Posts

Chopard : Mille Miglia 2021 Race Edition

หลังการรื้อฟื้นจัดให้มีการแข่งขัน 1,000 Miglia ในปี 1977 ได้ทำให้เกิดการพัฒนาเครื่องยนต์ของรถยนต์ในตำนานอย่างต่อเนื่อง ด้วยระยะทางการแข่งขัน 1,600 กม. ผ่านซานมารีโน โรม เซียนา และฟลอเรนซ์ ในฐานะที่ Chopard เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักและผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของงานตั้งแต่ปี 1988 Chopard ได้สืบทอดความมุ่งมั่นนี้อีกครั้งในปีนี้ โดยการเปิดตัว Cronographs Mille Miglia 2021 Race Edition 

สำหรับโอกาสนี้ เป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น 1,000 ชิ้น ทำจากสแตนเลสสตีลหรือแบบทูโทน 250 ชิ้นทำจากสแตนเลสสตีลและพิงค์โกลด์ 18 กะรัต นาฬิกาสุดหรูนี้มาพร้อมกลไกการทำงานที่มีความแม่นยำที่ผ่านการรับรอง ‘Chronometer’ สะท้อนถึงความหลงใหลที่แน่วแน่ของ Chopard ที่มีต่อมอเตอร์สปอร์ต สำหรับ The 2021 1000 Miglia ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ถึง 19 มิถุนายนปีนี้ ถือเป็นการบัญญัติกฎครั้งประวัติศาสตร์ครั้งที่ 39 ของ ‘การแข่งขัน Red Arrow’ โดย 1,000 Miglia ครั้งแรกเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1927 เมื่อกลุ่มผู้ชื่นชอบรถใน Brescia จัดการแข่งขันเพื่อทดแทนการสูญเสีย Italian Grand Prix ให้กับ Monza เส้นทางปี 2021 จะเป็นการแสดงความเคารพต่อการแข่งขันดั้งเดิม โดยมีการออกกฎใหม่นี้เป็นครั้งแรก ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา รถยนต์สี่ร้อยคันจะมุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง Tyrrhenian จากเมือง Brescia โดยหยุดที่ Viareggio ก่อนขับไปยังกรุงโรม อาเพนนีเนส และโบโลญญา

กลไกโครโนกราฟที่ให้ความน่าเชื่อถือที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
นาฬิกาทุกเรือนในคอลเลกชั่นนาฬิกา Mille Miglia มีความสปอร์ตและน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง รุ่นล่าสุดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันแรลลี่ก็ไม่ได้แตกต่างกัน โครโนกราฟไขลานอัตโนมัติที่สร้างขึ้นเพื่อ เป็นครั้งแรกและใหม่ล่าสุด การวัดเวลาอย่างเชื่อถือได้ รุ่น Mille Miglia 2021 Race Edition เป็นนาฬิกาที่ได้รับความไว้วางใจ สำรองพลังงานได้ 48 ชั่วโมง ฟังก์ชันหยุดวินาที กันน้ำได้ 100 เมตร และคริสตัลแซฟไฟร์กันแสงสะท้อนเพื่อเพิ่มความชัดเจนในการมองเห็น
ทั้งสองตัวเลือกนี้แบ่งออกเป็นรุ่นตัวเรือนสแตนเลส 1,000 เรือน และตัวเรือนสแตนเลส และทองคำ 18 กะรัต 250 เรือน กลไกการทำงานที่ได้รับการรับรองความเที่ยงตรงจาก COSC ซึ่งเป็นการรับประกันความแม่นยำที่สำคัญ


รายละเอียดตัวบ่งชี้โครโนกราฟถูกเน้นด้วยเข็มสีแดงเพิ่มความชัดเจนของเข็มวินาทีตรงกลาง ตัวนับ 30 นาทีที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และตัวนับชั่วโมงที่ 6 นาฬิกา การรักษาสัดส่วนที่สมมาตรบนหน้าปัดอย่างพิถีพิถัน การแสดงวินาทีเล็กๆ จะปรากฏขึ้นที่ 9 นาฬิกา และช่องหน้าต่างแสดงวันที่อยู่ที่ 3 นาฬิกา กรอบมีสเกลทาคีมิเตอร์เซรามิกสีดำขัดเงาพร้อมเครื่องหมายแล็กเกอร์สีขาวแสดงถึงเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบที่จะช่วยให้นักแข่งคำนวณความเร็วเฉลี่ยระหว่างการแข่งขันแรลลี่ 1,000 Miglia ซึ่งการแข่งความเร็วครั้งประวัติศาสตร์นี้ขึ้นอยู่กับการจับเวลาที่แม่นยำ และนั่นคือเหตุผลที่ Chopard แม่นยำและแม่นยำในทุกด้านของการผลิตนาฬิกา ยังคงเป็นคู่หูที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งขัน


Mille Miglia 2021 Race Edition เป็นนาฬิกาที่มีประสิทธิภาพสูง มีฟังก์ชั่นเพื่อการงานได้ดีและทนทาน ขอบหน้าปัดทำจากสเตนเลสสตีลหรือโรสโกลด์ 18 กะรัตขัดเงาตามแบบแผนดั้งเดิมพร้อมเม็ดเซรามิกสีดำ ถ่ายทอดรูปลักษณ์จากหน้าปัดและมาตรวัดของรถยนต์คลาสสิก ฝาหลังยึดด้วยสกรูและมีธงลายตารางหมากรุก โลโก้ 1,000 Miglia และคำจารึก ‘Brescia > Roma > Brescia’ เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างนาฬิกากับการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยสีเทาและสีเงินที่เข้มข้น ขับเน้นด้วยสีแดง ทำให้นาฬิกาทั้งเรือนมีอัตลักษณ์ทางภาพที่ชัดเจน


ข้อต่อสายสั้นพอดีกับข้อมือส่วนใหญ่ และการออกแบบตัวเรือนสแตนเลสขนาด 44 มม. ได้แรงบันดาลใจมาจากดีไซน์รถคลาสสิกที่ผสมผสานสไตล์ร่วมสมัยเข้ากับจิตวิญญาณสไตล์วินเทจ แม้แต่สร้อยข้อมือหนังลูกวัวยังได้รับแรงบันดาลใจจากถุงมือแข่งแบบมีรูพรุนแบบดั้งเดิม เย็บแบบทูโทนสีแดงหรือสีดำ บุด้วยยาง และชวนให้นึกถึงลวดลายของยาง Dunlop ในยุค 1960 — มอเตอร์สปอร์ตพยักหน้ารวมอยู่ในคอลเลกชั่น Mille Miglia ปี 2018 ของ Chopard ปิดท้ายด้วยตัวล็อคแบบพับสแตนเลสขัดเงาและขัดซาติน สายรัดนี้เป็นส่วนสำคัญของคุณลักษณะของ Mille Miglia 2021 Race Edition
หน้าปัดสีเทาที่ได้จากการชุบกัลวานิกบนฐานทองเหลือง โดดเด่นด้วยพื้นผิวปัดซาตินแบบวงกลมที่ดำเนินการโดยช่างฝีมือของผู้ผลิตหน้าปัด ลวดลาย ‘ลูกศรสีแดง’ ของ 1000 Miglia อันโด่งดังชี้ไปที่การแสดงวันที่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ซึ่งอ่านได้ชัดเจนผ่านเลนส์ขยายวันที่ เข็มนาฬิกาและตำแหน่งบอกชั่วโมงเคลือบด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova® เพื่อให้อ่านค่าได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญเมื่อขับรถท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด

NOT JUST NUMBERS

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การแข่งขันมาราธอนของบรรดาผู้ที่รักความเร็วและหลงใหลในรถสปอร์ตแห่งศตวรรษที่ 20

การขับขี่ด้วยความเร็วสูงผ่านหมู่บ้านเล็กๆ วิ่งไปตามชานเมืองของดินแดนในอิตาลี ผ่านฝูงชนที่คอยจับตาดูและเฝ้ามองผู้ที่เป็นเจ้าแห่งความเร็วและรถในฝันที่อยู่ในดวงใจ ซึ่งพร้อมจะเชียร์ ส่งเสียงและสรรเสริญให้แก่ฮีโร่ของพวกเขาเหล่านั้น

lopt mil1

เทศกาลซิ่งผ่านหมู่บ้านนี้เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ต้องการจะซ้ำแบบใครของชาวอิตาเลียนคนหนึ่งที่มีนามว่า อายโม แมกกี แห่งคอนเต และบรรดาเพื่อนๆของเขา โจวานนี กาเนสตรินี ท่านเคานต์แห่ง ฟรังโก มาสซอตติ และ รานโซ กาสตาญโญ ที่มารวมตัวกัน และหารือว่าเราจะต้องทำอะไรสักอย่างเพราะว่าอิตาลีกรังซ์ปรีที่เคยเป็นเทศกาลกำลังจะถูกขโมย และย้ายไปจัดที่ใหม่นั่นคือสนามมอนซา (ปัจจุบันใช้ในการแข่งขัน F1 ด้วย) และยังอยู่ภายใต้การดูแลของคลับรถยนต์แห่งมิลาน มันทำให้สายเลือดมอเตอร์สปอร์ตชาวอิตาลีที่อาศัยอยู่โดยรอบเมืองเบรสซาซึ่งมีความรักในมอเตอร์สปอร์ตต้องตกตะลึงกับเรื่องนี้ในปี 1922 บรรดาอิตาเลียนบอยทั้งหลายมีความชอบมอเตอร์สปอร์ตมายาวนาน แม้ว่าอิตาลีจะก้าวเข้าสู่ยุคของสังคมเกษรตรกรรมในปี 1927  ทั้งประเทศมีรถยนต์อยู่เพียง 170,000  คัน และแน่นอว่ามันคือรถที่ผลิตจากประเทศอังกฤษอีกต่างหาก!!!!

ในเมืองผู้ขับขี่จะต้องขับรถชิดซ้าย แต่พออกมาสู่ชนบทกลับกลายเป็นว่ามาขับชิดขวากันแทน ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ทางรัฐบาลมีนโยบายจะสร้างอาณาจักรโรมันใหม่ขึ้นมาพอดี มันเลยทำให้อายโมมีความคิดที่จะเอามอเตอร์สปอร์ตมาชูให้โดดเด่นอีกครั้ง อายโมและบรรดาเพื่อนๆ เดินทางไปยังมิลานเพื่อเข้าไปคลุกคลี กับบรรดาผู้ที่อยู่ในกลุ่มคลับรถยนต์แห่งมิลาน

จุดเริ่มต้นของการแข่ง Mille Miglia (มิลเล มิญลิยา) หรือ การแข่งขัน 1,000 ไมล์ นี้เริ่มต้นในวันที่ 2 ธันวาคม 1926 หลังจากกรรมการแข่งรถขั้นภูเขาซึ่งเป็นรายการท้องถิ่น อายโมและเพื่อนๆนัดกันพูดคุยที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำ 4 ทหารเสือถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องของมอเตอร์สปอร์ตที่ไม่ใช่เพียงแข่ง มันต้องเป็นจินตนาการใหม่ของชาวอิตาลี การสร้างสนามใหม่เป็นเรื่องที่ดึงดูดให้การแข่งสนุกและน่าสนใจได้เป็นอย่างดี แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย การแข่งขันแบบโรดเรซิงโดยใช้ถนนที่มีอยู่แล้ว จึงเป็นทางเลือกที่หลายฝ่ายเห็นเป็นทางเดียวกัน โดยเส้นทางแข่งขันที่ต้องการนั้นจะต้องเป็นการเริ่มต้นที่เบรสซาวิ่งไปยังโรม และย้อนกลับมาที่เบรสซาอีกครั้ง เพื่อที่จะให้ได้ระยะทาง 1,600 กิโลเมตรโดยประมาณ และเพื่อให้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยินถึงการแข่งขันนี้จะต้องร้องขึ้นว่า

นั่นมันหนึ่งพันไมล์เลยนี่น่า!!!

และนี่คือจุดเริ่มต้นของการแข่งขันมิลเล มิญลิยา และจัดตั้งสมาคมรถยนต์แห่งเบรสซาเพื่อสนับสนุนการแข่งโยที่กาสตาเญโตเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องแผนงานทั้งหมด

lopt mil5
(Photo by The Chicanf)

การแข่งขันที่ดุเดือดเริ่มขึ้นเมื่อปี 1927 แน่นอนว่าช่วงปีแรกคงหนีไม่พ้นรถจากสหราชอาณาจักรที่มาร่วมลงแข่งขัน หลังจากนั้นมิลเล มิญลิยา ก็เป็นแหล่งรวมเอาบรรดารถยนต์จากหลายที่มาร่วมทำการแข่งขัน คู่แข่งตัวฉกาจที่จะต้องมาดวลฝีมือกันก็หนีไม่พ้น Ferrari, Maserat, Aston Martin และแน่นอนที่สุดว่าจะต้องมี Mercedes-Benz เข้าร่วมด้วย โดยเบนซ์ได้เข้าร่วมการแข่งครั้งแรกในปี 1930 และประสบความสำเร็จในปีต่อมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวยนตกรรมในปี 1955 กับรุ่น 300 SLR (M-066) และเป็นครั้งแรกที่ส่งลงแข่งในรายกาย มิลเล มิญลิยา เพื่อมาเจอกับคู่แข่งที่น่ากลัวดังกล่าว และรถที่เข้าร่วมการแข่งขันก็ไม่ใช่น้อย ทุกๆนาทีที่เริ่มการแข่งขันจะมรถแข่งเรียงรายที่จุดสตาร์ทและปล่อยตัวออกไปทีละคันเข้าสู่เส้นทางวิ่ง 1,000 ไมล์ อันเลื่องชื่อ

ตั้งแต่ปี 1949 นั้นลำดับการสตาร์ทถูกปรับเปลี่ยนให้ง่ายต่อระบบการจัดการและการจดจำ เลาที่เอารถเข้าไปสู่ตำแหน่งสตาร์ทจะเป็นเวลาที่ถูกบันทึกเอาไว้สำหรับรถแข่งคันนั้น และเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ เวลาในการสตาร์ทก็จะกลายเป็นเบอร์ของรถแข่งคันนั้นด้วย รุ่งเช้า 7.22 นาที รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ 300 SLR เครื่องยนต์ 8 สูบ แถวเรียงความจุ 2,982 ซีซี. จัดวางเอียง 33 องศาทางด้านขวา ระบบฉีดเชื้อเพลงแบบ Direct Fuel Injection พร้อม Desmodromic Valve Control ให้กำลังสูงสุด 310 แรงม้าที่ 7,500 รอบต่อนาที จอดที่เส้นสตาร์ทพร้อมโลดแล่นไปยังเส้นทาง 1,000 ไมล์ในปี 19555

Mille Miglia (Brescia/Italien), 1. Mai 1955; Mille Miglia (Bresc
(Photo by Driving.com)

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นักขับเชื้อสายอังกฤษ สเตอร์ลิง มอสส์ มาพร้อมกับผู้นำทางที่พกกระดาษโน๊ตแผนที่เส้นทางวิ่งแผ่นยาว 6 เมตร เดนิส เจนคิสสัน ม้วนจัดระเบียบแผนที่นำทางของเขาเป็นอย่างดี มันคือระบบนำทางยุคแรกที่ยาว 6 เมตร และถูกม้วนให้ใช้งานและการจัดเก็บได้ง่าย เดนิสเรียกมันว่า โรลเลอร์ แมพ ด้วยความสามารถในการขับแข่งของสเตอร์ลิงทำให้ 300 SLR 722 คันนั้นเป็นผู้นำตั้งแต่ช่วงที่ผ่านโรมแล้ววนกลับมาอีกครั้งหนึ่งคู่หูใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง 17 นาที 48 วินาที ในการข้ามเส้นชัยและคว้าชัยชนะไปครอง ซึ่งใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 157.65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และผู้ที่ตามมาเป็นลำดับที่ 2 คือ เจ.เอ็ม ฟานโจ ซึ่งรถที่เขาพาผ่านธงตราหมากรุกมาเป็นคันที่ 2  คือ  เมอร์เซเดส-เบนซ์ 300 SLR เช่นกัน นับว่าเป็นชัยชนะทีหวานหอมของเบนซ์ในปีนั้น

loptimum not123
(Photo by Diecast x Change)

722 คือรหัสร้ายของดาวจรัสแสงที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ SLR จึงไม่ใช่แค่เพียงตัวเลขที่ติดมาเพื่อความเท่ แต่มันคือตัวเลขแห่งตำนานที่อยู่คู่กันมาหลังจากได้รับชัยชนะอันน่าภาคภูมิใจ

(Photo cover by fidelity house)