Posts

DANIEL ARSHAM, New HUBLOT Brand Ambassador.

เปิดตัวการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ HUBLOTอย่างสมศักดิ์ศรีของศิลปินร่วมสมัย DANIEL ARSHAM (แดเนียล อาร์แชม) เพื่อเป็นการฉลองจุดเริ่มต้นแห่งความร่วมงานกัน เขาได้สร้างสรรค์งานศิลปะจัดวาง หรืออินสตอลเลชันอาร์ตในรูปแบบนาฬิกาแดด ขนาด 20 เมตร ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Hublot (อูโบลท์) โดยติดตั้งอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ของผืนหิมะแห่ง Zermatt (เซอร์แมท) ใน Schwarzsee (ชวาร์ซี) ณ ระดับความสูง 2583เมตร

Hublot loves Daniel Arsham! ผู้ผลิตนาฬิกาสวิสอย่างอูโบลท์ ยังคงเดินหน้าแสวงหาซึ่งความเป็นที่หนึ่งและแตกต่าง โดยการประกาศต้อนรับศิลปินร่วมสมัยชาวอเมริกัน Daniel Arsham ผู้ทำงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานอันเปี่ยมด้วยพลังของเขา ซึ่งครอบคลุมทั้งสาขาจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะจัดวางหรืออินสตอลเลชัน (installation) และภาพยนตร์ โดยเขามักสำรวจถึงแนวคิดของเวลาผ่านผลงานทางศิลปะของเขาเองเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านซีรีส์ผลงานอันโด่งดัง อย่าง Connecting Time (คอนเน็คติ้ง ไทม์) และ Hourglass (อาวร์กลาส) ที่เป็นไอคอนิกของเขา

เพื่อเริ่มต้นความร่วมมือครั้งใหม่และเพื่อเฉลิมฉลองความเชื่อมโยงอันเป็นนิรันดร์ระหว่างการประดิษฐ์นาฬิกา ศิลปะ และงานหัตถศิลป์ Daniel ได้เผยโฉมนาฬิกาแดด ขนาด 20 เมตร ขึ้นท่ามกลางภูมิทัศน์แห่งผืนหิมะของรีสอร์ทแห่งเทือกเขาสวิสอย่าง Zermatt และภายใต้เงาแสงของ Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) ยอดเขาอันเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีแห่ง Swiss Alps (สวิสแอลป์) โดยศิลปะจัดวางแบบชั่วคราวนี้มีชื่อว่า Light & Time (ไลท์ แอนด์ ไทม์) โดยใช้องค์ประกอบทางธรรมชาติเพื่อหลอมรวมรากเหง้าต่างๆ ของการแสดงเวลามาผสมผสานเข้ากับงานฝีมือภายใต้ศิลปะแห่งพรมแดน โดยศิลปะจัดวางที่มีฟังก์ชันของการวัดเวลากลางแจ้งนี้มีพื้นฐานมาจากแสงเงาที่ทอดผ่านอนุสาวรีย์แท่งหินสูงรูปทรงผลึกควอตซ์ ซึ่งเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนโคจรในหนึ่งวัน แสงเงาที่ทอดผ่านโดยตัวชี้กลางจะทำหน้าที่แสดงเวลาบนหิมะซึ่งคราดรอยไว้ Arsham ยังได้ผสมผสานระหว่างรูปทรงและฟังก์ชันในการสร้างสรรค์นาฬิกาแดดจากองค์ประกอบทางธรรมชาติของ Swiss Alps โดยวิธีการนี้ หิมะและแสงได้หล่อหลอมเข้าด้วยกันเพื่อเชื่อมโยงจักรวาลแห่งผลึกและแสงของเขาเข้ากับมรดกและประวัติศาสตร์แห่งงานหัตถศิลป์การประดิษฐ์นาฬิกาของ Hublot นาฬิกาแดดนี้ยังได้ร่วมสะท้อนถึงภาษาการออกแบบของ Hublot และการผสมผสานสัญลักษณ์ต่างๆ ที่คุ้นเคย อาทิ สกรูอันโด่งดังซึ่งทำหน้าที่ยึดขอบตัวเรือนของนาฬิกา Big Bang (บิ๊ก แบง) โดยศิลปะอินสตอลเลชันนี้ยังมาพร้อมกับความพิเศษเหนือความคาดหมาย จากการที่จะสามารถมองเห็นได้เพียงเฉพาะจากยอดเขาเท่านั้น และเพื่อให้สามารถมองเห็นได้ ผู้ที่หลงใหลในศิลปะจะต้องใช้ลิฟต์สกีของ Zermatt เพื่อร่วมชื่นชมศิลปะชิ้นนี้


“ผมได้เฝ้าดู Hublot และโปรเจกต์ต่างๆ ที่แบรนด์ให้การสนับสนุนโลกแห่งศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา และชื่นชมในในความกล้าหาญแห่งการประดิษฐ์สร้างสรรค์นาฬิกา การออกแบบ และงานฝีมือ The Art of Fusion (ศิลปะแห่งการผสมผสาน) ถือเป็นหนึ่งในโปรเจกต์อันชาญฉลาดที่สุดของการประดิษฐ์นาฬิกา ผมรักในแนวคิดการรังสรรค์ของ Hublot รวมถึงอิทธิพลและวัสดุที่นำมาใช้ร่วมกันในการสร้างรูปทรงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียว แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาพิเศษที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Hublot Family (ครอบครัวอูโบลท์) และผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับโปรเจกต์นาฬิกาแดด Hublot x Daniel Arsham ใน Zermatt นี้ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ศิลปะอินสตอลเลชันร่วมสมัยนี้จะจับซึ่งบางสิ่งของชั่วขณะเวลาที่ผ่านไปที่เราเองสามารถรู้สึกและรับรู้ได้ แต่มันก็ยังคงอยู่อย่างเหนือกาลเวลา และสร้างซึ่งความทรงจำที่ส่งทอดผ่านการเดินทางของวินาที นาที ชั่วโมง และวันต่างๆ สำหรับผู้คนทึ่เดินหน้าขึ้นสู่ขุนเขาเพื่อชื่นชมมัน”

New Design of Rolex and the Oscars® Greenroom

ในแต่ละปี Rolex ได้พัฒนาประสบการณ์อันน่าดื่มด่ำที่ไม่เหมือนใครและการตกแต่งห้อง Greenroom ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ในปีนี้ห้องกรีนรูมจะรวบรวมบรรยากาศของป่าเขตร้อน ไม่เพียงแค่การสดุดีต่อธรรมชาติ Rolex แสดงความเคารพต่อนักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์ที่ลงมือปฏิบัติจริงในทุกวันเพื่อปกป้องโลก การแสดงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ระบบนิเวศน์ของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Perpetual Planet Initiative

เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ Rolex ได้ร่วมมือกับศิลปินที่มีความสามารถมากที่สุดในโลกและสถาบันทางวัฒนธรรมชั้นนำเพื่อเฉลิมฉลองความเป็นเลิศและมีส่วนร่วมในการสืบสานมรดกทางศิลปะ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ด้วย Rolex Perpetual Arts Initiative ซึ่งเป็นผลงานศิลปะอันกว้างขวางที่ขยายไปถึงดนตรี สถาปัตยกรรม ภาพยนตร์ และโปรแกรมให้คำปรึกษาของ Rolex แบรนด์ดังกล่าวยืนยันความมุ่งมั่นระยะยาวที่มีต่อวัฒนธรรมโลก
ในความพยายามทั้งหมดเหล่านี้ Rolex สนับสนุนความเป็นเลิศทางศิลปะและการถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นหลัง สร้างคุณูปการที่ยั่งยืนต่อวัฒนธรรมทั่วโลก

Rolex รักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับโลกแห่งภาพยนตร์มาโดยตลอด นาฬิกาได้แสดงบทบาทของตัวเองบนข้อมือของตัวละครในตำนานในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงผลงานชิ้นเอกที่ได้รับรางวัลออสการ์หลายเรื่องเช่นกัน และในวันนี้ ด้วยการสนับสนุนความเป็นเลิศทางศิลปะและเทคนิคในการสร้างภาพยนตร์ Rolex เองได้กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในนามของตนเอง

Rolex สนับสนุนการอนุรักษ์และถ่ายทอดศิลปะภาพยนตร์ ส่งเสริมความเป็นเลิศ และเฉลิมฉลองความก้าวหน้าด้วยการร่วมแสดงกับตำนานที่มีชีวิตและพรสวรรค์รุ่นเยาว์ผ่าน Testimoneses (Martin Scorsese และ James Cameron) ความร่วมมือกับ Academy of Motion Picture Arts and Sciences (สถาบัน รางวัลและ Academy Museum ในลอสแองเจลิส) และ Rolex Mentor and Protégé Arts Initiative
ROLEX และ CINEMA: การเคลื่อนไหวที่คิดค้นขึ้นใหม่ตลอดเวลา

ภาพยนตร์คือการเคลื่อนไหวที่ไม่สิ้นสุด มีอำนาจในการทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตและสำรวจทุกอนาคตที่เป็นไปได้ ทั้งส่วนรวมและส่วนบุคคล เช่นเดียวกับนาฬิกา Rolex โรงภาพยนตร์ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำและแรงบันดาลใจของเรา เป็นพยานถึงความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นของเราที่จะเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ที่เราอาจพบระหว่างทาง มากกว่าแค่ 24 เฟรมต่อวินาทีหรือ 24 ชั่วโมงภายในหนึ่งวัน มันรวบรวมแก่นแท้ของอารมณ์ของเรา

ROLEX และ CINEMA เขียนประวัติศาสตร์เคียงข้างกัน
ในปี 1926 Hans Wilsdorf ผู้ก่อตั้ง Rolex ได้คิดค้นนาฬิกาข้อมือกันน้ำที่ปฏิวัติวงการจนเป็นข่าวพาดหัว นั่นคือ Oyster เพียงไม่กี่เดือนต่อมา ผู้ชมต่างประหลาดใจกับ The Jazz Singer ซึ่งเป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรก ช่วงเวลาทั้งสองเหตุการณ์นี้ส่งสัญญาณถึงการมาถึงของการสร้างภาพยนตร์สมัยใหม่และการผลิตนาฬิกาสมัยใหม่ด้วยเช่่นกัน ในปี 1921 Rolex ได้เปิดตัว Oyster Perpetual ที่ล้ำหน้าไปอีกขั้น นาฬิกาข้อมือไขลานอัตโนมัติแบบกันน้ำเรือนแรกที่มีโรเตอร์ Perpetual ในขณะเดียวกัน โรงภาพยนตร์ที่ฉายหนังสีก็เปิดตัวบนเป็นจอใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Rolex และโรงภาพยนตร์มักจะเป็นส่วนหนึ่งของการนำยุคสมัยเสมอ จนถึงทุกวันนี้ พวกเขายังคงแบ่งปันการแสวงหาความเป็นเลิศ นวัตกรรม และความก้าวหน้า ซึ่งส่งเสริมแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า เหล่าคนดังจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะสวมใส่ Rolex บนจอภาพยนตร์ แต่หลังจากเป็นดารารับเชิญบนข้อมือของพวกเขาทั้งต่อหน้าและหลังกล้อง Rolex ก็จะสวมบทบาทเป็นนักแสดงนำในไม่ช้า


ในปี 2017 เหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์จะช่วยประสานความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง Rolex และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ประการแรก ผู้กำกับ Martin Scorsese ร่วมงานกับ James Cameron ในฐานะ Rolex Testimonee และในปีเดียวกันนั้น ทางแบรนด์ก็ได้ผนึกความร่วมมือกับ Academy of Motion Picture Arts and Sciences ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ Rolex กลายเป็น Exclusive Watch ของ Academy of Motion Picture Arts and Sciences, Proud Sponsor of the Oscars® และ Exclusive Sponsor of the Governors Awards Rolex ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนผู้ก่อตั้ง Academy Museum of Motion Pictures ซึ่งเปิดทำการในลอสแองเจลิสในเดือนกันยายน 2021
Rolex ส่งเสริมความเป็นเลิศ ทั้งด้านความรู้ การอนุรักษ์ศิลปะ และผู้ที่มีความสามารถ พันธกิจของ Academy คือการรักษาความเป็นเลิศด้านภาพยนตร์และรักษามรดกนี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง เพื่อจุดประกายจินตนาการและเฉลิมฉลองคุณค่าสากลของภาพยนตร์ ดังนั้นจึงเป็นการบรรจบกันของคุณค่าระหว่าง Rolex และ Academy ที่เน้นผ่านความร่วมมืออันยาวนานนี้

นักแสดงรับเชิญเป็นคำที่ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพื่ออธิบายลักษณะการปรากฏตัวของของบุคลิกที่มีชื่อเสียงในภาพยนตร์ในชั่วขณะหนึ่ง เป็นเวลาเกือบศตวรรษที่ Rolex ปรากฏตัวบนข้อมือของนักแสดงฮอลลีวูดระดับตำนาน นาฬิกา Rolex เสริมสร้างเอกลักษณ์ของตัวละครที่สวมใส่ด้วยสัญลักษณ์อันทรงพลัง ที่พวกเขาได้ปรากฏในภาพยนตร์หลายเรื่องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เมื่อตัวละครสวมนาฬิกา Rolex นี่เป็นทางเลือกทางศิลปะที่นักแสดงและผู้กำกับเป็นผู้เลือก ด้วยนาฬิกาเหล่านี้และการมีอยู่ของหน้าจอ Rolex เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งภาพยนตร์อย่างแยกไม่ออก เมื่อนักแสดงเลือกสวมนาฬิกา Rolex การมีนาฬิกาบนข้อมือจะเพิ่มมิติให้กับโครงเรื่องและเอฟเฟ็กต์ส่วนตัวที่จะช่วยให้ตัวละครมีประวัติศาสตร์ อดีต และโชคชะตาที่เป็นไปได้ เผยให้เห็นถึงนิสัยใจคอ รสนิยม ค่านิยม แรงบันดาลใจ และความคิดของผู้สวมใส่ นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่นาฬิกาหรือเครื่องประดับสำหรับการสวมใส่ให้ครบสำหรับชุดของนักแสดงเท่านั้น แต่ยังมีความหมายมากกว่านั้นดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

ความร่วมมือครั้งใหม่ HUBLOT และ TAKASHI MURAKAMI

ความร่วมมือครั้งใหม่ ระหว่าง Hublot (อูโบลท์) และ Takashi Murakami (ทาคาชิ มุราคามิ) นำเสนอผลงาน NFTs (เอ็นเอฟที) รวมถึงนาฬิการุ่นพิเศษที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเพียงหนึ่งเดียวทั้ง 13 เรือน ที่ถ่ายทอดไว้ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของดอกมุราคามิหรือดอกไม้ยิ้มไอคอนิกอันเป็นศูนย์กลางในผลงานของศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านนี้

ในงานเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้น ณ Glass House (กลาส เฮาส์) ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 Hublot และ Takashi Murakami ได้ประกาศถึงโครงการแห่งความร่วมมือเชิงศิลป์ครั้งที่สี่ กับการเปิดตัว NFTs ใหม่ 13 ชิ้นงาน และนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวทั้ง 13 เรือน โดยการประกาศครั้งนี้ยังเป็นตัวแทนสะท้อนถึงความต่อเนื่องของโครงการต่างๆ นับจากอดีต พร้อมทั้งเป็นการมอบรางวัลให้กับผู้ซื้อนาฬิกาและนักสะสมชิ้นงาน NFTs ชุดแรกๆ ผ่านทางการเข้าถึงแบบเอ็กซ์คลู-ซีฟเฉพาะ

NFTs ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทั้ง 13 ชิ้นงานนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิดีโอเกมและโทรทัศน์ของญี่ปุ่นจากยุค 1970s เช่นเดียวกับนาฬิกา Classic Fusion Takashi Murakami All Black (คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ ออล แบล็ก) ผลงานแห่งความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างแบรนด์นาฬิกาสวิสฯ และ Takashi Murakami ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2021 โดยผลงาน NFTs เหล่านี้จะเชื่อมโยงกับนาฬิกา Classic Fusion (คลาสสิก ฟิวชั่น) รุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวและผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 13 เรือน พร้อมทั้งเตรียมที่จะเผยโฉมในงาน Watches & Wonders 2023 (วอทช์เชส แอนด์ วันเดอร์ส 2023) ที่เจนีวา สำหรับนาฬิกา 12 เรือนของรุ่นนี้จะมีจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ hublot.com ซึ่งจะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเพียงเจ้าของผู้ครอบครองอย่างน้อยหนึ่งในชิ้นงาน NFTs จากทั้งหมด 324 ชิ้น ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นผลงานแห่งความร่วมมือครั้งที่สามระหว่าง Hublot และ Takashi Murakami โดย NFTs ทั้ง 324 ชิ้น

แต่เดิมนั้นถูกนำเสนอให้กับผู้เป็นเจ้าของหนึ่งในนาฬิกาสองรุ่นของ Hublot x Takashi Murakami ได้แก่ Classic Fusion Takashi Murakami All Black และ Classic Fusion Takashi Murakami Sapphire Rainbow (คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ ออล แบล็ค และ คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ แซฟไฟร์ เรนโบว์)) ก่อนที่พวกเขาจะสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนชิ้นงานดิจิทัลนี้ได้ผ่านทางแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT อย่าง OpenSea (โอเพนซี) โดย ณ ช่วงเวลาระหว่างการประกาศโครงการใหม่นี้ที่นิวยอร์กในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 จนถึงเวลาเริ่มต้นจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 2023 ณ เจนีวา เป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้นักสะสมที่สนใจหนึ่งในนาฬิการุ่นใหม่ได้มีโอกาสสะสมหนึ่งใน NFTs ที่จะมีจำหน่ายบน OpenSea โดยผู้ซื้อผู้โชคดีแต่ละคนที่ได้ครอบครองหนึ่งในนาฬิกาเอกลักษณ์เฉพาะรุ่นใหม่ทั้ง 12 เรือนนี้ ก็จะได้รับ NFT เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะของนาฬิกาเรือนนั้นๆ ไปด้วย

Hublot และ Takashi Murakami ได้ยกระดับนาฬิกาในฐานะงานศิลปะสู่มิติใหม่ โดยการเชื่อมโยงศิลปะแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงเข้ากับศิลปะดิจิทัล นาฬิกาเรือนที่ 13 ของคอลเลคชั่นนี้ซึ่งเปิดตัวที่นิวยอร์ก ในรุ่น Classic Fusion Takashi Murakami Black Ceramic Rainbow (คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ แบล็ก เซรามิก เรนโบว์) นับเป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานสองรุ่นที่เปิดตัวมาแล้วก่อนหน้า โดยนาฬิการุ่นนี้ได้ตีความหมายใหม่ให้กับสัญลักษณ์อันเป็นไอคอนิกของ Takashi Murakami อย่าง ดอกมุราคามิ หรือดอกไม้ยิ้ม ภายในเรือนเวลากลีบดอกไม้ทั้ง 12 กลีบได้ถูกสร้างสรรค์ผ่านการไล่เฉดสีอย่างสมบูรณ์แบบจากอัญมณีต่างๆ ทั้ง ทับทิม, แซฟไฟร์, อเมทิสต์, ซาโวไรต์ และโท-แพซ ต้องขอบคุณระบบลูกบอลรองรับ (ball-bearing) อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นโดยทีมวิศวกรของ Hublot ที่ทำให้กลีบดอกไม้เหล่านี้ไม่เพียงรังสรรค์ภาพอันมีชีวิตชีวาของสีสัน แต่พวกมันยังสามารถหมุนบนแกนไปตามแต่ละการเคลื่อนไหว ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลีบดอกไม้ได้สร้างสรรค์มิติอันโดดเด่นที่ตัดกับตัวเรือนเซรามิกสีดำ ขนาด 45 มม. และศูนย์กลางของรูปดอกไม้ยิ้มยังถูกจัดวางไว้ทางด้านบนของกระจกแซฟไฟร์เพื่อสร้างเป็นภาพสามมิติอันสวยงาม

ในขณะที่นาฬิกาอีก 12 เรือนซึ่งจะมีจำหน่ายและสามารถครอบครองได้โดยผู้ที่ถือครอง NFTs บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเฉพาะนั้น ยังชวนให้นึกถึงดอกไม้ของศิลปินและเป็นตัวแทนของหนึ่งใน 12 กลีบดอกแต่ละกลีบ เป็นสัญลักษณ์ของ 12 ชั่วโมงบนหน้าปัด และ NFTs ทั้ง 12 ชิ้นงานอีกด้วย
หัวใจของนาฬิกาขับเคลื่อนด้วยกลไกจักรกล manufacture Unico calibre (แมนูแฟคเจอร์ ยูนิโค คาลิเบอร์) ที่ติดตั้งอยู่ภายในดีไซน์อันเป็นสัญลักษณ์ของ Classic Fusion โดยกลไกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวนี้มอบพลังงานสำรองได้ 72 ชั่วโมง และในฐานะนาฬิกาแห่งความร่วมมือรุ่นที่สามระหว่าง Hublot และศิลปินชาวญี่ปุ่น การเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นบทพิสูจน์ถึงน่าทึ่งที่ควรค่าแก่การสะสมซึ่งเกิดขึ้นจากสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นนี้

โดยในขั้นต่อไป นักสะสมจะมีช่วงเวลาตลอดหนึ่งปีเต็มระหว่างนี้ที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ซื้อขาย NFTs ทั้ง 12 ชิ้นงานได้บนแพลตฟอร์ม OpenSea จนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 2024 โดยจะมีเพียงนักสะสมผู้ซึ่งครอบครองชิ้นงาน NFTs ใหม่ทั้ง 12 ชิ้นนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ซื้อในการซื้อนาฬิกาเรือนที่ 13 อันเป็นที่ตามหามากที่สุด นั่นคือ Classic Fusion Takashi Murakami Black Ceramic Rainbow และหากเกิดกรณีที่ไม่มีผู้ใดสามารถครอบครอง NFTs ทั้ง 12 ชิ้นได้ทั้งหมด นาฬิกาเรือนนี้จะถูกนำไปประมูลโดย Hublot เพื่อระดมและสมทบทุนให้กับการกุศลต่อไป

ส่องกันจะๆ นาฬิกาสีแดงบนข้อมือริฮานน่า

ถึงจะถูกยกย่องให้เป็นเจ้าแม่แห่งการตลาดบนเวทีพักครึ่งของการแข่งขัน Superbowl ที่โลกต้องจดจำภาพตบแป้งกลางเวทีของ @badgalriri แต่ที่เด่นไม่แพ้กันก็คือนาฬิกาสีแดงเด่นที่จริงๆ แล้วเป็นนาฬิกาส่วนตัวของเธอเอง ที่ได้รับเลือกมาให้คอมพลีทลุคแดงแรงฤทธิ์ของเธอ(อ่านได้ในโพสต์ https://hommesthailand.com/2023/02/rihanna-look-on-stage-super-bowl-2023-halftime-show/)

Photo courtesy of Jacob & Co.


Rihanna มีความสตรองเรื่องรสนิยมที่โดดเด่น อย่างนาฬิกาสีแดงนี้เธอกับ แบรนด์นาฬิกา Jacob & Co. ซึ่งเธอชื่นชอบในดีไซน์มาอย่างยาวนาน ไม่ต่ำกว่า 15 ปี กล่าวได้ว่าเธอเป็นลูกค้าและ muse ของแบรนด์อย่างแท้จริง ในค่ำคืนสำคัญนั้นริรี เลือกที่จะสวมนาฬิกาของเธอเองในระหว่างการแสดงสด Superbowl ชุดเอี๊ยมสีแดงของเธอซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเธอ โดยนาฬิกาเรือนนี้อยู่ในคอลเลกชั่น ในคอลเลกชั่น Northern Lights โดดเด่นที่หน้าปัดสีแดงจากคริสตัลสีแดง กรอบนาฬิกาผังด้วยเพชรสีขาวจำนวน 323 เม็ดล้อมกรอบตัวเรือนขนาด 44 มม. เติมเต็มความสูงค่าด้วยสายหนังจระเข้ทำสีแดง
เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่เธอเป็นลูกค้าประจำและเป็นเพื่อนกับ Jacob Arabo ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์นาฬิกานี้ “ริฮานน่าเป็นเหมือนเทพธิดา” จาค็อบ อาราโบ กล่าว “เธอมีครบทุกอย่าง มีความเป็นผู้นำที่ไม่มีใครเหมือน อีกทั้งมีพรสวรรค์เหลือล้น และพลังที่สดใสไม่เหมือนใคร ระหว่างการแสดง Superbowl เธอแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเธอเป็นเจ้าของเวที ไม่ว่าจะเวทีไหนก็ตาม และเธอเป็นลูกค้าที่มีลงลึกในทุกรายละเอียด เธอจะเลือกในสิ่งที่เราทำได้อย่างดีที่สุดเท่านั้นสำหรับเธอ”

The Brilliant Northern Lights เป็นนาฬิกาตัวเรือนสเตนเลสสตีล ประดับเพชรแบบพาเว่ 11.26 กะรัต ขับเคลื่อนด้วยกลไกระดับสูง skeleton movement ที่เผยให้เห็นชิ้นส่วนภายในที่จัดวางอย่างสวยงามรวมทั้ง graphic bridge layout อันเป็นแบบเฉพาะของ Jacob & Co เท่านั้น ปิดด้านหน้าของตัวเรือนด้วยคริสตัลสีแดงสุดหายากในวงการนาฬิกา นี่เป็นหนึ่งในนาฬิกาและเครื่องประดับระดับสูงของ Jacob & Co. หลายชิ้นที่ Rihanna เป็นเจ้าของและสวมใส่อยู่เป็นประจำ
ต้องยอมรับว่าเธอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเธอจริงๆ และเธอก็ทรงพลังมากจนได้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเธอเสมอ

#jacobandco #jacobandco_switzerland

เดือนเดียวเท่านั้นกับวัตถุดิบสุดหายากจากฟุกุโอกะ

สายกิน สายชิม ต้องไม่พลาด และใครจะฉลองวันวาเลนไทน์ที่ห้องอาหารคินูบายทาคากิ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ยังมีให้จับจอง(อยากรู้ว่าทำไมต้องอ่านต่อไป) ครั้งนี้มีแค่เดือนเดียวกับวัตถุดิบที่ไม่ได้เล็ดรอดออกมาให้นอกจังหวัด เพระาแค่ผลิตให้คนท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนฟุกุโอกะก็ไม่พอเสิร์ฟแล้ว เราจึงจะไม่ค่อยคุ้นชื่อกับวัตถุดิบเหล่านี้จากจังหวัดฟุกุโอกะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือหอยนางรมที่ไหนๆ ก็อาจจะมี แต่ของที่เชฟโนริฮิสะ มาเอดะ แห่งห้องอาหารญี่ปุ่น คินูบายทาคากิ (KINU BY TAKAGI) คัดสรรมาไม่ได้มีขายทั่วไป เรียกว่าเป็นของชั้นเลิศประจำจังหวัดที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองจะหารับประทานได้ง่ายๆ


ความพิเศษครั้งนี้ต้องชื่นชมตัวแทนจังหวัดฟุกุโอกะ ตั้งแต่ภาครัฐจนถึงการท่องเที่ยวของจังหวัดที่ผลักดันให้วัตถุดิบเหล่านี้มาเสิร์ฟให้เราได้ลิ้มลอง ประกอบกับฝีมือของเชฟที่การันดีได้มาปรุงมาชนิดรู้คุณค่าของวัตถุดิบทำให้เมนูไคเซกิที่เสิร์ฟในห้องอาหารคินุ ของเดือนกุมภาพันธ์นี้พิเศษสุดๆ เพราะหอยนางรมที่หายากยิ่งนี้มีให้ชิมแค่เดือนนี้เดือนเดียวเท่านั้น ส่วนเครื่องปรุงอื่นๆ แม้จะยังมีอยู่ แต่ไหนๆ จะรับประทานก็ควรจะมาลองให้ครบเซ็ต และเป็นการจัดขึ้นเพื่อฉลองความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องระหว่างกรุงเทพฯ และ ฟุกุโอกะครบรอบ 15 ปี
เดินทางสู่จังหวัดฟุกุโอกะผ่านความอร่อยของวัตถุดิบแห่งความภาคภูมิใจของจังหวัด นำเสนอเป็นอาหารกลางวันและอาหารค่ำเสิร์ฟตามอย่างวิถีไคเซกิ ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2566 (ขึ้นอยู่กับปริมาณวัตถุดิบที่จัดส่งมาจากญี่ปุ่น) ย้ำแล้วนะว่าขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ส่งมา ฉะนั้นโอกาสยากเช่นนี้อย่าให้หลุดลอยไป


ทำไมวัตถุดิบชั้นเลิศเช่นนี้ถึงมีการนำเสนอแค่เดือนเดียว ก็เพราะวัฒนธรรมด้านอาหารที่เรียกว่า “เคียว ริวริ” (Kyo-ryori) อันเป็นที่สุดแห่งความมีรสนิยมในเรื่องประสบการณ์การรับประทานอาหารญี่ปุ่น เคียว ริวริ คือ อาหารที่เชฟนำเสนอครสชาติกลมกล่อมที่เกิดจากศาสตร์และศิลปะการปรุงอาหารของเชฟที่สามารถชูรสชาติของวัตถุดิบ หาใช่เกิดจากการเติมเครื่องปรุงต่างๆ แต่อย่างใด และอาหารนั้นๆ ยังรับกับฤดูกาลต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นที่เป็นอยู่ในขณะนั้น และช่วงเวลาที่วัตถุดิบเหล่านี้มีคุณภาพดีที่สุดคือในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อฮากาตะวากิว หอยนางรมพันธุ์ฮิโตตซูบุ จากทะเลบูเซ็น ลูกพลับพันธุ์ฟูยุ สาหร่ายจากทะเลอะริอะเกะ และสตรอเบอร์รี่พันธุ์อะมะโอ เอาแค่ลูกพลับพันธุ์ฟูยุ ซึ่งสงวนสำหรับปลูกในจังหวัดฟุกุโอกะเท่านั้น และฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่จะได้ลูกพลับคุณภาพดีที่สุดอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดังนั้นลูกพลับฟูยุที่เชฟนำมาจึงมีรสชาติที่หวานฉ่ำ และมีความหอม

เชฟมาเอดะเลือกใช้ลูกพลับมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบของจานเรียกน้ำย่อย ซึ่งจานนี้ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า “คาคิ นามะสุ” คือ เมนูที่นำผักดองนานาชนิด รวมทั้งผลไม้ ซึ่งต้องหั่นเป็นเส้นๆ มาคลุกเคล้ากับอาหารทะเลหลากหลายชนิด ซึ่งเป็นเมนูตามประเพณีที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานในช่วงปีใหม่ เชฟนำลูกพลับมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบคลุกเคล้ากับผักชนิดอื่นๆ อาทิ หัวไช้เท้า ผักกาด และเชฟมาเอดะได้สอดแทรกขึ้นฉ่ายของไทยเข้าไปด้วย ซึ่งปรากฏว่าช่วยเสริมรสได้อย่างน่าแปลกใจ ต้องมาลองชิมเองว่าเสริมรสกันได้น่าทึ่งแค่ไหน ในส่วนของอาหารทะเลเชฟมาเอดะนำเสนอ เนื้อปูหิมะ หอยเชลล์ เมื่อคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้ว เชฟจะราดด้วยซอสยูสุที่ทำเป็นเจลลี่ จานนี้เป็นจานเริ่มต้นการเดินทางแห่งความอร่อยของทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำ และเชฟลงมือดองหัวผักกาดเองด้วย ต้องบอวก่ารสและกลิ่นซับซ้อนแต่สดชื่นมากๆ มีกลิ่นหอมของผิวส้มด้วย

เนื้อฮากาตะวากิว เป็นเนื้อที่ได้มาจากวัวพันธุ์น้ำตาลและวัวพันธุ์ดำของญี่ปุ่น โดยได้รับการเลี้ยงด้วยฟางข้าวคุณภาพดีซึ่งเป็นข้าวที่ปลูกในจังหวัดฟุกุโอกะ และยังเลี้ยงด้วยธัญพืชนานาชนิด โดยวัวเหล่านี้เป็นวัวอายุ 20 เดือนขึ้นไป และเลี้ยงในสิ่งแวดล้อมที่ไร้ความตึงเครียดแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและทัศนียภาพที่งดงาม ซึ่งเราได้เห็นวิวที่วัวจะได้ชื่นชมทุกๆ วันถึงกับอึ้งเพราะสวยกว่ารีสอร์ทหลายๆ แห่งด้วยซ้ำ แต่เขาปล่อยให้เป็นพื้นที่ให้วัวชมและจำกัดคนเข้าไปเพื่อกันการนำเชื้อโรคไปติดวัว
ซึ่งคุณค่าจากสารอาหารที่ได้รับจากธัญพืชเป็นเสมือนอาหารเสริมชั้นดีของวัวเหล่านี้ เพราะช่วยให้วัวเหล่านี้มีเนื้อวัวที่มีชั้นไขมันแทรกเสมือนลายหินอ่อน และ ยังเป็นตัวช่วยให้เนื้อวัวมีความนุ่มชนิดที่เรียกว่าละลายในปาก โดยเชฟมาเอดะนำเนื้อฮากาตะวากิวมาย่างเตาถ่านและราดด้วยซอสเทอริยากิ เสิร์ฟพร้อมด้วยผงไข่แดงและแบล็กทรัฟเฟิ้ล เชฟมาเอดะใช้ความพิถีพิถันและใช้ทักษะขั้นสูงตั้งแต่การเตรียมเนื้อ แขกทุกท่านจะได้เพลิดเพลินกับขั้นตอนย่างเนื้อด้วยเตาถ่านซึ่งเชฟมาเอดะต้องใช้ความใส่ใจในขั้นตอนนี้เป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้เนื้อวากิวที่มีความนุ่มกำลังดีสมคำร่ำลือว่า “ละลายในปาก” ซึ่งเมนูนี้มีเสิร์ฟทั้งเมนูเซ็ทมื้อกลางวัน และเซ็ทมื้อค่ำ


แต่สุดยอดไฮไลท์ที่ปกติไม่มีใครที่ไม่ไปฟุกุโอกะด้วยตนเองจะไม่ได้ชิมแน่ๆ เพราะแม้แต่ในญี่ปุ่นเขาก็ไม่ส่งไปขายยังจังหวัดอื่นๆ เพราะมีปริมาณน้อย หายาก และมีแค่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้นหอยนางรมฮิโตตซูบุ จากทะเลบูเซ็น เป็นหอยนางรมขนาดใหญ่ได้รับการเลี้ยงในทะเลบูเซ็น เนื่องจากกระแสน้ำในทะเลบูเซ็นไม่มีคลื่นสูง ประกอบกับทะเลบูเซ็นในเขตน้ำตื้นมีแพลงตอนจำนวนมาก จึงเหมาะกับการทำฟาร์มเลี้ยงหอยนางรม และทำให้หอยนางรมที่ได้มีขนาดใหญ่ เนื้อเยอะ และ เนื้อมีความแน่นให้รสสัมผัสที่ดีเมื่อรับประทาน และในหอยนางรมยังอุดมไปด้วยสารอาหาร ทำให้เนื้อหอยนางรมมีรสชาติเข้ม เสน่ห์ที่สำคัญของหอยนางรมพันธุ์ฮิโตตซูบุ คือ เมื่อได้รับความร้อนจากการปรุงอาหาร เนื้อของหอยจะไม่หดตัว
นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่นักชิมจะได้สัมผัสความอร่อยของหอยนางรมพันธุ์นี้ ที่ห้องอาหารญี่ปุ่น คินู บาย ทาคากิ เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย เชฟมาเอดะนำหอยนางรมฮิโตตซูบุและชิราโกะ (อวัยวะภายในของปลา)มาห่อด้วยเต้าหู้แล้วนำไปทอดกรอบ ก่อนเสิร์ฟจะราดด้วยซอสดอกเก๊กฮวย เสิร์ฟคู่กับหอยนางรมฮิโตตซูบุลวก ท็อปปิ้งด้วยคาเวียร์ ให้ท่านได้สัมผัสความอร่อยของเนื้อหอยนางรมฮิโตตซูบุที่ได้รับการปรุงสองแบบ ซึ่งคอร์สนี้ มีอยู่ในเซ็ทมื้อค่ำ โดยจานนี้ขอบอกว่าต้องมาลองเองจริงๆ เนื้อหอยฉ่ำมีรสสัมผัสที่ละมุนและเต็มไปด้วยรสชาติมากๆ อีกทั้งเนื้อหอบยก็มีขนาดใหญ่ รับประทานได้เต็มคำจริงๆ วิธีการปรุงของเชฟก็ชูรสชาติของหอยให้เด่นละเมียดยิ่งขึ้น


วัตถุดิบอีกอย่างที่ยากจะได้ชิมก็คือ สาหร่ายจากทะเลอะริอะเกะ ได้รับการกล่าวขานให้เป็นสุดยอดของสาหร่ายญี่ปุ่น เนื่องจากระดับน้ำในทะเลอะริอะเกะมีความแตกต่างกันมากกว่า 6 เมตรระหว่างช่วงเวลาน้ำขึ้น และ น้ำลง จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้สาหร่ายที่ได้รับการเพาะเลี้ยงที่ทะเลนี้ มีรสชาติและคุณภาพที่ดีกว่า อีกทั้งการเก็บสาหร่ายก็ทำในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สาหร่ายได้กักเก็บสารอาหารรวมทั้งรับแสงแดดมาแล้วอย่างเต็มที่ จึงส่งผลให้สาหร่ายมีรสชาติที่กลมกล่อมครบรส
ดังคำที่ชาวญี่ปุ่นให้นิยามไว้คือ “อุมามิ” ในแต่ละปีมีการผลิตสาหร่ายจากทะเลอะริอะเกะ มากกว่าสองพันล้านแผ่น แต่กล่าวได้ว่ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ จึงไม่เคยมีสาหร่ายจากทะเลอะริอะเกะนำเข้ามาในประเทศไทย ในเดือนนี้จึงถือว่าพิเศษเพราะจะได้สัมผัสความอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ของสาหร่ายจากทะเลอะริอะเกะนี้ได้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่ห้องอาหารญี่ปุ่น คินู บาย ทาคากิ โดยเชฟมาเอดะนำมาใส่ในข้าว ซึ่งเชฟนำเสนอข้าวหน้าอาหารทะเลนานาชนิด พร้อมไข่ออนเซ็นและสาหร่ายอะริอะเกะ ซึ่งคอร์สนี้มีทั้งในเซ็ทมื้อกลางวัน และมื้อค่ำ ซึ่งเชฟนำสาหร่ายมาปิ้งไฟให้หอมก่อนจะนำมาใส่ลงในข้าว สัมผัสแรกก็คือความอุมามิที่ระเบิดอยู่ในปาก คนละเรื่องกับสาหร่ายปรุงรส เพราะนี่ไม่ปรุงรสใดๆ กับสาหร่าย แต่ให้รสแท้เป็นตัวนำ ยิ่งได้ข้าวที่เชฟคัดสรรมาต้องบอกว่าได้สาหร่ายมาไปทำกินเองก็ไม่ได้รสชาติที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้


ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งวัตถุดิบที่เป็นความภาคภูมิใจของจังหวัดฟุกุโอกะ คือ สตรอเบอร์รี่พันธุ์อะมะโอ ซึ่งเป็นสตรอเบอร์รี่ที่ปลูกเฉพาะในพื้นที่จังหวัดฟุกุโอกะ เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นติดต่อกันมากกว่า 15 ปี สตรอเบอร์รี่พันธุ์อะมะโอเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของรูปทรงที่อวบ ผิวสีแดงสดเงางามเป็นประกาย เนื้อแน่นและมีความฉ่ำหวาน ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยวสตรอเบอร์รี่พันธุ์นี้ คือ ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคม
เชฟมาเอดะและทีมของห้องอาหารญี่ปุ่น คินูบายทาคากิจึงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำเสนอสตรอเบอร์รี่พันธุ์อะมะโอซึ่งเป็นผลผลิตที่ดีที่สุดของปีให้แก่แขกทุกท่าน โดยเชฟสร้างสรรค์ให้เมนูของหวานมีความสนุกสอดแทรก เชฟมาเอดะนำเสนอสตรอเบอร์รี่พันธุ์อะมะโอให้แตกต่างกันห้าแบบในหนึ่งถ้วยขนมหวาน เพิ่มความสนุกด้วยการราดซอสสตรอเบอร์รี่อุ่นๆ ลงบนแผ่นช็อกโกแลตที่ประดับอยู่ด้านบนเพื่อให้ช็อกโกแลตละลายเมื่อรับประทานคู่กับผลสตรอเบอร์รี่สด และเจลลี่สตรอเบอร์รี่


ส่วนที่บอกว่าวาเลนไทน์ยังจองทันก็เพราะจริงๆ แล้วช่วงวันวาเลนไทน์นี้ตรงกับวันที่ห้องอาหารปิดในแต่ละอาทิตย์(จันทร์-อังคาร) แต่เมื่อมีเสียงเรียกร้องมาว่าวันพิเศษต้องมีอาหารมื้อพิเศษสิ ทางห้องอาหารจึงเปิดให้บริการในวันวาเลนไทน์ อาหารไคเซกิที่ห้องอาหารนี้จึงยังมีที่ว่างสำหรับคนที่ต้องการฉลองในวันวาเลนไทน์ ที่มาก็เป็นเช่นนี้

อาหารแต่ละจานของเมนูต้อนรับปีใหม่ที่เชฟรังสรรค์ขึ้นนี้ เสมือนเราได้เดินทางสู่จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นผ่านวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยม และหลายๆ ชนิดยังเป็นการนำเสนอเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ทำให้เราได้เข้าถึงความหรูหราในโลกแห่งวัตถุดิบและความละเอียดอ่อนของ
วัฒนธรรมด้านอาหารตามวิถีไคเซกิอย่างแท้จริง ซึ่งแม้ที่ญี่ปุ่นเองการนำเสนออาหารูปแบบนี้รับวันจะมีน้อยลงเพราะมีเงื่อนไขต่างๆ มากมายถึงจะเรียกว่าเป็นไคเซกิ ได้ แม้จะจำกัดความง่ายๆ ว่า เป็นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่นำเสิร์ฟอาหารอย่างต่อเนื่องหลายคอร์ส แต่ที่มาของแต่ละคอร์สนั้นวัตถุดิบก็ต้องถูกต้องตรงตามฤดูกาล การปรุงแต่งด้วยเครื่องปรุงรสจะมีน้อยมากเพราะต้องชูรสธรรมชาติของวัตถุดิบให้โดดเด่น การใช้เครื่องปรุงรสเพียงแค่เสริมรสอย่างเบาบางเท่านั้นเอง
ห้องอาหารญี่ปุ่น คินูบายทาคากิ (Kinu by Takagi) เปิดให้บริการวันพุธ – วันอาทิตย์ สามารถรองรับแขกได้ 10 ท่าน ต่อมื้ออาหาร
มื้อกลางวันให้บริการห้าคอร์ส ราคา 4,000++ บาท ต่อท่าน เริ่มเสิร์ฟอาหารเวลา 12.00 น.
มื้อค่ำให้บริการสิบคอร์ส ราคา 8,000++ บาท ต่อท่าน เริ่มเสิร์ฟอาหารเวลา 18.00 น.
สำรองที่นั่งล่วงหน้า และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ห้องอาหารญี่ปุ่นคินูบายทาคากิ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โทร 0 2659 9000 เว็บไซต์ mandarinoriental.com/bangkok

พรีออเดอร์ L’Officiel Hommes Thailand ฉบับปกแข็ง Spring 2023 ได้แล้ววันนี้

เบื้องหลังมาแล้ว! กับการถ่ายภาพแฟชั่นเซ็ตของหนุ่มสุดฮอต ‘วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร’ Brand Ambassador คนล่าสุดจาก ‘Prada‘ พบกับ ลอฟฟิเซียล ออมส์ ฉบับปกแข็ง Spring 2023 มาพร้อมกับแฟชั่นเซ็ตและบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คูลซีฟที่จะมาทำให้หลายๆ คนรักหนุ่มคนนี้ขึ้นไปอีกขั้น

หากแฟนๆ ไม่อยากพลาดเล่มสุดพิเศษนี้ สามารถตามไปพรีออเดอร์ได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ >>> https://shop.line.me/@622vzifr/product/1003665457

สามารถพรีออเดอร์กันได้แต่วันที่ 18-23 มกราคมนี้เท่านั้น!

เมื่อสถาปัตยกรรมกลายเป็นแฟชั่น

GIORGIO ARMANI MEN’S COLLECTION FALL/WINTER 2023/24 แม้ธีมของคอลเลกชันได้รับแรงบันดาลใจจากห้องโถงใหญ่ของปาลาซโซที่มีชื่อเสียงของมิลาน แต่ การลำดับชุดของแฟชั่นโชว์นี้มีครบตั้งแต่ชุดทำงาน ชุดลำลองที่โก้ ชุดไปเล่นสกี ปิดท้ายด้วยชุดสำหรับงานดินเนอร์หรู ธีมเล่าถึงเอเทรียมที่ซ่อนสวนไว้ในส่วนช่องว่างรูปทรงเรขาคณิต เราจะเห็นในลวดลายของเสื้อถัก ที่ดูเหมือนแต้มสีรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ กระจายอย่างมีระเบียบบนเสื้อแคชเมียร์ถัก โดยแต้มสีนั้นมีสีสันนานาที่สะท้อนถึงสีหินธรรมชาติที่นิยมใช้กับงานสถาปัตยกรรม


แจ็คเก็ตที่เน้นตรงส่วนไหล่ให้ดูสง่าแม้จะไม่ใช่ไหล่ตั้ง ความเป็นสถาปัตยกรรมที่ซ่อนอยุ่ในการวางแพทเทิร์นของชุดที่ประกอบรวมขึ้นมาเสทือนนำเอากระดาษแบบแต่ละชิ้นมาประกอบกันจึงได้เส้นดครงชุดที่เด่นชัด ไม่ได้แข็งทื่อแบบงานออกแบบตึก แต่มีความซอฟท์ที่ดูหรูหราด้วยการใช้วัสดุที่คิดค้นมาใหม่ๆ ซึ่งเราจะได้เห็นในทุกคอลเลกชั่นของอาร์มานี แจ๊คเก็ตแบบเนรู ก็มีให้เห็นเสมือนดีเอ็นเอที่ไม่เคยหายไป คราวนี้อยุ่ที่ขอบคอปกที่สูงขึ้นเหมือนเสื้อคอปีนแต่อยู่ในแจ็คเก็ตแบบลำลอง ถ้าไม่สังเกตเราก็ไม่รู้สึกว่านี่คือการดัดแปลงมาจากแจ็คเก็ตเนรู
กางเกงทรงหลวมแต่มีส่วนที่ล้อกับกางเกงชนเผ่าที่อาร์มานีทำมาเสมอเมื่อคอลเลคชั่นได้แรงบันดาลใจจากดินแดนตะวันออก แต่ในครั้งนี้ส่งกางเกงจะดูเนี้ยบโก้ยิ่งขึ้น และเราดูจากทรงกางเกงที่ขาจะคร็อบเท่านั้นเองที่สื่อว่าโครงยังมาจากกางเกงชนเผ่า ไม่มีเป้ายานหรือขากางเกงแคบแบบกางเกงเนรู ในหมวดชุดลำลองอย่างไรก็ยังดูโก้เพียงแต่ไม่ดูแข็ง ฟิตหรือคนสวมใส่ต้องเกร็งให้ดูเท่ นี่คือความสบายๆ แต่โก้ ลวดลายกราฟฟิกแบบลายเส้นสถาปัตย์ถูกนำมาใช้แต่เป็นลายเล็กๆ ที่ไม่โฉ่งฉ่างบาดตา เนื้อผ้าที่สร้างสรรค์จากเทคโนโลยีสิ่งทอล่าสุดให้สัมผัสเหมือนผ้าไหมที่น่าสวมใส่ หรือผ้าเนื้อแคชเมียร์แต่ทำให้หนาเพื่อกันหนาวได้มากยิ่งขึ้น


สำหรับหมวดชุดสกีถือว่าเท่มาก คุมดทนด้วยสีแดงที่แต่งแต้มในทุกลุค เป็นสีแดงในเฉดที่สวยมากมีความสดในความแดงเข้ม เป็นอีกหนึ่งสีแดงที่ลงตัวกับโทนสีอื่นๆ ของคอลเลกชั่น ทรงของชุดสกีไมได้เน้นความเพรียว แต่เป็นความเท่บึกบึน การเลเยอร์แต่ละชิ้นของชุดสำหรับสกีก็ยังเน้นความโก้ อย่างเสื้อคลุมแบบปาร์ก้า ไม่ได้ดูเป็นทรงเต้นท์อย่างที่ทำกัน แต่เป็นเสื้อคลุมที่เรานำมาสวมทับชุดอื่นๆ เวลาไปสกีก็ได้ ไม่จำกัดว่าต้องใช้ตอนเล่นสกีเท่านั้น หลังจากนิเซโกะ ฮอกไกโด คือจุดหมายนักเดินทางชาวไทยในฤดูหนาว กีฬาสกีก็ไม่ใช่สิ่งแปลกสำหรับคนไทยอีกแล้ว


ส่วนของชุดดินเนอร์หรือชุดกลางคืนเน้นรูปทรงที่เพรียวขึ้นแต่ก็ยังสวมสบายไม่รัดร่าง ในดชว์จับคู่ชุดชายและหญิงออกมาคู่กันเพื่อเสริมความโก้ให้ชัดเจน เนื้อผ้าอย่างกำมะหยี่หรืออาจจะเป็นเส้นใยแบบเทคโนฯ ที่สร้างสรรค์ใหม่แต่มีผิวมันวาวล้วนแต่เสริมความโก้ให้กับชุดดินเนอร์ การปักประดับเลื่อมและลูกปัดสีดำบนคอปกแจ็คเก็ตทำให้เกิดมิติที่ดูน่าสนใจโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องประดับใดๆ แม้แต่โบไท(bow tie) ก็ไม่จำเป็น หนุ่มอาร์มานีไม่แต่งตัวเยอะอยู่แล้ว ถ้าจะสร้างลุคก็เป็นการเลเยอร์ชุด แต่ไม่โหมประโคมเครื่องประดับ ให้เนื้อผ้าบ่งบอกถึงความหรูหรา


ส่วนความสุขุมของสีในโทนขาว-เทานั้นสะท้อนหินอ่อนสีขาวและสีต่างๆ ในงานสถาปัตยกรรม อันเป็นการบ่งบอกถึงวัสดุบางชนิดที่ใช้ในคอลเลกชั่นนี้ เช่น แคชเมียร์ อัลปาก้า กำมะหยี่ และผ้าเนื้อเบาที่ทิ้งตัว ยุคแห่งความสง่างามที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณอันสง่างามของเมืองมิลานนี้ ในขณะที่บางส่วนถูกลืมเลือนไป แต่อย่างไรที่ทุกคนไม่ลืมและตั้งตารอตอนจบโชว์ก็คือการออกมาปรากฏตัวของมิสเตอร์อาร์มานี แม้จนบัตรนี้เค้าจะอายุ 89 ปี แล้วแต่เขายังดูทรงพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนเสมอ

เปิดตัว “อเล็กซ์ เรนเดลล์” ไซโก แบรนด์เฟรนคนที่ 3 ของปี 2022​

ไซโก (ประเทศไทย) จัดงานเปิดตัว“อเล็กซ์ เรนเดลล์” Brand Friend คนที่ 3 ของปี 2022 นักแสดงหนุ่มหล่อมากความสามารถเจ้าของบทบาทมากมายบนจอโทรทัศน์ที่มีความสนใจและได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังมาตลอดหลายปี พร้อมแคมเปญใหม่ “Sustainable for Life” เพื่อร่วมรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์และฟื้นฟูด้านสิ่งแวดล้อม ทั้ง 2 โปรเจกต์ คือ Seiko Save the Ocean และ Seiko Save the Forest

โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากสื่อมวลชน และตัวแทนจากมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ ณ โรงแรม แบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ ท่ามกลางบรรยากาศสวนสีเขียวขจีใจกลางกรุง เมื่อวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565 อาคิระ​ ซากาอิริ กรรมการผู้จัดการ ไซโกประเทศไทย กล่าวต้อนรับผู้มีเกียรติภายในงาน กับแคมเปญใหม่ของ ไซโก ประเทศไทย Sustainable for Life โครงการที่ตอบรับนโยบาย SDGs หรือ “Sustainable Development Goal” หรือ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยแรกเริ่มนั้น SEIKO มุ่มมั่นที่จะสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นเพื่อการใช้งานได้อย่างยาวนานและเป็นปรัชญาพื้นฐานของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นี่เองคือรากฐานของจิตวิญญาณในแบบของเราในการเริ่มต้นที่จะพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน และตอนนี้ SDGs ก็ได้มาเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทไซโกใน mid-term plan ด้วย ไซโก (ประเทศไทย) มีโครงการที่โดดเด่น อย่าง Seiko Save the Ocean Project ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว โดยเป็นโครงการที่ร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูท้องทะเลไทย โดยในปีนี้ก็มีอีก 1 โครงการใหม่เกิดขึ้น โดยโครงการนี้เชื่อมโยงกับการดูแล ฟื้นฟู สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับป่าไม้คือ “Save the Forest Project” โดยมุ่งหวังที่จะสนับสนุนหน่วยงาน องค์กร หรือชุมชน และเมื่อรวมทั้งสองโปรเจกต์เข้าด้วยกันจึงเกิดเป็น Seiko “Sustainable for Life” โดยมีคุณอเล็กซ์ เรลเดลล์ มาร่วมเป็นแบรนด์เฟรนด์ในครั้งนี้ด้วย

พัทธ์สิตา สิทธิพรวัฒนากุล ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ขึ้นร่วมพูดคุยถึงแนวคิดเรื่องแคมเปญ Sustainable for Life “ปกติ ไซโก จะมีแคมเปญใหญ่ๆเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการดำน้ำทั้งหมด แต่ปีนี้มีความพิเศษที่ เราอยากให้แฟนๆไซโกหรือนักสะสมทั้งหลาย ได้รู้จักกับคอลเลคชั่นอัลเพนิสมากขึ้น ซึ่งคอนเซปต์ของนาฬิกาเกี่ยวกับภาคพื้นดิน ก็เลยนึกถึงในเรื่องทรัพยากรป่าไม้ โดยทำให้มันเป็นประโยชน์เพื่อสอดคล้องกับ โปรเจกต์ SDGs ผนวกกับช่วงปลายปีทางไซโกประเทศไทย มีโปรเจกต์ Save the Ocean อยู่แล้วก็เลยรวบมาให้อยู่ภายใต้ Seiko Sustainable for Life”


วรรฑณี วาทนากรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ เล่าถึงนาฬิการุ่นพิเศษว่า “จากโจทย์เริ่มต้น คือต้องการดีไซน์นาฬิการุ่นพิเศษให้กับนาฬิกาในกลุ่มของคอลเลคชั่นอัลเพนีส พร้อมคอนเซ็ปต์ไอเดียว่าเราจะทำเกี่ยวกับป่าไม้ และจากไอเดียดังกล่าวจึงหาข้อมูลหาองค์กรที่ทำประโยชน์ให้กับป่าไม้เป็นหลัก ทางไซโก เลยประสานงานกับมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร และได้ดำเนินงานร่วมกันจนสำเร็จออกมาเป็น Seiko Prospex Alpinist Seub Nakhasatien Thailand Limited Edition เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายนาฬิการุ่นพิเศษนี้ ไปมอบให้กับมูลนิธิเพื่อสนับสนุนและจัดซื้ออุปกรณ์ให้กับเจ้าหน้าที่ต่อไป”


อเล็กซ์ เรนเดลล์ Brand Friend ไซโก (ประเทศไทย) คนล่าสุด ได้กล่าวถึงความรู้สึก “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและ ดีใจมากๆ เพราะตัวผมเองเป็นแฟนไซโก ชอบไซโกอยู่แล้ว เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกันกับทางไซโกมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เป็นการร่วมงานแบบเป็นแบรนด์เฟรนด์ แล้วเป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ผมถนัดด้วย ผมยิ่งยินดีมากๆ ผมอยากปลูกฝังให้คนรุ่นหลัง หรือเจนเนอร์เรชั่นต่อไปได้เรียนรู้ ดูแลรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติเพื่ออนาคต”

โปรเจกต์ของบริษัท ไซโก (ประเทศไทย) ทั้ง Save the Ocean และ Save the Forest จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดการสนับสนุนจากลูกค้า แฟนๆและนักสะสมทั้งชาวไทยและนักสะสมทั่วโลก และหวังว่าโครงการเล็กๆทั้งสองโครงการนี้ จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเล็กๆที่เป็นประโยชน์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคต
Keep Going Forward ไม่สิ้นสุด ถ้าไม่หยุดไปต่อ
Website : https://www.seikoboutiquethailand.com/
FB : Seiko Club by Seiko Thailand
IG : Seiko_Thailand
LINE OA : @Seiko_Thailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-255-1245 ต่อ 888

CHRISTIAN DIOR: DESIGNER OF DREAMS EXHIBITION

นิทรรศการ “คริสเตียน ดิออร์: นักออกแบบผู้สร้างฝัน” CHRISTIAN DIOR: DESIGNER OF DREAMS EXHIBITION

ใครได้ไปโตเกียวช่วงนี้ไม่ควรพลาดนิทรรศการใหญ่ของ Dior ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งโตเกียว MUSEUM OF CONTEMPORARY ART OF TOKYO (MOT) เพื่อยกย่องเรื่องราวความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่าง Dior กับญี่ปุ่น ดังที่ทราบกันว่ามิสเตอร์ดิออร์สนใจในเรื่องศิลปะจนเปิดแกลเลอรีงานศิลป์ก่อนที่เขาจะเข้าสู่วงการแฟชั่น แม้ยุคของเขาจะเป็นช่วงปลายของกระแส Japonism ที่เกิดในช่วงศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ แต่มิสเตอร์ดิออร์ก็มีความชื่นชอบในงานศิลปะและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นโดยมีจุดเชื่อมโยงคือการเป็นคนรักธรรมชาติและการจัดสวน ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คริสเตียน ดิออร์มีความสนใจ และผูกพันกับประเทศญี่ปุ่นในฐานะดินแดนตะวันออกไหลที่ชวนฝัน นอกจากความผูกพันทางจิตใจแล้ว ก็ยังมีธุรกิจที่ดำเนินร่วมกันอย่างต่อเนื่องดังปรากฏเรื่องราวทั้งหมดได้จากเอกสารเพิ่มเติมเพื่อการประชาสัมพันธ์ “ดิออร์กับญี่ปุ่น: มิตรภาพอันงดงาม” (Dior et le Japon, une amitié passionnée)


แม้นิทรรศการนี้จะเป็นนิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นที่ปารีสก่อนจะไปยังเมืองต่างๆ แต่เมื่อมาที่โตเกียว นิทรรศการได้เน้นเรื่องดิออร์กับความผูกพันกับญี่ปุ่นให้โดดเด่นขึ้น หลังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามที่ Musée des Arts décoratifs ในกรุงปารีส นิทรรศการ “คริสเตียน ดิออร์: นักออกแบบผู้สร้างฝัน” หรือ Christian Dior: Designer of Dreams exhibition ก็ได้เดินทางมาจัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งกรุงโตเกียว(MOT) ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2022 จนถึง 28 พฤษภาคม 2023 ภายใต้การดูแล และอำนวยการของภัณฑารักษ์ฟลอเรนซ์ มูลเลอร์ ร่วมกับงานออกแบบเพื่อยกย่องเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยสถาปนิก โชเฮอิ ซิเกะมัตสึ บรรดาผลงาน, ภาพถ่าย ตลอดจนเอกสาร และหลักฐานต่างๆ ถูกร้อยเรียงอย่างมีศิลปะเพื่อใช้เล่าเรื่องราวแห่งความรัก และพลังทางการสร้างสรรค์อันสืบทอดยาวนานกว่า 75 ปี ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์บุกเบิกของคริสเตียน ดิออร์

บรรดาหลักฐานแสดงความมิตรภาพผูกพันลึกซึ้งระหว่างคริสเตียน ดิออร์กับญี่ปุ่น ไม่ต่างอะไรจากการเดินทางข้ามเวลาจากปัจจุบันย้อนไปสู่อดีต และข้ามทวีปจากกรุงปารีสมาสู่นครโตเกียว เอกสารสำคัญทั้งหลายซึ่งมีการค้นพบในแผนกจัดเก็บผลงานชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์ของแบรนด์ เราจะได้เห็นจดหมาย, ภาพร่างแบบ และผลงานบางส่วน หรือเสื้อผ้าบางชุด ซึ่งเคยถูกจัดแสดงในเมืองต่างๆ หลายแห่งของญี่ปุ่น รวมถึงบรรดาของที่ระลึก และเอกสารสัญญากับบัญชีรายการ ทั้งหมดนี้คือบทอ้างอิงการทำงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างดิออร์กับบริษัทสิ่งทอ และห้างสรรพสินค้าไดมารู หรือกับบริษัทเครื่องสำอางคาเนโบ

การเดินทางย้อนเวลาดำเนินอย่างต่อเนื่องด้วยผลงานสร้างสรรค์ชิ้นเด่น ซึ่งออกแบบขึ้นโดยผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ประจำห้องเสื้อ Dior ในแต่ละรุ่น แต่ละยุคสมัยผ่านภาพถ่ายฝีมือของยูริโกะ ทาคากิ แต่ละภาพสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางมิติทรง หรือโครงสร้างเสื้อผ้ากลุ่มต่างๆ ที่มงซิเออร์ ดิออร์ได้ริเริ่มไว้ผ่านมุมมอง และวิถีรังสรรค์ของเหล่าผู้ที่สืบทอดในรุ่นต่อๆ มาของห้องเสื้อดิออร์ โดยเน้นบรรยากาศสถานที่จัดงานให้เรียบง่ายตามขนบสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น หลังผ่านช่วงเวลาดุจฝัน ผู้ชมก็จะมาถึงห้องตกแต่งด้วยผ้าใบขาวสว่างเจิดจ้า เพื่อจะได้สำรวจผลจากงานฝีมืออันเป็นเลิศของช่างตัดเย็บผู้ร่วมกันถ่ายทอดสัดส่วนโค้งเว้าจากแบบร่างเสื้อผ้ากลุ่มต่างๆ ของดิออร์ให้กลายเป็นผลงานสวมใส่ได้จริง

เพื่อสะท้อนถึงอิทธิพลที่มีแก่กัน สวนย้อนยุคสุดอัศจรรย์คือการยกย่องความงดงามแห่งธรรมชาติผ่านงานฝีมือทำด้วยกระดาษของศิลปินอายูมิ ชิบาตะ นำเสนอแนวทางอันหลากหลายของการออกแบบจาก House of Dior จากทองคำมาสู่สีสันจากมวลพฤกษา จากน้ำหอม J’adore มาสู่ Miss Dior ในขณะที่ Colorama3 หรือตู้เก็บของมหัศจรรย์อันเต็มไปด้วยสิ่งของแปลกตาหลากสรรพสีจากหลายท้องถิ่นทั่วโลก ซึ่งได้รับการรังสรรค์ขึ้นโดยฝีมือของโฌเอ็ล แอนเดรียโนเมียริโซอา เพื่อตอกย้ำบทบาทสำคัญของเครื่องประดับทั้งหลายของ Dior จากเครื่องสำอาง และน้ำหอมไปจนถึงหมวก ที่ได้รับการสรรค์สร้างขึ้นโดยสตีเฟน โจนส์ ช่างทำหมวกชื่อดังแห่งอังกฤษ นอกจากนั้นผู้เข้าชมจะได้พบกับผลงานต้นแบบของเสื้อผ้าชุดต่างๆ ซึ่งเคยสวมโดยสุภาพสตรีผู้มีชื่อเสียงของโลก จากเกรซ เคลลีมาจนถึงนาตาลี พอร์ตแมน แม้แต่มาริลิน มอนโรในรูปแบบภาพพิมพ์ตะแกรงไหมอันโด่งดังของแอนดี วาร์ฮอลถึงสามชิ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ในครอบครองของ MOT เช่นเดียวกับผลงานหลายชิ้นในครอบครองของ MOT ที่ได้ถูกเลือกมาร่วมจัดแสดงในวาระนี้

อีกช่วงเวลามหัศจรรย์ปรากฏในรูปแบบของชุดราตรียาวหรูหรา และมาถึงบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ของดิออร์ นั่นก็คือกระเป๋าถือ Lady Dior ผลงานระดับไอคอนที่อยู่เหนือกระแสความนิยมของยุคสมัย และได้รับการรังสรรค์ ดัดแปลงเป็นผลงานรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายรุ่น ทั้งยังได้อวดโฉมผ่านนิทรรศการ Lady Dior As Seen By ในหลายเมือง ตลอดจนโครงการศิลปะที่เหล่าศิลปินหลากสาขาจากทั่วโลกสร้างกระเป๋า Dior Lady Art editions ร่วมกันนำเสนอแรงบันดาลใจสู่การออกแบบกระเป๋าอันเป็นแบบฉบับ จากกรีกสู่สเปน, จากอินเดียสู่อียิปต์มาจนถึงญี่ปุ่น ล้วนได้หล่อหลอมผลงานสไตล์ Dior ในรูปโฉมใหม่สำหรับแต่ละฤดู ส่วนบทส่งท้ายสุดเซอร์ไพรส์คือประสบการณ์ล้ำค่าที่ทุกสายตาจะได้ดื่มด่ำผ่านเดรสสุดวิจิตร ผลงานของศิลปินหญิง เพนนี สลิงเกอร์ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงสถาปัตยกรรมต้นแบบด้านหน้าตัวอาคารเลขที่ 30 บนถนนมงตาญ

นี่คือนิทรรศการที่พลาดไม่ได้สำหรับคนที่รักงานดีไซน์ แม้เรื่องราวหลักจะเป็นเรื่องของแฟชั่น แต่เรื่องของการดีไซน์นิทรรรศการนี้ทำได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ สะท้อนการเป็นนิทรรศการในยุคสมัยใหม่ที่ดึงดูดความสนใจให้ผู้ชมก้าวเข้าสู่อีกห้วงมิติหนึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่นิทรรศการต้องการนำเสนอ เป็นการบอกเล่าผ่านผลงานที่อยู่ในคลังประวัติศาสต์ของห้องเสื้อดิออร์ ผสมผสานกับงานศิลปะชิ้นสำคัญๆ โดยเฉพาะชิ้นที่อยู่ในความดูแลของพิพิธภัณฑ์ MOT เป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่จะปรับทับใจผู้ที่ได้ชมไปนานแสนนาน

o

o

The Original of Cool.

ที่พิพิธภัณฑ์ Great Egypt Museum ซึ่งจะเปิดต่อสาธารณชนราวเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ในค่ำคืนก่อนจะมีแฟชั่นโชว์แห่งปีของ Dior ที่มหาพีระมิด Giza ได้มีการเปิดตัวแคปซูลคอลเลกชั่นของ DIOR MEN CAPSULE FALL 2023 – DIOR TEARS
โดยเป็นงานออกแบบรับเชิญจาก DENIM TEARS ซึ่งมี Tremaine Emory เป็นผู้สร้างสรรค์ ซึ่งเขาขุดลึกไปถึงต้นกำเนิดของเดนิม และรากของคำว่า Cool ว่ามาอย่างไร โดยผสมผสานสองสิ่งนี้เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับ DIOR TEARS


“ผมต้องการย้อนเวลากลับไปสู่บรรยากาศอันงดงามระหว่างที่ศิลปิน, นักเขียน และนักดนตรีผิวสีทั้งหลายพากันย้ายถิ่นฐานจากอเมริกามาแสวงหาการยอมรับ และความทัดเทียมในมหานครต่างๆ บนภาคพื้นยุโรป ช่วงเวลาที่พวกเขาได้รับเกียรติ และการยกย่อง เป็นที่นับถือทั้งในแง่ของตัวบุคคล และผลงานศิลปะ ถึงแม้ในยุคสมัยนั้นยังไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ กระนั้น ก็ยังเป็นช่วงเวลาอันงดงามจากความรู้สึกที่ว่า คนผิวสีได้รับสิทธิ์ และมีโอกาสที่จะหลบหนีไปให้พ้นจากความโหดร้าย น่าสะพรึงกลัวของอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรังเกียจเดียดฉันท์อันมาพร้อมกับ Jim Crow America กฎหมายว่าด้วยการแบ่งแยก และยอมรับการปฏิบัติอันแตกต่างกับคนต่างสีผิว ศิลปินในหลายๆ สาขาอย่างไมลส์ เดวิด นักทรัมเป็ตชื่อดัง และนักเขียนอย่างเจมส์ บอลด์วิน ก็ได้พบที่พักพิงในกรุงปารีส” ทรีเมน อีมอรี (Tremaine Emory)
แม้นี่จะเป็นความรู้สึกที่บอกเล่าถึงที่มาของงานสร้างสรรค์นี้ แต่ผลงานไม่ได้มีความขมขื่น หากแต่เป็นการมองที่นำเอาด้านที่เปี่ยมความหวังมานำเสนอเป็นลุคการแต่งกายอารมณ์ลำลองในกรอบของสไตล์คลาสสิก คอลเลกชั่นนี้เป็นการออกแบบรับเชิญของทรีเมน อีมอรี ผู้ก่อตั้ง และนักสร้างสรรค์แห่งแบรนด์ Denim Tears ซึ่งเพื่อนสนิทอย่างคิม โจนส์ ได้ให้ความนับถือ และยกย่องเป็นอย่างสูง อีกทั้งยังเป็นบุคคลผู้นำแนวทางการออกแบบอเมริกันมารองรับไหวพริบทางการตัดเย็บชั้นสูงแบบฝรั่งเศสอย่างลงตัว


นายแบบออกมาในลุคต่างๆ พร้อมเสียงเพลงจากแซกโซโฟน บรรเลงสดโดย Cktrl ซึ่งดนตรีแจซเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเพราะเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของผลงานทั้งรูปธรรมและนามธรรม อย่างโทนสีที่เป็นสีแห่งฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็มีความสดใสไม่ทึมเทา เป็นดทนสีที่งดงามมีความสุขและเต็มไปด้วยสีสัน(แบบเพลงแจซ) โดยนายแบบที่เดินออกมาจำนวนทั้งสิ้น 12 ลุคนั้นมีความเด่นและแปลกตาโดยวัสดุหลักก็คือ เดนิม ที่เสมือนเป็นเอกลักษณ์ของ Denim Tears ทว่ามีความหรูหราในเนื้อผ้าแบบดิออร์ เป็นการทอผ้าเดนิมขึ้นมาใหม่โดยใช้เทคนิคการทอลายในตัวแบบแจ็คการ์ดทำให้ต่างจากเดนิมที่หลายคนคุ้นเคย เดนิมมีต้นกำเนิดในฝรั่งเศส อ้างอิงจากการแผลงมาจากคำว่า serge de Nimes (แซร์ช เดอ นีมส์) ผ้าทอลายสองจากนิคมสิ่งทอเมืองนีมส์ แต่ครั้งนี้ ผ้าเดนิมอาศัยการทอผสมด้วยเครื่องทอขึ้นลายในตัวพร้อมกับพัฒนาลายพิมพ์เพื่อสะท้อนมรดกสิ่งทอ ส่วนซิลลูเอทนั้นเป็นเรื่องราวของทศวรรษ 1950 เน้นทักษะหัตถศิลป์เสื้อผ้าชั้นสูงตามขนบ Dior ด้วยการผสมผสานศิลปะพื้นบ้านอเมริกันกับหัตถกรรมชั้นสูงแบบฝรั่งเศส โดยมีโครงเรื่องจากอิทธิพลของนักดนตรีเพลงแจซ แอฟริกัน-อเมริกันคนสำคัญ ผู้เดินทางเปิดการแสดงไปทั่วทวีปยุโรป พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งซึ่งตนพบเจอในมหานครปารีส และในทางกลับกัน พวกเขาก็สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ปารีส


อีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญในการออกแบบคอลเลกชันนี้ก็คือรูปแบบการแต่งกายนักศึกษาผิวสีในมหาวิทยาลัยเอกชนไอวี ลีก (Ivy League) ระหว่างทศวรรษ 1950 ถึง 1960 กับสไตล์เสรีนิยมของนักดนตรีเพลงแจซยุคสมัยเดียวกัน
รวมไปถึงอิทธิพลจากขบวนการสิทธิพลเมือง (civil rights movement) ซึ่งดำเนินการต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสมอภาคของคนผิวสีในสหรัฐอเมริการะหว่างสองช่วงทศวรรษนั้น ก็ยังถูกสะท้อนผ่านงานออกแบบเลียนแบบเสื้อผ้าคนงาน และนี่เอง ที่ลุคนักศึกษาวัยรุ่นได้มาบรรจบพบกับต้นกำเนิดศัพท์แสลงคำว่า cool ผ่านกระบวนการพัฒนาเพื่อหลอมรวมเครื่องแต่งกายแบบฉบับอเมริกันชนอย่างเชิ้ตลายตารางหมากรุกตัวเก่งสวมทับด้วยแจ็กเก็ตนักศึกษาประจำไฮสคูลยอดนิยมกับกางเกงชิโนสวมสบาย เติมความโฉบเฉี่ยว ทันสมัยด้วยโอเวอร์โค้ทตัดเย็บจากผ้าวูลสไตล์คลาสสิก หรือชุดสูทกางเกงตัดเย็บอย่างมีชั้นเชิงร่วมกับเครื่องประดับหนังสีน้ำตาลคอนญัคงามสง่าอย่างทรงกระเป๋าทรัมเป็ต


แนวทางการออกแบบสำหรับคอลเลกชันเฉพาะกาลหรือ Capsule Collection ครั้งนี้ ยังมีบางส่วนที่สะท้อนถึงตัวตนของทรีเมน อีมอรีในฐานะคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันผู้ถือกำเนิดในชนบทตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาก่อนมาเติบโตอยู่ในมหานครนิวยอร์ก
การเดินทางของดนตรีแจซ ซึ่งมีรกรากอยู่ในแอฟริกานั้น เต็มไปด้วยแง่มุมซับซ้อนซึ่งสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นบนโลกใบนี้ ก็ช่างลงตัวกับการจัดแสดงคอลเลกชันขึ้นที่อียิปต์ หนึ่งในแหล่งกำเนิดอารยธรรมเปลี่ยนโลกผ่านรูปแบบการนำเสนอแบบ ‘ภาพนิ่ง’ ท่ามกลางโบราณวัตถุของหนึ่งในอารยธรรมอันยิ่งยงที่สุดภายในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอียิปต์ (Grand Egyptian Museum)