมุ่งหมายเดียวคือ ขึ้นเป็นที่หนึ่งในอาชีพการงาน พัฒนาสกิลล์ของตัวเองให้ถึงขีดสุด จินตนาการดูนะว่าถ้าคุณอยู่ในกองทัพเรือ คุณเก่งที่สุดเท่าที่ขีดจำกัดของคุณจะไปได้ แล้ววันหนึ่ง ก็มีคนมาบอกคุณว่า ‘โอเค จบแล้วนะ’ คุณต้องมา ‘จินตนาการ’ ชีวิตที่จะใช้ใหม่ทั้งหมด เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนตัวตนของตัวเอง ไอเด็นติตี้ทั้งหมด แล้วต้องใช้ชีวิตต่อไปแบบนั้น มันยากแน่ๆ ดังนั้น ใช่ครับ เราหัวเราะกับคำว่า ‘วิกฤติวัยกลางคน’ เพราะมันเชื่อมโยงกับภาพผู้ชายอายุ 45 ปี หัวล้าน ขับเฟอร์รารี่ หรืออะไรแบบนั้น แต่นี่มันเป็นการสำรวจเข้าไปในเรื่องราวตรงนั้นแบบจริงจัง

“ผมแสดงเป็นหัวหน้าทีมนี้น่ะครับ เขาทุ่มเทให้กับอาชีพตัวเอง และกลายมาเป็นอดีตทหารผ่านศึก ซึ่งก็เกิดปัญหาทั่วไป ก็คือ เขาจากบ้านไปนาน มีปัญหากับครอบครัว หย่าร้าง ต่อสู้เรื่องสิทธิการเลี้ยงดูลูก มีปัญหาการเงิน ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน เขารู้สึกว่าทุกอย่างในชีวิตบีบคั้นเขาตลอดเวลา พอเขาได้รับข้อเสนอแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นข้อเสนอที่ดูน่าสงสัยทั้งในแง่ศีลธรรม และอะไรต่างๆ นานาก็ตาม แต่มันก็เป็นหนทางเดียวที่เขาจะสามารถออกจากปัญหาที่หนักอกหนักใจเขาอยู่ แต่ผมว่า ลึกๆ แล้ว เขาแค่ต้องการการเป็นที่ยอมรับ อยากให้คนตระหนักในคุณค่าของเขา แล้วพอเขามารวมกลุ่มกับเพื่อนเก่าพวกนี้ มันก็ช่วยนิยามตัวตนของเขาให้ชัดเจนขึ้น ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ยอมรับ รู้ตัวว่าเขาเป็นอะไร” เบนตอบคำถามจากเราอย่างยืดยาวจนเราแอบรู้สึกผิดนิดๆ ที่เหมือนจะไป ‘จี้จุด’ อะไรบางประการในตัวเขาเข้าจนเราต้องแอบยกมือขอโทษ ซึ่งเขาก็ยิ้มให้เราอย่างอ่อนโยน และตอบสั้นๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอก จริงๆ นะ”

หลังจากนั้น บรรยากาศใน roundtable ก็เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย สื่อที่เหลือยิงคำถามเรื่องไลฟ์สไตล์ คำถามโปกฮาต่างๆ ที่ทั้งแกร์เร็ตและชาร์ลีก็ตอบอย่างน่ารักน่าชัง โดยมีพี่ใหญ่อย่างเบนคอยเสริมให้บรรยากาศโดยรวมดูผ่อนคลายและน่าประทับใจ

ความรู้สึกที่เหลืออยู่ในใจเราหลังจากที่เข้าร่วมสัมภาษณ์ในครั้งนี้นั้นคือมิตรภาพระหว่างนักแสดง และตัวละครที่พวกเขาแสดง ดูเหมือนจะเกี่ยวกระหวัดเป็นเรื่องเดียวกันแบบแยกออกลำบาก ในชีวิตจริง หลายคนเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อพวกเขาต้องไปอยู่ด้วยกันในอีกชีวิตหนึ่ง พวกเขาก็พกเอามิตรภาพเหล่านั้นไปด้วย และเราเชื่อว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้นออกมาอย่างเข้มข้นไม่แพ้ความสนุกจากภาพยนตร์แอ็กชั่นทั่วไปแน่นอน

Triple Frontier – ปล้น ล่า ท้านรก สตรีมแล้วที่ Netflix

All photos are courtesy of Netflix, exclusively for L’Officiel Hommes Thailand

 

The Umbrella Academy – ซีรีส์ข้ามเวลากู้โลกของเหล่าฮีโร่ใจบอบช้ำ

จุดเด่น

  • เป็นซีรีส์ฮีโร่ที่เน้นด้านมืดของครอบครัวได้อย่างถึงแก่น
  • โรเบิร์ต ชีฮาน เล่นได้มีเสน่ห์มาก
  • เอลเลน เพจ กลับมารับบทฮีโร่ที่มีด้านดราม่าที่แข็งแรง

จุดสังเกต

  • ซีรีส์ปูเรื่องราว 5 ตอนแรกด้วยเหตุการณ์ยิบย่อยขาดความเป็นเอกภาพไปหน่อย
  • ดูแล้วก็ยังไม่ค่อยผูกพันกับตัวละครนัก
  • ไม่ปูปมสำคัญๆของตัวละครให้คนดูติดตามและเอาใจช่วยตัวละคร

1 ตุลาคม 1989 เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อสาวบริสุทธิ์ให้กำเนิดบุตรและธิดารวม 43 คน โดยเด็กทุกคนจะมีพลังพิเศษแอบแฝงอยู่แต่มีเด็ก 7 คนที่ เซอร์ เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟส์  (คอล์ม ฟิออร์) ได้อุปถัมภ์และก่อตั้ง อัมเบรลลา อคาเดมี เพื่อฝึกให้พวกเขากลายเป็นฮีโร่พิทักษ์โลกได้แก่ อาร์เธอร์ (ทอม ฮอปเปอร์) หรือหมายเลข 1 นักบินอวกาศผู้มีพละกำลังอันแข็งแกร่ง ,ดิเอโก (เดวิด แคสตานีดา) หรือหมายเลข 2 มือมีด, อลิสัน (เอมี เลเวอร์ แลมป์แมน) หรือหมายเลข 3 ดาราดังผู้สามารถบิดเบือนความจริงด้วยคำโกหก, เคลาส์ (โรเบิร์ต ชีฮาน) หรือหมายเลข 4 ผู้สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้, หมายเลข 5 (ไอแดน กัลลาเกอร์) เด็กชายไร้ชื่อผู้สามารถเดินทางข้ามเวลาได้ และวานย่า (เอลเลน เพจ) หรือหมายเลข 7 ผู้ถูกตีตราว่าไร้พลังแต่คอยบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกเขาเป็นหนังสือ และด้วยบาดแผลในวัยเด็กของพวกเขาก็ทำให้แต่ละคนแยกย้ายไปตามทาง แต่หลังการตายของ เซอร์เรจินัลด์ พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุการตายของพ่ออุปถัมภ์และต้องร่วมมือกันหยุดยั้งหายนะโลกที่ถูกบงการโดย เดอะคอมมิชชั่น

The Umbrella Academy เดิมทีเป็นคอมิกในค่าย ดาร์ค ฮอร์ส คอมิก ที่มีซูปเปอร์ฮีโร่ดังอย่างเด็กนรก Hellboy และ The Mask หน้ากากเทวดา เป็นหัวหอกของค่าย ซึ่งคอมิกค่ายนี้มักเน้นเรื่องราวของตัวละครเอกที่มีด้านมืดหรือเกิดจากผลกระทบบางอย่างจากสังคมเป็นสำคัญ ซึ่งก็ไม่เว้น The Umbrella Academy ผลงานการสร้างสรรค์เรื่องราวโดย เจอร์ราด เวย์ ผ่านลายเส้นของ แกเบรียล บาร์ โดยแรกเริ่มเป็น คอมิกแบบ 6 ฉบับจบระหว่างปี 2007 – 2008 และได้รับรางวัล ไอส์เนอร์อวอร์ด สาขาลิมิเต็ดซีรีส์คอมิกยอดเยี่ยม และคอมิกซีรีส์ที่ 2 ก็เพิ่งวางแผงเล่มแรกจาก 3 ฉบับไปเมื่อปี2018ที่ผ่านมา โดยโครงการดัดแปลงคอมิกชุดนี้เป็นซีรีส์ได้เริ่มต้นในปี 2015 หลังจากล้มเหลวในการดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และในที่สุดมันก็ได้กลายเป็นซีรีส์ของทาง Netflix และเริ่มสตรีมมิง 10 ตอนไปเมื่อวันที 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั่นเอง

Narcos: Mexico ซีรีส์สุดระทึกที่ครองใจแฟนๆทั่วโลกกับการกลับมาอีกครั้งบน Netflix

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของซีรีส์สุดระทึกอย่าง Narcos: Mexico ที่ Netflix นำมาสตรีมให้ดูพร้อมกันทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายนนี้ เราชวนคุณมาคุยและทำความรู้จักกับ Michael Peña กับบทบาทตำรวจผู้แสนดีที่หลงเข้ามาท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุของยาเสพติดในประเทศเม็กซิโก แล้วคุณจะหลงรักเขาเหมือนกับที่เราหลงรักมาแล้ว

NARCOS MEXICO

ในซีรีส์ชุด Narcos: Mexico นั้นไมเคิลรับบทเป็นนายตำรวจ Enrique ‘Kiki’ Camarena ที่เอาเข้าจริงนั้นถือว่าเป็นบทรองก็ว่าได้ เนื่องจากก็รู้กันทั่วโลกว่าในซีรีส์ชุด Narcos ที่ผ่านมานั้น ปาโบล เอสโกบาร์ ได้ใจแฟนๆ ทั่วโลกไปมากกว่านายตำรวจอย่างฮาเวียร์ เปนญา จนเราแอบใจเสียแทนเขาไม่ได้ อย่างไรก็ดีหลังจากได้มีโอกาสสัมภาษณ์เขาสั้นๆ เราก็อดไม่ได้ที่จะแอบเอาใจช่วยนายตำรวจเอนริเกอย่างเงียบๆ

เล่าให้ฟังหน่อยสิว่าคาแร็กเตอร์ของเอนริเกกิกิคามาเรญา ที่คุณแสดงเป็นอย่างไร

สวัสดีครับ ผมชื่อไมเคิล เปนญา ผมรับบทเป็นเอนริเกกิกิคามาเรญา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดีอีเอ เขาเพียงแค่อยากจะสร้างความแตกต่าง พอจะรู้ใช่ไหมครับว่าในประเทศเม็กซิโกสถานการณ์เรื่องการค้ายาเริ่มเข้าขั้นสงคราม กิกิอยากจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงตรงนั้น เขาอยากจะหยุดอาชญากรรม ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น ในท้ายที่สุดแล้วกิกิคือคนอึดที่มีจิตใจดีคนหนึ่งเท่านั้นเองครับ

รู้สึกอย่างไรที่ได้รับบทพระเอกในซีรีส์ที่ดูเหมือนว่าพระเอกจริงๆ จะเป็นตัวร้ายแบบนี้ล่ะ

ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยครับว่าบทของผมจะต้องเป็นคนดี ต้องกำจัดคนชั่ว เพราะท้ายที่สุดแล้วหน้าที่ของผมคือการรับบทบาทเป็นเจ้าหน้าที่ดีอีเอ เมื่อเข้าไปอยู่ตรงนั้นแล้วเขาก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เท่านั้นเองครับ

NARCOS: MEXICO

การต้องเข้ามาแสดงในภาคต่อของซีรีส์ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามมาก่อนทำให้คุณกดดันมากไหม ?

ไม่นะครับ ผมคิดว่าความกดดันเหล่านั้นมันไปอยู่ที่คนที่เล่นเป็นปาโบล เอสโกบาร์ มากกว่า ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาทำได้ดีมากทีเดียว ต้องขอยกความชอบให้พวกเขาล่ะครับ

เล่าเรื่องสนุกๆ ในกองถ่ายให้เราฟังหน่อยสิ

เรื่องหนึ่งที่ผมจำได้เป็นอย่างดีเลยครับ มีช่วงหนึ่งฝนตกหนักมากๆ เราติดอยู่ที่ไหนกันก็ไม่รู้ ปกติเราคงจะถ่ายทำกันต่อใช่มั้ยครับ แต่แล้วลูกเห็บก็ตกลงมา ผมถ่ายวิดีโอติดไว้ด้วย ตกหนักเลย มันจะเริ่มขึ้นทุกวันตอน 5 โมงเย็น เราต้องหยุดถ่ายทำกันไปเลย 2 วันเต็มๆ เพราะว่าพายุลูกเห็บที่ประเทศเม็กซิโกมันรุนแรงมาก ลูกเห็บขนาดใหญ่เท่าลูกกอล์ฟเลยครับ พวกเราหลบอยู่ใต้หลังคา แล้วก็เข้าไปในรถเทรลเลอร์ ลูกเห็บตกลงมาบนหลังคารถเสียงดังมากเลยครับ ผมพยายามจะหลับ แต่ลมมันแรงมาก หลับไม่ลงเลย ผมนี่แบบขอโทษนะครับ ใครขยับรถเหรอครับ ช่วยหยุดสักทีได้มั้ยเนี่ย มันสั่นจนเหมือนกับว่ามีคนมาเขย่ารถไปมา พอผมลองเปิดประตูออกดู ลมก็ตีจนมันเปิดออกกว้างมาก อย่างกับลมพายุที่บ้าระห่ำ ทำเอาผมเปียกโชกเหมือนใครเอาถังน้ำมาคว่ำใส่หัวผมเลยครับ

NARCOS: MEXICO

ฉันเป็นแฟนของ Narcos เลยนะ บอกหน่อยสิว่าฉันคาดหวังอะไรจาก Narcos: Mexico ได้บ้าง

คงไม่ได้มากนะครับ ถ้าเป็นผมจะดูแบบไม่หยุด 3 วันติดเลยครับ ประมาณว่าวันศุกร์ 2 ตอน วันเสาร์ 3 ตอน วันอาทิตย์อีกสัก 4 ตอน ผมคงจะดูจบภายใน 1 สัปดาห์ เพราะผมชอบวิธีการเล่าเรื่อง วิธีการที่พวกเขาตัดต่อและนำเรื่องราวทั้งหมดเข้ามาไว้ด้วยกันเป็นซีรีส์ ตัวบททุกตอนคือเซอร์ไพรส์ดีๆ นี่เองครับ

คุณใช้วิธีการใดในการเข้าถึงตัวละครอย่างเอนริเก มีคอนฟลิกต์เรื่องคุณธรรมใดๆ ในใจหรือเปล่า

ไม่ค่อยเท่าไรครับ ตอนแรกผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไมเอนริเก (ตัวจริง) ถึงเลือกทำแบบนี้ แต่พอผมได้มีโอกาสคุยกับภรรยาของเขา เธอบอกผมว่าสิ่งที่เอนริเกต้องการทำคือการปราบอาชญากรรม กำจัดพวกคนไม่ดีให้หมดไป มันเหมือนกับเวลาที่เราอยากจะเก็บเงินเข้าบัญชี เราไปธนาคาร เจ้าหน้าที่ก็ช่วยเหลือเรา เหมือนกับพนักงานในร้านอาหารหรือคนขับรถที่ต่างก็ได้ทำหน้าที่ตามอาชีพของตัวเอง สำหรับเอนริเกแล้วการทำตามหน้าที่ก็คือการช่วยเหลือสังคม ปราบอาชญากรรม ไม่ใช่การช่วยเหลือเพียงแค่ตัวเอง แต่รวมถึงสังคมรอบข้างด้วยครับ

NARCOS: MEXICO

บอกอะไรกับแฟนๆ ชาวไทยที่รอซีรีส์เรื่องนี้หน่อยสิ

ก่อนอื่นเลยครับ ผมไม่เคยไปเที่ยวประเทศไทย แต่อยากไปมากๆ เลยครับ ผมชอบดูการต่อสู้ อย่างมวยไทย คุณบัวขาว แฟร์แฟ็กซ์ ผมก็ต่อยมวยบ้างนิดหน่อยนะ แต่คงเทียบไม่ได้กับระดับปรมาจารย์อย่างพวกเขาครับ ผมอ่านเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยเยอะมาก สักวันหนึ่งจะไปให้ได้ครับ ผมตั้งตารอที่จะให้เรื่องออนแอร์ อยากให้ทุกคนได้ดูกัน หวังว่าแฟนๆ ชาวไทยจะชอบกันนะครับ

NARCOS: MEXICO