Posts

Mr. Ewan Gunn – Diageo’s Global Whisky Brand Ambassador

Mr. Ewan Gunn (ยวน กันน์) ดำรงตำแหน่งวิสกี้แบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของดิอาจิโอ ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม รวมถึง Johnnie Walker Blue Label ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น เขาอยู่ในวงการสก็อตช์วิสกี้มานานถึง 24 ปี หลังจากเรียนจบด้านภาษาจากมหาวิทยาลัย ก็ผันตัวมาทำงานกับบริษัทวิสกี้เล็กๆ ที่ทำให้เขาได้ทดลองทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย การตลาด และประชาสัมพันธ์ จากการที่ยวนหลงใหลในสก็อตช์วิสกี้ เขาจึงมีความสุขมากที่ได้แบ่งปันความรู้ ส่วนผสมและเรื่องราวที่พิเศษเกี่ยวกับสก็อตช์วิสกี้ และประเทศสกอตแลนด์ให้ผู้คนได้รับรู้ โดยปัจจุบันได้มาร่วมงานกับดิอาจิโอเป็นเวลา 12 ปีแล้ว


สก็อตช์วิสกี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอาชีพของคนในสกอตแลนด์ เนื่องจากสกอตแลนด์เป็นอันดับหนึ่งของโลกในแง่ของสก็อตช์วิสกี้ แน่นอนว่าสก็อตช์วิสกี้ ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของชาวสกอตแลนด์ที่มีอยู่ราวๆ 5 ล้านคน บางหมู่บ้านที่มีคนอยู่ 50-100 คน เขาก็สร้างโรงกลั่นกันขึ้นมา โดยมีโรงกลั่นในสกอตแลนด์ทั้งหมดประมาณ 145 โรงกลั่น ขนาดเล็กใหญ่คละกันไป เรื่องขนาดของโรงกลั่นและการจ้างงานนั้น ยังขึ้นกับเกษตรกรที่ปลูกข้าวบาเลย์เพราะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสก็อตช์วิสกี้ ตลอดจนคู่ค้าในด้านอื่นๆ อย่างคนผลิต ทำขวด หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีหน้าที่ในการผสมสก็อตช์วิสกี้ ถือได้ว่าโรงกลั่นสก็อตช์วิสกี้ ครอบคลุมการจ้างงานในหลากหลายทักษะ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยการทำโรงกลั่น สก็อตช์วิสกี้ถือเป็นหนึ่งในอาชีพหลักที่เป็นอัตลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของสกอตแลนด์


การสืบทอดมรดกทางด้านวัฒนธรรม ทักษะจากรุ่นสู่รุ่น บางโรงกลั่นมีการสืบทอดกันมายาวนานถึง 240 ปี สำหรับโรงกลั่นที่เก่าที่สุด เพราะเหมือนเป็นธรรมเนียมในตระกูลที่สืบทอดต่อๆ กันมา โดยกระบวนการหลักในการผลิต ยังคงไว้ตามเดิม แต่วิธีในการเข้าไปจัดการ จะแตกต่างออกไป เช่น อาจจะมีเป็นแผงควบคุมเพื่อดูแลในเรื่องของสายการผลิต หรืออาจจะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนโรงกลั่น หรือการใช้ของเสียที่ได้จากโรงงาน เป็นพลังงานชีวภาพของโรงกลั่นนั้นๆ ถือเป็นการสนับสนุนให้โรงกลั่นอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสาน จะช่วยในแง่ของความยั่งยืนมากขึ้น โดยยังคงรสชาติดั้งเดิมและมรดกทางวัฒธรรมที่สืบทอดต่อๆ กันมา
Johnnie Walker เป็นแบรนด์ที่อยู่มายาวนานกว่า 200 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1820 ส่วน Johnnie Walker Blue Label เข้ามาร่วมพอร์ตโฟลิโอในปีค.ศ. 1992 และวางจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย โดย Johnnie Walker Blue Label นั้นมีความพิเศษ เริ่มตั้งแต่การคัดสรรส่วนผสมที่ประณีต โดยในถังบ่มจำนวน 10,000 ถัง มีเพียง 1 ถังเท่านั้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจนสามารถนำมาบรรจุลงในขวด Johnnie Walker Blue Label ได้ ซึ่งในสกอตแลนด์มีถังบ่มสก็อตช์วิสกี้รวมถึง 11 ล้านถังเพื่อคัดสรรนำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้


น้ำที่นำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้มาจากหลายลุ่มแม่น้ำจากทั้งสี่มุมเมืองของสกอตแลนด์ เป็นอีกหนึ่งความลงตัวของรสชาติสก็อตช์วิสกี้ของ Johnnie Walker Blue Label โดยส่วนผสมที่มาจากสเปย์ไซด์จะมีกลิ่นผลไม้ จากไฮแลนด์จะมีความหอมหวาน ส่วนเวสต์แลนด์มีจะกลิ่นควัน
สำหรับเทรนด์ทั่วโลกในปัจจุบัน ผู้คนนิยมดื่มสก็อตช์วิสกี้กับอาหาร เคล็ดลับคือ สามารถจับคู่เครื่องดื่มกับอาหารอย่างเหมาะสม เช่น อาหารรสชาติเผ็ด ก็ทานคู่กับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นควัน ส่วนอาหารรสชาติหวานหรือขนมหวาน ทานกับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นวนิลา โดยรสนิยมการดื่มของผู้คนมีพัฒนาการ โดยช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ผู้คนชอบที่จะดื่มอะไรที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดิอาจิโอจึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติที่สูงกว่ามาตรฐาน มีความละมุน นุ่มลึก


อีกสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ของ Johnnie Walker Blue Label นอกจากกลิ่นแล้วคือ texture ที่มีความ smooth และ creamy มากๆ แตกต่างจากสก็อตช์วิสกี้ตัวอื่นๆ โดยใน 1 แก้ว รสชาติที่สัมผัสจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ดื่มด่ำ สำหรับนักสะสม Johnnie Walker Blue Label มีหลากหลายรุ่นที่อยากจะแนะนำ เช่น รุ่น Ghost and Rare ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่หายากมากๆ เพราะนำส่วนผสมมาจากโรงกลั่นที่ปิดตัวลงไปแล้ว โดยมีบางที่ปิดไปแล้วถึง 30-40 ปี อย่าง Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Dundas ก็เป็นรุ่นแนะนำที่นักสะสมควรมีไว้ครอบครอง ความพิเศษคือเราไม่สามารถหารสชาติแบบนั้นได้อีกแล้ว เพราะเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปแล้วมาผลิต ทำให้ความรู้สึกตอนที่กำลังดื่มด่ำมันล้ำค่ามากๆ เป็นความรู้สึกที่มีได้แค่ครั้งเดียว ยังมี Johnnie Walker Blue Label อีกรุ่นหนึ่งคือ Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Ellen ซึ่งเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปตั้งแต่ปี 1980 หรือประมาณ 40 ปี มาทำเป็นสก็อตช์วิสกี้ ถือเป็นอีกหนึ่งคอลเลคชั่นที่ทรงคุณค่ามากๆ และมีรสชาติที่ยอดเยี่ยม


เรื่องหนึ่งที่คนชอบเรื่องขนบในการรับประทานอาหารยุคใหม่นิยมจะจับคู่อาหารกับเครื่องดื่ม (Food Pairing) แต่เดิมมักจะเข้าใจว่าวิสกี้ไม่สามารถนำมาจับคู่กับอาหารได้ แต่แท้จริงแล้วสก็อตช์วิสกี้อย่าง Johnnie Walker Blue Label สามารถเข้าได้กับอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสชาติหนักๆ อย่างเช่น สเต็ก บาร์บีคิว หรือรสชาติอาหารเบาๆ ที่มีรสตรงข้ามกันอย่าง แซลมอน หรือแม้แต่ขนมหวาน ได้แก่ ช็อกโกแลต เป็นต้น อีกทั้งสก็อตช์วิสกี้ยังช่วยดึงรสชาติในอาหารออกมา ทำให้เกิดรสชาติใหม่ๆ หรือแม้แต่อาหารก็สามารถไปเสริมรสชาติสก็อตช์วิสกี้ได้เช่นกัน
เมื่อพูดถึงวิธีการดื่มสก็อตช์วิสกี้ ให้ลองวางแก้วน้ำเย็นไว้ข้างๆ แก้วสก็อตช์วิสกี้ เริ่มจากการใช้น้ำเย็นดื่มล้างพาเลตต์ต่างๆ แล้วจึงค่อยดื่มสก็อตช์วิสกี้ตาม เพื่อเพิ่มความสดชื่น และการสัมผัสรสชาติที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น หรือบางคนเลือกที่จะหยดน้ำ 3-4 หยด ลงไปในแก้วสก็อตช์วิสกี้ เพื่อจะให้แอลกอฮอล์มีความเข้มข้นลดลง ทั้งยังช่วยดึงกลิ่นผลไม้ และมอบรสชาติใหม่ๆ ออกมา
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้สก็อตช์วิสกี้มีความพิเศษ คือไม่ใช่แค่น้ำที่นำมาผลิตเป็นสก็อตช์วิสกี้ต้องมีคุณภาพเท่านั้น แต่รสชาติและกลิ่นต้องมีความยอดเยี่ยม ลึกล้ำและซับซ้อน รวมถึงมีรสชาติหนักและเบาผสมผสานอย่างสมดุลกัน มีความลงตัวอย่างหาใครเทียบได้ยาก นอกเหนือจากนี้ ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา ดังนั้นกว่าจะมาเป็นสก็อตช์วิสกี้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่อยู่แค่ตัวสก็อตช์วิสกี้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกันด้วย
ในฐานะ Global Whisky Brand Ambassador ยวนเห็นด้วยและชื่นชมกับการที่ผู้คนนำ ผลิตภัณฑ์สก็อตช์วิสกี้ไปผสมเป็นเครื่องดื่มแบบค็อกเทล เพราะกว่าจะรังสรรค์ ให้เกิดรสชาติใหม่หรือเกิดเป็นเครื่องดื่มแก้วใหม่ ต้องใช้เวลาและทำให้เกิดความพิเศษมากจริงๆ อีกทั้งกลิ่นหรือรสที่เกิดเป็นค็อกเทลแก้วใหม่ ย่อมต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยเช่นกัน รวมถึงยวนอยากให้เห็นคุณค่าของบาร์เทนเดอร์ โดยสามารถมองผ่านเลนส์แบบเชฟที่มี ความสามารถอย่างเชฟระดับมิชลินสตาร์ เพราะอยากส่งเสริมวงการบาร์เทนเดอร์ ให้ยิ่งใหญ่เหมือนเชฟระดับโลกด้วยเช่นกัน

L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 กลับมาอีกครั้งกับอีเวนต์ยิ่งใหญ่แห่งปีที่มากด้วยสไตล์และความสนุกแบบไม่เหมือนใคร!

กลับมาอีกครั้งกับอีเวนต์ยิ่งใหญ่แห่งปี L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 ที่เหล่าบรรดาแขกรับเชิญสุดเอ็กซ์คลูซีฟจะร่วมทริปไปกับเราเป็นระยะเวลา 3 วัน 2 คืน โดยมีจุดหมายที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เราเดินทางกันด้วยคาราวานรถ MINI โดยมีไฮไลท์เด่นคือ MINI พลังงานสะอาดที่มาร่วมขบวนและล้อหมุนกันอย่างพร้อมเพรียงจากโชว์รูม MINI ที่เอกมัย และได้เดินทางมาถึงโรงแรม Sundance Dayclub Hua Hin โดยสวัสดิภาพ ตลอดระยะเวลาการเดินทางคาราวานของ MINI

หลังจากมาถึงโรงแรม Sundance Dayclub Hua Hin แขกคนพิเศษของงาน L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 ก็ได้รับการต้อนรับด้วย Welcome Drink และอาหารเที่ยงที่ทางโรงแรมจัดเป็นสำรับอาหารไทยโดยฝีมือของเชฟประจำของที่นี่ ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องพักของแต่ละท่าน และเตรียมกับกิจกรรมเต็มๆ ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืนของทริปนี้

ภายในห้องพักแขกคนพิเศษของงาน L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 จะมีเซอร์ไพร้สเป็นถุงของขวัญจากผู้สนับสนุนคนสำคัญของเราที่จะทำให้ทริปนี้ทั้งหรูหราและน่าประทับใจกว่าเดิม นอกเหนือจาก MINI ที่พวกเขาได้สัมผัสความเท่ ทันสมัยและความแรงของเครื่องยนต์ในช่วงเดินทางมาที่นี่แล้ว ยังมีมิติใหม่แห่งการปรนนิบัติผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวน้องใหม่แกะกล่องจากประเทศฝรั่งเศสอย่าง LaDrope ที่ช่วยให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายจากกลิ่นของผลิตภัณฑ์สำหรับการปรนนิบัติผิวจากฝรั่งเศส
โดยช่วงเย็นเร่ิมจากการเดินทางไปห้องอาหาร Oceanside beach club & restaurant โรงแรมพุทธรักษา หัวหินด้วยคาราวานรถ MINI ก่อนที่แสงสุดท้ายจะจากลา เรายังทันชมบรรยากาศริมหาดและความชิลของสถานที่ ถือเป็นอีกหนึ่งโมเม้นต์ที่ทุกคนประทับใจ ก่อนจะเริ่มรับประทานอาหารฝีมือเชฟที่ดีไซน์อาหารขุดพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ เมื่อได้ลองลิ้มอาหารสุดอร่อยนี้แล้วทุกคนก็พร้อมที่จะไปปาร์ตี้สไตล์ลอฟฟีเซียล ออมส์กันต่อ โดยจัดขึ้นที่ Sundance Dayclub Hua Hin


ค่ำคืนแรกเปิดปาร์ตี้ด้วยสองแรปเปอร์สุดฮ็อต ขันเงิน – ไทยเทเนียม และโต้ง – ทูพี เคล้าเครื่องดื่มสุดพิเศษจาก Johnnie Walker Gold Label ที่รังสรรค์มาเฉพาะสำหรับแขกคนสำคัญของลอฟฟีเซียล ออมส์เท่านั้นคืนนี้ยาวไปเลยครับสำหรับซิกเนเจอร์ปาร์ตี้สุดมันที่แขกคนสำคัญของ L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022
เพื่อให้สมศักดิ์ศรีงานปาร์ตี้ L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 ที่เต็มเหนี่ยวทั้งเรื่องปาร์ตี้ ดนตรี และงานศิลปะ ในงานนี้ เราได้ผลงานจากศิลปินดาวรุ่งพุ่งแรง Dee Sweetdrug มาเติมเต็มบรรยากาศของงานปาร์ตี้ให้สนุกสนานยิ่งกว่าที่เคย

เช้าวันต่อมาหลังที่ทุกคนได้ตื่นนอนอย่างสบายๆ กับหรีไทม์ตอนเช้ากับมื้อเช้าที่แขกทุกคนสามารถสั่งทางไลน์ก่อนที่จะมาถึงห้องอาหารเช้า โดยจะเลือกเวลาที่จะรับประทานมื้เช้าโดยสะดวกหรือจะสั่งให้เป็นรูมเซอร์วิสก็ได้ส่วนอาหารมื้อกลางวันก็เป็นอีกหนึ่งมื้อพิเศษ ณ Ob-Oon Patisserie & Boulangerie โรงแรมพุทธรักษา หัวหิน โดยจัดขุดอาหารสุดพิเศษมานำเสนอ โดยมีข้าวซอยเป็นจาตเด่น ร้านนี้เบเกอรี่สุดอร่อยเป็นที่กล่าวขวัญว่ามากัวหินต้องมาชิมให้ได้ โดยมีกิจกรรมยามบ่าย และปาร์ตี้ในค่ำคืนนี้

บ่ายๆ แดดเริ่มร่ม ลมเริ่มตก แขกสุดพิเศษของงาน L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 ก็อุ่นเครื่องความสนุกสนานแบบเบาๆ ก่อนปาร์ตี้จัดเต็มยามค่ำคืนด้วยพูลปาร์ตี้สุดเหวี่ยงริมสระ พร้อมปรนเปรอผิวหน้าให้สวยใสท้าแสงแดดด้วยผลิตภัณฑ์ La Drope ที่ส่งตรงจากกรุงปารีส ให้อะดรีนาลินหลั่ง และหน้าใสพร้อมปาร์ตี้จัดเต็มในคืนที่สองนี้ครับ
ดินเนอร์มื้อค่ำนี้สร้างสรรค์โดยเชฟของห้องอาหาร Sundance Lounge โรงแรม Sundance Dayclub Hua Hin  ปิดท้ายด้วยปาร์ตี้ส่งท้ายอีเวนต์สุดยิ่งใหญ่แห่งปีอย่าง L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 ด้วยเสียงเพราะๆ จากบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ศิลปินคนสำคัญแห่งวงการดนตรีไทย พร้อมเสิร์ฟความสนุกให้กับแขกคนพิเศษด้วยเครื่องดื่ม free flow รังสรรค์โดยทีมบาร์เทนเดอร์จาก Johnnie Walker Gold Label 


ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงของ L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 คงจะเหวี่ยงไปไม่สุดแน่ๆ ถ้าไม่ได้เครื่องดื่มสุดพิเศษจาก Johnnie Walker Gold Label ที่รับดูแลแขกคนสำคัญของอีเวนต์ไปตลอดทริปอันน่าประทับใจถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศการพักผ่อน(แบบเต็มเหนี่ยว)สไตล์ L’Officiel Hommes Privée Staycation 2022 ลองมาเช็คอินที่โรงแรม Sundance Dayclub Hua Hin ดู แล้วคุณจะรู้รสชาติความ stay+vacation ที่สมบูรณ์แบบที่สุด

rhunrun เรียบเรียง

Johnnie Walker เปิดตัววิสกี้ 4 ลิมิเต็ด เอดิชั่น ที่ผลิตขึ้นอย่างประณีตฉลองครบรอบ 200 ปี

Johnnie Walker จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เปิดตัววิสกี้ 4 ลิมิเต็ด เอดิชั่น ฉลองครบรอบ 200 ปี บอกเล่าเส้นทางความสำเร็จของ “จอห์น วอล์กเกอร์” ผู้ก่อตั้ง ที่สะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์

ด้วยก้าวย่างที่ไม่เคยหยุดนิ่ง กับการพัฒนาคุณภาพและรสชาติ พร้อมก้าวไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับคนรุ่นใหม่สู่โลกของสก๊อตช์ วิสกี้ สัมผัส “ลิมิเต็ด เอดิชั่น” สูตรพิเศษในวาระเฉลิมฉลองกับ “จอห์น วอล์กเกอร์ แอนด์ ซันส์ ไบเซนเทนนารี เบลนด์” “จอห์น วอล์กเกอร์ แอนด์ ซันส์ เซเลเบรทอรี เบลนด์” “จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิล เลเจนดารี เอท” และ “จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิล” ลิมิเต็ด เอดิชั่น ดีไซน์ รสชาติที่ผสมผสานซิงเกิล มอลต์ และวิสกี้จากธัญพืชหายากทั่วสก๊อตแลนด์ มีเพียง 1 ใน 10,000 ถัง ร่วมเฉลิมฉลองการเดินทางตลอด 2 ศตวรรษ พร้อมเปิดประตูสู่อีก 200 ปีข้างหน้ากับจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ไปด้วยกัน

#JohnnieWalker #KeepWalking