Posts

Ulysse Nardin : FREAK X ENAMEL BLUE

ต่อยอดความสมบูรณ์แบบของคอลเลกชั่น Freak ด้วยผลงาน Freak X Enamel Blue รุ่นใหม่ เป็นครั้งแรกสำหรับนาฬิกา Freak X ที่ได้นำเสนอหน้าปัดชั่วโมงที่มาพร้อมกับศิลปะชั้นสูงด้วยเทคนิคกิโยเช่ลงอีนาเมล (ลงยา) สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้

Freak เปิดตัวครั้งแรกในปี 2001 ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตนาฬิกาไปอย่างสิ้นเชิง และยังคงก้าวข้ามขีดจำกัดต่อไป เนื่องจากไม่มีหน้าปัดและไม่มีเข็ม กลไกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบอกเวลา อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรกที่กลไกการเคลื่อนไหวได้รับการแยกส่วนเพื่อแสดงเวลาด้วยตัวเอง โดย Freak X Enamel Blue ได้ผสมผสานศิลปะชั้นสูงโดยช่างฝีมือโบราณเข้ากับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เทคนิคชั้นสูงนี้เป็นเทคนิคพิเศษที่ดูแลโดยช่างฝีมือของ Ulysse Nardin ผสมผสานอย่างลงตัวกับการประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาขั้นสูง (Haute Horlogerie)

เอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Freak รุ่นใหม่นี้คือหน้าปัดลงอีนาเมล (ลงยา) เทคนิคการตกแต่งพิเศษที่สืบทอดโดยช่างฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น เทคนิคนี้มักจะใช้ได้กับนาฬิกาที่ผลิตโดยช่างฝีมือชั้นสูงเท่านั้น เพราะต้องใช้ทักษะในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมจนถึงการลงอีนาเมล (ลงยา) เป็นงานฝีมือที่ต้องอาศัยพรสวรรค์ ความรู้ และประสบการณ์ ไม่น่าแปลกใจที่จะหาช่างฝีมือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทำได้

 Donzé Cadrans ตั้งอยู่ที่เมือง Le Locle ประเทศ Switzerland ซึ่ง Ulysse Nardin เป็นเจ้าของ และยังคงรักษาความรู้ความชำนาญที่เป็นเลิศนี้ไว้ หน้าปัดที่ดูแปลกใหม่นี้ ได้รับการตกแต่งตามเทคนิคกิโยเช่เป็นครั้งแรก ด้วยการใช้เส้นสายลวดลายทรงเรขาคณิต เทคนิคนี้ช่วยทำให้หน้าปัดดูมีมิติและความทันสมัย โดยการเคลือบอีนาเมล (ลงยา) หลายชั้นบนหน้าปัดนี้
แผ่นสีที่ใช้ในการลงยาจะถูกบดแล้วค่อยๆ เติมน้ำ สีแต่ละชั้นจะถูกเผาในเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 800 องศา และระหว่างแต่ละชั้น ต้องใช้เวลาระบายความร้อนซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที การผลิตนี้จำเป็นต้องใช้เคลือบสีสามถึงสี่ชั้นและรอบการอบอย่างน้อยห้ารอบก่อนที่จะทาสีเคลือบโปร่งแสงชั้นสุดท้ายที่เรียกว่า “ฟองดอง” เลเยอร์นี้มีความสำคัญเนื่องจากผลลัพธ์ของกระบวนการขึ้นอยู่กับเลเยอร์นี้

Freak X Enamel Blue มาพร้อมกลไกอัตโนมัติ UN-230 การไขลานด้วยมือ และการตั้งเวลาผ่านเม็ดมะยม มาพร้อมกับดิสก์หมุนทุกๆ ชั่วโมงเพื่อระบุเวลา บาลานซ์วีลและเฟืองท้ายทำจากซิลิคอน ซึ่ง Ulysse Nardin เป็นผู้เชี่ยวชาญมาตั้งแต่ปี 2001 โดดเด่นด้วยตัวเรือนและฝาหลังไทเทเนียมสีเทา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 43 มม. สามารถสำรองพลังงานได้ 72 ชั่วโมง สนนราคา 1,435,000 บาท ตัวเรือนมาพร้อมสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน เย็บตะเข็บข้างด้วยด้ายสีขาว และตัวล็อคสายไทเทเนียมแบบบานพับ

Freak X Enamel Blue ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 15 ปีของ PMT The Hour Glass ซึ่งเป็นพันธมิตรแต่เพียงผู้เดียวของ Ulysse Nardin ในประเทศไทย
“เราให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายนาฬิกาชั้นสูงซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศไทย” แพทริค พรูนีโอซ์ จาก Ulysse Nardin กล่าว “เราได้ปฏิวัติวงการนาฬิกาอีกครั้งในการผลิตนาฬิกาจักรกลโดยใช้ซิลิคอน ที่มาพร้อมเทคนิคการลงอีนาเมล (ลงยา) ซึ่งเป็นความรู้ของบรรพบุรุษมาผสมผสานกับเทคโนโลยีล้ำสมัยถือเป็นความท้าทาย ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตทำให้ Freak X Enamel Blue ดูน่าทึ่งมาก”

ผลงานนาฬิการุ่นนี้จะวางจำหน่ายผ่านทาง PMT The Hour Glass และเครือข่ายทั่วทั้งภูมิภาค

Seamaster Diver 300M “Paris 2024” Special Edition

นาฬิกา Seamaster Diver 300M “Paris 2024” Special Edition ถูกรังสรรค์ขึ้นพิเศษเพื่อยกย่องมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 นาฬิกาโอลิมปิกรุ่นนี้คือหมุดหมายของการทำหน้าที่ผู้บอกเวลาอย่างเป็นทางการครั้งที่ 31 ของ OMEGA บทบาทที่ทางบริษัทได้ทำหน้าที่มาตั้งแต่ปี 1932

ภายในห้วงเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้ โลกก็จะได้พบกับพิธีเปิดของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก Paris 2024 สำหรับการเริ่มต้นนับถอยหลังสู่รายการแข่งขันแห่งประวัติศาสตร์ดังกล่าว ผู้บอกเวลาประจำงานอย่าง OMEGA จึงเผยเรือนเวลารุ่นใหม่ซึ่งสมบูรณ์แบบด้วยสัมผัสแห่งทองคำ นาฬิกาขนาด 42 มม. รุ่นใหม่จะวางจำหน่ายเพียงที่บูติก OMEGA ในปารีสซึ่งเป็นเมืองเจ้าภาพ เครื่องบอกเวลาผลิตจากสแตนเลสสตีลและทอง Moonshine™ 18K – อัลลอยด์เยลโลว์โกลด์เอกสิทธิ์ของ OMEGA ซึ่งช่วยมอบเฉดสีอันละเอียดอ่อนและคุณสมบัติที่ทนทานต่อการซีดจาง ในฐานะเรือนเวลาแห่งโอลิมปิก ทองคำจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ รวมถึงยังตอกย้ำถึงเหรียญที่บรรดานักกีฬาต่างปรารถนา ทองคำถูกนำเสนออย่างโดดเด่นในส่วนของขอบตัวเรือนที่ตกแต่งด้วยสเกลดำน้ำยกนูนซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีเลเซอร์และดอทบรรจุสารเรืองแสง Super-LumiNova ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกา
หน้าปัดที่ถูกสลักด้วยเลเซอร์ช่วยเสริมรูปลักษณ์ที่ชวนสะกดสายตา โดยผลิตจากเซรามิกสีขาวที่ตกแต่งแบบด้านและมีการขัดเงาในส่วนของลวดลายคลื่นที่ยกนูน สำหรับหน้าต่างวันที่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา OMEGA ได้เลือกใช้ตัวเลขสีดำในแบบอักษร Paris 2024 ในขณะที่เข็มวินาทีกลางเองก็ประดับด้วยตรา Paris 2024 ที่เล็กทว่าโดดเด่น

ทว่ารายการข้างต้นกลับไม่ใช่รายละเอียดทั้งหมดที่ถูกนำมาติดตั้งเสริมให้เรือนเวลาดั้งเดิม ยังมีฝาหลังที่ระลึกซึ่งประดับด้วยเหรียญทอง Moonshine™ 18K ตกแต่งด้วยตราของ Paris 2024 ซึ่งขัดเงาตัดกับพื้นหลังที่ระเหยด้วยเลเซอร์ เติมเต็มตรา Paris 2024 ด้วยข้อความ “Paris 2024″ และห่วงโอลิมปิกจากสแตนเลสสตีลขัดเงาที่รายล้อมด้วยลวดลายขรุขระ

สายนาฬิกาสแตนเลสสตีลมาพร้อมกับระบบ Quick Change ซึ่งหมายความว่าผู้สวมใส่สามารถสลับสายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของตนเองได้อย่างสะดวก – ไม่ว่าจะเป็นสายนาฬิกายางแบบ Quick Change ในสีน้ำเงิน, ขาวหรือแดง หรือกระทั่งสายที่ออกแบบมาโดยเฉพาะอย่างสายนาฬิกา NATO Paris 2024

ด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน Seamaster Diver 300M รุ่นนี้จึงไม่อาจขาดมาตรฐานระดับสูงสุดในด้านประสิทธิภาพและความเที่ยงตรง กลไก Co-Axial Master Chronometer 8800 และนาฬิกาทั้งเรือนต่างต้องเข้ารับการทดสอบและรับรองโดยสถาบันมาตรวิทยาสวิส (Swiss Federal Institute of Metrology, METAS) เพื่อให้ตรงตามระดับคุณภาพที่เข้มงวดที่สุด

มหกรรมกีฬาโอลิมปิก Paris 2024 จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 26 กรกฎาคม ปี 2024 ในฐานะผู้บอกเวลาอย่างเป็นทางการ OMEGA ได้ใช้เวลาตลอด 90 ปีในการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีที่สำคัญในการวัดค่าต่างๆ ระหว่างการแข่งขันไปพร้อมกับบันทึกห้วงฝันของเหล่าสุดยอดนักกีฬาจากทั่วโลก แบรนด์จะรอคอยการแข่งขันอย่างตั้งใจเพื่อร่วมบันทึกห้วงเวลาสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น

Instagram: @OMEGA
Facebook: OMEGA Watches
Twitter: @OMEGAWatches

‘SAVA AFTERNOON TEA WITH NORITAKE’

เชื่อว่าหลายคนอยากจะใช้เวลาสบายๆ ในช่วงบ่ายกับขนมอร่อยๆ ที่เสิร์ฟมาอย่างพิถีพิถันในภาชนะอย่างดีระดับของสะสม เมื่อทราบว่า SAVA (ซาว่า) ร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์นจะมีเซ็ตน้ำชายามบ่ายโดยร่วมกับ NORITAKE (นอริตาเกะ) แบรนด์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารชื่อดังระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น ก็ทำให้ต้องตั้งตารอ


สำหรับคนในแวดวงที่ประณีตกับการใช้ชีวิตหรือแม้แต่คนที่มีใจรักในเครื่องกระเบื้องจะต้องทราบดีว่านอริตาเกะ คือเครื่องกระเบื้องชั้นสูงของญี่ปุ่นคุณภาพระดับเวิลด์คลาส และเป็นของสะสมที่จะส่งต่อกันจากรุ่นถึงรุ่น ความฝันของสาวไทยยุคหนึ่งก็คือมีชุดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารของนอริตาเกะ ครบชุด แล้วได้ส่งต่อจากรุ่นถึงรุ่น
แม้จะมีชื่อเสียงมายาวนานแต่รูปลักษณ์ของเครื่องกระเบื้องนอริตาเกะ ไม่ได้เป็นของคลาสสิกแต่มีลวดลายทันสมัยสวยงามตามเทรนด์ของไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ เมื่อมีโอกาสได้เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ได้ไปสัมผัสเมนูสุดโก้ของ SAVA (ซาว่า) และ NORITAKE (นอริตาเกะ) ที่ชั้น m ดิเอ็มโพเรียม ก็เข้าใจเลยว่าทำไมจึงเป็นการจับคู่ที่สุดพิเศษ ถ้าใครเคยแวะมาที่ซาว่า ที่นี่จะชื่นชอบทำเลที่แวดล้อมไปด้วยแบรนด์เนมแฟชั่นต่างๆ แต่ส่วนนี้ไม่ดูพลุกพล่าน มีความเป็นส่วนตัวและตกแต่งอย่างสวยงาม ที่สำคัญอาหารอร่อยมาก


แต่วันนี้เรามาสัมผัสกับชุดน้ำชาที่แค่วางจานนอริตาเกะสำหรับแต่ละท่านก่อนของว่างและน้ำชาจะมาเสิร์ฟก็ชื่นตาแล้ว เพราะลวดลายของภาชนะที่เลือกมาใช้เข้ากับลวดลายของวอลเปเปอร์และกระดาษรองจานที่เป็นลายแบบ Toile de Jouy (ตวล เดอ ฌุย) คือเก๋จริงและชุดน้ำชาจะมีถ้วยและจานสีต่างๆ เสมือนยกสวนดอกไม้มาไว้บนโต๊ะทั้งๆ ที่ไม่ใช่ลายดอกไม้ แต่สิ่งหนึ่งที่เสมือนหัวใจของนอริตาเกะ คือ ไม่ว่าจะลวดลายใดสีสันแบบไหนก็จะมีความโก้หรู
โดยการเสิร์ฟเซ็ตของว่างยามบ่ายในเครื่องกระเบื้องที่ชื่อ‘CARNIVALE’(คาร์นิวาล) คอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกกับเมนูนี้ โดยเซ็ตชายามบ่ายนี้พร้อมให้บริการ ในจำนวนจำกัดต่อวันเพียงวันละ 12 เซ็ตเท่านั้น ราคาเซ็ตละ 1,250++ บาท (หนึ่งเซ็ตสำหรับสองท่าน) ระหว่างเวลา 14:00– 17:00 น. ซึ่งประกอบด้วยอาหารและเครื่องดื่ม 4 ประเภท 12 เมนูพิเศษ ด้วยกันจากการร่วมกันรังสรรค์กับเชฟขนมหวานชื่อดัง เชฟสุธากร สุวรรณโชติ


มาดูที่ชาก่อนว่าเราจะเลือกชาชนิดใดได้บ้าง ที่นี่เขาเสิร์ฟชา Mariage Frères 1 กา ใครคิดถึงชายี่ห้อนี้ต้องมา คือว่าไปแล้วชา Marcopolo ของมาริยาร์จ แฟร์ส ได้สร้างบรรทัดฐานการรับรู้ชาชั้นเลิศของคนไทย นี่ต้องยอมรับแม้จะมีให้ชิมได้ที่โรงแรมสุหรูริมแม่น้ำเข้าพระยาหรือไม่ก็ต้องไปปารีส และไม่เคยมีหน้าร้านในเมืองไทยเลย แต่วันนี้เรามาดื่มชา Mariage Frères ได้ที่นี่ เขามีให้เลือก 4 รส ได้แก่ Marcopolo, Casablanca, Rouge Bourbon และ Milky Blue Absolu อย่างหลังนี้ก็คือชาจริงๆ นี่แหละ แต่ให้กลิ่นหอมแบบมีนมผสมเข้าไปโดยไม่ต้องใส่นม หลายคนชิมแล้วติดใจ ส่วนใครอ่อนไหวต่อกาเฟอีนก็เลือกชาแดง Rouge Bourbon ใครชอบชากลิ่นมิ้นต์หอมๆ ก็ Casablanca ใครเคยชิมก็จะรู้ว่าไม่ใช่ชามิ้นต์แบบที่เราคุ้นเคยแต่มีความละมุนกว่าเยอะ ที่นี่เราขอเติมน้ำร้อนได้นะ คือเขาไม่หวงว่าต้องสั่งกาใหม่ แต่เติมครั้งเดียวพออย่าเติมรอบสองรอบสามคือรสชาจะไม่ได้มาตรฐานละ สั่งใหม่ชิมชารสอื่นๆ ดีกว่า(ไม่อยู่ในเซ็ต แต่ก็จ่ายเพิ่มไป หมายถึงจะสั่งชาใหม่นะ)
เราเริ่มจาก Savoury (เครื่องคาว) ที่มีแซนด์วิชแซลมอนครีมชีส และ แซนด์วิชแฮมและชีส ที่อร่อยด้วยการเลือกวัตถุดิบอย่างดี ต้องมาลอง คีชแฮม และ คีชเห็ด คือดีงาม เขาทำแป้งคีชได้บางแต่มีรสชาติและไส้คีชอร่อยกลมกล่อม ชอบมะเขือเทศที่วางด้านบนทำให้รู้สึกสดชื่น ต้องลองชิมให้ครบเพราะอร่อย คือเขาจะเสิร์ฟมาบนจานใหญ่ที่แบ่งได้สองท่าน แต่สามท่านเขาก็เสิร์ฟ แต่สี่ท่านก็สั่ง 2 เซ็ตเถอะ


มาถึงของว่างกับน้ำชา Sweets (เครื่องหวาน) มาชิ้นเล็กๆ พอคำ ทุกอย่างมีสำหรับสองท่านคนละชิ้นไม่ต้องแบ่งกัน มัฟฟินมะตูมคือดีงาม เค้กโรลใบเตยใครที่คิดว่าเบาิคก็ต้องมาลองชิม เชฟทำรสชาติกลมกล่อมและหอมใบเตยแบบกำลังดี อยากกินอีกหลายๆ ชิ้นเลย ส่วนบลูเบอร์รี่ทาร์ตนี่ของโปรดโดยส่วนตัว ชอบความชิ้นเล็กแต่ให้บลูเบอร์รีมาพูนๆ อยากสั่งเฉพาะทาร์ตนี้มากินให้จุใจ แต่อย่าเลยขนาดคนกินจุมากินเซ้ตน้ำชานี้ก็อิ่มแล้ว เติมความจี๊ดจ๊าดด้วยทาร์ตมะนาวมาร์ชเมโลว์ต้องบอกว่าเลมอนเคิร์ดที่เป็นไส้ทาร์ตคือหอมมะนาวละมุนมาก นึกถึงมะนาวคาปรีในไอศกรีมกรอม
ใครที่กลัวไม่จุใจเขามี Plated Desserts (เครื่องหวานจานหลัก) สองจานนี้เชฟทำมาให้เป็นพิเศษ เป็นไฮไลท์ของเซ็ตนี้ ไม่มีที่ไหนนอกจากที่นี่ คือ มะพร้าวพาเฟ่ท์สาคูเมลอน หรือ โทสต์ขนมปังบริออชราดซอสชาไทย ดีงามเหลือเกินเขาเสิร์ฟมาจานใหญ่จานเดียว(อย่างละจาน) แต่ตักแบ่งกันได้ ก็ไม่นึกเหมือนกันว่ามะพร้าวกับสาคูจะเข้ากับเมลอน แต่มานึกอีกทีก็แตงไทยน้ำกะทิไงก็อ๋อใช่ นี่คือการยกระดับขนมหวานไทยที่ทุกคนคุ้นเคยให้มีรูปลักษณ์ที่เป็นสากลขึ้นและทำให้มีรสชาติที่ละมุนมากยิ่งขึ้น คือเมลอนกับแตงไทยก็มีความดีเด่นไปคนละแบบ แต่แตงไทยคงไม่เข้ากับการสร้างสรรค์แบบนี้ ต้องบอกว่าหลงรักเลยจานนี้
ส่วนขนมปังชาไทยอาจจะไม่เซอร์ไพร้สมาก แต่นี่ไม่ใช่ขนมปังปอนด์แต่เป็นบริออชที่ทำขึ้นจากส่วนผสมหลักคือไข่และเนยมีความพรีเมียมหอมทั้งเนยทั้งไข่ แต่วอสชาไทยของเชฟก็ต้องบอกว่ารสชาติดีมาก เป็นไฮไลท์ที่จบมื้อน้ำชานี้อย่างดงาม


สัมผัสอีกระดับของประสบการ์ณการจิบน้ำชายามบ่ายกับ‘SAVA AFTERNOON TEA WITH NORITAKE ได้แล้ว ที่ร้านอาหาร SAVA MODERN THAI FLAVOUR ที่บริเวณชั้น M ศูนย์การค้า The Emporium (ใกล้ๆบริเวณร้าน Bulgari, Loewe, Fred และ Maxmara) โดยสามารถโทรสำรองที่นั่งได้ที่เบอร์ 02-664-8207

#sava #savaafternoontea #noritake_th

การกลับมาอย่างสุดสตรองของ Breguet Type XX

กลับมาอีกคร้ังอย่างแข็งแกร่ง กับคอลเลคชั่นที่เป็นไอคอนของ Breguet ที่เกี่ยวกับการบินกว่า 70 ปี
นาฬิกาที่เรานักบินมืออาชีพชื่นชม รวมทั้งเป็นที่หมายปองของสุภาพบุรุษที่ชื่นชอบรูปลักษณ์นาฬิกาที่โฉบเฉี่ยวทันสมัย
Type XX เจเนอเรชั่นใหม่ มิติใหม่ รวมถึงกลไกคาลิเบอร์ ใหม่ทั้งหมด ใช้เวลาถึง 4 ปีกว่า ในการพัฒนา

TYPE XX มาในสองเวอร์ชั่นเพื่อตอบโจท์ทุกความต้องการ ได้แก่เเวอร์ชั่นที่ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น military (รุ่นกองทัพ) ส่วนอีกเรือนได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น civilian (รุ่นพลเรือน) ที่ดีที่สุด โดย Breguet ผสมผสาน เอกลักษณ์ของนาฬิกานี้รุ่นแรกเข้ากับความร่วมสมัย, พลวัตใหม่ และเทคโนโลยี ซึ่งชัดเจนว่า Type XX จะเป็นที่กล่าวขวัญต่อไปอีกนานแสนนาน
Type XX เจเนอเรชั่นสองเผยโฉมในปี 1971 ซึ่งโดดเด่นด้วยหน้าปัดสตีลขนาดใหญ่กว่าเดิม, ขาที่รับสายนาฬิกาทรงหนา และ ขอบหน้าปัดสีดำ ซึ่งมีทั้งรุ่นที่มีฟังก์ชั่น บอกเวลาแบบ 12 ชั่วโมงและไม่มี แต่ทั้งคู่มีฟังก์ชั่นจับเวลา 15 นาทีเหมือนกัน จำหน่ายได้กว่า 800 เรือน ส่วนใหญ่สำหรับพลเรือน ส่วนรุ่นกองทัพน้ันมีการส่งมอบ นาฬิกาเพียง 50 เรือนให้แก่กองทัพอากาศโมร็อกโก นอกจากนั้น Aérospatiale (ภายหลังคือ Airbus Industries) ก็ได้ทำการสั่งซื้อเช่นกัน รวมถึงสำนักประธานาธิบดีฝรั่งเศสก็ได้สั้งซื้อเพื่อใช้ให้เป็นของขวัญอย่างเป็นทางการอีกด้วย โดยเรือนสุดท้ายขายไปในปี 1986 ซึ่งนับเป็นบทส่งท้าย(สู่บทใหม่) ของประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 30 ปี

หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี Type XX ก็ หวนคืนมาอีกคร้ังในปี 1955 กับเจเนอเรชั่นที่สามในรูปแบบ Reference 3800 “Aéronavale” (without date) และ Reference 3820 “Transatlantique” (with date) Type XX รุ่นใหม่บ่งบอกถึงคุณลักษณะแห่งการบินได้แก่ หน้าปัดสีดำ, ขอบหน้าปัดหมุนได้, ฟังก์ชั่น“flyback”ซึ่งคราวนี้มาพร้อมความสะดวกสบายด้วยกลไกขึ้นนลานอัตโนมัติ fluted caseband (สลักร่อง) และยังผสมผสานสไตล์อันเป็นตำนานแห่ง “ประติศาสตร์ของBreguet” ไว้อีกด้วย
รุ่นนี้ประสบความสาเร็จและเป็นต้นแบบให้แก่รุ่นใหม่ๆมากมาย มีท้ัง หลากหลายวัสดุโลหะล้ำค่า และหน้าปัดสีต่างๆ มากมาย เติมสีสันด้วย นาฬิกาปลุก (Reference 3860) และ Type XX สำหรับผู้หญิง (Reference 4820) ตามด้วย Type XXI (Reference 3810 ในปี 2004 และรุ่นที่น่าประทับใจอย่าง Type XXII (Reference 3880) ในปี 2010 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ความถี่สูง และซิลิคอน โดย Type XXI มารุ่นต่างๆ มากมาย รวมถึงรุ่นลิมิเต็ด ที่กรุยทางให้รุ่นใหม่ๆ ที่เพื่งเปิดตัวไป เมื่อไม่กี่ปีมานี้อย่าง References 3817 and 3815)

TYPE 20 CHRONOGRAPHE 2057
2057ST/92/3WU
ตัวเรือน: สตีล เส้นผ่านศูนย์กลาง: 42 มม.
ความหนา: 14.1 มม. หน้าปัด: สีดำ
กลไก: ขึ้นลานอัตโนมัติ
ฟังก์ชั่น: โครโนกราฟ, “flyback”, วันที่, small seconds, จับเวลา 30 นาที
บาลานซ์สปริง: แบบแบน ทำจากซิลิคอน
เอสเคปเมนท์: inverted straight-line lever และฮอร์นซิลิคอน
กันน้ำ:10บาร์(100ม.)
กลไก คาลิเบอร์:7281
สำรองพลังงาน 60 ชั่วโมง
สายนาฬิกา: ชุดเปลี่ยนสายได้รวมสองสายได้แก่สายหนังลูกวัวและสายผ้า NATO

TYPE XX CHRONOGRAPHE 2067
2057ST/92/3WU
ตัวเรือน: สตีล เส้นผ่านศูนย์กลาง: 42 มม.
ความหนา: 14.1 มม. หน้าปัด: สีดำ
กลไก: ขึ้นลานอัตโนมัติ
ฟังก์ชั่น: โครโนกราฟ, “flyback”, วันที่, small seconds, จับเวลา 15 นาที, แสดงเวลาระบบ 12 ชั่วโมง
บาลานซ์สปริง: แบบแบน ทำจากซิลิคอน
เอสเคปเมนท์: inverted straight-line lever และฮอร์นซิลิคอน
กันน้ำ:10บาร์(100ม.)
กลไก คาลิเบอร์:728
สำรองพลังงาน: 60 ชั่วโมง
สายนาฬิกา: ชุดเปลี่ยนสายได้รวมสองสายได้แก่สายหนังลูกวัวและสายผ้า NATO

Mr. Ewan Gunn – Diageo’s Global Whisky Brand Ambassador

Mr. Ewan Gunn (ยวน กันน์) ดำรงตำแหน่งวิสกี้แบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของดิอาจิโอ ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม รวมถึง Johnnie Walker Blue Label ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น เขาอยู่ในวงการสก็อตช์วิสกี้มานานถึง 24 ปี หลังจากเรียนจบด้านภาษาจากมหาวิทยาลัย ก็ผันตัวมาทำงานกับบริษัทวิสกี้เล็กๆ ที่ทำให้เขาได้ทดลองทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย การตลาด และประชาสัมพันธ์ จากการที่ยวนหลงใหลในสก็อตช์วิสกี้ เขาจึงมีความสุขมากที่ได้แบ่งปันความรู้ ส่วนผสมและเรื่องราวที่พิเศษเกี่ยวกับสก็อตช์วิสกี้ และประเทศสกอตแลนด์ให้ผู้คนได้รับรู้ โดยปัจจุบันได้มาร่วมงานกับดิอาจิโอเป็นเวลา 12 ปีแล้ว


สก็อตช์วิสกี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอาชีพของคนในสกอตแลนด์ เนื่องจากสกอตแลนด์เป็นอันดับหนึ่งของโลกในแง่ของสก็อตช์วิสกี้ แน่นอนว่าสก็อตช์วิสกี้ ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของชาวสกอตแลนด์ที่มีอยู่ราวๆ 5 ล้านคน บางหมู่บ้านที่มีคนอยู่ 50-100 คน เขาก็สร้างโรงกลั่นกันขึ้นมา โดยมีโรงกลั่นในสกอตแลนด์ทั้งหมดประมาณ 145 โรงกลั่น ขนาดเล็กใหญ่คละกันไป เรื่องขนาดของโรงกลั่นและการจ้างงานนั้น ยังขึ้นกับเกษตรกรที่ปลูกข้าวบาเลย์เพราะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสก็อตช์วิสกี้ ตลอดจนคู่ค้าในด้านอื่นๆ อย่างคนผลิต ทำขวด หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีหน้าที่ในการผสมสก็อตช์วิสกี้ ถือได้ว่าโรงกลั่นสก็อตช์วิสกี้ ครอบคลุมการจ้างงานในหลากหลายทักษะ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยการทำโรงกลั่น สก็อตช์วิสกี้ถือเป็นหนึ่งในอาชีพหลักที่เป็นอัตลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของสกอตแลนด์


การสืบทอดมรดกทางด้านวัฒนธรรม ทักษะจากรุ่นสู่รุ่น บางโรงกลั่นมีการสืบทอดกันมายาวนานถึง 240 ปี สำหรับโรงกลั่นที่เก่าที่สุด เพราะเหมือนเป็นธรรมเนียมในตระกูลที่สืบทอดต่อๆ กันมา โดยกระบวนการหลักในการผลิต ยังคงไว้ตามเดิม แต่วิธีในการเข้าไปจัดการ จะแตกต่างออกไป เช่น อาจจะมีเป็นแผงควบคุมเพื่อดูแลในเรื่องของสายการผลิต หรืออาจจะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนโรงกลั่น หรือการใช้ของเสียที่ได้จากโรงงาน เป็นพลังงานชีวภาพของโรงกลั่นนั้นๆ ถือเป็นการสนับสนุนให้โรงกลั่นอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสาน จะช่วยในแง่ของความยั่งยืนมากขึ้น โดยยังคงรสชาติดั้งเดิมและมรดกทางวัฒธรรมที่สืบทอดต่อๆ กันมา
Johnnie Walker เป็นแบรนด์ที่อยู่มายาวนานกว่า 200 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1820 ส่วน Johnnie Walker Blue Label เข้ามาร่วมพอร์ตโฟลิโอในปีค.ศ. 1992 และวางจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย โดย Johnnie Walker Blue Label นั้นมีความพิเศษ เริ่มตั้งแต่การคัดสรรส่วนผสมที่ประณีต โดยในถังบ่มจำนวน 10,000 ถัง มีเพียง 1 ถังเท่านั้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจนสามารถนำมาบรรจุลงในขวด Johnnie Walker Blue Label ได้ ซึ่งในสกอตแลนด์มีถังบ่มสก็อตช์วิสกี้รวมถึง 11 ล้านถังเพื่อคัดสรรนำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้


น้ำที่นำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้มาจากหลายลุ่มแม่น้ำจากทั้งสี่มุมเมืองของสกอตแลนด์ เป็นอีกหนึ่งความลงตัวของรสชาติสก็อตช์วิสกี้ของ Johnnie Walker Blue Label โดยส่วนผสมที่มาจากสเปย์ไซด์จะมีกลิ่นผลไม้ จากไฮแลนด์จะมีความหอมหวาน ส่วนเวสต์แลนด์มีจะกลิ่นควัน
สำหรับเทรนด์ทั่วโลกในปัจจุบัน ผู้คนนิยมดื่มสก็อตช์วิสกี้กับอาหาร เคล็ดลับคือ สามารถจับคู่เครื่องดื่มกับอาหารอย่างเหมาะสม เช่น อาหารรสชาติเผ็ด ก็ทานคู่กับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นควัน ส่วนอาหารรสชาติหวานหรือขนมหวาน ทานกับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นวนิลา โดยรสนิยมการดื่มของผู้คนมีพัฒนาการ โดยช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ผู้คนชอบที่จะดื่มอะไรที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดิอาจิโอจึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติที่สูงกว่ามาตรฐาน มีความละมุน นุ่มลึก


อีกสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ของ Johnnie Walker Blue Label นอกจากกลิ่นแล้วคือ texture ที่มีความ smooth และ creamy มากๆ แตกต่างจากสก็อตช์วิสกี้ตัวอื่นๆ โดยใน 1 แก้ว รสชาติที่สัมผัสจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ดื่มด่ำ สำหรับนักสะสม Johnnie Walker Blue Label มีหลากหลายรุ่นที่อยากจะแนะนำ เช่น รุ่น Ghost and Rare ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่หายากมากๆ เพราะนำส่วนผสมมาจากโรงกลั่นที่ปิดตัวลงไปแล้ว โดยมีบางที่ปิดไปแล้วถึง 30-40 ปี อย่าง Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Dundas ก็เป็นรุ่นแนะนำที่นักสะสมควรมีไว้ครอบครอง ความพิเศษคือเราไม่สามารถหารสชาติแบบนั้นได้อีกแล้ว เพราะเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปแล้วมาผลิต ทำให้ความรู้สึกตอนที่กำลังดื่มด่ำมันล้ำค่ามากๆ เป็นความรู้สึกที่มีได้แค่ครั้งเดียว ยังมี Johnnie Walker Blue Label อีกรุ่นหนึ่งคือ Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Ellen ซึ่งเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปตั้งแต่ปี 1980 หรือประมาณ 40 ปี มาทำเป็นสก็อตช์วิสกี้ ถือเป็นอีกหนึ่งคอลเลคชั่นที่ทรงคุณค่ามากๆ และมีรสชาติที่ยอดเยี่ยม


เรื่องหนึ่งที่คนชอบเรื่องขนบในการรับประทานอาหารยุคใหม่นิยมจะจับคู่อาหารกับเครื่องดื่ม (Food Pairing) แต่เดิมมักจะเข้าใจว่าวิสกี้ไม่สามารถนำมาจับคู่กับอาหารได้ แต่แท้จริงแล้วสก็อตช์วิสกี้อย่าง Johnnie Walker Blue Label สามารถเข้าได้กับอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสชาติหนักๆ อย่างเช่น สเต็ก บาร์บีคิว หรือรสชาติอาหารเบาๆ ที่มีรสตรงข้ามกันอย่าง แซลมอน หรือแม้แต่ขนมหวาน ได้แก่ ช็อกโกแลต เป็นต้น อีกทั้งสก็อตช์วิสกี้ยังช่วยดึงรสชาติในอาหารออกมา ทำให้เกิดรสชาติใหม่ๆ หรือแม้แต่อาหารก็สามารถไปเสริมรสชาติสก็อตช์วิสกี้ได้เช่นกัน
เมื่อพูดถึงวิธีการดื่มสก็อตช์วิสกี้ ให้ลองวางแก้วน้ำเย็นไว้ข้างๆ แก้วสก็อตช์วิสกี้ เริ่มจากการใช้น้ำเย็นดื่มล้างพาเลตต์ต่างๆ แล้วจึงค่อยดื่มสก็อตช์วิสกี้ตาม เพื่อเพิ่มความสดชื่น และการสัมผัสรสชาติที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น หรือบางคนเลือกที่จะหยดน้ำ 3-4 หยด ลงไปในแก้วสก็อตช์วิสกี้ เพื่อจะให้แอลกอฮอล์มีความเข้มข้นลดลง ทั้งยังช่วยดึงกลิ่นผลไม้ และมอบรสชาติใหม่ๆ ออกมา
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้สก็อตช์วิสกี้มีความพิเศษ คือไม่ใช่แค่น้ำที่นำมาผลิตเป็นสก็อตช์วิสกี้ต้องมีคุณภาพเท่านั้น แต่รสชาติและกลิ่นต้องมีความยอดเยี่ยม ลึกล้ำและซับซ้อน รวมถึงมีรสชาติหนักและเบาผสมผสานอย่างสมดุลกัน มีความลงตัวอย่างหาใครเทียบได้ยาก นอกเหนือจากนี้ ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา ดังนั้นกว่าจะมาเป็นสก็อตช์วิสกี้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่อยู่แค่ตัวสก็อตช์วิสกี้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกันด้วย
ในฐานะ Global Whisky Brand Ambassador ยวนเห็นด้วยและชื่นชมกับการที่ผู้คนนำ ผลิตภัณฑ์สก็อตช์วิสกี้ไปผสมเป็นเครื่องดื่มแบบค็อกเทล เพราะกว่าจะรังสรรค์ ให้เกิดรสชาติใหม่หรือเกิดเป็นเครื่องดื่มแก้วใหม่ ต้องใช้เวลาและทำให้เกิดความพิเศษมากจริงๆ อีกทั้งกลิ่นหรือรสที่เกิดเป็นค็อกเทลแก้วใหม่ ย่อมต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยเช่นกัน รวมถึงยวนอยากให้เห็นคุณค่าของบาร์เทนเดอร์ โดยสามารถมองผ่านเลนส์แบบเชฟที่มี ความสามารถอย่างเชฟระดับมิชลินสตาร์ เพราะอยากส่งเสริมวงการบาร์เทนเดอร์ ให้ยิ่งใหญ่เหมือนเชฟระดับโลกด้วยเช่นกัน

The original pizza from Naples.

หลายคงอยากจะรู้ว่าพิซซ่าต้นตำรับจากเมืองเนเปิลส์เป็นเช่นไร เพราะเราได้ยินเสียงร่ำลือนักหนาว่าต้นกำเนิดพิซซ่านั้นมาจากเมืองเนเปิลส์ เราจะไม่ลงลึกว่าแท้จริงพิซซ่ามีต้นกำเนิดมาจากไหน แต่ว่าพิซซ่าสไตล์เนเปิลส์คือหนึ่งในพิซซ่าที่คนทั่วโลกยอมรับว่าอร่อยที่สุดชนิดหนึ่ง แต่วันนี้เราจะหาพิซว่าตามแบบเนเปิลส์จริงๆ ได้ที่ Starita (สตาริต้า) ซึ่งมีความเป็นมายาวนานกว่า 122 ปีและมาเปิดที่เมืองไทยเป็นที่แรกนอกเหนือจากในอิตาลี


แน่นอนว่าหลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเมืองไทย ซึ่ง Don Antonio Starita ผู้ดำเนินกิจการพิซซ่านี้ได้บอกกับเราว่า เขาเห็นว่าคนไทยกับคนเนเปิลส์มีนิสัยคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นความมีชีวิตชีวา รักในเรื่องอาหาร และรูปแบบของการปรุงอาหารมีเอกลักษณ์ แน่นอนว่าเขาทราบว่าคนไทยชื่นชอบอาหารอิตาเลียนโดยเฉพาะพิซซ่า ดันั้นเขาจึงเลือกที่จะมาเปิดร้านพิซซ่า Starita (สตาริต้า) สาขาแรกนอกอิตาลีที่กรุงเทพฯ ด้วยความพิถีพิถันในทุกส่วนผสม และความใส่ใจทุกขั้นตอนของการทำอาหาร เพื่อให้ทุกคนได้ลิ้มรสความอร่อยแบบต้นฉบับได้อย่างสมบูรณ์


หลายคนอาจจะเคยได้ชิมพิซซ่า Starita ถ้าได้เดินทางไปเที่ยวเนเปิลส์หรืออิตาลีไม่ว่าจะเป็นมิลานเปิดสาขาในปี 2016 เมืองตูริน(ปี 2018) และเมืองฟลอเรนซ์ในปี 2021 โดยร้านแรกดั้งเดิมตั้งอยู่ที่ Materdei ในเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งในปี 1901 ในฐานะโรงกลั่นเหล้าองุ่น ซึ่งในช่วงปลายยุค 40 ได้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่สำหรับการชิมไวน์และอาหารแบบดั้งเดิมต่างๆ จนกลายเป็นร้านพิซซ่านับเแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในปีต่อๆ มา ร้านอาหารแห่งนี้ก็มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นในฐานะของร้านพิซซ่าที่มุ่งเน้นความเป็นพิซซ่าเนเปิลส์แบบดั้งเดิมที่ดีที่สุด อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากสำนักวาติกัน โดยสมเด็จพระสันตะปาปาจิโอวานนี เปาโลที่ 2 ในปี 2000 และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Don Antonio Starita (ดอน อันโตนิโอ สตาริต้า) ผู้บริหารแบรนด์ Starita ได้เข้ามาดูแลอย่างทุ่มเท และให้ความใส่ใจในทุกขั้นตอนของการทำพิซซ่า


ล่าสุด ในปี 2023 Starita เลือกเปิดสาขานอกประเทศอิตาลีเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานคร ด้วยการมองการณ์ไกลของดอน อันโตนิโอ ร่วมมือกับ คุณเทพฤทธิ์ มัลโฮตรา และ คุณปรมินทร์ ศรีชวาลา กรรมการผู้จัดการบริษัท พีแอนด์ดี กูร์เมต์ จำกัด จนกลายเป็น Starita Bangkok พร้อมได้เชฟผู้เชี่ยวชาญจาก Starita Academy อย่าง Reberto Barone (รีเบอร์โต้ บารอนเน่) และ Diego Pagona (ดิเอโก้ บาโกน่า) มาประจำอยู่ที่สาขาในกรุงเทพฯ เพื่อยืนยันว่าคนไทยจะได้ชิมรสชาติของพิซซ่าที่เหมือนกับที่เนเปิลส์อย่างแนนอน เ
เราได้มีโอกาสชิมเมนูขึ้นชื่ออย่างพิซซ่า Montanara Starita ที่เกิดขึ้นในยุค 80 โดย ดอน อันโตนิโอ สตาริต้าด้วยการเลือกใช้มะเขือเทศท้องถิ่น เพิ่มด้วยชีส Foir Di Latte โดย texture ของพิซซ่านั้นมีความกรอบนอกนุ่มในเพราะเราเริ่มด้วยการทอดแล้วนำเข้าเตาอบเพื่อสร้างขอบพิซซ่าแบบเฉพาะของ Starita ที่ยากจะต้านทาน สิ่งที่ทำให้ Montanara Pizza นี้ไม่ซ้ำใครคือซอสสูตรลับสุดหวงแหน
พิซซ่า Marinara Starita ที่ใช้ซอสมะเขือเทศเชอร์รี่ Datterini จากซิซิลี พร้อมกับรสชาติที่มีชีวิตชีวาของกระเทียมที่วางตรงกลางของจานและรสชาติเข้มข้นของชีสเปโคริโน พริกไทยดำ และออริกาโน ทำให้นึกถึงซอสของคุณยายสไตล์อิตาลี ด้วยมะเขือเทศสับที่ค่อยๆ กลายเป็นซอสที่เข้มข้นและนุ่มนวล นี่คืออาหารจานเด่นที่แท้จริง ซึ่งเป็นจานของสตาริตาที่เป็นที่รู้จักไปทั่วอิตาลีและถูกกล่าวขานไปทั่วโลก
พิซซ่า Margherita Starita เป็นการทำพิซซ่าแบบคลาสสิค ด้วยการใช้ซอสมะเขือเทศสูตรพิเศษและดั้งเดิมของ Starita เพิ่มเติมด้วยชีส Foir Di Latte เพื่อให้รสชาตินุ่มละมุน เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์


พิซซ่า Burrata ได้นำเสนอความเป็นเนเปิ้ลส์แท้ๆด้วยการนำเข้า Burrata cheese จากอิตาลีและการเลือกใช้ Grape tomato เพื่อทำให้มีความหวานพิเศษ เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และจบด้วยน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์
พิซซ่า Versuvio Mix เราเลือกใช้มะเขือเทศเชอรี่สีเหลืองและสีแดง เพราะทำให้ได้รสชาติหวานอมเปรี้ยว เติมความละมุนด้วยมอสซาเรลลาชีส อีกทั้งยังเติมความเข้มข้นด้วยชีสเปโคริโนโรมาโน เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และจบด้วยน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์
พิซซ่า Tartufo ทุกคำจะได้กลิ่นหอมที่เข้มข้นจากเห็ดทรัฟเฟิล เพิ่มชีส Foir Di Latte จากอิตาลีเพื่อให้รสชาตินุ่มละมุน ปิดท้ายด้วยความหอมจากใบโหระพาอิตาเลียน
Starita มีเมนูพิซซ่ามากกว่า 20 เมนู รวมทั้งแป้งพิซซ่าไร้กลูเตน โดยส่วนสำคัญที่สุดในการทำ พิซซ่าคือ แป้งพิซซ่า (Pizza Dough) ที่ต้องปรับระดับค่าของน้ำสำหรับแป้งพิซซ่าให้ได้มาตรฐานเท่ากันกับน้ำในเมืองเนเปิลส์ เพื่อให้รสชาติของพิซซ่านั้นถูกต้องตามสูตรของ Starita และยังมี Burrata แบบโฮมเมดสำหรับสลัดและอาหารทานเล่น พาสต้าที่เป็นสูตรต้นตำรับ โดยเฉพาะพาสต้าคาโบนาร่าที่มีรสชาติเหมือนกับในอิตาลีอย่างแท้จริง


Starita Bangkok มีการตกแต่งให้มีกลิ่นอายตามแบบฉบับของ Starita ในประเทศอิตาลี สร้างบรรยากาศให้เหมาะกับทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับพิซซ่าเนเปิ้ลส์ต้นตำรับได้อย่างรื่นรมย์ นอกเหนือจากอาหารแล้ว Starita Bangkok ยังมีไวน์ชั้นดี เบียร์สดจากอิตาลี และค็อกเทลโดยบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีคอยบริการอีกด้วย
ร่วมลิ้มลองความอร่อยของพิซซ่าเนเปิ้ลส์ระดับตำนานจากอิตาลีได้ที่ร้าน Starita Bangkok ชั้น G อาคาร Oakwood Residence ทองหล่อ ซอยอรรถพัฒน์ (ซอยทองหล่อ 13) ร้านเปิดวันอังคารถึงวันพฤหัสบดี เวลา 12.00 – 14.30 น. และ 17.00 – 22.30 น. , วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 14.30 น. และ 17.00 -23.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 099-466-4461, Instagram: @staritabangkok

The Chase for Carrera

ครั้งแรกของโลก! กับภาพยนตร์สั้นแนวแอ็คชั่น-คอมเมดี้ของ Ryan Gosling เพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบ 60 ปี Carrera (คาร์เรรา) นาฬิกาเรือนไอคอนิกของ TAG Heuer

เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีของ TAG Heuer Carrera แบรนด์นาฬิกาชั้นสูงของสวิตเซอร์แลนด์ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่กล้าหาญและไม่เคยมีใครทำมาก่อน เช่นเดียวกับการออกแบบนาฬิกาของพวกเขา นั่นก็คือ การเปิดตัวภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นคอมเมดี้ของฮอลลีวูด นำแสดงโดย Ryan Gosling แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ TAG Heuer (นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Drive และ The Gray Man) และ Vanessa Bayer (วาเนสซ่า เบเยอร์) (จากภาพยนตร์เรื่อง I Love That For you และ Saturday Night Live) หนังระทึกขวัญไล่ล่าสุดแหวกแนวกับเรื่องราวการหนีของ Gosling จาก Prop Master หรือผู้ออกแบบและจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉากที่นำแสดงโดย Bayer ซึ่งพยายามที่จะถอดนาฬิกา TAG Heuer Carrera เรือนอันเป็นที่รักของเขาออกจากข้อมือ และเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้วางแผนที่จะให้เธอทำเช่นนั้น

อำนวยการสร้างโดย 87 North ของ David Leitch ผู้รับผิดชอบภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นที่โด่งดังที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ John Wick (จอห์น วิค) จนถึง Deadpool 2 (เดดพูล 2) และเมื่อปีที่แล้วกับเรื่อง Bullet Train (บูลเล็ท เทรน) ซึ่งกำกับโดย Nash Edgerton (แนช เอ็ดเกอร์ตัน) (ภาพยนตร์เรื่อง Mr. Inbetween) Gosling ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Chase for Carrera ในขณะที่ร่วมงานกับ Leitch ในภาพยนตร์เรื่อง The Fall Guy ในประเทศออสเตรเลีย ทั้ง Gosling และ Leitch ต่างมีส่วนร่วมในผลงานสร้างสรรค์ของ The Chase for Carrera และผลลัพธ์ที่ได้คือภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างแท้จริง

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะได้เห็น Gosling และ Bayer ดวลกันในรูปแบบไฮ-ออกเทน เมื่อทุกอย่างตั้งแต่รถสปอร์ตรุ่นดังไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถบั๊กกี้ไฟฟ้าที่ใช้ในกองถ่ายวิ่งผ่านฉากภาพยนตร์ต่างๆ ในมุมมองของสัดส่วนหนังระดับบล็อกบัสเตอร์หรือหนังที่ประสบความสำเร็จสูง ด้วยความรอบรู้ในการจัดฉากภาพยนตร์ในภาพยนตร์ที่ Leitch รับบทเป็นผู้กำกับในหนังด้วย

การเฉลิมฉลองที่เป็นเกียรติสำหรับนาฬิกาเรือนไอคอนิกที่ถือกำเนิดจากสนามแข่ง เมื่อได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในปี 1963 โดย Jack Heuer (แจ็ค ฮอยเออร์) อดีต CEO ในตำนานของ TAG Heuer ตั้งชื่อตามการแข่งขัน Carrera Panamericana (คาร์เรรา แพนอเมริกานา) ที่โด่งดังและอันตราย ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายและการอ่านค่าได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งจำเป็นสำหรับผู้ขับขี่ในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลงานระดับไอคอน ที่สง่างามและสวมใส่สะดวกสบาย ในดีไซน์ที่สะท้อนความกล้าและความเป็นสปอร์ตสุดเท่ สื่อถึงความรักของ Heuer ที่มีต่อการออกแบบในช่วงกลางศตวรรษซึ่งยังคงความเป็นอมตะตลอด 60 ปีที่ผ่านมา

@TAGHeuer
#TAGHeuerCarrera60

ROLEX PERPETUAL PLANET INITIATIVE

Rolex สนับสนุน Coral Gardeners กลุ่มนักอนุรักษ์มหาสมุทรรุ่นเยาว์ที่มาพร้อมกับภารกิจในการรักษาแนวปะการังผ่านการฟื้นฟู กิจกรรมเพื่อสร้างการตระหนักรู้ และนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างจริงจัง ผ่านโครงการแนวคิดริเริ่ม Perpetual Planet ของแบรนด์ ตั้งแต่ปี 2017 Titouan Bernicot ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Coral Gardeners ได้สร้างกฎการอนุรักษ์ขึ้นมาใหม่ โดยนำแนวทางการสร้างความตระหนักและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้เยาวชนได้เห็นถึงความแตกต่างที่พวกเขาสามารถทำได้ด้วยการฟื้นฟูแนวปะการัง ซึ่งจะทำให้ได้สภาพแวดล้อมที่กว้างขึ้นกลับคืนมา

ด้วยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิธีการฟื้นฟูแนวปะการัง Titouan และทีม Coral Gardeners ได้ตัดชิ้นส่วนของปะการังเพื่อเพาะเลี้ยงในเรือนเพาะชำเป็นเวลากว่า 12-18 เดือน ก่อนที่จะ “ยึดติด” ชิ้นส่วนเหล่านั้นกลับไปที่แนวปะการังที่อยู่ใกล้เคียงด้วยปูนทนน้ำทะเล และติดตามการเติบโตของแนวปะการังที่ได้ยึดติดไว้

Coral Gardeners ทำการปักชำปะการังประมาณ 10,000 กิ่งในเรือนเพาะชำปะการัง 6 แห่ง ที่กระจายอยู่ทั่วเฟรนช์โปลินีเซีย โดยทีมงานได้เล็งเห็นถึงผลสำเร็จของปฏิบัติการดังกล่าว เนื่องจากแนวปะการังกลับมามีชีวิตและสีสันสวยงามอีกครั้ง

ทุกวันนี้พวกเขาได้บรรลุเป้าหมายเริ่มต้นในการปลูกปะการัง 30,000 กิ่ง ซึ่งได้เพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของกลุ่ม Coral Gardeners ได้ขยายไปไกลกว่าแค่ในเฟรนช์โปลินีเซีย พวก เขาได้เข้าร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอนุรักษ์แนวปะการังต่าง ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของแนวปะการังทางออนไลน์โดยวิดีโอและรูปภาพของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเข้าถึงผู้คนกว่า 200 ล้านคน ในเวลาเพียงห้าปี และมีผู้ติดตามมากกว่าครึ่งล้านในบัญชี Instagram ของพวกเขา ภาพและวิดีโอที่ให้ข้อมูลอันน่าทึ่งเหล่าน้ี มุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความสนใจในการอนุรักษ์ และคาดหวังที่จะจุด ประกายเก่ียวกับการปกป้องผืนมหาสมุทร
ทีมนักเคลื่อนไหวกำลังสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีในการแบ่งปันและค้นหาข้อมูลให้กว้างมากขึ้น ผ่าน CG Labs โดยพวกเขากำลังพัฒนา ReefOS แพลตฟอร์มใหม่ที่ทำขึ้นเพื่อเชื่อมต่อแนวปะการังกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเฝ้าติดตามงานท่ีพวกเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นท้ังนี้วิศวกรของเหล่า Coral Gardeners กำลังทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับและขยายขอบเขตการอนุรักษ์แนวปะการังในแบบโอเพนซอร์สอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปรัชญาแห่งการ ยกระดับประสิทธิภาพอย่างต่อเน่ืองอันสอดคล้องกับแนวคิดของ Rolex

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมกับผู้คนระดับตำนานจากโครงการ ROLEX PERPETUAL PLANET INITIATIVE
ตามรอยเส้นทางของนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่สร้างแรงบันดาลใจอย่าง SYLVIA EARLE สิ่งนี้ทำให้ผมอยากที่จะดำดิ่งลงไปในน้ำ และสร้างความเคลื่อนไหวให้มากยิ่งขึ้น”

Titouan Bernicot ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Coral Gardeners

การเปิดตัวโครงการ Perpetual Planet อันเป็นแนวคิดริเริ่มในปี 2019 ได้ตอกย้ำถึงการมีส่วนร่วมดังกล่าว โดยแรกเริ่มโครงการได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่โครงการ Rolex Awards for Enterprise รวมถึงความร่วมมืออันยาวนานกับโครงการ Mission Blue และ National Geographic Society โครงการดังกล่าวยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีพันธมิตรมากกว่า 20 ราย รวมถึง Cristina Mittermeier และ Paul Nicklen ผู้ก่อตั้งองค์กร Sea Legacy, Rewilding Argentina และ Rewilding Chile องค์กรลูกของ Tompkins Conservation, โครงการ Under The Pole, โครงการ Monaco Blue และองค์กร Coral Gardeners

Volti Tascan Grill and Bar

ห้องอาหาร โวลติ เปิดให้บริการอีกครั้งภายใต้แนวคิดใหม่ “โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์” ที่สายเนื้อต้องไม่พลาดเพราะจุดเด่นหนึ่งก็คือสเต๊กเนื้อที่ย่างจากเตาถ่าน แต่ใครไม่สายเนื้อก็มีอาหารสไตล์ทัสคานีที่เป็นจุดเด่นจากการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาปรุงอาหาร ด้วยเมนูที่พร้อมพรั่งทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย พาสต้า รวมทั้งอาหารทะเลที่คัดมาสดๆ ปรุงในสไตล์ครัวในบ้านของชาวทัสคานีย์


เป็นการกลับมาอีกครั้งของห้องอาหารอิตาเลียน Volti ด้วยแนวคิดใหม่ “อาหารย่างในสไตล์ทัสคาน” ที่คุณพลาดไม่ได้ โดยห้องอาหาร โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ โฉมใหม่ นำเสนอความอร่อยจากเนื้อคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก นำมาปรุงในสไตล์ทัสคานีย์แท้ด้วยการรมควันและย่างด้วยเตาถ่าน เริ่มจากเนื้อชั้นเยี่ยมอย่างเนื้อวากิวสายพันธุ์เลือดแท้ 100% (A5) ซึ่งเป็นเนื้อวากิวเกรดสูงสุดที่หายากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเนื้อแองกัสออสเตรเลีย (MBS3+) ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของเนื้อแองกัสจากเมืองดาร์ลิงดาวน์ รัฐควีนส์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นเนื้อที่ได้รับรางวัลสเต็กเนื้อแองกัสที่ดีที่สุด โดยมีความโดดเด่นด้านเนื้อสัมผัสที่นุ่มและรสชาติเนื้อที่เข้มข้น อีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ได้แก่ F1 วากิว (MBS7+) ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดสำหรับเนื้อออสเตรเลียน F1 วากิว

เนื้อที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี พร้อมนำมาย่างบนเตาถ่านชาร์โคลที่ออกแบบโดยชาวออสเตรีย ราดด้วยไขมันวากิวหมักด้วยขิง และเสิร์ฟบนถาดเกลือหิมาลายัน เพื่อให้เนื้อสเต็กจะยังคงอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง

โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งพร้อมด้วย บรูโน เฟอร์รารี หัวหน้าพ่อครัว อิตาเลียนคนใหม่ เชฟบรูโนได้รับเลือกให้เป็น “เชฟและเจ้าของห้องอาหารรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศอิตาลี” โดยมิชลินไกด์ ประเทศอิตาลี และเขายังได้รับดาวมิชลินดวงแรกในปี พ.ศ. 2551 จากห้องอาหารเวียนตูริน (Wien Turin) ในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

“โวลติให้ความสำคัญกับการเป็นตัวจริง เราภูมิใจที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นเมนูของโวลติจึงประกอบไปด้วยเนื้อเกรดพรีเมียมไปจนถึงส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั้งในและต่างประเทศ ส่วนประกอบแต่ละอย่างของแต่ละเมนูล้วนทำขึ้นเอง ตั้งแต่เส้นพาสต้า ไปจนถึง ลิมอนเชลโลที่ผสมขึ้นเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มที่เสิร์ฟเมื่อจบมื้ออาหารที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในทุกองค์ประกอบที่ทีมเชฟของเราทุ่มเทให้กับอาหารทุกจานที่เสิร์ฟให้กับแขกของเรา” เชฟบรูโนกล่าว

เร่ิมจากอาหารเรียกน้ำย่อยที่หลายๆ คนที่ติดใจรสชาติหนวดหมึกทะเลต้องชอบกับการปรุงที่ไม่ซับซ้อนแต่ทว่าความอร่อยอยู่ที่การคัดเนื้อหมึกที่สดมากๆ มาย่างไฟแบบพอสะดุ้งแล้วปรุงรสด้วยสมุนไพรต่างๆ ชูรสเด่นด้วยความเปรี้ยวของมะนาวเลมอน ความเค็มจากเนื้อหมึกรวมทั้งผิวหมึกที่กรอบจากการย่างไฟช่างเป็นรสสัมผัสที่สดชื่นนึกถึงบรรยากาศริมทะเล ส่วนพาสต้าที่มาในรูปแบบแผ่นแป้งสอดไส้พอคำที่เพิ่มรสด้วยซอสสูตรพิเศษ แต่สายเนื้อที่ยังไม่ถึงจานหลักอย่างสเต็กลองสั่งการ์ปัชโช ที่ทำจากเนื้อสไลด์บางๆ เหยาะน้ำมันมะกอกและน้ำส้ม โรยหน้าด้วยเนยแข็งและผักอารูกูลา(ผักโขมอิตาเลียน)รสชาติดีมาก เมื่อจานหลักมาถึง เนื้อสเต็กไม่ทำให้ผิดหวังเลย ด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยมของเนื้อและความเข้าใจในคุณภาพของเนื้อของเชฟที่ปรุงสุกมาแบบถนอมรสชาติแท้ๆ ของเนื้อแต่ละชนิดได้เป็นอย่างดี อยากจะสัมผัสความจุ้ยซี่ ความนุ่มละมุน ความละลายในปากของเนื้อชนิดใดเชฟสามารถทำให้ได้โดยไม่เสียคุรภาพของเนื้อชนิดนั้นๆ

ปิดท้ายด้วยของหวานที่เชฟทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้อาหารจานหลักไม่ว่าจะเป็น Panna Cotta รสละเมียดหอมกลิ่นนม , Piedmont Hazelnut Gianduja แป้งทอดมากับซอสฮาเซลนัท และ Tartufo Nero ที่เป็นไอศกรีมรสทรัฟเฟิลบรรจุอยู่ภายในลูกบอลช็อกโกแลต ของหวานจานนี้คือพลาดไม่ได้จริงๆ

ทุกท่านสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศภายในห้องอาหารที่มีการตกแต่งในสไตล์อิตาเลียนร่วมสมัย สุดชิคในขณะชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยาและสระว่ายน้ำอันแสนร่มรื่นของโรงแรมฯ พร้อมจิบหลากหลายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ในบรรยากาศสบายๆ ของเลานจ์ และบาร์ที่ชั้น 1 และชั้น 3 ของห้องอาหาร

ตื่นตาไปกับทักษะการปรุงอาหารของทีมพ่อครัวมืออาชีพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลในรสชาติของอาหารทุกจานที่ทุกท่านสามารถรับชมได้จากครัวเปิดขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 ของห้องอาหาร ในขณะที่กำลัง อิ่มอร่อยไปกับอาหารจานโปรด

นอกจากนี้ โวลติ ยังนำเสนอรายการไวน์นานาชนิดให้ทุกท่านได้เลือกลิ้มลองโดยได้รวบรวมไวน์ที่ดีที่สุดของประเทศอิตาลี คราฟต์เบียร์ที่ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถัน และสำหรับท่านที่ยังไม่จุใจกับรสชาติอาหารรมควัน ต้องไม่พลาดที่จะชิมหลากหลายเมนูค็อกเทลรมควันรสเลิศของโวลติ

โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ เปิดให้บริการอาหารมื้อค่ำในทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ทีมเชฟของเรายังสามารถรังสรรค์เมนูพิเศษสำหรับรับรองแขกจำนวน 10 ถึง 100 ท่าน ทำให้โวลติเป็นห้องอาหารที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์ทางธุรกิจ งานเลี้ยงฉลองต่างๆ แบบส่วนตัว อาหารค่ำมื้อพิเศษภายในครอบครัว รวมถึงงานหมั้น และงานแต่งงานอีกด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ แผนกสำรองที่นั่งห้องอาหาร โทร. 0 2236 7777 หรือ อีเมล restaurants.slbk@shangri-la.com www.Shangri-La.com

Lenny Kravitz : The Artist.

Lenny Kravitz นักดนตรีร็อคแนวหน้าที่ก้าวข้ามผ่าน สไตล์ เชื้อชาติ และชนชั้นตลอดเส้นทางอาชีพนักดนตรีกว่าสามทศวรรษ ผู้หลงใหลในจิตวิญญาณร็อค เป็นผู้เขียนบท โปรดิวเซอร์ และสร้างสถิติเป็นผู้ชนะ Grammy® Awards มากที่สุดในสาขา”การแสดงเพลงร็อกชายยอดเยี่ยม” เรามาทำความรู้จักกับเขากับจากการที่เขาได้ร่วมงานกับ Jaeger-LeCoultre และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของศิลปินมากความสามารถท่านนี้


นอกจากสตูดิโออัลบั้ม 11 ของเขาที่ทำยอดขายได้ 40 ล้านแผ่นทั่วโลกแล้ว ศิลปินหลากมิติผู้นี้ยังมีผลงานภาพยนตร์ โดยแสดงเป็น Cinna ใน The Hunger Games และ The Hunger Games: Catching Fire คราวิตซ์ยังแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Precious และ The Butler
Kravitz Design InC. บริษัทสร้างสรรด์ของเขานำเสนอผลงานที่น่าประทับใจเกี่ยวกับการลงทุนที่น่าจดจำ ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์โรงแรม โครงการคอนโดมิเนียม ที่พักอาศัยส่วนตัว และแบรนด์ระดับไฮเอนด์ระดับตำนานอย่าง Rolex, Leica และ Dom Perignon ในปี 2022 เขาได้เปิดตัวแบรนด์เดรื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพรีเมียมของตัวเองอย่าง Nocheluna Sotol
เขายังได้รับการยอมรับจาก CFDA ในปี 2022 ด้วยรางวัล “Fashion Icon Award” จากการเป็นผู้มีอิทธิพลทางแฟชั่นที่สำคัญอีกด้วยคราวิตซ์ ยังเป็นผู้เขียน Flash หนังสือที่นำเสนอภาพถ่ายหินที่ไม่เหมือนใคร ส่วนบันทึกความทรงจำล่าสุดของเขา Let Love Rule ติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times
Lenny เปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดที 11 ชื่ออัลบัมว่า Raise Vibration ในปี 2018 ปัจจุบันเขาทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์และภาพลักษณ์ระดับโลกให้กับ YSL Beauty’s Y cologne ล่าสุดเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็น Hollywood Walk of Fame ประจำปี 2023
มาทำความรู้จักตัวเขาให้มากขึ้น จากการได้พูดคุยกับเขาในการร่วมงานกับ Jaeger-LeCoultre

คุณค้นพบแรงบันดาลใจได้จากที่ไหน ?
แรงบันดาลใจของผมเกิดจากการดำเนินชีวิต ทุกๆแง่มุมของมัน ชีวิตไม่เคยหยุดยั้งการเสริมสร้างจิตนาการต่างๆให้กับผม

อะไรจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของคุณ โดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือคุณพยายามสร้างมันขึ้นมา ?
ความคิดสร้างสรรค์ของผมเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ ผมพยายามไม่เข้าไปก่าวกายและปล่อยให้มันไหลลื่นเสียมากกว่า ฉะนั้นในหลายๆครั้งผมฝันถึงเพลงของผม ความคิดสร้างสรรค์ของผม หลังจากนั้นก็นำมาปรับใช้ ทำให้เกิดขึ้นจริง มันค่อยข้างจะเป็นอะไรที่บริสุทธิ์มาก ปราศจากความพยายามตัดสินใดๆ

ปกติคุณใช้เวลานานเท่าไหร่ในการแต่งเพลงเพลงหนึ่ง และเจออุปสรรคอะไรบ้างไหม ?
ผมสามารถเขียนเพลงเพลงนึงขึ้นมาได้ภายใน 5 นาทีถึง 5 สัปดาห์ ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร โดยปกติมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วมาก ผมเคยมีอุปสรรคในการเขียนเพลงตอนผมกำลังทำงานในอัลบัมแรกของตัวเอง ช่วงระหว่างบันทึกเทปอยู่นั้น มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเสียทีเดียว แต่มันแค่ช่วงเวลาในตอนนั้นที่ผมต้องการความเงียบสงบขึ้นมาในใจ ต้องการการอยู่นิ่งๆไม่เคลื่อนไหวเพื่อฟังสิ่งที่ตัวผมเองกำลังจะสื่อออกไป บางครั้งคนเราแค่ต้องการเวลาที่สงบเงียบ

คุณเคยมีที่ปรึกษา(mentor) หรือไม่ ?
เคยครับ คุณตาของผมเอง Albert Roker ท่านเคยเป็นที่ปรึกษาและปัจจุบันก็ยังอยู่ในใจผมตลอดเวลา

คุณเคยเป็นที่ปรึกษา (mentor) ให้ใครหรือไม่ ?
เคยครับ ผมเคยเป็นที่ปรึกษา (mentor) ให้กับนักดนตรีที่เด็กกว่าไปจนถึงเด็กๆ โดยเฉพาะที่เครือรัฐบาฮามาส (The Bahamas) ที่ที่ผมอาศัยอยู่ และมันเป็นอะไรที่น่าสนใจและสุขใจอย่างมากที่ได้ไปที่นั่น

คุณเป็นแนวหน้าในวงการเพลงมาเป็นเวลานานและยังได้มีโอกาสทำงานด้านแฟชั่นอื่นๆด้วย อะไรคือสิ่งที่คุณชื่นชอบมากที่สุด ?
สิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

จากผลงานอันแสนพิเศษทั้งหมดของคุณ คุณภูมิใจกับผลงานชิ้นใดมากที่สุด สิ่งนั้นคือเพลง ภาพยนตร์หรือโปรเจกต์ไหนที่คุณรู้สึกภูมิใจในตนเองมากที่สุด ?
ผมเป็นคนที่ไม่ตัดสินว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดีกว่าอีกสิ่งหนึ่ง ทุกสิ่งเป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็น แต่แน่นอนมันจะต้องมีช่วงเวลาอันแสนพิเศษ ผมหมายถึงว่า ในช่วงที่ผมทำอัลบัมแรกของตนเองนั้น มันพิเศษมากๆ อัลบัมแรกของผม Let Love Rule คือจุดเริ่มต้นของผมและเป็นแนวทางการทำงานของผมมาจนถึงทุกวันนี้

คุณมีเพลงโปรดจากผลงานของตัวเองหรือไม่ ?
เพลงโปรดของผม…คำถามนี้ยาก Thinking of You คือหนึ่งในนั้นแน่นอนเพราะมันคือเพลงที่ผมแต่งให้แม่ของผมหลังจากที่เธอจากผมไป

คุณมีสิ่งใดที่คุณรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยากและคุณจำเป็นจะต้องทำมันหรือไม่ ?
ผมต้องทำงานกับความอดทน ทำทุกอย่างให้ช้าลงและรอคอย ผมชอบการทำทุกอย่างพร้อมๆกันและผมไม่อยากหยุด แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นผมเรียนรู้ที่จะอดทน รอคอย และอยู่จุดศุนย์กลางของความอดทนนั้น สิ่งที่คือสิ่งที่ผมฝึกปฏิบัติอยู่

คุณมีพิธีการใดที่คุณต้องทำก่อนขึ้นเวทีหรือไม่ ?
ก็ไม่ถึงขนาดนั้น พิธีการของผมคือการรู้สึกตัว ต้องรู้สึกพร้อม เมื่อผมรู้สึกพร้อม เมื่อวงของเราผ่านการซ้อมมาอย่างเพียงพอ นั่นคือสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับผมว่าผมสามารถจะแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุดเพราะผมพร้อมแล้ว ดังนั้นมันคือแค่ช่วงเวลาสั้นๆในการอยู่เงียบๆก่อนขึ้นแสดง จากนั้นผมจะเดินผ่านอุโมงค์เพื่อขึ้นไปบนเวทีและทำการแสดง

คุณจะนิยามตนเองว่าอย่างไร ?
ผมคือศิลปิน

คุณประสบความสำเร็จอย่างมากในบทบาทของนักดนตรี นักร้อง นักแสดง นักออกแบบ และช่างภาพ มีพรสวรรค์ใดของคุณที่ยังไม่ได้โชว์ให้โลกเห็นหรือไม่ ?
ผมอยากวาดภาพ มันจะเป็นสิ่งต่อไปที่ผมจะทำ และกีฬาโต้คลื่น (surfing)

คุณวางแพลนอะไรไว้ในปีหน้า ? อัลบัมใหม่ ? การทัวร์คอนเสิร์ต ?
แน่นอนครับ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาในขณะที่ผมกำลังท่องโลก ผมวางแผนที่จะปล่อยเพลงใหม่ที่ผมได้อัดไว้ในช่วงสามปีที่ผ่านมาและออกเดินทางไปกับเสียงเพลงเหล่านั้นพร้อมกับดื่มด่ำเสียงดนตรีในชีวิต

อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับคุณและคุณอยากจะสอนให้กับเด็กๆรุ่นต่อไป ?
ความรัก. ความรักและความรักที่มากขึ้น 

คุณคือนักสะสมนาฬิกา ช่วยบอกได้ไหมว่าจุดเริ่มต้นของความชอบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ?
ผมคิดว่าความชอบนี้เกิดขึ้นก่อนผมจะรู้จักสิ่งนี่ด้วยซ้ำ จุดเริ่มต้นจริงๆมากจากคุณพ่อที่สะสมและมีนาฬิกามากมายในยุค 70s ที่ผมเคยเห็นและได้สัมผัสมาก่อน ณ ตอนนั้นผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ แต่ก็มีโอกาสได้ลองกดปุ่มต่างๆเล่นดู นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นมาจากตอนผมยังเด็ก 

การผลิตนาฬิกาและเสียงดนตรีนั้นมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่เห็น ทั้งเสียงจังหวะติ๊กต่อกของเข็มนาฬิกา เสียงฆ้องระฆังของกลไกการบอกเวลาด้วยเสียง หรือการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆของนาฬิกา อะไรคือสิ่งที่คุณสนใจมากที่สุดกับการผลิตนาฬิกานื้ ?
ความแม่นยำและงานฝีมือครับ 

และอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในนาฬิกาสำหรับคุณ ?
ก็ต้องเป็นกลไกแน่นอนครับ แต่รูปลักษณ์ของนาฬิกาก็มีผลเช่นเดียวกัน มองแล้วชอบหรือเปล่า สวมใส่บนข้อมือแล้วเหมาะหรือไม่ มันสำคัญมากเลยนะครับที่เราต้องใส่แล้วมีความรู้สึกสัมพันธ์และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา 

คุณเลือกที่จะใส่ Reverso ยังไง ? และคุณจะพลิกหน้าปัดด้วยเหตุผลใด ?
สิ่งที่ง่ายที่สุดในการอธิบายให้เห็นภาพคือ ผมใส่ในทุกๆวันครับ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงความมั่นใจในตัวผมตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่เกิดขึ้น Reverso คือส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว ผมจะพลิกหน้าปัดทุกครั้งที่ผมอยากจะพลิกมัน เป็นอีกสิ่งที่สามารถสื่อออกมาได้ผ่านนาฬิกาเรือนนี้ ความรู้สึกคุณเปลี่ยน อารมณ์คุณเปลี่ยน คุณก็แค่พลิกหน้าปัดคุณจะรู้สึกเหมือนได้พบเจอสิ่งใหม่ อารมณ์ใหม่

แล้วโอกาสไหนที่คุณเลือกจะสวมล่ะ ? 

โดยปกติจะใส่เวลาอยู่ในเมืองครับ เพราะเวลาผมอยู่ที่เกาะ ผมไม่ได้คิดถึงเวลาด้วยซ้ำ แต่เมื่อกลับมาอยู่ในเมือง เวลาที่ผมต้องทำงานและเจอผู้คนมากมาย มีหลายอย่างที่ต้องทำ ฉะนั้นผมจึงเลือกสวมนาฬิกา

อะไรคือสิ่งที่เจเกอร์-เลอคูลทร์แสดงออกมาให้คุณเห็น ?
แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดในทุกสิ่งครับ ทั้งงานฝีมือที่เป็นที่สุด งานออกแบบที่สวยที่สุด และการสร้างกลไกที่เยี่ยมยอดที่สุดครับ 

นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้จักกับอาร์ติสท์อย่างเขาคนนี้มากขึ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ากาลเวลาทำอะไรเขาไม่ได้ เขาคงยืนหนึ่งอยู่เหนือกระแสความนิยมที่มาประเดี๋ยวประด๋าว แต่เขาคือคนที่มากความสามารถที่ทำทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคู่ควรแล้วที่จะถูกเรียกว่า The Artist.

jaeger-lecoultre.com