Posts

สัมผัสสุดยอดประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับบน Lamborghini LB744

ลัมโบร์กินี (Lamborghini) เผยข้อมูลเชิงลึกด้านไดนามิกการขับขี่ก่อนการเปิดตัวรอบปฐมฤกษ์ของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตระบบไฮบริด ซึ่งเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) โดยนวัตกรรมยานยนต์ซึ่งใช้ชื่อรหัส LB744 ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์สุดเร้าใจและการควบคุมที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนนและโหมดการขับขี่ สร้างความรู้สึกที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ พร้อมยกระดับความมั่นใจที่ไม่มีนักขับคนไหนเคยสัมผัสมาก่อน ตามไฮไลต์ด้านล่าง

  • รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรกจากลัมโบร์กินี มอบสุดยอดแห่งประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างถึง 13 รูปแบบ
  • เปิดตัวระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าและระบบ LDVI 2.0 (ระบบคาดการณ์การขับขี่ล่วงหน้า)
  • มอบสัมผัสการขับขี่ที่เต็มอารมณ์ การควบคุมที่สมบูรณ์แบบ และการตอบสนองฉับไวทั้งในสนามแข่งและบนท้องถนน

นวัตกรรมที่ถูกนำมาติดตั้งใน LB744 ล้วนเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละด้าน ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้างและดุลยภาพยานยนต์ ผ่านแนวทางที่ล้ำหน้าในการใช้โครงแชสซีและการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไปจนถึงระบบส่งกำลังแบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ช่วยเสริมกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถสร้างโหมดการขับขี่ใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ (Zero-emission 4WD) เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การเดินทางที่แตกต่างกันได้มากถึง 13 รูปแบบ 

LB744 ใช้เลย์เอาต์การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 6.5 ลิตร บริเวณกลางตัวรถและมีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรก จะอยู่ที่เพลาขับคู่หน้า และอีก 1 ตัว จะถูกติดตั้งอยู่กับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีดรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชุดเกียร์ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ โดยเป็นการติดตั้งแนวขวางอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์สันดาป V12 เป็นครั้งแรก ส่วนพื้นที่ของอุโมงค์เกียร์ที่มีมาตั้งแต่รุ่น Countach นั้นถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนพลังสูงเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า

ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าช่วยเพิ่มความฉับไวให้กับตัวรถเมื่อต้องเข้าโค้งที่แคบ รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงโดยช่วยกระจายแรงบิดในแต่ละล้อได้อย่างดีเยี่ยมและยังทำงานสอดคล้องกับระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ นอกจากนี้ ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ารุ่นใหม่ยังแตกต่างจากแบบเดิม โดยระบบจะเข้ามาช่วยเบรกเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและเสริมการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติตลอดจนสมรรถนะที่สูงขึ้น โดยเมื่อทำการเบรก เพลาไฟฟ้า (e-axle) และมอเตอร์ไฟฟ้าตัวท้ายจะช่วยชะลอความเร็ว ลดแรงกดบนเบรกไปพร้อม ๆ กับการชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน โครงแชสซีที่เลือกใช้ยังช่วยยกระดับพลศาสตร์ของตัวรถได้อย่างมาก

โดย LB744 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของลัมโบร์กินีที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวถังแบบ Monocoque ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากอุตสาหกรรมการบินโดยผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด (เบากว่าโครงแชสซีรุ่น Aventadorถึง 10%) ผสานกับระบบขับเคลื่อนพลังงานประสิทธิภาพสูงเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานต่อแรงบิด (+25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador) ทำให้ LB744 มีความเสถียรเป็นเลิศ พร้อมช่วยเสริมความคล่องแคล่วและการตอบสนองที่ฉับไวให้กับตัวรถในภาพรวม

สิ่งที่เปิดตัวพร้อมกับระบบไฮบริดก็คือ 3 โหมดการขับขี่รูปแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดเดิมอย่าง Città (City), Strada, Sportและ Corsa ซึ่งสามารถเลือกปรับได้ด้วยการใช้โรเตอร์ 2 ตัวบนพวงมาลัยที่ออกแบบใหม่ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดจะสามารถตั้งค่าไดนามิกได้

ถึง 13 รูปแบบ เพื่อให้ LB744 แสดงบุคลิกและศักยภาพที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และสภาพพื้นถนน หรือแม้แต่บนสนามแข่งขันที่รถยนต์กำลังพุ่งทะยานอยู่  

ยกตัวอย่างเช่น โหมด Città ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ประจำวันในย่านกลางเมืองด้วยอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่คอยให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้าจำเป็นต้องได้รับการชาร์จไฟแต่พื้นที่แถบนั้นไม่มีสถานีชาร์จ เครื่องยนต์ V12 จะเข้ามาทำงานเพื่อชาร์จไฟจนเต็ม (เข้าสู่โหมด Recharge) ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งทำให้รถยนต์รุ่นนี้สามารถแล่นเข้าไปในพื้นที่ที่มีกฎระเบียบควบคุมการปล่อยก๊าซมลพิษได้ด้วยการใช้โหมดไฟฟ้า โดยที่ระบบกันสะเทือน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และชุดเกียร์ จะมอบความสบายสูงสุดในการขับขี่ ซึ่งแรงต้านอากาศที่น้อยลงยังทำให้โหมด Città มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีที่สุดโดยจำกัดกำลังเครื่องสูงสุดที่ 180 แรงม้า

โหมด Strada เหมาะที่สุดสำหรับการขับขี่ประจำวันที่เน้นสัมผัสแบบไดนามิกและการวิ่งทางไกล ซึ่งผสานการขับขี่แบบสบาย ๆ เข้ากับสัมผัสแนวสปอร์ตด้วยกำลังเครื่องสูงสุดที่ 886 CV โดยเครื่องยนต์ V12 จะทำงานตลอดเวลาเพื่อทำการชาร์จไฟแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะไปช่วยเสริมการขับขี่ในโหมด Recharge ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนเพลาไฟฟ้าด้านหน้า (e-axle) ด้านหน้ารองรับระบบกระจายแรงบิดและการทำงานของระบบอากาศพลศาสตร์แบบ active เพื่อมอบเสถียรภาพสูงสุดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง เช่น บนทางหลวง 

เมื่อเลือกโหมด Sport จะทำให้ LB744 เปลี่ยนสมรรถนะไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถจะถูกปรับค่าเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจให้คุณโลดแล่นไปอย่างสนุกสนาน พร้อมกำหนดรูปแบบการตอบสนองในแต่ละโหมดการขับขี่ 3 แบบที่ทำงานร่วมกันคือ Recharge, Hybrid และPerformance โดยเครื่องยนต์สันดาปซึ่งควบคุมโดยระบบไฮบริดจะทำงานกับทั้ง 3 สถานการณ์การขับขี่และมอบกำลังเครื่องสูงสุดที่ 907 CV พร้อมเสียงคำรามอันกึกก้องของเครื่องยนต์ V12 อันน่าหลงใหล ส่วนชุดเกียร์จะตอบสนองการทำงานในระดับสูงสุด ในขณะที่ระบบกันสะเทือนและระบบอากาศพลศาสตร์จะช่วยยกระดับความคล่องตัวที่ฉับไว ให้คุณเข้าโค้งได้อย่างสนุกเร้าใจมากขึ้น

หากต้องการสุดยอดแห่งประสบการณ์ไดนามิกและพลังที่เต็มเปี่ยม ทั้งในแง่ประสิทธิภาพการขับขี่และพลังเสียง ต้องเลือกโหมด Corsa ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นย้ำถึงศักยภาพด้านสุดยอดไดนามิกบนสนามแข่งขันของ LB744 โดยในโหมด Performance ระบบส่งกำลังจะแสดงพลังสูงสุดด้วยกำลังเครื่องถึง 1,015 แรงม้า และการควบคุมระบบไฮบริดจะถูกปรับให้รีดศักยภาพของเพลาไฟฟ้า (e-axle) ออกมาทั้งหมด ทั้งในด้านเวกเตอร์แรงบิดและการขับเคลื่อนในทุกล้อ เพื่อสร้างประสบการณ์ขับขี่ระดับ Ultra-sport ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้  โดยในโหมด Corsa Recharge นักขับสามารถเน้นการชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้มากที่สุด สำหรับนักขับที่เชี่ยวชาญก็สามารถเลือกปิด ESC เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งพลังได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีระบบช่วยขับและเร้าใจได้ตั้งแต่ออกสตาร์ทด้วยกำลังเครื่องสูงสุดผ่านฟังก์ชั่น “Launch Control” ซึ่งเปิดทำงานได้ด้วยการกดค้างปุ่มตรงกลางโรเตอร์ตัวซ้าย

rhunurn เรียบเรียง

Lamborghini LB744 นวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ โดดเด่นด้วยความเบาที่ได้แรงบันดาลใจจากอุตสาหกรรมการบิน

Lamborghini LB744

นวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ โดดเด่นด้วยความเบา

  • นวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ล่าสุด “Monofuselage” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวถัง Monocoque ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน โดยผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด
  • รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นแรกที่มีโครงสร้างด้านหน้าเป็น Forged Composites 100% (กรรมวิธีการผลิตคาร์บอนรูปแบบหนึ่ง)
  • เพิ่มความแข็งแรงและทนต่อแรงบิดได้มากขึ้น พร้อมน้ำหนักที่เบาลงอย่างมีนัยสำคัญ

ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) คือสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมที่ล้ำสมัย โดยช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) แบรนด์รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตแห่ง Sant’Agata Bolognese ก็ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านเทคนิคอันโดดเด่นซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในวงการยานยนต์ระดับโลก

โดยรถยนต์ซึ่งใช้ชื่อรหัส LB744 ได้นำเสนอนวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ล่าสุด “Monofuselage” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวถัง Monocoque ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน โดยถูกผลิตด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด ซึ่ง Monofuselage มีโครงสร้างส่วนหน้าเป็น Forged Composites ซึ่งเป็นวัสดุพิเศษที่ผลิตจากชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดเล็ก ชุบด้วยเรซิ่น โดยลัมโบร์กินีได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีนี้และเริ่มใช้ในการผลิตโครงสร้างเป็นครั้งแรกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008

โครงสร้าง Monofuselage แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญต่อจากรุ่น Aventador ทั้งในด้านประสิทธิภาพความแข็งแรงและทนต่อแรงบิด คุณสมบัติน้ำหนักเบา และพลศาสตร์การขับขี่ นอกจากนี้ LB744 ยังเป็นรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นแรกที่ใช้โครงสร้างส่วนหน้าเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ 100% โดยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ยังใช้กับโครงรูปโคนส่วนหน้าเพื่อยกระดับการดูดซับพลังงาน ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างโลหะแบบดั้งเดิม และมากกว่าเป็นสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงส่วนหน้าแบบอลูมิเนียมของรุ่น Aventador บวกกับคุณสมบัติน้ำหนักที่เบาลงอย่างมาก

ข้อเท็จจริงคือโครงสร้าง Monofuselage ของ LB744 มีน้ำหนักเบากว่าโครงแชสซีของรุ่น Aventador ถึง 10% และโครงส่วนหน้าเบากว่าโครงอลูมิเนียมของรุ่นก่อนหน้าถึง 20% นอกจากนี้ ความแข็งแรงและทนต่อแรงบิดยังเพิ่มขึ้นไปที่ 40,000 Nm/° ซึ่งสูงขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นAventador ซึ่งการันตีสมรรถนะที่เป็นเลิศด้านพลศาสตร์ที่ดีที่สุดในคลาสอีกด้วย

การผลิตชิ้นส่วน Forged Composites ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมความยั่งยืนในกระบวนการผลิต ผ่านการลดอัตราการใช้พลังงานของอุปกรณ์หล่อเย็นและลดปริมาณของเศษขยะวัสดุต่าง ๆ ให้น้อยลง

ในส่วนการผลิตโครงหลังคา ยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตจากเครื่อง autoclave ซึ่งไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของความแข็งแกร่งลดลง โดยเทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกผสานเข้ากับมาตรฐานด้านเทคนิค ความงาม และคุณภาพระดับสูง เสริมด้วยงานฝีมือในกระบวนการขึ้นรูปที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูงซึ่งสั่งสมจากประสบการณ์นานนับปีในการผลิตชิ้นส่วนคอมโพสิตของบริษัทที่มุ่งเน้นที่คุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ถือเป็นแนวทางการผลิตที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแบบหลังคาได้หลากหลายและตรงใจมากที่สุด

LB744 ยังเป็นเสมือนการนับ “ปีที่ศูนย์” เพื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตรถยนต์ซึ่งใช้ตัวย่อว่า AIM (Automation, Integration, Modularity) โดย “Automation” หมายถึงการใช้กระบวนการผลิตอัตโนมัติระบบดิจิทัลในการแปรรูปวัสดุ พร้อมกับการอนุรักษ์การผลิตแบบดั้งเดิมของลัมโบร์กินี อาทิ ศาสตร์การใช้วัสดุคอมโพสิต เป็นต้น 

“Integration” คือการผสานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มารวมอยู่ในชิ้นส่วนเดียวผ่านการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปแบบบีบอัด (Compression Moulding) กระบวนการนี้ใช้โพลิเมอร์ที่ถูกให้ความร้อนก่อน (Preheated Polymers) เพื่อให้สามารถผลิตชิ้นส่วนที่มีความยาว ความหนา และความซับซ้อนที่แตกต่างกันได้ ทั้งยังช่วยรับประกันการผสานเข้ากันของชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเพื่อสร้างความแข็งแกร่งต่อแรงบิดในระดับสูง และสุดท้าย “Modularity” หมายถึงการสร้างเทคโนโลยีประยุกต์แบบโมดูลาร์ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมรองรับข้อกำหนดและลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ได้ทุกรูปแบบ

rhunrun เรียบเรียง

พาย้อนชมทุกเรื่องราวก่อนปิดฉากตำนานเครื่องยนต์ V12 จิตวิญญาณอันเร้าใจของยานยนต์คาแรคเตอร์เท่ ลัมโบร์กินี 


เตรียมโบกมือลาสาวกกระทิงดุอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศผลงานการผลิตขุมพลังเบนซินอันยอดเยี่ยมที่ขับเคลื่อน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) มายาวนานกว่า 60 ปี ก่อนได้เวลาเดินทางเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มตัวกับการเปิดตัวรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ไฮบริดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ซึ่งก่อนที่เราจะไปเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ร่วมกัน จึงถือโอกาสนี้รวบรวมทุกเรื่องราวน่าจดจำเพื่อเป็นเกียรติส่งท้ายให้กับตำนานเครื่องยนต์สุดยิ่งใหญ่แห่งยนตรกรรมโลก

เครื่องยนต์ V12 ถือเป็นหัวใจสำคัญของลัมโบร์กินีมาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งจวบจนปัจจุบันมีการผลิตเครื่องยนต์ V12 เพียงแค่ 2 รุ่นที่ถูกวางอยู่ในรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ โดยรุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์พื้นฐานสำหรับรถแข่งที่ “ถูกปรับแต่ง” สำหรับใช้วิ่งบนท้องถนนซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของจิอ็อตโต้ บิซซารินี เปิดตัวครั้งแรกในรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นแรกอย่าง 350 GT ส่วนเครื่องรุ่นที่สองถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดแต่ยังคงยึดแนวคิดเชิงเทคนิคแบบเดิม ติดตั้งครั้งแรกในรถยนต์ตระกูล Aventador เปิดตัวในปี 2011 ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของบริษัท ตลอดจนการสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านกำลังเครื่องและประสิทธิภาพที่มั่นใจได้

เดิมทีบิซซารินีรังสรรค์เครื่องยนต์ V12 เพียงเพื่อสร้างโอกาสให้บริษัทสามารถก้าวเข้าสู่โลกของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทว่า เฟอร์รุชโช ลัมโบร์กินี กลับนำมาทำเป็นเครื่องยนต์สำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ จนกลายเป็นเรื่องราวแห่งยนตรกรรมอันน่าหลงใหลที่สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยหลังจากใช้ในรถยนต์ 350 GT และรุ่นต่อยอดอื่นๆ เครื่องยนต์ V12 ได้ถูกนำมาวางไว้ในรถยนต์Miura ในปี 1966, Countach ในปี 1971, Diablo ในปี 1990 รวมถึงรุ่น Murciélago

เมื่อเครื่องยนต์ถูกพัฒนาให้มีความจุมากขึ้นจาก 3.5 ลิตรในรุ่น 350 GT เป็น 6.5 ลิตรในรุ่นMurciélago จึงยิ่งจำเป็นต้องลดน้ำหนักลง ด้วยเหตุนี้ลัมโบร์กินีจึงริเริ่มใช้วัสดุและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดน้ำหนักของเครื่องยนต์บนโครงแชสซี

เมาริซิโอ เรจจิอานี อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าวไว้ว่า “ด้วยความจุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ยาวขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราต้องย้ายจุดศูนย์ถ่วงไปที่ส่วนท้ายของตัวรถ ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้เกิดความลำบากในการขับขี่และคุณต้องประสบกับอาการท้ายปัดมากขึ้น เราจึงต้องปรับรูปแบบการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด โดยใช้เครื่องยนต์เป็นตัวเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของรถ” 

จึงเป็นที่มาของแนวคิดและการคิดค้นเพลาลูกเบี้ยวคู่ ซึ่งเป็นการออกแบบเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์เป็นครั้งแรก ที่ช่วยเพิ่มมุมองศารูปตัว “V” ของเครื่องและทำให้ได้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง โดยเลือกติดตั้งเครื่องยนต์แนวขวางบริเวณกลางส่วนท้ายของรถยนต์ Miura เพื่อให้มีการกระจายน้ำหนักที่ดีขึ้นและทำให้ระยะช่วงล้อสั้นลง โครงของกระปุกเกียร์และเฟืองท้ายยังถูกผสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบส่งกำลัง ในขณะที่รุ่น Countach ที่มุ่งมั่นยกระดับประสิทธิภาพการกระจายน้ำหนัก ทีมนักออกแบบได้เลือกใช้เครื่องยนต์แบบเดิมแต่เปลี่ยนตำแหน่งติดตั้งมาเป็นบริเวณกลางท้ายตัวถังและหมุนมุมเพิ่มอีก 90 องศา ซึ่งถือว่าเป็นการปรับมุมจากครั้งแรกในรุ่น 350 GT ไปถึง 180 องศาเลยทีเดียว

ความท้าทายครั้งใหม่ เริ่มต้นขึ้นเมื่ออาวดี้ (Audi) ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในลัมโบร์กินี ซึ่งเจ้าของรายใหม่ตระหนักดีว่า
ลัมโบร์กินีต้องการรักษาอัตลักษณ์และความโดดเด่นระดับเอ็กซ์คลูซีฟเอาไว้ “นับตั้งแต่วันแรก อาวดี้เข้าใจดีว่าสิ่งใดที่สามารถร้องขอจากลัมโบร์กินีได้และสิ่งใดที่ขอไม่ได้ ซึ่งการเคารพความต้องการของกันและกันช่วยสร้างสมดุลให้ทั้งสองบริษัทสามารถพัฒนาผ่านการส่งเสริมจุดเด่นที่แตกต่างกันของทั้งคู่” เรจจิอานี กล่าว

จึงมีการใช้แนวทางที่แตกต่างเพื่อพัฒนาต่อยอดเครื่องยนต์ V12 จากเดิมที่พยายามเพิ่มกำลังเครื่องให้ได้สูงสุด ก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญในด้านประสิทธิภาพเชิงปริมาณเพื่อให้สอดคล้องตามกฎข้อบังคับที่เริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในรถยนต์ Murciélago ซึ่งเผยโฉมในปี 2001 ด้วยเครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.2 ลิตร ที่ให้กำลังเครื่อง 580 แรงม้า ต่อมาได้รับการอัพเดตในปี 2007 เป็นเครื่องยนต์ความจุ 6.5 ลิตร และมอบกำลังเครื่องได้อย่างน่าประทับใจถึง 670 แรงม้า นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ตัวรถเบางลงได้ถึง 100 กก. รวมถึงมีการอัพเกรดเครื่องยนต์
ในหลายๆ ด้าน อาทิ ดรายปั๊ม ซึ่งช่วยให้ลัมโบร์กินีสามารถลดระยะระหว่างเพลาข้อเหวี่ยงและด้านล่างของตัวรถ ช่วยปรับปรุงการบังคับรถให้ดียิ่งขึ้น 

โดยต้องยอมรับว่าการพัฒนาเครื่องยนต์ V12 ในรถยนต์ Murciélago ทำให้ลัมโบร์กินีค้นพบตำแหน่งที่ชัดเจนของตัวเองภายในอาณาจักรของอาวดี้ และยิ่งไปกว่านั้นการตัดสินใจออกแบบเครื่อง V12 ใหม่ทั้งหมด ทำให้ทีมนักออกแบบของลัมโบร์กินีสามารถตั้งเป้าหมายใหม่และสร้างประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  

Aventador จัดเป็นรถยนต์ที่ผลิตด้วยเครื่องยนต์รูปแบบใหม่ครั้งแรกภายใต้ร่มเงาของอาวดี้ ซึ่งคือรุ่นสุดท้ายของ
ลัมโบร์กินีที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ก่อนที่แบรนด์จะก้าวเข้าสู่ยุคเครื่องยนต์ไฮบริดในอีกไม่ช้า

เรจจิอานี กล่าวว่า สำหรับลัมโบร์กินี รถยนต์ Aventador เปรียบเสมือนการพิสูจน์ว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านกำลังเครื่อง น้ำหนัก ประสิทธิภาพ รวมถึงความทนทานที่ทางกลุ่มบริษัทต้องการจากเรา ซึ่งผลลัพธ์ก็เห็นได้ชัดเจน เพราะเราสามารถจำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้ได้มากเป็นสองเท่าจากที่คาดการณ์ในช่วงแรก และสิ่งนี้ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีถึงความสำเร็จของ Aventador

โดยเขายังกล่าวอีกว่า “เราตระหนักได้ว่าตลอดอายุของรถยนต์ Aventador จำเป็นต้องเพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างน้อย 10% ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก” จะเห็นได้จากเครื่องยนต์ของAventador ซึ่งเปิดตัวมาในปี 2011 มอบกำลังเครื่องยนต์ 690 แรงม้าที่ 8,250 รอบต่อนาที ด้วยความจุ 6.5 ลิตร ต่อมาได้ถูกปรับแต่งสำหรับใช้กับรถยนต์รุ่น LP 700-4 ในปี 2013, รุ่น LP 750-4 ในปี 2015, รุ่น Superveloce ในปี 2016 โดยในรุ่น SVJ ปี 2019 ได้เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ขึ้นเป็น 759 แรงม้า และในปี 2021 กับรุ่น Ultimae รถยนต์สำหรับท้องถนนรุ่นสุดท้ายในตระกูล Aventadorที่มาพร้อมกำลังเครื่องถึง 780 แรงม้า

ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุด
ในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

rhunrun เรียบเรียง

พาไปชมบรรยากาศ Lamborghini Bangkok Family Day ส่งมอบความสุขพร้อมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ลัมโบร์กินีให้เด็ก ๆ

เชื่อว่าวัยเด็กของทุกคนต้องมีไอเท็มชิ้นสำคัญที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและคุณค่าทางใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องมีรถยนต์ในฝันอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน เพื่อเปิดโลกแห่งจินตนาการอย่างไร้ขอบเขตและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมค้นหาแรงบันดาลใจให้แก่เด็กและเยาวชนที่ชื่นชอบและหลงใหลในยนตรกรรม 

บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย นำโดย อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ,ศักดิ์ นานา และ ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์ กรรมการ จัดงาน LAMBORGHINI BANGKOK FAMILY DAY ในชื่อ ‘GIORNO DELLA FAMIGLIA’ ซึ่งนอกจากจะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อร่วมฉลองเทศกาลวันเด็กแห่งชาติแล้ว มิชชั่นสำคัญในครั้งนี้คือการส่งมอบความสุข พร้อมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ลัมโบร์กินีให้เหล่าเด็ก ๆ ได้สัมผัสแบบเอ็กซ์คลูซีฟอีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่านับเป็นแบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์แบรนด์แรก ๆ ที่เล็งเห็นความสำคัญและพร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เหล่าเด็ก ๆ 

ภายในงานอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมสนุก ๆ ที่เสริมสร้างหลากทักษะมากมายที่เหล่าผู้บริหารมีความตั้งใจและคัดสรรมาให้    เด็ก ๆ  อาทิ สนุกสุดมันส์ไปกับกิจกรรมการจำลองวันส่งมอบรถลัมโบร์กินี, กิจกรรมเยี่ยมชมศูนย์บริการโดยผู้เชี่ยวชาญ  ที่ไม่เคยเปิดให้ใครเข้าชมมาก่อน, กิจกรรมออกแบบรถลัมโบร์กินีในฝันผ่านโปรแกรมพิเศษ Ad Personam, กิจกรรมสวมบทบาทเป็นนักแข่งรถรุ่นจิ๋วที่ให้เด็ก ๆ เรียนรู้การขับขี่อย่างสนุกสนานและปลอดภัย,  กิจกรรมขี่วัวกระทิงพยศ, กิจกรรมบ้านลมสุดหรรษา, กิจกรรมเพนต์หน้าแฟนซี และเพลิดเพลินไปกับเมนูอาหารคาวรสเลิศและขนมหวานแสนอร่อยตลอดทั้งงาน

ซึ่งความพิเศษในครั้งนี้นอกจากเจตนารมณ์ในการส่งมอบความสุขให้แก่ท่านเจ้าของรถลัมโบร์กินีและครอบครัวแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เหล่าเด็กและเยาวชนในพื้นที่เขตบางบอนและสายไหมร่วมงานด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการตอบแทนสังคมและสานฝันให้กับน้อง ๆ ได้มีโอกาสสัมผัสรถลัมโบร์กินี พร้อมเปิดประสบการณ์การเรียนรู้โลกแห่งซูเปอร์สปอร์ตคาร์  ซึ่งทั้งหมดจัดขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันโรคและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 ณ   โชว์รูม ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ ถ.วิภาวดีรังสิตโดยมีเหล่าเซเลบริตี้ ครอบครัวแฟนพันธุ์แท้กระทิงดุ รวมถึงเด็กและเยาวชนทั่วไป ร่วมงานกว่า 300 ท่าน

ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ล่าสุดได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

rhunrun เรียบเรียง

4 เหตุผลที่ทำให้ Aventador ยานยนตร์สุดไอคอนิกจาก Lamborghini เป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่น่าจับตาและหลายคนใฝ่ฟันจะครอบครองมาตลอด 10 ปี

อะไรคือความลับที่ส่งให้ซูเปอร์สปอร์ตคาร์อย่าง Aventador (อะเวนทาดอร์) กลายเป็นไอคอนนิคความแรงที่เป็นกระแสชั่วพริบตา ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์น่าจดจำให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วันนี้ลัมโบร์กินีพามาย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์ของ Aventador กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ V12 รุ่นนี้

1. อะเวนทาดอร์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้กับแบรนด์ลัมโบร์กินีได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน ในเวลาเพียง 9 ปี โดยอะเวนทาดอร์ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็มียอดจองมากกว่าจำนวนรถยนต์ V12 ที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตรวมกันทั้งหมดเสียอีก และนี่คือ Aventador คันไฮไลต์ในรอบทศวรรษที่คุณไม่ควรพลาด

  • ปี 2011 Aventador LP 700-4 ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค๊อกที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด เครื่องยนต์ V12 เจเนเรชั่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับอะเวนทาดอร์โดยเฉพาะด้วยกำลัง 700 แรงม้า และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญอย่างประตูแบบเปิดปีกนก
  • ปี 2012 ลัมโบร์กินีได้เปิดตัว Aventador Roadster ซึ่งเป็นอะเวนทาดอร์เปิดประทุนรุ่นแรก โดยที่หลังคารถแต่ละฝั่งถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาน้อยกว่า 6 กก. ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อการถอดเข้าออกที่สะดวก และในปีเดียวกันนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความโดดเด่นของอะเวนทาดอร์ ลัมโบร์กินีได้รังสรรค์อะเวนทาดอร์รุ่นพิเศษอย่าง Aventador J อะเวนทาดอร์ที่ถูกผลิตมาคันเดียวในโลก ถูกออกแบบตกแต่งภายนอกและภายในให้เข้ากัน โดยเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ลัมโบร์กินีเชี่ยวชาญ และสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่ารวมความเป็นที่สุดแห่งประสบการณ์ไว้ในรถคันนี้
  • ปี 2016 Aventador Miura Homage ซีรีส์พิเศษที่ผลิตเพื่อเป็นเกียรติให้กับซูเปอร์สปอร์ตคาร์ในตำนานอย่าง Miura ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี โดยสะท้อนจิตวิญญาณของ Miura ต้นแบบ ทั้งในแง่สีสันและฟีเจอร์ไว้อย่างครบครัน ผลิตจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ ลัมโบร์กินีได้ทำการปรับโฉมให้กับอะเวนทาดอร์ โดยใช้ชื่อ Aventador S ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สมรรถนะการขับขี่ และความสะดวกสบายในการใช้งานทุกวัน
  • ปี 2018 Aventador SVJ กับตำแหน่งราชันแห่ง Nürburgring – ถือเป็นสถิติใหม่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ SVJ ในฐานะรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดในสนามแข่งระดับโลกด้วยเวลาเพียง 6:44.97 นาที โดยผลิตออกมาเพียง 900 คัน ขณะที่สเปเชี่ยล อิดิชั่น อย่าง SVJ 63 ผลิตจำกัดเพียง 63 คันเท่านั้น เพื่อระลึกถึงการก่อตั้ง Lamborghini ในปี 1963 นั่นเอง โดยทั้ง 2 รุ่น ถูกออกแบบให้ใช้หลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงอย่าง ระบบ ALA  ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Lamborghini อีกด้วย
  • ปี 2019 Aventador S by Skyler Grey ถือเป็น one-off ที่สร้างสีสันให้กับงาน Monterey Car Week เลยก็ว่าได้ ผลงานคอลลาบอเรชั่นกับศิลปินดาวรุ่ง Skyler Grey ที่หลอมรวมศิลปะแห่งโลกยนตรกรรมและศิลปะแนวสตรีทอาร์ต ภายใต้คอนเซปต์ “splash-effect” ไว้ได้อย่างมีสไตล์ ที่สำคัญยังเป็น Lamborghini คันแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการรับรองและปกป้องในฐานะงานศิลปะอีกด้วย 

2. Lamborghini Aventador กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์อันยอดเยี่ยมในโลกแห่งจินตนาการ จะเห็นได้ว่าเป็นรถที่มาพร้อมกับฮีโร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์ฮอลลีวูด รถเครื่องยนต์ V12 นี้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ระดับโลกหลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งคู่หูของอัศวินรัตติกาล อย่าง Aventador ที่เป็น BatMobile ให้กับ Bruce Wayne ในภาพยนตร์ “The Dark Knight Rises” (2012) โดยรถที่นำมาเข้าฉากคือ Aventador LP 700-4 ที่มาพร้อมป้ายทะเบียนเมืองสุดเท่ห์อย่าง “Gotham – 649 8227″ อีกด้วย

3. Aventador ถือเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันแรกของ Lamborghini ที่ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีให้เลือกถึง 4 แบบ – STRADA, SPORT, CORSA และ EGO ซึ่งในโหมด EGO นี้เองที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าโปรไฟล์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ ณ ขณะนั้นมากที่สุด อาทิ ระบบส่งกำลัง (เครื่องยนต์, 4WD), การบังคับเลี้ยว และชุดควบคุมระบบช่วงล่าง Magneride adaptive ที่สามารถปรับระดับตามโหมดการขับขี่ในทุกสถานการณ์

4. แม้จะเดินทางมาถึงรหัสสุดท้ายของ Aventador แต่เชื่อเถอะว่า LP 780-4 Ultimae (แอลพี 780-4 อูลติเม) คือ Aventador ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถของ Lamborghini โดยคอนเซปต์หลักของรุ่นนี้คือการหลอมรวมสุดยอดสมรรถนะของ Aventador SVJ กับสไตล์ที่สง่างามเหนือกาลเวลาของ Aventador S ไว้ในหนึ่งเดียว

ร่วมสัมผัสความหรูหราโฉบเฉี่ยวของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

เรื่องเรียบเรียง rhunrun

ฉลองครบรอบ 50 ปียานยนต์ระดับตำนาน Lamborghini Countach เผยโฉมโมเดลใหม่ LPI 800-4 เป็นครั้งแรกของโลกที่งาน The Quail: A Motorsports Gathering

แม้ว่าจะล่วงเลยมากว่า 50 ปีแล้วก็ตาม นับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกของ Lamborghini Countach ในงาน Geneva International Motor Show แต่ดูเหมือนว่าตำนานที่ไม่เคยหลับใหลคันนี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจหลักในการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่ผลิตในโรงงาน Sant’Agata Bolognese มาจนถึงปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็น Aventador, Huracán, Sián, หรือแม้แต่ Urus ก็ล้วนหยิบเอาดีเอ็นเอคาแรคเตอร์บางอย่างของ Countach มาผสมผสานได้อย่างแยบยล

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 ยุคที่ขึ้นชื่อว่าเฟื่องฟูที่สุดสำหรับการออกแบบ – กระทิงดุอย่าง Countach ได้เผยโฉมอย่างสง่างามในดีไซน์ที่ล้ำสมัยแบบสุดขั้ว ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า ‘Countach’ ยังเป็นคำอุทานของภาษา Piedmontese หนึ่งในภาษาพื้นเมืองอิตาลี ที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจและความชื่นชมในบางสิ่งบางอย่างอีกด้วย

โดยในช่วงปีไล่เลี่ยกันนี้ ยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของหลากหลายเหตุการณ์ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบและครีเอทีฟทั่วโลก รวมถึงมีอิทธิพลต่อแนวคิดการออกแบบ Countach ของ Marcello Gandini อีกด้วย อาทิ การแข่งขันทางอวกาศเพื่อมวลมนุษยชาติ, การถือกำเนิดของเทคโนโลยีขั้นสูงที่กลายมาเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย, เทรนด์แฟชั่นที่เชื่อมโยงกับลวดลายเรขาคณิตและสีสันที่สดใส, การเข้าสู่ยุคเครื่องบินเจ็ต ที่สำคัญ Countach ยังเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง อย่าง Ferruccio Lamborghini ที่เชื่อมั่นตั้งแต่แรกเริ่มว่า การปฏิวัติวงการยานยนต์ ณ เวลานั้น ย่อมส่งอิทธิพลถึงสไตล์ของโมเดล Lamborghini ในอนาคต โดยเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Countach ที่ถ่ายทอดดีเอ็นเอมายังกระทิงดุรุ่นหลัง ๆ อาทิ ประตูแบบ Scissor Doors ซึ่งเป็น  ซิกเนเจอร์ของรถยนต์เครื่องยนต์ V12 ของค่ายลัมโบร์กินี และ Countach เป็นรถรุ่นแรกที่ใช้ประตูรูปแบบนี้ของแบรนด์อีกด้วย

เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีให้กับ Countach ในฐานะยนตรกรรมแห่งขบถที่ฉีกกรอบการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างไร้ที่ติ – Lamborghini ได้เผยโฉม Countach LPI 800-4 เป็นครั้งแรกของโลกที่งาน The Quail: A Motorsports Gathering โดยไอคอนนิคความแรงล่าสุดแห่งศตวรรษที่ 21 นี้ มาพร้อมตัวถังในโทนสีขาว Bianco Siderale ที่ซ่อนดีเทลสีฟ้ามุกไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญยังชวนให้นึกถึง Countach LP 400 S คันโปรดของ Ferruccio Lamborghini อีกด้วย ภายในตกแต่งด้วยเฉดสีแดง-ดำ ซึ่งแม้จะถูกปรับดีเทลให้ทันสมัยและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันมากขึ้น แต่แบรนด์กลับคงกลิ่นอายของ Countach ต้นแบบไว้ได้อย่างครบครัน อาทิ Square Motif บนเบาะที่นั่งสไตล์สปอร์ต โดย Countach LPI 800-4  มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดด้วยเครื่องยนต์ V12 ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์ไฟฟ้า 48V และระบบซูเปอร์คาปาซิเตอร์ที่ช่วยมอบพละกำลังสูงสุด 780 แรงม้าจากเครื่องยนต์ และ 34 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า

ซึ่งนอกจากสีที่เปิดตัวแล้ว เจ้าของ Countach LPI 800-4 รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น ยังสามารถปรับแต่งสีของรถตามสไตล์ของตนเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นสีที่สะท้อนความเป็น Heritage Style ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีแบบ Solid เช่น สีที่โดดเด่นอย่าง สีขาว Impact White และสีเขียว Verde Medio หรือหากเจ้าของรถต้องการสีที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น ก็ยังมีสีแบบเมทัลลิกให้เลือกตามชอบ เช่นสียอดนิยมอย่าง สีม่วง Viola Pasifae หรือ สีฟ้า Blu Uranus

โดยรุ่นพิเศษนี้ผลิตจำกัดเพียง 112 คันเท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อโปรเจกต์ ‘LP 112’ ที่ตั้งขึ้นในช่วงการพัฒนา Countach ตัวต้นแบบนั่นเอง

ร่วมสัมผัสความหรูหราโฉบเฉี่ยวของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

เรื่องเรียบเรียง  rhunrun 

บรรยากาศ Livestream แบบเรียลไทม์ส่งตรงจากอิตาลีเปิดตัว Lamborghini Huracán STO

อวดโฉมพร้อมกันทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อย ผ่านการ Livestream แบบเรียลไทม์ส่งตรงจากอิตาลี กับไอคอนนิคความแรงล่าสุดจากลัมโบร์กินี Lamborghini Huracán STO (ลัมโบร์กินี ฮูราแคน เอสทีโอ) จากสนามแข่งขันสู่ที่สุดแห่งยนตรกรรมบนท้องถนน

ที่ปรับแต่งให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของการขับรถแข่งในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง มาพร้อมเครื่องยนต์ v10 ที่ให้กำลังสูงสุด 640 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรในเวลาเพียง 3 วินาที เท่านั้นโดย อภิชาติ ลีนุตพงษ์ แห่ง เรนาสโซ มอเตอร์ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในไทย ได้จัดเอ็กซ์คลูซีฟ พรีวิว ปาร์ตี้ ส่งเทียบเชิญเหล่าสาวกกระทิงดุมาร่วมยลโฉมกันอย่างคับคั่ง

อภิชาติ ลีนุตพงษ์ แห่ง เรนาสโซ มอเตอร์ (ขวา)