Posts

Hommes Interview : Always Be Open to New Opportunities

Author: PACHAREE KLINCHOO

Photography: PONPISUT PEJAROEN

“ผมรู้สึกทึ่งกับความเป็นหมอภาคย์ตั้งแต่ที่เขาไปออกรายการวาไรตี้ที่มีคนถามแกว่า ‘พี่ภาคย์จะฟิตขนาดนี้ไปเพื่ออะไร จะสะสมเหรียญตราจากการฝึกคอมมานโดต่างๆ จนเกลี้ยงทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในประเทศนี้ไปเพื่ออะไร’ และพอเกิดเหตุการณ์ 13 หมูป่าติดถ้ำนี้ขึ้นมา มันก็เหมือนกับ flashback ไปตอบคำถามทั้งหมดนั้นได้ว่า ‘ก็นี่ไง เพราะว่า sh*t happens!’ นี่ล่ะครับ” บลูม – วรินทร ญารุจนนทน์ ผู้รับบทพันเอก นายแพทย์ ภาคย์ โลหารชุน (หมอภาคย์) ในซีรีส์เรื่อง Thai Cave Rescue สร้างโดย Netflix เล่าให้เราฟังเมื่อเราขอให้เขาบรรยายความเป็นหมอภาคย์ในความคิดของนักแสดงอย่างเขา “ในตอนนั้น ใครจะไปรู้ได้ล่ะครับว่าเขาจะเป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ถูกชิ้นที่เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นแพทย์และความเป็นทหารอยู่ในคนเดียวกัน เขาเป็นคาแรกเตอร์ที่มีความเป็นหยินและหยาง ภายนอกเขาดูแข็งแกร่งดุดัน แต่ภายในเขามีความอ่อนโยนนุ่มนวล คุณสมบัติที่น่าทึ่งในตัวของหมอภาคย์คือความพร้อม พร้อมรับกับอะไรก็ตามที่โลกจะโยนมาให้ เพราะฉะนั้น เมื่อแกรับทราบว่ามีเด็กๆ ติดถ้ำอยู่ พอมาถึงหน้างาน แกก็พร้อมที่จะบอกสถานการณ์กับ คนที่อาจจะไม่เข้าใจในมุมมองของความเป็นแพทย์ว่าจะสามารถเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และเมื่อแกเข้าไปในถ้ำ แกก็มีอีกภาคหนึ่งออกมา นั่นคือภาคความเป็นพ่อ และความเป็นพี่ชาย”

และเพื่อถ่ายทอดความเป็นหยินและหยางในตัวของหมอภาคย์ออกมาให้หมดจดที่สุด บลูมเองก็เตรียมความพร้อมก่อนไปแคสติ้งได้แบบเล่นใหญ่ไม่แพ้หมอภาคย์ตัวจริง “ตอนแรกที่ผมได้รับการบ้านมาจาก casting director ผมก็พาตัวเองไปใกล้ๆ กับที่ที่มันมีน้ำ เริ่มจากสระว่ายน้ำของหมู่บ้าน สวนสาธารณะ เอาตัวไปอยู่ใกล้ๆ กับบึง กับทะเลสาบ แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่ ในที่สุด ผมก็ขับรถไปถ้ำที่จังหวัดราชบุรีที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด กำบทเข้าไปนั่งท่องในนั้น ขากลับออกมานี่ตัวเปียกไปหมด เพราะมันร้อนมาก ไม่มีลมผ่าน ผมต้องการความรู้สึกที่ไม่มีคน ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่เสียงก้องๆ มีความชื้น ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปคือกลิ่นดิน กลิ่นความชื้น แค่เสียงน้ำหยดก็ได้ยินแล้ว ไปลองกินน้ำจากหินงอกหินย้อย เพื่อทำความเข้าใจบทสนทนาระหว่างหมอภาคย์กับ น้องดอมที่นั่งปรับทุกข์กันในถ้ำนั้น เป็นช่วงบทที่หมอภาคย์จะปรับทุกข์ออกมาในส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดในความเป็นทหาร เขาโยนหมวกทหารทิ้งไปเพื่อปรับทุกข์ กับน้องดอมว่าลูกชายเขาก็อยากให้เขากลับบ้านเร็วๆ เช่นกัน ผมรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง และความอ่อนโยนในตัวหมอภาคย์ ที่เป็นสิ่งที่ท้าทายกับผมว่า ผมจะสื่อสารจิตวิญญาณแบบนี้ออกมาได้อย่างไร และในวันที่ผมรู้ว่าผมได้รับคัดเลือก มันก็เป็นคำถามมาตลอดว่าทำไมถึงเป็นผม”

และคำถามในหัวของบลูมนั้นก็ติดอยู่ในหัวเขาไปจนกระทั่งปิดกล้องเขาเพิ่งมาได้รับคำตอบจากคุณปุ้ย (ศุภกานต์ ยินดี) casting director เข้าในวันที่เขาถ่ายเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาสงวนคำตอบนั้นไว้กับตัว “ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบสำหรับผมคนเดียวครับ ผมไม่สามารถเอาไปแชร์กับคนอื่นได้จริงๆ”

ในเมื่อเขาตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความทรงจำส่วนบุคคล เราจึงขอให้แชร์ความทรงจำอะไรในกองถ่ายที่เขาพอจะแชร์กับเราได้บ้าง “ผมเอาพรินเตอร์ไปที่เชียงรายด้วยครับ” เขาเล่าแบบสบายๆ แต่เราเลิกคิ้วพร้อมปล่อยขำแบบกลั้นไม่ทัน “มันมีการเปลี่ยนบทเล็กๆ น้อยๆ อยู่แทบจะทุกๆ สามสี่วัน บทมันจะอัพเดทตลอดเวลาด้วยเหตุผลที่น้องคนหนึ่งในทีมนักแสดงหมูป่าติดโควิด บวกกับการถ่ายทำภายใต้บรรยากาศโควิด ทำให้เราไม่รู้เลยว่าจะต้องหมุนคิวขึ้นมาเมื่อไหร่ ทำให้ผมตัดสินใจเอาพรินเตอร์ไปพรินท์บทเองกันพลาด เพราะบทของหมอภาคย์ที่มีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษนั้นเป็นบทที่ไม่ง่าย และผมรู้สึกว่าอยากจะพร้อมตลอดเวลาครับ”

และเรื่องหลักที่เขาเรียนรู้จากการได้รับบทหมอภาคย์ในครั้งนี้คือเรื่องเดียวกับที่ทำเขาประทับใจหมอภาคย์ตั้งแต่แรกนั่นเอง “ผมคิดว่าความพร้อมของชีวิตเป็นสิ่งจำเป็นเสมอครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีดินถล่ม มีน้ำท่วม มีวินาศภัยอะไรก็ตามเกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าการทำงานครั้งนี้เป็นบทสะท้อนระหว่างผมกับหมอภาคย์ว่า ย้อนกลับไประยะเวลาหนึ่งก่อน เกิดเหตุการณ์นี้ หมอภาคย์ฟิตร่างกายไว้ราวกับเตรียมพร้อมมาตลอด ในขณะเดียวกัน การที่บทนี้หล่นลงมาใส่หัวผม ผมไปซ้อมบทในถ้ำ และได้รับคัดเลือก มันทำให้ผมรู้ว่าชีวิตนี้ผมไม่มีทางเลือกอื่นใดเลย นอกจากจะต้องพร้อมรับบทแบบนี้ตลอดเวลา ผมก้าวจากนักแสดงที่ไม่เคยมีประสบการณ์การถ่ายทำต่อเนื่องด้วยคิว 30+ แบบนี้มาก่อน ผมเคยถ่ายโฆษณา เคยถ่ายภาพยนตร์มาบ้าง แต่เป็นบทเล็กๆ เท่านั้น ผมไม่เคยคิดว่าผมจะทำได้ แต่พอผมได้รับโอกาสแสดงเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ผมต้องทำได้ แต่ผมต้องทำได้ดีด้วยครับ

“ผมคิดว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่แปลก และอันตรายด้วยนะ” เขารำพึงเมื่อเราถามว่าโอกาสที่ได้รับครั้งนี้นับว่าเป็นหมุดหมายหรือจุดเปลี่ยนอะไรในชีวิตนักแสดงของเขาหรือเปล่า “เพราะเราจะวางความคาดหวังไว้ในที่ที่มันสูง และเราก็ต้องทำงานหนักด้วยในการวิ่งเข้าไปหาประตูทุกบานที่มี และผมก็จะคาดหวังกับตัวเองโดยการทำตัวให้พร้อมได้อย่างนี้ต่อๆ ไป คือในทุกวันที่ตื่นมาผมจะต้องมีความหวังว่ามันจะมีอะไรเข้ามาเสมอ… ยังไงดีนะ” เขานิ่งไปสักพัก เรารอ “ผมไม่ได้พูดแบบนี้ทั่วๆ ไปนะ ขอพูดเฉพาะตรงนี้ ผมถ่ายโฆษณาเยอะมาก และวันหนึ่งผมก็ถูกเรียกไปแคสติ้งโฆษณาสองตัว สองโลเคชั่น ซึ่งมันก็มีเหตุผลอยู่ร้อยอย่างที่ผมจะไม่ไปแคสติ้งโฆษณาสองตัวนี้ แต่ผมก็ตัดสินใจไปแคสติ้งทั้งสองงาน และก็ไม่ได้สักงาน แต่สิ่งที่ผมได้รับมา และมาเฉลยตอนที่ผมถ่ายเสร็จแล้วก็คือ คุณปุ้ยได้คอนแทคต์ของผมมาจากการที่ผมไปแคสติ้งงานที่สองนี่ล่ะครับ”

ไม่ว่าจะเป็นหมอภาคย์ หรือบลูม การนั่งรอโอกาสเฉยๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่วิถีของพวกเขาเสียแล้ว และเราก็เชื่อว่าความพร้อมในการที่จะจารึกอะไรบางประการของพวกเขานั้นคงจะไม่หยุดแค่เหตุการณ์ครั้งนี้และซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอน

สตรีมซีรีส์เรื่อง Thai Cave Rescue ได้แล้วที่ Netflix

Netflix เผยคาแรกเตอร์ Uncle Foster จากซีรีส์ WEDNESDAY เป็นครั้งแรกในตัวอย่างใหม่

g

เตรียมพบกับซีรีส์สุดสยองขวัญ WEDNESDAY เล่าเรื่องของครอบครัวอดัมส์ ได้อย่างเป็นทางการทาง Netflix ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายนเป็นต้นไป และในระหว่างนี้ มาดูตัวอย่างใหม่ ที่เปิดคาแรกเตอร์ Uncle Foster อย่างเป็นทางการ

The Sparkling life of Halston.

ใครที่ชอบสารคดีเรื่อง Halston เมื่อปี 2019 ที่ทำได้ดีมาก แต่อาจจะขาดความเผ็ดแซบเพราะนั่นคือสารคดี แต่ในเมื่อโปรเจ็ค Halston 2021 นี้มีไรอัน เมอร์ฟีย์ เป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์และทีมเขียนบท รับรองได้ว่าการนำเอาตำนานของแฟชั่นดีไซเนอร์ที่ทำให้นิวยอร์กเป็นหนึ่งในเมืองหลวงแฟชั่นโลก รวมทั้งการยกทีมดีไซเนอร์อเมริกันบุกปารีสกับสงครามแห่งแพรพรรณที่แวร์ซาย ก็เป็นเรื่องที่โจษขานมาจนทุกวันนี้ในมินิซีรีย์ 5 ตอน นี้จะต้องเผ็ดแซบครบรสแน่นอน 

Roy Halston Frowick คือแฟชั่นดีไซเนอร์คนแรกๆ ของอเมริกาที่ประสบความสำเร็จทั้งสองฝากฝั่งแอตแลนติก เป็นราชาแห่งแฟชั่นอเมริกันในยุคซิกส์ตี้ส์จวบจนยุคเอจตี้ส์ แต่ด้วยการตัดสินใจผิดในการที่จะทำให้แบรนด์ Halston เข้าถึงคนในทุกกลุ่ม ทำให้เขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับ JC Penny ห้างค้าปลีกที่โด่งดังของยุคนั้น เพื่อผลิตคอลเลกชั่น Halston แต่นั่นทำให้ Bergdoff Goodman ห้างสุดหรูบนฟิฟธ์อะเวนิว นิวยอร์ก ดึงเอาทุกสิ่งภายใต้แบรนด์เขาออกในชั่วข้ามคืน นี่คือบทเรียนราคาแพงที่คนในวงการแฟชั่นมักจะใช้เป็นกรณีศึกษา และท้ายที่สุด การเซ็นสัญญาโดยไม่ไตร่ตรองรอบคอบทำให้เขาถูกนายทุนคนใหม่เขี่ยเขาออกจากการเป็นดีไซเนอร์แบรนด์ Halston และให้ดีไซเนอร์คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน ชีวิตช่วงท้ายเขาได้รับไวรัสเอดส์และป่วยด้วยโรคมะเร็ง เขาหลบหน้าสังคมนิวยอร์กกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ชิคาโกและจากไปอย่างสงบที่นั่น  ชื่อเสียงของเขายังกลายเป็นตำนานแม้เขาจะจากไปด้วยวัย 58 ปี ถ้าจะพูดถึงดีไซเนอร์ที่ทำให้นิวยอร์กเป็นหนึ่งในเมืองหลวงแฟชั่นโลก และสร้างภาพลักษณ์ American fashion ต้องมีเขาเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน

จากเด็กชานเมืองชิคาโก ในครอบครัวที่ค่อนข้างอบอุ่น แม้พ่อของเขาจะเสียชีวิตไปตอนที่เขายังเด็ก แต่แม่และยายก็เลี้ยงดูเขามาตามอัตภาพ โดยเฉพาะยายที่เป็นแรงบันดาลใจและสนับสนุนให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขารักคือการออกแบบหมวก จนเขามีร้านหมวกเล็กๆ ในเวลากลางวันและลงเรียนเกี่ยวกับแฟชั่นภาคค่ำ ไม่เพียงหมวกที่เขาออกแบบจะเก๋เท่ แต่ด้วยเป็นหนุ่มบุคลิกดีหน้าตาหล่อเหลาเขาจึงมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก และทำให้เขาย้ายมานิวยอร์กและได้ทำงานที่ร้านหมวกที่มีชื่อเสียงมากของนิวยอร์กในฐานะหัวหน้าแผนกออกแบบ แต่ไม่นานห้างสุดหรูระดับโลกเบิร์กดอร์ฟกู๊ดแมน ก็เสนอตำแหน่งหัวหน้าแผนกหมวกให้กับเขา ซึ่งถือว่าเขาเป็นดาวเด่นมากด้วยอายุที่ยังน้อย และดีไซน์ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงที่สุดก็คือการออกแบบหมวกทรง Pill hat ให้กับแจ็คเกอลีน เคนเนดี้(ตอนนั้น) เธอสวมหมวกทรงนี้ไปปฏิบัติภาระกิจภรรยาประธานาธิบดี ช่างภาพจับภาพเธอตอนที่มีลมพัดแรงเธอแล้วเธอยกมือขึ้นแตะหมวกด้วยความเคยชินว่าหมวกจะปลิว แต่หมวกทรงนี้ไม่มีปีกหมวกที่จะต้านลม นี่จึงจุดประกายให้บรรดาสุภาพสตรีคลั่งหมวกทรงนี้กันตามแจ็คกี้

คนที่มีไฟสร้างสรรค์ย่อมไม่จำกัดขอบเขตงานดีไซน์ของตน ประกอบกับช่วงนั้นกระแสความนิยมหมวกเร่ิมซาลง เมื่อมีนายทุนมาเสนอให้เขาสร้างแบรนด์ตัวเอง เขาจึงไม่รั้งรอที่จะเปิดบูติกแฟชั่นโดยใช้ชื่อ Halston ที่คนทั่วไปจะออกเสียงว่า โฮลสตัน หรือฮอลสตัน แต่แม่ของเขาจะบอกกับ Halstoneut หรือเหล่าอองทูราจ ของเขาเสมอว่า ฮาลสตัน ไม่ใช่ฮอลสตัน ซึ่งการออกแเสียงให้เพี้ยนจากการสะกดเดิมเป็นจริตของคนแฟชั่นในยุคนั้นที่มีไออาน่า วรีแลนด์ บรรณาธิการโว้กที่เสมือนภิกษุณีสูงสุดแห่งวงการ 

ความอัจฉริยะของฮาลสตันไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์ เขาไม่ได้เป็นแค่ designer แต่เป็น dressmaker ด้วย ซึ่งยุคนั้นคนจะประกอบอาชีพเป็นช่างตัดเสื้อมากกว่าแต่อาชีพดีไซเนอร์ฟังดูโก้หรูกว่า ทว่าฮาลสตันสามารถใช้กรรไกรตัดผ้าที่คลี่ออกมาจากพับแล้วนำมาจับเป็นชุดที่สวยงามได้ และเทคนิคการใช้กรรไกรตัดผ้าของเขานั้นไม่มีใครลอกเลียนได้ ฉันั้นที่กล่าว่า Charles James คือดีไซเนอร์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ดิออร์สร้างสรรค์ชุดนิวลุ๊ค ฮาล์สตันก็ยกย่องชาร์ลส์ เจมส์ เช่นกัน และให้เขามาร่วมทำคอลเลกชั่น ในบั้นปลายชาร์ลส์ เจมส์ ขัดสนเพราะเขาทำงานมุ่งหวังจะสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับแฟชั่นจนไม่เคยทำชุดเสร็จตามเวลา ชุดเดียวกันเขาจะแก้แล้วแก้อีก ทดลองอะไรใหม่ๆ เป็นหลายๆ ปีกว่าจะสำเร็จเป็นตัว 

เมื่อชาร์ลส์ เจมส์ มาทำงานร่วมกับฮาลสตัน แม้เขาจะยกย่องชาร์ลส์ แค่ไหน แต่การร่วมงานกันก็ไปไม่รอด เพราะชาร์ลส์ยังยืนยันที่จะใช้เวลาคิดประดิษฐ์ผลงาน และเขาจะออกแบบดครงสร้างชุดที่มีความซับซ้อนมาก โดยชุดของเขานั้นสามารถตั้งกับพื้นได้โดยไม่ต้องใส่บนหุ่น ซึ่งคอลเลกชั่นที่ทำร่วมกันออกมาทำให้สื่อฯ ถามว่า ทำไมฮาลสตันต้องให้ผู้หญิงไปเป็นเครื่องจักรอีก เพราะชุดมีความเป็นยูนิฟอร์ม มีความซับซ้อนของแพทเทิร์นเหมือนจักรกลที่ทำจากผ้า ในขณะที่ผลงานของฮาลสตันเองคือความพร้ิวไหว การใช้วัสดุใหม่ๆ อย่างผ้าหนังที่ทอจากใยสังเคราะห์ อิเซ่ มิยาเกะ บอกกับเขาว่ามีผ้าชนิดใหม่น่าสนใจสามารถทนน้ำได้(ซักน้ำได้แต่ใช้เครื่องซัก) แต่ฮาลสตันเข้าใจว่ากันน้ำได้ เขาจึงนำผ้านี้มาตัดเป็นเทรนช์โค้ต(trench coat) สำหรับฤดูใบไม้ผลิที่เป็นโค้ตตัวสำหรับบางกันลมกันละอองฝนเปลี่ยนฤดู แต่จริงๆ ผ้าหนังกลับนี้ไม่กันน้ำ แต่ทว่าเทรนช์โค้ตของฮาลสตันที่ทำจากผ้านี้กลายเป็นดีไซน์ไอคอนของเขา จะด้วยผิวสัมผัสและความพริ้วทำให้โค้ตนี้สวยงามกว่าผ้าอื่นๆ

ก่อนจะมีงานแสดงแฟชั่นโชว์ที่พระราชวังแวร์ซาย ชานกรุงปารีส ในปี 1973 ดีไซเนอร์อเมริกันไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการให้เทียบเคียงกับดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสได้ แม้สื่อฯ แฟชั่นผู้ทรงอิทธิพลจะอยู่ในนิวยอร์ก และเซเว่นอะเวนิวก็ขับเคลื่อนธุรกิจแฟชั่นอย่างมหาศาล แต่ดีไซเนอร์อเมริกันส่วนใหญ่ก็ถูกมองว่าเป็นรองที่ฝรั่งเศส แต่เมื่อลูกค้าอเมริกันคือคนขับเคลื่อนโอ๊ตกูตูร์ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฉะนั้นผู้หญิงแกร่งที่เป็นหัวหอกแห่งการลิสต์รายชื่อบุคคลแต่งกายยอดเยี่ยมของอเมริกาคือ เอเลนอร์ แลมเบิร์ต จึงดำริที่จะพาเหล่าดีไซเนอร์อเมริกันไปบุกปารีส โดยเธอเสนอจัดแฟชั่นโชว์ที่แวร์ซาย โดยมีทั้งฝั่งอเมริกันปละปารีเซียง แน่นอนว่าการจะคัดว่าใครควรจะได้อยู่ฝั่งไหนก็เข้มข้นมาก ที่เอเลอนร์ได้จัดงานนี้เพราะเธอเสนอว่ารายได้จากงานนี้จำสมทบทุนบูรณะพระราชวังแวร์ซาย ซึ่งยุคหลังสงครามโลกไม่นานคือทรุดโทรมสุดๆ ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงไฟเขียวให้เธอ และเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว โดยไม่มีงานประชันเช่นนี้อีก

ในขณะที่ดีไซเนอร์ชาวปารีสที่มีแบรนด์เด่นๆ อย่างอีฟว์ แซงต์โรลองต์ อเมริกาก็มีฮาลสตัน นี่แหละที่เจิดพอจะจัดสู้ได้ แต่ความเก๋คือเหล่าดีไซเนอร์อเมริกันจะไม่ขอโชว์แบบเดินบนแคตวอล์คธรรมดาๆ เพราะสถานที่คือโรงละครในแวร์ซาย เลยให้ เคย์ ทอมป์สัน มาออกแบบท่าเต้นท่าเดินโชว์ ทำเป็นละครเพลงเล็กๆ เพราะนิวยอร์กดังเรื่องละครเพลงนี่ และได้ไลซ่า มิเนลลี ซึ่งเป็นมิวส์ของฮาลสตันอยู่แล้วมาเป็นนักร้องนำ ขณะที่การนำเสนอของดีไซเนอร์ฝรั่งเศสเป็นไปตามแบบแผนเดิม และมีการขานหมายเลขชุดตามขนบ แต่แบรนด์อเมริกันทั้งหลายจัดเป็นโชว์มิวสิคัลเล็กๆ สร้างความตื่นตาตื่นใจและงานดีไซน์ของอาลสตันที่เน้นความพร้ิวไหวของชุดและลีลาการเคลื่อนไหวก็ลงตัวกับวิธีการนำเสนออย่างที่สุด แน่นอนแม้จะไม่มีการประการว่าสงครามแฟชั่นที่แวร์ซายคืนนั้นใครชนะ แต่ทุกคนพูดถึงโชว์ของแบรนด์อเมริกัน และเอกลักษณ์ของแฟชั่นอเมริกันก็ถูกกล่าวถึงซ้ำๆ หลังจากงานนั้น 

ฮาลสตันยังเป็นดีไซเนอร์คนแรกๆ ที่สร้างความ diversity ขึ้นในวงการแฟชั่น นางแบบของเขาไม่ได้มีแต่สาวผมบรอนด์ผิวขาวเป้นกระเบื้อง แต่มีสาวผิวสีรูปร่างสง่าคอระหงเสมือราชินีชีบา สาวร่างท้วมที่ทำหน้าที่หลักคอยรับรองลูกค้าที่โชว์รูม แต่เธอจะมีชุดที่ดีไซน์สำหรับเธอ และบางครั้งเธอก็ร่วมเดินแบบ เมื่อฮาลสตันย้ายออฟฟิศมาอยู่ตึกโอลิมปิคที่สุดหรูของนิวยอร์ก เขาได้สร้างสรรค์ออฟฟิศในฝันของเขาที่มีความโมเดิร์นเรียบเท่และโครงสร้างหลักๆ ทุกอย่างเป็นกระจกทั้งหมด และที่นี่ก็เป็นที่จัดแฟชั่นโชว์ของเขาด้วย นอกจากนี้อพาร์ตเม้นต์ที่พักของเขายังได้รับการออกแบบโดย Paul Rudolf เป็นต้นแบบของงานตกแต่งแบบมินิมัลสสิม์ก่อนที่คำคำนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก

ฮาลสตันมีสัญชาตญานการพีอาร์และเป็นนักสร้างรวมทั้งผู้กำกับฯ โดยธรรมชาติ เขาเป็นทั้งผู้บังคับการให้ทุกๆ คนที่แวดล้อมเขาแสดงตามบทบาทที่เขาต้องการ ยุคของเขาการถ่ายทำภาพยนตร์สั้นด้วยกล้องถ่ายขนาดใหญ่แต่สามารถเคลื่อนไปกับตัวคนถ่ายได้แม้จะมีสายพ่วงระโยงระยางกลายเป็นเทรนด์ในการบันทึกเรื่องราว อาลสตันให้ทีมช่างกล้องติดตามเขา เขาจะกำกับให้ทุกคนว่าต้องเดินเข้าทางไหน นั่งหรือยืนตรงไหน ต้องทำอะไร เขาทำเมหือนไม่มีกล้องอยู่ในห้องเดียวกับเขา แต่เขาสั่งและกำกับทุกคนอย่างเข้มงวดเพื่อจะได้ภาพยนตร์สั้นที่บันทึกลงม้วนวิดีโอมากมายที่จะกลายมาเป็นข้อมูลอ้างอิงในปัจจุบันถึงความเป็นตัวเขา จริงๆ เขามีสัณชาติญานในการเป็นนักบุกเบิก ทันทีที่ประเทศจีนเปิดประเทศ เขามองว่าจีนต้องการเห็นแฟชั่นแบบตะวันตก เขาขนกองทัพของเขารวมทั้งเหล่านางแบบนางแบบไปเยือนประเทศจีน แต่ในยุคนั้นประเทศจีนยังจนมาก ยังไม่ใช่ยุคเติ้งเสี่ยวผิง แต่เขาก็เป็นดีไซเนอร์อเมริกันคนแรกที่ทำให้คนจีนเห็นว่าโลกเบื้องนอกกำแพงไม้ไผ่นั้นแต่งกายเช่นใด  

เขายังให้แบรนด์เขาเป็นยี่ห้อของกระเป๋าเดินทาง เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ผ้าขนหนู เรื่อยไปจนถึงกางเกงในผู้ชาย ซึ่งดีไซเนอร์ยุคหลังจากเขาอย่างคาลวิน ไคล์น ประสบความสำเร็จกับการทำแบรนด์แฟชั่น ชุดชั้นในและน้ำหอม อย่างท่วมทัน แต่คาลวิน ไคล์น ไม่เคยเอาชื่อแบรนด์ตัวเองไปเกี่ยวข้องกับร้านค้าปลีกเพื่อมวลชน คาลวิน ไคล์น ทุ่มเทกับการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้เสถียรแม้จะออกคอลเลกชั่นของแต่งบ้าน ชุดจานชาม แต่ทั้งหมดได้ถูกควบคุมให้สอดคล้องเป็นภาพแบรนด์ที่ชัดเจนและเท่ทันสมัย ในขณะที่อาลสตันไม่สามารถควบคุมภาพลักษณ์เหล่านั้นที่เขาทำลายลงด้วยความที่อยากจะให้ชื่อนี้เข้าถึงคนทุกกลุ่ม

มาถึงไลฟ์สไตล์ที่หวือหวา ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงที่ Studio 54 เอลซ่า เพอเร็ตตี้ นักออกแบบผลิตภัณฑ์และจิวเวลรีที่ได้ร่วมงานกับ Tiffany & Co. สร้างงานดีไซน์ที่เป็นไอคอนมากมาย เธอคือมิวส์ของฮาลสตัน เธอให้สัมภาษณืว่าคนยุคนั้นเที่ยวหนักแต่ก็ทำงานหนัก อย่างฉันคุณก็จะเห็นผลงานออกมามากมาย แต่ฉันก็ปาร์ตี้ที่สตูดิโอ 54 และฌะอยอมรับว่าการใช้โคเคนเป็นเรื่องปกติของคนยุคนั้น และเธอยังล้ำยุคที่ยอมรับเรื่องไบเซ็กชวล โฮโมเซ็กชวล เป็นเรื่องปกติ แม้ยุคนั้นเพศทางเลือกยังไม่เป็นที่ยอมรับ และการกระทำบางอย่างก็เป็นสิ่งต้องห้ามทางกฎหมาย แต่พวกเขาเหมือนคนที่ปูทางให้ทุกวันนี้เรามี LGBTQ เราไม่ยอมรับการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ การบูลลีเป็นสิ่งที่สังคมประนาม เราคงไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีคนรุ่นก่อนที่พยายามทวงสิทธิ์ต่างๆ ในเรื่องนี้ให้กับคนรุ่นหลัง 

แต่สิ่งที่ทำให้ฮาลสตันล้มเหลวก็คงเป็นเพราะการทำธุรกิจที่เขาอยากให้เติบโตและเข้าถึงคนทุกชนชั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แม้จนบัดนี้ไฮแฟชั่นก็ไม่สามารถจะมาทำเป็นฟาสต์แฟชั่นได้ แม้จะมีการร่วมงานกันบางคอลเลกชั่น แต่ยุคสมัยนั้นกลุ่มคนในสังคมแบ่งชนชั้นกันเข้มข้นกว่ายุคนี้ มีภาพวิดีโอที่นักข่าวสัมภาษณ์หญิงสาวที่เข้าไปซื้อของในเจซีเพนนีย์ ว่าเธอมาหาคอลเลกชั่นของฮาลสตันหรือเปล่า เธอบอกว่าไม่ เธอมาเจซีย์เพนนีย์เพื่อจะมาซื้อของเจซีเพนนีย์ เธอไม่รู้ด้วยว่าฮาลสตันคือแบรนด์อะไร แน่นอนว่าคุณผู้หญิงบนเพ้นเฮ้าส์ชั้นบนสุดของถนนฟิฟธ์ฯ ย่อมจะไม่ทนเมื่อสาวใช้มาสวมเสื้อคล้ายๆ กันยี่ห้อฮาลสตันจากเจซีเพนนีย์ ในขณะที่เธอซื้อชุดฮาลสตันจากโชว์รูมที่หรูหราและราคาแพงกว่านั้นหลายสิบเท่า แพงกว่าเงินเดือนของสาวใช้ทั้งเดือนด้วยซ้ำ 

รอซีนีย์นี้ชมได้ทาง Netflix เร่ิมวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม 2564 มี 5 Episodes นำแสดงโดย Ewan McGregor, Bill Pullman, Rebecca Dayan, David Pittu, Krysta Rodriguez, Kelly กำกับการแสดงโดย Daniel Minahan รับประกันความแซบเว่อร์ด้วยหนึ่งในโปรดิวเซอร์คือ Ryan Murphy รวมทั้งเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทอีกด้วย ใครเป็นคอซีรีย์คงจะพอคาดเดาได้ว่าไรอัล เมอร์ฟี จะหาความเผ็ดร้อนมาเสิร์ฟให้ได้แซบกันแน่ๆ 

Episode Credits:

Episode 1: Becoming Halston

Written by Ryan Murphy & Ian Brennan and Sharr White

Directed by Daniel Minahan

Episode 2: Versailles

Written by Ian Brennan and Ted Malawer

Directed by Daniel Minahan

Episode 3: The Sweet Smell of Success

Written by Ryan Murphy & Ian Brennan and Tim Pinckney & Kristina Woo

Directed by Daniel Minahan

Episode 4: The Party’s Over

Written by Ryan Murphy & Ian Brennan and Sharr White

Directed by Daniel Minahan

Episode 5: Critics

Written by Ian Brennan & Ryan Murphy and Ted Malawer

Directed by Daniel Minahan

Into The Space: ร่วมออกเดินทางไปกับเหล่านักเก็บขยะในอวกาศไปกับซงจุงกิ คิมแทรี ยูแฮจิน และชินซอนกยูในภาพยนตร์ไซไฟอวกาศเรื่องแรกของประเทศเกาหลีอย่าง Space Sweepers ที่สตรีมมิ่งพร้อมกันแล้วทั่วโลกผ่าน Netflix

ในสภาวการณ์ไม่ปกติแบบนี้ นอกเหนือจากการสตรีมมิ่งดูภาพยนตร์อยู่ที่บ้านจะปลอดภัยกว่าการเดินทางไปชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์แล้ว การเข้าร่วมงานแถลงข่าวออนไลน์ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นความปกติใหม่ไปด้วยเช่นกัน และในวันที่มีงานแถลงข่าว Space Sweepers ภาพยนตร์ไซไฟอวกาศเรื่องแรกของประเทศเกาหลีที่ออกสตรีมมิ่งทาง Netflix นั้น การได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวผ่านหน้าจอ และได้สัมภาษณ์เหล่านักแสดงแบบไม่เห็นหน้า ก็ไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นของเราลดน้อยลงเลย และลอฟฟีเซียล ออมส์ ก็มีบทสัมภาษณ์สุดพิเศษจากนักแสดงทั้งสี่ และผู้กำกับ โจซองฮี มาฝากแฟนๆ ทุกคนให้หายคิดถึงประเทศเกาหลีในระหว่างที่เรายังเดินทางไม่ได้อยู่นี้

ซงจุงกิ คุณได้มีโอกาสร่วมงานกับริชาร์ด อาร์มิเทจ นักแสดงชาวอังกฤษเป็นยังไงบ้าง มีความประทับใจอะไรจะเล่าให้ฟังไหม

ซงจุงกิ:ครั้งแรกที่ได้ยินว่านักแสดงริชาร์ด อาร์มิเทจจะร่วมแสดงด้วยผมรู้สึกตกใจมากเลย เพราะแต่ก่อนผมชอบดูภาพยนตร์เรื่อง The Hobbit มาก รู้สึกดีมากที่นักแสดงจากหนังใหญ่ขนาดนั้นมาร่วมเล่นหนังเกาหลีด้วย พอได้เริ่มถ่ายทำจริง รู้สึกตกหลุมรักคุณริชาร์ดเลย เป็นคนที่เท่ มีความเป็นสุภาพบุรษแบบอังกฤษ มีคาริสม่าเหลือล้น และในฐานะนักแสดงด้วยกัน รู้สึกว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง รู้สึกเป็นเกียรติและเป็นการถ่ายทำที่สนุกมากครับ คิดถึงคุณริชาร์ดเลยนะครับเนี่ย

มีเรื่องเล่าขำๆ จากตอนถ่ายทำบ้างไหม

ยูแฮจิน: พวกเราพยายามคิดคำตอบของคำถามนี้กันอยู่ครับ มีเรื่องไหนบ้างไหมนะครับ

ชินซอนกยู: สำหรับผมระหว่างถ่ายทำสนุกมาก ได้พูดคุยกันตลอด มีความสุขมาก แต่ที่จำได้แม่นเลยเป็นตอนหลังจากถ่ายทำเสร็จแล้ว ได้ไปแคมปิ้งที่ริมทะเลที่ไม่ค่อยมีคนกับพี่แฮจิน ตอนนั้นสนุกและมีความสุขมากครับ

ยูแฮจิน: เข้าใจคำถามผิดรึเปล่าครับเนี่ย

ซงจุงกิ: ก็นั่นสิครับ

ยูแฮจิน:เขาถามถึงระหว่างถ่ายทำครับ (ทุกคนหัวเราะ)

ซงจุงกิ ความท้าทายที่สุดของคุณในการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้คืออะไร

ซงจุงกิ: ผมคิดว่าตัวหนังเองคือความท้าทายครับ ไม่นานมานี้สตาฟภายในได้ดูหนังเรื่องนี้และบอกกับผมว่า ระหว่างที่ดูหนัง อยากจะปรบมือให้ตลอดเวลาเลย ด้วยความที่แต่ละคนมีรสนิยมในการดูหนังไม่เหมือนกัน หนังแต่ละเรื่องจึงมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยหลายๆ ด้าน แต่เขาบอกกับผมว่า ‘จุงกิ ระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้ อยากปรบมือให้ตลอดเลย’ ผมรู้สึกขอบคุณมากเลยครับ

ยูแฮจิน อยากให้เล่าถึงเบื้องหลังการถ่ายทำที่คุณลืมไม่ลงสักหน่อย เพราะเท่าที่ได้เห็น Space Sweepers สมจริงมากเรื่องซีจีและงาน vfx ต่างๆ /และในฐานะนักแสดง พอได้ดูผลงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างจากตอนที่ถ่ายทำอย่างไรบ้าง 
ยูแฮจิน: นึกเรื่องเล่าเบื้องหลังไม่ออกครับ แต่ในส่วนของความต่างระหว่างตอนถ่ายทำกับหลังถ่ายทำเนี่ย ปกติเวลาถ่ายหนังทั่วไป เราจะมอนิเตอร์เช็คกัน แต่สำหรับผมไม่จำเป็นต้องมอนิเตอร์เลย เพราะว่าเป็นภาพ CG ที่จะออกไปแทนตัวผม ผมเองก็เลยรู้สึกสงสัยเหมือนกันว่าจะออกมาเป็นยังไง พอได้ดูตัวผลงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว รู้สึกว่าน่ารักและทำออกมาได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นโมชั่นหรือเสียงของผม ทีมงานเอาไปแปลงออกมาได้ดีมาก ผลงานออกมาน่าพึงพอใจกว่าที่ผมคาดไว้ครับ

ซงจุงกิ & คิมแทรี ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอความล่มสลายของโลก ที่เสื่อมถอยจนมนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ ซึ่งการที่คุณได้มาแสดงเรื่องนี้น่าจะทำให้เล็งเห็นถึงปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณอยากให้ข้อคิดอะไรกับผู้ชมบ้างไหม

ซงจุงกิ: ผมรู้สึกว่า Space Sweepers รวมปัญหาของหลายๆ แขนงที่เกิดขึ้นจริงในสถาณการณ์ปัจจุบันครับ ในความเป็นจริงบนอวกาศก็มีขยะลอยไปมาเยอะด้วย เลยเป็นจุดที่ทำให้ผู้กำกับได้เริ่มทำหนังเรื่องนี้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือ UTS ก็ทำให้ผมนึกถึงปัญหาผู้ลี้ภัย ปัญหาชาติพันธุ์ มีหลายจุดที่คล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก แม้ในหนังจะเป็นปี 2092 แต่ก็มีส่วนคล้ายกับโลกปัจจุบันมาก ตัวผมรู้สึกแบบนั้นก็เลยคิดว่าผู้ชมน่าจะสัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้เช่นกันครับ

คิมแทรี:ถ้าฟังเส้นเรื่องของหนังพวกเราแบบเผินๆ จะรู้สึกว่ามันน่ารักมากค่ะ มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่บนโลกได้ ก็เลยออกไปนอกอวกาศ ทำให้เกิดขยะอวกาศและภารโรงอวกาศตามมา ภารโรงอวกาศต่อสู้กันเพื่อหาเงิน เป็นโครงเรื่องที่น่ารักมาก แต่ถ้าเราลองมองลึกลงไป มนุษย์เองเป็นคนที่ทำให้ที่อยู่ของตัวเองสกปรก และเหมือนจะพูดเรื่องของการไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วย คิดว่าเป็นหนังที่พอดูจบอย่างสนุกสนานแล้ว ก็ยังมีจุดที่สามารถนำมาไตร่ตรองต่อได้เยอะค่ะ 

รู้สึกอย่างไรที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์แนวอวกาศเรื่องแรกของเกาหลี

ชินซอนกยู: รู้สึกภูมิใจที่ได้ปรากฏและร่วมงานในหนังแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือการได้ร่วมทำงานกับผู้กำกับและเหล่านักแสดง เป็นจุดที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความหมายกับผมมากครับ

ยูแฮจิน: เป็นเรื่องแรกของเกาหลีเลย ผมรู้สึกพึงพอใจกับผลงานที่ออกมามาก ดีใจที่ได้ร่วมทำผลงานดีๆ แบบนี้ครับ

คิมแทรี: ไม่ว่าจะเป็นก้าวเล็กหรือใหญ่ แต่ในฐานะที่เป็นเรื่องแรก มันเป็นจุดที่ทำให้ตื่นเต้นมากค่ะ ในฐานะนักแสดงฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่ในหนังเรื่องนี้ค่ะ

ซงจุงกิ: คิดว่ารู้สึกคล้ายๆ กันทุกคนเลยครับ รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่องแรก ซึ่งเป็นแนวที่ไม่เคยมีใครลองทำมาก่อนสักครั้ง

คิดว่าผู้ชมจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง

คิมแทรี: ความสนุกค่ะ! ทุกคนจะได้รับความสนุกไปค่ะ

ซงจุงกิ: น่าจะรู้สึกถึงความสดชื่น เพราะเป็นหนังแอคชั่นที่เต็มไปด้วยความเบิกบานและความสบายใจครับ

ยูแฮจิน: คล้ายๆ กับที่บอกไปเมื่อกี้คือ หลังจากที่รับชมหนังอย่างสนุกสนานแล้ว ก็จะมีประเด็นปัญหาต่างๆ ที่นำกลับไปคิดต่อได้ครับ

ชินซอนกยู: ถ้ารับชมกับครอบครัวน่าจะได้รับความสนุกและความสุขไปครับ หลังจากได้รับความเบิกบาน ความสดชื่น ไป แล้วก็จะรู้สึกว่าอยากดูอีก เป็นหนังที่สนุกถึงขั้นนั้นเลยครับ

ฝากอะไรถึงแฟนๆ ชาวไทยหน่อย

ยูแฮจิน: เป็นหนังที่เราตั้งใจและใช้เวลาทำนานมาก การถ่ายทำก็ใช้เวลานาน แต่ในส่วนของ Post-Production ผู้กำกับและฝ่ายเทคนิคก็ทุ่มเทกันมาก ทำออกมาอย่างสนุกและเท่ หวังว่าจะรักหนังของพวกเรากันนะครับ ขอบคุณครับ

ชินซอนกยู: Space Sweepers หนังที่น่าตื่นตาและน่ารักมาก กำลังจะเปิดตัวในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้แล้วครับ ฝากทุกคนช่วยชมหนังเรื่องนี้กันด้วย หวังว่าทุกคนจะได้รับความสนุกและความสุขไปครับ

คิมแทรี: ฉันเคยอยู่ประเทศไทยประมาณ 1 เดือน เลยเป็นสถานที่ที่มีความหมายสำหรับฉันมากค่ะ รู้สึกดีใจที่หนังของเราจะได้ไปพบกับทุกคนผ่านทาง Netflix คิดว่าเป็นหนังที่เหมาะกับการรับชมพร้อมกับครอบครัวมากค่ะ หวังว่าทุกคนจะชมหนังเรื่องนี้อยากสนุกกันค่ะ

ซงจุงกิ: เวลาผมได้พักทีไร ก็อยากจะไปกรุงเทพฯ เสมอเลย เป็นสถานที่ที่ผมชอบมากครับ แต่ด้วยสถานการณ์ทั่วโลกตอนนี้ทำให้ไปไม่ได้ รู้สึกเสียดายมาก ผมรู้สึกผิดด้วยซ้ำที่จะถามว่าทุกคนสบายดีไหม เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าที่ไทยเป็นยังไงบ้าง อยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพ และหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นความสุขเล็กๆ ให้กับทุกคนในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ ถึงแม้จะแค่ 2 ชั่วโมงก็ตามครับ ขอบคุณครับ

พูดคุยกับโจซองฮี ผู้กำกับ Space Sweepers ภาพยนตร์ไซไฟอวกาศเรื่องแรกของประเทศเกาหลี

ได้ยินว่าเริ่มมีไอเดียนี้มาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ทำไมถึงใช้เวลานานในการพัฒนาหนังเรื่องนี้

ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้ใช้เวลาทำสิบปีครับ แต่ว่าสิบปีที่แล้วเป็นจุดที่เริ่มมีไอเดียนี้ขึ้น หลังจากนั้นผมก็ได้พัฒนาไอเดียต่อมาเรื่อยๆ ในช่วงที่ว่างจากการทำหนังอีกสองเรื่อง แต่จุดที่เริ่มทำหนังเรื่องนี้จริงๆ น่าจะเป็นตอน 3-4 ปีที่แล้ว

เมื่อสิบปีที่แล้วได้รับแรงบันดาลใจครั้งแรกมาอยากให้เล่า แวบแรกที่มันขึ้นมาได้ยังไง

ตอนแรกเลยเป็นเรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟังเกี่ยวกับขยะอวกาศ เพื่อนพูดถึงข้อเท็จจริงสนุกๆ หลายอย่างให้ฟัง หลังจากนั้นผมก็ได้นำไปศึกษาต่อ และพบว่าเป็นเนื้อหาที่ถูกเอาไปใส่อย่างสนุกสนานในหลายๆ สื่อไม่ว่าจะเป็นในแอนิเมชั่น เกมส์ หรือหนัง เลยรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้ในการนำไปพัฒนาเป็นเรื่องราว และได้เริ่มเขียนบทจากตอนนั้นครับ

มีเรื่องสนุกๆ ในกองถ่ายที่สามารถแชร์ให้เราฟังได้มั้ย

ถ้าพูดถึงเรื่องสนุกๆ ผมนึกถึงวันที่เหนื่อยที่สุดครับ เป็นฉากห้องเครื่อง เราถ่ายทำกันในเรือจริงๆ ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนมาก และในห้องเครื่องในเรือก็ร้อนมาก เสียงดังมาก แคบมากด้วย ต่างคนก็ต่างต้องตะโกนคุยกันเพราะไม่ได้ยินเสียง เช็ดเหงื่อไปทำงานกันไป เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดครับ

เนื่องจากผลงานนี้เป็นสื่อเกาหลีเรียกว่าเป็นแนวอวกาศเรื่องแรกของเกาหลีที่คนคาดหวังสูงมากๆ ก็เลยอยากทราบว่าผู้กำกับมีการศึกษาหรือทำการบ้านเรื่องไหนเป็นพิเศษมั้ย

หนังของเราอาจจะไม่ได้เน้นความเป็นจริงอะไรมากนัก แต่เพื่อให้ถ่ายทอดออกมาอย่างสมเหตุสมผล ก็มีการเบสจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เราได้ศึกษาวิธีการใช้ชีวิตของนักบินอวกาศที่ไปอยู่บนสถานีอวกาศจริงๆ ได้ศึกษาบันทึกของพวกเขา ที่ต้องไปอยู่ไกลบ้านและอาศัยอยู่ในพื้นที่แค ๆ ร่วมกัน ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บนอวกาศ เราก็ได้ศึกษาว่าในอนาคตจะมีการสร้างอะไรขึ้นบ้าง หลังจากที่ค้นคว้าทั้งด้านวิทยาศาสตร์และสภาพความรู้สึกแล้ว ผมก็นำข้อมูลส่วนนั้นมาเป็นพื้นฐานในการเขียนบทครับ

พอเรื่องนี้เป็นหนังอวกาศเรื่องแรกของเกาหลีและเป็นหนังฟอร์มใหญ่ เชื่อว่าทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่และเรื่องยากแต่จะถามผู้กำกับว่าส่วนไหนในการสร้างที่ยากที่สุดโหดที่สุดสำหรับผู้กำกับ

ผมคิดว่าแต่ละส่วนของหนังเรื่องนี้มีความยากที่แตกต่างกันออกไป สำหรับผมคิดว่าคือจุดที่ ฃปริมาณคัตที่ต้องถ่ายในหนึ่งวันจะมีมากกว่าหนังเรื่องอื่นครับ เวลาอยู่ที่กองถ่ายต้องตื่นตัวตลอดเวลา ยุ่งตลอด ค่อนข้างเหนื่อยกายครับ

สิบปีที่แล้วร่วมงานกันมาก่อน ทำไมถึงเลือกนักแสดงซงจุงกิอีกครั้งหนึ่ง (Bangkok Post)

ผมมีความรู้สึกที่อยากจะทำงานร่วมกับนักแสดงซงจุงกิเสมอ รู้สึกว่าเป็นโชคครั้งใหญ่ที่ได้ร่วมงานกันผ่านหนังเรื่องนี้ ถ้าถามถึงสาเหตุที่เลือกนักแสดงซงจุงกิแล้ว เอาจริงๆ ผมรู้สึกว่านักแสดงซงจุงกิต่างหากที่เป็นคนเลือกผลงานนี้ เลยทำให้ได้ร่วมงานกันครับ

ในฐานะที่เป็นภาพยนตร์ไซไฟอวกาศเรื่องแรกของเกาหลีของขณะนี้ ผู้ชมในฐานะ global audience คาดหวังอะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง

จุดที่คาดหวังได้ก็คือ ในผลงานชิ้นนี้จะต่างกับหนังฮอลลีวู้ดที่ฮีโร่มีพลังวิเศษ หนังเรื่องนี้ตัวละครเป็นคนเกาหลีธรรมดาๆ ที่ไม่ต่างอะไรกับพวกเราเลย เป็นจุดต่างจากไซไฟของฮอลลีวู้ดเรื่องอื่น และเป็นจุดที่ผมมั่นใจมากที่สุดครับ

เรื่องนี้เป็นหนังอวกาศเรื่องแรกของเกาหลี เชื่อว่าจะไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวแน่นอนมันจะมีหลังจากนี้อีก ผู้กำกับมีอะไรอยากจะบอก ผู้กำกับคนอื่นที่มีแพลนอยากจะทำหนังอวกาศจากนี้มั้ยครับ

ขอเป็นกำลังใจให้มากกว่าให้คำแนะนำครับ ตอนที่วางแผนทำเรื่องนี้ก็มีหนังเรื่องอื่นที่มีฉากเป็นอวกาศวางแผนอยู่เหมือนกัน และก็มีหลายเรื่องที่ถ่ายทำอยู่ในตอนนี้ด้วย ผมเชื่ออย่างไม่กังขาเลยว่าหนังจะต้องออกมาอย่างยอดเยี่ยม และอยากดูเร็ว ๆ แล้ว ผมคิดว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่เกาหลีแต่ทั้งเอเชียกำลังอยู่ในช่วงขยายแนว​ (genre) ของทั้งภาพยนตร์และละคร ผมรอดูความหลากหลายของผลงานจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียด้วยเช่นกันครับ

ภาพยนตร์เรื่อง Space Sweepers สตรีมมิ่งทาง Netflix แล้วทั่วโลก

สัมภาษณ์พิเศษผู้กำกับและนักแสดงนำจาก Sweet Home ออริจินัลซีรีส์เรื่องล่าสุดจาก Netflix

Sweet Home ออริจินัลซีรีส์เรื่องล่าสุดจาก Netflix ว่าด้วยเรื่องแรงปรารถนาภายในใจของผู้คนที่เปลี่ยนให้คนกลายเป็นสัตว์ประหลาด โดยสร้างจากมังงะยอดนิยมใน Webtoon ของฮวังยังซาน ซึ่งเขาเองก็ได้มาร่วมได้อีอึงบก ผู้กำกับฝีมือดีที่เคยได้ฝากฝีมือไว้ในซีรีส์ชื่อดังหลากหลายเรื่องทั้ง Guardian: The Lonely and Great God และ Mr. Sunshine ร่วมด้วยนักแสดงอย่างซงคัง อีจินอุค อีชียอง อีโดฮยอน พัคกยูยอง โกยุนจอง คิมนัมฮี และโกมินซีมาร่วมงาน

เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังรุนแรงอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ งานแถลงข่าวเปิดตัวซีรีส์จึงเป็นการจัดออนไลน์ ลอฟฟีเซียล ออมส์ ไทยแลน์มีบทสัมภาษณ์ของทั้งนักแสดงและผู้กำกับมาฝากแฟนๆ ทุกคน

บทสัมภาษณ์ผู้กำกับ

เกาหลีเป็นประเทศที่สะท้อนความคิดผู้คนผ่านผลงานบันเทิงมากมาย สำหรับ Sweethome คุณได้ซ่อนแมสเสจหรือความคิดบางเรื่องอะไรเอาไว้ไหม ที่คนดูอาจจะยังไม่ทันสังเกต

แมสเสจที่ใส่ไว้เนี่ย คิดว่าถ้าผู้ชมสังเกตไม่ทันน่าจะไม่ได้ เลยตั้งใจใส่แมสเสจที่คิดว่าผู้ชมจะเห็นได้ชัดเจนไว้ค่อนข้างเยอะ และตั้งใจใส่จุดต่างๆ ที่จะทำให้คาดเดาเกี่ยวกับตัวละครแต่ละตัวไว้ตั้งแต่ตอนที่ 1 เลย ถ้าลองสังเกตไปด้วยระหว่างชมน่าจะสนุกขึ้น

K-Monster จะมีความแตกต่างอย่างไรกับ Hollywood-Monster บ้าง

สำหรับ K-Monster ตอนนี้ยังอยู่ในก้าวแรกอยู่ แต่ในอนาคตจะต้องพัฒนาไปไกลแน่นอน อยากให้รอติดตามชมกันด้วย ส่วนมอนสเตอร์หรือสัตว์ประหลาดที่อิงมาจากเว็บตูน Sweet Home จะมีลักษณะที่คล้ายมนุษย์ค่อนข้างมาก ทั้งในด้านรูปร่างและลักษณะนิสัย ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นจุดที่ต่างกับ Hollywood Monster 

คุณทำงานร่วมกับนักเขียนและนักวาดภาพประกอบจาก Webtoon อย่างไร มีคำแนะนำอะไรจากพวกเขาที่ช่วยให้คุณถ่ายทอดบุคลิกลักษณะและอารมณ์ของตัวละครออกมาในซีรีส์บ้าง

ได้รับกำลังใจจากนักเขียนเว็บตูนมากกว่า เพราะในส่วนของการร่วมงาน ตอนนั้นเอาท์ไลน์ของเรื่องยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็จะมีช่วงที่คอยแลกเปลี่ยน synopsis ของเรื่องด้วยกันอยู่เรื่อยๆ ในส่วนของการแสดงออกอารมณ์ของสัตว์ประหลาด ก็เป็นจุดที่ยากสำหรับผมเหมือนกัน แต่ได้รับการช่วยเหลือจากนักออกแบบท่าเต้น คุณคิมซอลจิน ช่วยกันศึกษาค้นคว้าและออกแบบวิธีการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ด้วยกัน และนำไปใส่ซีจีต่อ

คุณได้กำกับซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมาหลายเรื่อง คุณรู้สึกกดดันตัวเองในทุกครั้งที่ต้องเริ่มต้น

ถ้าบอกว่าไม่กดดันก็คงจะโกหก แต่พยายามจะกดดันตัวเองให้น้อยที่สุด ครั้งนี้เลือกชิ้นงานที่ท้าทายและเสี่ยง เลยคิดว่าถ้าออกมาไม่ดี ก็คงโดนต่อว่าไม่มากเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่า ถ้าจะเจ๊งก็มาเจ๊งแบบที่เราสนุกด้วยดีกว่า

ในทีมนักแสดงของเรื่องมีใครที่ทำให้คุณรู้สึกเซอร์ไพรส์เป็นพิเศษระหว่างการร่วมงานกัน

แต่ละอีพีก็จะต่างกันไป คุณคิมนัมฮีก็ประทับใจมาก คุณซงคังก็สื่อสารอารมณ์ได้ดีมาก คุณอีจินอุคในบทพยอนซังอุกก็แสดงอารมณ์สองด้านออกมาได้อย่างดี ทั้งมุมที่บ้าคลั่งและมุมที่บริสุทธิ์ สำหรับคุณอีชียองที่รับบทซออีกยอง ทุกท่านน่าจะได้เห็นแล้วว่า แสดงบทบาทนักสู้หญิงที่ยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้ก็ยังมีนักแสดงอีกหลายท่านที่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพร์สอยู่ตลอด

เห็นว่าเรื่องนี้ใช้ทุนสร้างเยอะมาก จุดไหนที่ทีมผู้สร้างทุ่มเท และอยากภูมิใจนำเสนอมากที่สุด 

จุดที่ภูมิใจนำเสนอที่สุด คือ การรวมตัวกันของนักแสดงในเรื่องที่ลงตัวมาก ด้วยความที่เป็นซีรีส์เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและภัยพิบัติ เลยจะมีฉากที่ต้องรวมตัวกันเยอะ ถ้ากลุ่มนักแสดงไม่ลงตัว ซีรีส์ก็คงจะเละเทะมาก ในส่วนของจุดที่ทุ่มเท น่าจะเป็นจุดที่ผู้ชมจะเห็นจากผลลัพธ์ในซีรีส์ นั่นก็คือ ก้าวแรกในการผลิตสัตว์ประหลาดออกมาในรูปแบบต่างๆ ที่ท้าทาย 

ทีมนักแสดงในเรื่องเยอะมาก มีทั้งนักแสดงที่อยู่ในวงการมานานและนักแสดงรุ่นใหม่ อยากให้คุณช่วยเล่าจุดเด่นของนักแสดงแต่ละคนให้ฟังหน่อย และคุณมีวิธีปรับให้นักแสดงทั้ง 2 รุ่นแสดงร่วมกันได้อย่างกลมกลืนอย่างไร

นอกจากจะมีนักแสดงรุ่นใหม่เยอะแล้ว ยังมีนักแสดงหลายท่านที่แสดงซีรีส์เป็นครั้งแรก นักแสดงเหล่านั้นมาทานข้าวที่กองด้วยกัน (ที่เกาหลีจะเรียกเป็น รถข้าว) รวมตัวกันโดยที่ไม่เกี่ยงว่าใครเป็นนักแสดงที่อยู่วงการมานานแค่ไหนแล้ว ทุกคนเข้ากันได้ดีมากโดยไม่ต้องพึ่งไดเรกติ้งพิเศษใดๆ จากผม คิดว่าน่าจะเป็นพลังของข้าวกอง เวลาทานข้าวทุกคนดูปรองดองกันมาก และมันก็ลากยาวไปจนถึงเวลาเข้าฉาก ผมเลยไม่ต้องทำอะไรมาก สนุกสนานมาก

จุดเด่นของนักแสดงแต่ละคน: 

ซงคัง: แสดงอารมณ์และสายตาโดยที่ไม่มีบทพูดได้ดี  รู้จักอารมณ์เศร้าและแสดงมันออกมาได้ดีมาก

อึนฮยอกและอึนยู: ไม่ค่อยแสดงออกเช่นกัน แต่สามารถโชว์อารมณ์สองด้านที่แตกต่างออกมาได้ดี อย่างเช่น ตอนที่อยู่ใน trailer ที่อึนฮยอกพูดว่า “สงสัยโลกจะแตกแล้ว”

อีจินอุค: สลับเปลี่ยนการสื่อสายตาได้หลายรูปแบบ จุดเด่นคือสามารถแสดงสายตาที่สื่อทั้งอารมณ์ของคนที่โหดเหี้ยมและอารมณ์ของเด็กน้อยออกมาได้ในเวลาเดียวกัน

อีชียอง: เคยบอกไปว่าถ้าออกกำลังกายมาน่าจะดี แต่ก็ไม่ได้บังคับอะไร แต่พอเจออีกทีก็มาพร้อมกับกล้ามหน้าท้องเลย ออกมาเท่มาก ๆ

Netflix เป็นแพลทฟอร์มที่เปิดกว้างในการถ่ายทอดเรื่องราว และยังไปถึงคนดูทั่วโลก Sweet Home เป็นออริจินัลซีรีส์ของ Netflix อยากรู้ว่าคุณต้องปรับช่วงพรีโปรดักชั่นยังไงบ้าง และกระบวนการทำงานแตกต่างจากซีรีส์สำหรับช่องโทรทัศน์ในเกาหลีอย่างไรบ้าง 

ในส่วนของพรีโปรดักชั่น จุดที่สำคัญคือจำนวนตอนและคุณภาพของละคร สตรีมมิ่งจะมีจำนวนตอนได้มากกว่าละครโทรทัศน์ ผู้กำกับสามารถตัดต่อและส่งงานไปให้มากเท่าที่คิดว่าเหมาะสมกับละครได้ ซึ่งเป็นส่วนที่สนุกมากในขั้นตอนโปรดักชั่น นอกจากนี้ เนื่องจากผมอยากให้ทุกท่านได้ชม Sweet Home กันไว ๆ จึงเตรียมช่วงพรีโปรดักชั่นและช่วงโปรดักชั่นพร้อมกันเลย ในระหว่างที่เขียนบทก็ออกแบบสัตว์ประหลาดไปด้วย ระหว่างออกแบบสัตว์ประหลาดก็หา cg solution สำหรับโพสโปรดักชั่นไปด้วย เริ่มวางแผนตั้งแต่ประมาณช่วงกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และตอนนี้ก็ได้นำมาให้ทุกท่านได้ชมกัน

สเปเชียลเอฟเฟกต์ของ Sweet Home ที่แตกต่างจากซีรีส์ทุกเรื่องของเกาหลีคืออะไร

จุดที่ต่างจากซีรีส์เรื่องอื่นก็คือ ไม่มีคัทไหนที่ไม่ใส่ซีจีลงไปเลย ซึ่งเป็นจุดที่เหนื่อยมาก และก็เป็นเรื่องแรกที่มีสัตวต์ประหลาดออกมาหลายรูปแบบ พยายามใส่ซีจีเข้าไปเยอะเพื่อให้ทุกอย่างออกมาครอบคลุม คิดว่าน่าจะเป็นจุดที่ยังไม่เคยเห็นในหนังหรือซีรีส์เรื่องอื่นๆ ที่ออกมาตอนนี้ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ

คุณคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนภาพสังคมในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและเครียดได้อย่างไร และอะไรในเรื่องที่คุณคิดว่าสามารถถ่ายทอดภาพของสังคมเกาหลีในปัจจุบันได้ดี

ไม่น่าจะสะท้อนแค่สังคมเกาหลีอย่างเดียว แต่พยายามแสดงภาพการเพิกเฉยต่อคนที่ถูกทอดทิ้ง ความอมนุษย์ โดยเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “การกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด” ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงถึงประเด็นที่ว่า “มนุษย์จะสามารถช่วยเหลือมนุษย์กันเองได้หรือไม่” ออกมาได้อย่างดี ครั้งแรกที่ได้อ่านเว็บตูนนี้เป็นช่วงก่อนจะเกิดโควิด แต่ตอนนั้นผมก็มองท้องฟ้าของกรุงโซลที่มีปัญหาเรื่องฝุ่น pm และรู้สึกถึงอารมณ์ดิสโทเปีย (dystopia) ณ ตอนนั้นรู้สึกว่า อยากเห็นท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าจริง ๆ แต่ในตอนนี้ที่เกิดโควิดขึ้น เป็นโรคระบาดไปทั่วโลก ทำให้เกิดคำถามนั้นขึ้นอีกครั้งว่า ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์จะสามารถช่วยมนุษย์กันเองไว้ได้รึเปล่า

มีเรื่องอะไรน่าจดจำในระหว่างการถ่ายทำที่สามารถแชร์ร่วมกับเราได้บ้างไหม

น่าจะเป็นฉากที่ถ่ายทำเป็นฉากสุดท้าย รู้สึกว่า เอ้อ ถ่ายจบสักที เป็นฉากที่หิมะตก จะอยู่ตอนแรกสุดของอีพีแรกเลย แต่ว่าเป็นฉากที่ถ่ายทำท้ายสุด ก็เลยประทับใจที่สุด แล้วก็มีฉากที่เศร้าๆ อีกหลายฉากที่ประทับใจ

Sweet Home ดัดแปลงมาจาก Webtoon คุณให้สัมภาษณ์ว่าทำงานพร้อมๆ กับตอนที่เวบตูนออก ทำงานกับนักเขียนคิมคันบี และฮวังยังชาน เพิ่มเติมอย่างไรบ้าง ในการสร้างความแปลกใหม่ให้ซีรีส์เรื่องนี้

ต้องพูดว่านักเขียนทั้งสองท่านให้ความใส่ใจเป็นพิเศษมากกว่าทำงานร่วมกัน ส่วนที่เพิ่มเติมเข้าไปมีอยู่ในหลายตอนเลย แต่จุดเด่นที่สุดที่เพิ่มไป คือตัวละครซออีกยอง ส่วนอื่น ๆ ถ้าบอกตอนนี้น่าจะเป็นการสปอย พาร์ทหลังๆ สนุกมากกว่านี้อีก

บทสัมภาษณ์นักแสดง

ในฐานะที่เป็นแฟนเว็บตูนเรื่อง Sweet Home มาก่อน พอได้มาเล่นซีรีส์จากเว็บตูนที่ตัวเองชอบรู้สึกยังไงบ้าง และการได้มาแสดงเป็นตัวละครเองความรู้สึกแตกต่างจากการเป็นผู้อ่านอย่างไร 

ซงคัง: ตอนอ่านเว็บตูน รู้สึกเข้าใจตัวละคร มีความรู้สึกร่วมไปด้วย แต่พอมาแสดงก็คิดเยอะมากว่าจะทำยังไงให้คล้ายคลึงและกลมกลืนกับตัวละครได้มากที่สุด จะแสดงความในใจของชาฮยอนซูออกมายังไงได้บ้าง

คุณคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้ หรือบทบาทที่คุณได้รับนั้นสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมปัจจุบันได้อย่างไร 

ซงคัง: คิดว่าซีรีส์สะท้อนภาพสังคมที่กลายเป็นสังคมปัจเจกนิยม คนสนใจแต่ตัวเอง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดความโลภและกิเลสต่างๆ คิดว่าเป็นละครที่ทำให้เราได้ย้อนกลับมาคิดทบทวนเรื่องของความโลภเหล่านั้น

อีชียอง: ภัยพิบัติจะมาถึงตัวใครก็ได้ ถึงแม้ฉันจะแสดงบทผู้หญิง แต่ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น คนแก่หรือแม้แต่เด็ก เมื่อเจอสถานการณ์ภัยพิบัติ เพื่อปกป้องคนที่เรารักหรือสิ่งที่สำคัญกับเราแล้ว ใคร ๆ ก็สามารถกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้ และเหมือนกับที่คุณซงคังได้กล่าวไป ปัญหาของปัจเจกนิยมมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในเมื่อเกิดวิกฤต เราจะรวมพลังและพิชิตมันได้

ด้วยความที่คุณอีจินอุคเป็นนักแสดงมากประสบการณ์ ผ่านผลงานมาเยอะมาก บทบาทที่คุณแสดงในเรื่องนี้มีด้านไหนที่แฟนๆ จะได้สัมผัสความแตกต่างจากผลงานที่ผ่านๆ มาของคุณ

อีจินอุค: ใช่แล้วครับ บทบาทก่อนหน้านี้ที่ผมเคยแสดง ส่วนมากจะเป็นบทที่ทุกคนคุ้นเคยกันและสามารถจินตนาการออก แต่คราวนี้เป็นบทบาทที่คิดว่าแฟนๆ น่าจะจินตนาการกันไม่ออก อยากจะให้แฟนๆ มองว่าเป็นตัวละครตัวนึง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้ จะรู้สึกเป็นเกียรติมากในฐานะนักแสดง อยากให้ทุกคนมองว่านี่ไม่ใช่อีจินอุคในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นนักแสดงอีจินอุค เป็นพยอนซังอุก

จากเรื่องปีศาจที่เราเห็นมาจากตัวมนุษย์เอง สำหรับคุณ อะไรคือความปรารถนาของมนุษย์ที่คุณคิดว่าน่ากลัวที่สุดในปัจจุบันนี้

ซงคัง: ความเห็นแก่ตัว สนใจแต่ตัวเอง (ปัจเจกนิยม) 

อีโดฮยอน: เห็นด้วย

อีจินอุค: คิดว่าน่าจะเป็นพื้นฐานของสิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้อยากจะสื่อถึง

นอกเหนือจากตัวละครของตัวเองแล้ว มีตัวละครไหนที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษบ้าง

อีโดฮยอน: ผมประทับใจตัวละครฮยอนซูมากที่สุด ตั้งแต่ตอนที่ได้อ่านเว็บตูน และตอนที่ถ่ายทำก็เช่นกัน เราจะเห็นทั้งภาพในจินตนาการและภาพความเป็นจริงของฮยอนซู ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นภาพของมนุษย์เราที่ใช้ชีวิตอยู่จริงๆ เลยประทับใจที่สุด

อีจินอุค: ประทับใจทุกตัวละครเลย แต่คิดว่าน่าจะประทับใจตัวละครชาฮยอนซู ที่คุณซงคังเล่นมากที่สุด คุณซงคังแสดงบทบาทของนักเรียนที่จะช่วยปกป้องรักษาอนาคตของพวกเราไว้ได้ดีมาก เป็นตัวละครที่จะนำพาไปสู่อนาคตที่ดี อยากให้ผู้ชมได้ปฏิบัติตามตัวละครของฮยอนซูที่มีจิตใจที่ดีงาม

อีชียอง: คิดว่าพยอนซังอุคเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มาก เป็นตัวละครที่ดูมีความเหงา และมีความน่ากลัว แต่ก็เป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุด มีเสน่ห์มาก

ซงคัง: ผมก็คิดว่าตัวละครทุกตัวมีเสน่ห์มาก แต่ส่วนตัวชอบตัวละครอีกยอง เพราะชอบออกกำลังกาย คิดว่าเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และเท่มาก

เรื่องนี้คุณใช้เวลาแต่งหน้ากับแต่งสเปลเชียลเอฟเฟกต์นานแค่ไหนก่อนจะได้เข้าฉาก

อีจินอุค: ผมต้องแต่งแผลรอยไหม้ แล้วแต่ว่าฉากนั้นจะเห็นเยอะแค่ไหนด้วย ช่วงแรกๆ ยังไม่ค่อยชิน เลยใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั้นเริ่มชินขึ้นเลยใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง การแต่งหน้าก็ยาก แต่ที่ลำบากจริงๆ คือการล้างหน้าหลังจากถ่ายเสร็จ ล้างยากมาก แล้วก็เจ็บด้วย ผมเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ออกจากห้องแต่งหน้าคนสุดท้ายเลย

คุณคาดหวังอะไรจากทั้งแฟนๆ และจากตัวเองหลังจากซีรีส์เรื่องนี้ออกฉาย

อีจินอุค: ถึงแม้จะต่างจากสถานการณ์ในละครของพวกเรา แต่ตอนนี้ทุกคนก็กำลังประสบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเหมือนกัน คิดว่าถ้าได้ดูละครของพวกเราแล้ว น่าจะได้รู้ว่า ยิ่งสถานการณ์เป็นเช่นนั้น เราไม่ควรจะนึกถึงแต่ความปลอดภัยและความสุขของตัวเองอย่างเดียว แต่ควรจะนึกถึงคนอื่นๆ ด้วย

อีชียอง: เป็นออริจินัลซีรี่ส์ที่ลองทำอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง หวังว่าคนดูจะชอบและดูกันอย่างสนุกสนาน จะได้มีซีรีส์แนวนี้ออกมาอีกเยอะๆ 

อีโดฮยอน: ผมคิดว่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ในซีรีส์ ก็คือโคโรน่าในชีวิตจริงของพวกเรา อย่างที่พี่อีจินอุคบอกไป ถ้าซีรีส์เรื่องนี้ เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ชมนึกถึงคนอื่นๆ มากกว่าตัวเองได้ ก็น่าจะเป็นอิทธิพลที่ดีจากซีรีส์

ซงคัง: ผมก็เหมือนกันครับ อยากให้จิตใจที่ดีของทุกคนเป็นกำลัง ทำให้ผ่านช่วงที่ยากลำบากนี้ไปได้

เรื่อง Sweet Home ถือว่าเป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกของคุณที่ลงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มีอะไรแตกต่างจากการเล่นละครโทรทัศน์ และการร่วมงานครั้งแรกกับ Netflix เป็นยังไงบ้าง

อีโดฮยอน: รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับ Netflix ผมเชื่อว่านักแสดงทุกคนน่าจะอยากแสดงละครของทาง Netflix เลยรู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณมาก ในส่วนตอนถ่ายทำ สิ่งที่ชอบที่สุดคือ มีขนมของว่างเตรียมไว้ให้ตลอดเลย เวลาที่สตาฟหรือนักแสดงเหนื่อย ๆ ก็มาทานกัน (ในจังหวะนี้ ซงคัง แซวขึ้นมาว่า เห็นอีโดฮยอนกินตลอดเลย)

อะไรคือสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากเนื้อเรื่องของ Sweet Home ที่คุณสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้บ้าง 

อีจินอุค: เหมือนกับที่ตอบก่อนหน้านี้ คือ คิดว่าได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เราคิดว่าเราทำเพื่อตัวเอง มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้ และเราไม่สามารถตัดสินได้ว่า สัตว์ประหลาดต้องเป็นสิ่งที่แย่ มนุษย์เป็นสิ่งที่ดี  ภายนอกอาจจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่การกระทำและการตัดสินใจอาจจะมีความเป็นมนุษย์มากกว่าก็ได้  หรือภายนอกอาจจะเป็นมนุษย์ แต่การกระทำและการตัดสินใจอาจจะแย่กว่าสัตว์ประหลาดอีก และคิดว่าปัญหาของการตัดสินใจด้วย

(ช่วงตอบคำถามนี้ อีจินอุคบอกว่า คำถามยากจัง ทำไมผมได้แต่คำถามยากๆ อีชียองเลยแซวว่า คุณเหมาะกับคำถามแบบนี้แล้ว)

Sweet Home สตรีมมิ่งที่ Netflix ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคมเป็นต้นไป

คอนเฟิร์มแล้วจ้า! พัคโบกอมทิ้งทวนก่อนเข้ากรมปลายปีนี้กับซีรีส์เรื่องล่าสุด Record of Youth

หลังจากคอนเฟิร์มข่าวเข้ากรมปลายปีนี้ให้แฟนๆ ใจแป้วไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พัคโบกอมก็คอนเฟิร์มข่าวดีให้แฟนๆ ใจชื้นว่าครึ่งปีหลังนี้ เขาจะมีผลงานซีรีส์เรื่อง Record of Youth (เส้นทางดาว) ที่เขานำแสดงร่วมกับพัคโซดัม จาก Parasite ลงสตรีมมิ่งพร้อมกันทั่วโลกใน Netflix อย่างแน่นอน

โดยซีรีส์เรื่องนี้เล่าเรื่องการดิ้นรนตามหาความฝันของหนุ่มสาวในวงการโมเดลลิ่ง โดยพัคโบกอมรับบทเป็นชาฮเยจุน นายแบบหนุ่มที่อยากตามความฝันในการเป็นนักแสดง ส่วนพัคโซดัม รับบทเป็นอันจองฮา ช่างแต่งหน้าสาวผู้มุ่งมั่น ร่วมด้วย บยอนอูซอก ที่รับบทเป็นวอนแฮฮโย นายแบบหนุ่มโพรไฟล์ดีที่ต้องการตามความฝันด้วยตัวเอง

นอกจากนักแสดงนำที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดแล้ว Record of Youth (เส้นทางดาว) ยังได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่างอันกิลโฮ​ (Stranger, Memories of Alhambra และ Witcher) และมือเขียนบทอย่างฮามยองฮี (Doctors และ Temperature of Love) มาอีกด้วย

เตรียมรอชมพร้อมกันทาง Netflix ได้เลยครับ

Extracurricular : เพราะผู้ใหญ่ไว้ใจไม่ได้ เป็นวัยรุ่นจึงต้องเจ็บปวด

ท่ามกลางซีรีส์รักกุ๊กกิ๊กหวานแหววขายความหล่อสวยของพระเอกและนางเอกจากประเทศเกาหลีที่สตรีมกันเกลื่อนเมืองแบบไล่ดูเท่าไหร่ก็ไม่หมด เพราะตลาดต้องการเป็นอย่างมากแบบนี้ เราอดไม่ได้ที่จะนับถือความกล้าของทีมงานจาก Extracurricular ที่แหวกกระแสตลาดส่งซีรีส์สายดาร์กออกมาเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ชมยามที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งดูจะเป็นเพื่อนสนิทในสถานการณ์เช่นนี้ (ดาร์กจนเรานึกว่าเป็นภาคต่อของ Parasite เสียอีก)

Extracurricular

Author: Pacharee Klinchoo

Extracurricular บอกเล่าเรื่องราวของโอจีซู (นำแสดงโดย Kim Dong-hee) นักเรียนมัธยมปลายที่เลือกเส้นทางประกอบอาชีพผิดกฎหมายเพื่อทำตามความฝันของตัวเองในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะไม่สามารถพึ่งพาพอที่ติดการพนันจนชีวิตครอบครัวล้มเหลว และแม่ก็หนีหายไปไม่ดูดำดูดีเขาได้อีกต่อไป และแพกยูริ (นำแสดงโดย Park Ju-hyun) สาวน้อยอนาคตไกลจากครอบครัวมหาเศรษฐีที่บังเอิญมารู้ความลับของจีซู และเต็มใจกระโดดเข้าร่วมวงการใต้ดินนี้อย่างเต็มใจ โดยมีซอมินฮี (นำแสดงโดย Jung Da-bin) และควักกีแท (นำแสดงโดย Nam Yoon-soo) เข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการที่เข้าแล้วไม่สามารถออกนี้ได้

Extracurricular

ระบบครอบครัวที่ล้มเหลวเกินรับไหว

“ฉันมีชีวิตต่อไม่ได้ในบ้านหลังนั้น” คือคำพูดที่กยูรีแผดเสียงใส่จีซูเมื่อเขาแสดงความไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงจะต้องมาวุ่นวายกับโลกของเขา ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองก็มีทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว และเมื่อเธอย้อนถามเขาว่า เหตุใดเขาถึงเลือกที่จะลงมาทำอาชีพสีเทาแบบนี้ เขาก็ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ฉันแค่อยากเรียนมหาวิทยาลัย และใช้ชีวิตอย่างพวกเธอเท่านั้นเอง” 

นั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์พิลึกพิลั่นระหว่างคู่พระนางแห่ง Extracurricular ก็ว่าได้ เด็กวัยรุ่นสองคนที่มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกันอย่างสุดขั้วกลับมีบางสิ่งอย่างที่เชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ และบางสิ่งอย่างที่ว่านั้นก็คือ ระบบครอบครัวที่ล้มเหลวเกินรับไหวสำหรับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต

Extracurricular

ภาพครอบครัวที่ยากจน พ่อติดการพนันและขโมยเงินของลูกไปทั้งหมดอย่างครอบครัวของจีซูนั้นดูเหมือนจะเป็นภาพพื้นฐานของครอบครัวชนชั้นกลางระดับล่างที่พบเห็นได้ทั่วโลก ซึ่งความยากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญนั้นไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเท่าใดนัก แต่บทของ Extracurricular นั้นกลับตั้งใจเพิ่มภาพครอบครัวชนชั้นกลางระดับท็อปที่ล้มเหลวไม่แพ้กันอย่างครอบครัวของยูกริเข้ามาในวงจรด้านมืดนี้ด้วย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว การจินตนาการถึงความยากลำบากของครอบครัวกยูรินั้นทำได้ยากมาก หากมองจากมุมมองของคนนอก 

เธอเป็นลูกสาวตนเดียวของครอบครัวนักธุรกิจชื่อดัง เป็นเด็กเรียนเก่ง เพื่อนเยอะ และมีความสามารถมากพอที่จะเข้าวงการได้ทันที เมื่อได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวแล้ว อนาคตของกยูรินั้นสดใสมากแน่นอน ทว่า… นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการในชีวิต พฤติกรรมอันดำมืดของจีซูกลับดูดึงดูดใจให้เธออยากจะใช้ชีวิตต่อไปมากกว่าการเป็นนกน้อยในกรงทองของบิดามารดา

Extracurricular

ฟังๆ ดูแล้วเหมือนจะเป็นนิยายน้ำเน่าที่จบไม่สวยเท่าใดนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แท้จริงแล้ว เด็กวัยรุ่นที่ถูกกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมจากครอบครัวของตัวเอง ซึ่งควรจะเป็นหน่วยในสังคมที่ทำให้พวกเขาปลอดภัยนั้น ก็สามารถหลงทางและทำเรื่องเลวร้ายได้เทียมเทียมกัน ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างฐานะหรือชนชั้นเลยทีเดียว

‘หัวหน้าอี’ ฮีโร่นอกระบบที่พึ่งพาได้มากกว่าครอบครัวหรืออำนาจรัฐ

อีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ใน Extracurricular คือความสัมพันธ์ระหว่างมินฮี เด็กสาวสปอยล์ที่มีอาชีพไซด์ไลน์ลับๆ เพื่อหาเงินมาปรนเปรอกีแท แฟนหนุ่ม กับหัวหน้าอี ชายวัยกลางคนลึกลับที่รับหน้าที่เป็นเสมือนบอดี้การ์ดให้กับสาวๆ ไซด์ไลน์เหล่านั้น 

เนื้อเรื่องไม่ได้แตะประเด็นความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างตัวละครทั้งคู่แบบเห็นได้ชัดเจน แต่กลับแสดงความรู้สึกห่วงใยกันและกัน และความเข้าอกเข้าใจกันยามต้องอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันตึงเครียด และสังคมที่โหดร้าย เมื่อบทเผยเบื้องหลังที่มาของหัวหน้าอี ผู้ชมก็จะเห็นได้ชัดเจนถึง ‘ความนอกกฎหมาย’ ของตัวละครนี้ แต่มินฮีกลับเลือกที่จะพึ่งพิงเขามากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามเสนอความช่วยเหลือให้เธอตลอดทั้งเรื่อง

Extracurricular

เบื้องลึกเบื้องหลังครอบครัวของมินฮีนั้นไม่ได้ถูกสาธยายอย่างละเอียดเหมือนตัวละครหลักทั้งสองที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า เหตุจูงใจของเธอในการเดินเข้าสู่ธุรกิจค้ากามนี้เป็นเพียงความฟุ้งเฟ้อ และต้องการหาเงินมาปรนเปรอแฟนหนุ่มของตัวเองเท่านั้น แม้เราจะไม่รู้เบื้องหลังด้านครอบครัว แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเธอเป็นเด็กที่เปล่าเปลี่ยวและต้องการการเติมเต็มมากแค่ไหน เมื่อบวกกับความไว้วางใจในตัวหัวหน้าอีที่ปกป้องเธอได้ โดยไม่แยแสอำนาจรัฐที่พร่ำบอกว่าจะปกป้องเธอนั้น เราก็คงเดาไม่ยากว่า แท้จริงแล้ว นักเขียนและผู้กำกับต้องการสอดแทรกคำวิพากษ์วิจารณ์อะไรไว้ในตัวละครทั้งสองคนนี้กันแน่ 

Extracurricular

Extracurricular เป็นซีรีส์สายดาร์กที่ดำเนินเรื่องแบบลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง นักเขียนบท ผู้กำกับ และนักแสดงนำทั้งหมดล้วนแล้วแต่เปิดตัวกับซีรีส์เรื่องนี้ทั้งหมด เราจึงอดนับถือใน ‘ความกล้าที่จะแหกกรอบ’ อะไรบางอย่างของ ‘ซีรีส์เกาหลี’ แบบที่ชาวโลกส่วนใหญ่รับรู้ไม่ได้ และในความกล้าที่จะแหกนั้น ก็ทำให้เรายอมรับได้ว่า นี่น่าจะเป็นก้าวแรกสู่ความหลากหลายทางเนื้อหาของซีรีส์เกาหลี ในแบบที่ Parasite เคยทำได้มาแล้วในวงการภาพยนตร์

Extracurricular สตรีมมิ่งแล้วที่ Netflix

ส่องนาฬิกาสุดเนี้ยบของกษัตริย์อีกน ใน The King: Eternal Monarch

มาแรงสุดๆ กับการห่างหายจากหน้าจอไปรับใช้ชาติ อีมินโฮ(Lee Min Ho) กลับมาอย่างสมภาคภูมิในบทพระเจ้าอีกน ที่มีประตูเวลาเป็นสิ่งเชื่อมมิติ และไม่ว่าจะอยู่โลกราชาธิปไตยหรือโลกสาธารณรัฐ เวลาคือตัวแปร ดังที่กษัตริย?หนุ่มมีรับสั่งว่า  “นาฬิกาที่ดีจะต้องไม่คลาดเคลื่อนเลย แม้แต่เศษเสี้ยววินาที”

นับว่ากระแสมาแรงตั้งแต่เริ่มต้นเพียงไม่กี่ตอน The King: Eternal Monarch ก็ทะยานขึ้นสู่ซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งบน Netflix ประเทศไทย ส่วนหนึ่งอาจเพราะได้พระเอกเกาหลีคนดังอย่าง อีมินโฮ (Lee Min Ho) มารับบทนำ และเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ชวนติดตามเกี่ยวกับโลกคู่ขนานของเกาหลี โดยในโลกหนึ่งมีการปกครองระบอบกษัตริย์ และอีกโลกหนึ่งมีการปกครองแบบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดี แต่เมื่อประตูระหว่างโลกทั้งสองได้เปิดออก ทำให้กษัตริย์อีกนได้เข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่ง และเกิดเรื่องราวต่างๆ ที่เราต้องคอยติดตามกันในตอนต่อไป

ตั้งแต่ episode แรกจะเห็นได้ว่า กษัตริย์อีกนทรงมีบุคลิกเนี้ยบและพิถีพิถันในเรื่องของการแต่งกายที่ต้องดูดีอยู่เสมอ และสิ่งหนึ่งที่ทรงสวมติดตัวที่เราเห็นก็คือ “นาฬิกา” แน่นอนนาฬิกาที่พระองค์ทรงเลือกจะต้องสะท้อนถึงความสง่างาม เรียบหรู และมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมเฉกดังสโลแกนของแบรนด์ลองจินท์ Elegance is An attitude 

 “นาฬิกาที่ดีจะต้องไม่คลาดเคลื่อนเลย แม้แต่เศษเสี้ยววินาที” นี่คือคำพูดของกษัตริย์อีกน และใน episode ที่สองก็ได้เผยโฉมแล้วว่านาฬิกาที่กษัตริย์อีกนทรงเลือกใส่คือ “Longines Master  Moonphase” นั่นเอง 

Longines Master Moonphase  เป็นส่วนหนึ่งของ Longines Master Collection ที่เปิดตัวในปี 2005 และได้กลายมาเป็นคอลเลกชั่นหลักประจำแบรนด์ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความสง่างามอันเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ และช่วยสั่งสมชื่อเสียงให้ลองจินส์โด่งดังไปทั่วโลก โดยโมเดล L2.673.4.78.3 นี้มีความพิเศษที่ฟังก์ชั่นโครโนกราฟ และเข็ม 60 วินาทีตรงกลาง ทั้งยังแสดงข้างขึ้นข้างแรมพร้อมหน้าปัดวงทดเวลา 12 ชั่วโมงที่ 6 นาฬิกา และหน้าปัดวงทดเวลา 30 นาทีพร้อมแสดงวันและเดือนที่ 12 นาฬิกา ภายในตัวเรือนสแตนเลสสตีลทรงกลมขนาด 40 มม. บรรจุกลไกไขลานอัตโนมัติที่แกว่งด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง และมีกำลังลานสำรองสูงสุด 54 ชั่วโมง มาพร้อมหน้าปัดสีเงินบาร์ลีย์คอร์นตกแต่งตัวเลขอารบิกสี ส่วนสายรัดข้อมือเป็นสายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำตาล เข้ากับหน้าปัดอย่างลงตัว พร้อมตัวล็อคแบบพับเพื่อความปลอดภัยสามชั้นและกลไกเปิดแบบปุ่มกด

หมายเลขรุ่น

L2.673.4.78.3

คาลิเบอร์

กลไกไขลานอัตโนมัติ โครโนกราฟคอลัมน์วิล

คาลิเบอร์ L687

11½ lines, 21 jewels แกว่างด้วยความถี่ 28’800 ต่อชั่วโมง

กำลังลานสำรอง 54 ชั่วโมง

ฟังก์ชั่น

ชั่วโมง นาที วินาที และเข็มแสดงเวลา 24 ชั่วโมงที่ 9 นาฬิกา แสดงวันที่ด้วยเข็มตรงกลางรูปพระจันทร์ครึ่งดวง และข้างขึ้นข้างแรมที่ 6 นาฬิกา

ฟังก์ชั่นโครโนกราฟ: เข็มวินาทีตรงกลางแสดงข้างขึ้นข้างแรมพร้อมหน้าปัดวงทดเวลา 12 ชั่วโมงที่ 6 นาฬิกา และหน้าปัดวงทดเวลา 30 นาทีพร้อมแสดงวันและเดือนที่ 12 นาฬิกา

ตัวเรือน

ทรงกลมทำจากสแตนเลสสตีล ขนาด  40 มม. กระจกหน้าปัดแซฟไฟร์ และฝาหลังตัวเรือนแบบโปร่งใส 

หน้าปัด

ขนาด Ø 40.00 

สีเงินบาร์ลีย์คอร์น ตกแต่งตัวเลขอารบิก

เข็มนาฬิกา

เข็มนาฬิกาบลูสตีลสีน้ำเงิน

การกันน้ำ

ระดับ 3 บาร์ 

สายรัดข้อมือ

สายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำตาล พร้อมตัวล็อคสามชั้นเพื่อความปลอดภัย และกลไกการเปิดแบบปุ่มกด 

แฟนๆ อีมินโฮ อย่าลืมติดตามบทบาทใหม่ในรอบ 3 ปีของเขา รวมถึงแฟชั่นสุดเนี้ยบของกษัตริย์อีกนได้ทาง Netflix

 และสามารถเป็นเจ้าของนาฬิกาที่สะท้อนความสง่างาม Longines Master Moonphase  โมเดล L2.673.4.78.3 ในราคา 117,400 บาท หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง;

https://www.facebook.com/LonginesTH/
https://www.longines.com/th/watches/the-longines-master-collection

Online shopping : https://s.lazada.co.th/s.1ZR08

#LonginesThailand #Eleganceisanattitude #LonginesMasterCollection

บทสัมภาษณ์​ Chris Hemsworth ส่งตรงจากกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องล่าสุด ‘Extraction – คนระห่ำภารกิจเดือด’

ในที่สุด Netflix ก็ได้ฤกษ์ปล่อยภาพยนตร์เรื่อง ‘Extraction – คนระห่ำภารกิจเดือด’ ออกมาฉายอย่างเป็นทางการเสียที หลังจากให้สาวกของเทพเจ้าธอร์ Chris Hemsworth ลุ้นแล้วลุ้นอีกมานาน

EXTRACTION, 2020Z6A_9843.NEF

นอกเหนือไปจากความหล่อทะลุคราบเลือดของคริสแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถ่ายทำที่ประเทศไทยหลายต่อหลายฉาก เรื่องราวว่าด้วยทหารรับจ้าง ไทเลอร์​ เรก (นำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธ) ที่ต้องบุกตะลุยรังโจรช่วยเหลือลูกชายของมาเฟียใหญ่ โดยรังโจรที่ว่านี้มีทั้งกองทัพนักค้ายา ทหารคอร์รัปชั่น และทหารรับจ้างกระหายเลือดที่พร้อมยิงหัวเขาได้ทุกเวลารายล้อมอยู่ 

เราบังเอิญได้บทสัมภาษณ์ของคริส เฮมส์เวิรธ์สั้นๆ มายั่วต่อมอยากดูของแฟนๆ คริสหมีทุกท่าน บอกเลยว่า อ่านจบได้มีพุ่งไปเปิดหนังดูทันทีแน่นอน 

EXTRACTION, 2020JB6_6972.NEF

คุณอธิบายคาแร็กเตอร์ของคุณในเรื่องนี้หน่อย แล้วอะไรทำให้คุณรับแสดงโปรเจ็กต์นี้ในตอนแรก

มันเป็นโอกาสที่ทำให้ผมได้กลับมาร่วมงานกับ Sam Hargrove (ผู้กำกับ) และ Joe Russo (โปรดิวเซอร์) อีกครั้งหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผมรู้สึกชอบมากๆ หลังจากอ่านบทจบครั้งแรกเลยครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง…​ อะไรดีล่ะ… แอ็กชั่นสนั่นล้างผลาญ แล้วอะไรอีก… ก็แอ็กชั่นในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน บวกกับการสร้างอารมณ์ร่วมที่ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเข้าใจตัวละครได้ชัดเจนอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็แตกต่างภาพยนตร์แอ็กชั่นทั่วไปนะ

ส่วนคาแรกเตอร์ของไทเลอร์นั้นคือ เขาเป็นคนที่บอบช้ำอย่างมากมายในใจ ถ้าคุณเจอเขาครั้งแรก คุณจะรู้สึกทันทีว่าเขาคือดวงวิญญาณที่หลงทาง ตัวเขาคืออาวุธสงครามระดับทำลายล้างสูงที่เปิดให้ใครเช่าก็ได้ เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ดูเหมือนจะเป็นการฆ่าตัวตายอยู่กลายๆ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาถนัด และเหมาะกับตัวเขาที่สุดแล้ว ในระหว่างที่เขาไปทำภารกิจ เขากลับไปเจออะไรบางอย่างที่เปิดตาเขา ทำให้เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตที่เขาพยายามหลีกหนีมาตลอด และภารกิจนั้นก็กลายเป็นเสมือนการไถ่บาปให้กับเขาไปน่ะครับ

EXTRACTION, 2020101A4121.CR2

บอกหน่อยว่าเตรียมตัวสำหรับการแสดงบทแอ็กชั่นหนักหน่วงขนาดนี้ได้อย่างไร

ผมฝึกร่างกายตัวเองอย่างหนักมาตั้งแต่รับแสดงภาพยนตร์ชุด Avengers แล้วครับ เทรนกล้ามเนื้อหนักมาก เสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่ก็ต้องระวังไม่ให้กล้ามเนื้อทำงานหนักเกินไป ต้องทำให้รูปร่างของตัวเองเหมาะกับบทที่ได้รับมากที่สุดครับ แต่สำหรับเรื่องนี้ ผมต้องผอมมากๆ เพราะไทเลอร์เขาเป็นคาแรกเตอร์นั้น ผมก็ต้องปรับเปลี่ยนแผนการการออกกำลังกายใหม่หมด ทั้งยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวร่างกายใหม่ๆ และต้องฝึกคิวบู๊ใหม่ ลงรายละเอียดเยอะแยะไปหมด มันหนักกว่าที่ผมเคยทำมาในอดีตมากๆ เลยครับ ผมรู้สึกพร้อมมากๆ ตอนเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำ เพราะผมฝึกหนักมากจริงๆ 

มีคำตอบมาให้แฟนๆ อ่านพอหอมปากหอมคอแล้ว ไปดูความหล่อล่ำของพี่ พร้อมฉากแอ็กชั่นสนั่นหวั่นไหวให้หายคิดถึงบรรยากาศในโรงภาพยนตร์ระหว่างต้องล็อกดาวน์ตัวเองกันดีกว่าครับ

Extraction – คนระห่ำภารกิจเดือด ฉายแล้วที่ Netflix 

LiveStream แถลงข่าว Time to Hunt โดย Netflix

วันที่ 23 เมษายนนี้ เวลา 19.00 น. เตรียมพบกับ LiveStream งานแถลงข่าวภาพยนตร์เรื่อง Time to Hunt โดย Netflix ได้ที่ลิงก์นี้

โดยไลฟ์สตรีมนี้จะมี Lee Dong Jin นักวิจารณ์ภาพยนตร์, Yoon Sung-Hyun ผู้กำกับ และนักแสดงทั้ง Lee Je-Hoon, Ahn Jae-Hong, Choi Woo-Shik (จากเรื่อง Parasite), Park Jung-Min และ Park Hae-Soo มาร่วมพูดคุยกัน และยังมี session สำหรับตอบคำถามคนที่ดูไลฟ์สตรีมมิ่งด้วยครับ

หมายเหตุ: แถลงข่าวเป็นภาษาเกาหลี และไม่มีซับไทยนะครับ

ลองดูเทรลเลอร์กันได้ที่ลิงก์นี้ก่อนตัดสินใจได้ครับ

Time to Hunt สตรีมที่ Netflix แล้ววันนี้