Posts

ตะลุยอาบูดาบีพร้อมดื่มด่ำไปกับธรรมชาติพร้อม เจมส์ จิรายุ Part 2

From Abu Dhabi with love: Part II

ถ้าเมื่อสักร้อยปีที่แล้วมีคนมาบอกว่า จะมีป่าขนาดย่อมๆ พร้อมสัตว์ป่าธรรมชาติเดินไปเดินมาบนเกาะกลางทะเลทรายแห่งหนึ่ง คงแทบจะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ แต่ในวันนี้ มันเป็นไปแล้วครับ

ดื่มด่ำกับธรรมชาติ

เกาะเซอร์บานิยาส (Sir Bani Yas Island) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ เคยเป็นเกาะเปล่าๆ ที่ไม่มีอะไรเลย แต่ชีคซาเยด (Sheikh Zayed bin Sultan Al Nahayan) หรือผู้ก่อตั้งประเทศได้ทรงดำริให้นำสัตว์ป่าและพืชแถบเขตร้อนเข้ามาขยายพันธุ์จนกลายมาเป็นจุดพักผ่อนเหมือนในปัจจุบัน

ระบบนิเวศน์บนเกาะนี้ได้รับการควบคุมอย่างระมัดระวัง สัตว์ทุกตัวจะมีการฝังไมโครชิพเพื่อคอยสอดส่องปริมาณ และความสมดุลระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่า เพื่อให้ระบบดำเนินไปได้ และทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราสามารถรู้ได้จากไมโครชิพว่าสัตว์ตัวไหนอยู่ตรงไหน และสามารถไปเยี่ยมชมได้ถึงตัว ถือเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากๆ เลยครับ

ถ้ามองว่าเกาะนี้เป็นเกาะใหม่ เพิ่งจะมีการพัฒนามาเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง ผมมองว่าเกาะนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะพัฒนาพื้นที่รกร้างให้มีประโยชน์ ผมคิดว่าพื้นที่ก็คงเหมือนกับมนุษย์นะครับ คงไม่มีใครอยากจะถูกมองว่าไม่เกิดประโยชน์หรอก ทุกคนก็คงอยากจะมีประโยชน์ทั้งนั้น คุณว่าไหมครับ

โต้คลื่นกลางทะเลทราย

สำหรับผู้ที่ชอบกิจกรรมสนุกๆ แบบต้องให้ออกแรงเสียเหงื่อกันบ้าง บนเกาะนี้เขาก็มีกีฬาที่เรียกว่า Land Surfing ให้เล่นสนุกๆ โดยมีหลักการเดียวกับเรือใบ คือใช้ ‘ใบเรือ’ และสายลมในการขับเคลื่อนตัวเรา เพียงแต่ ‘เรือใบ’ ลำนี้แล่นบนบกและมีสามล้อ บังคับไม่ยาก(เท่าไหร่)ครับ ต้องถือคันบังคับและปรับใบให้ปะทะกับลมในองศาที่ถูกต้อง แล้วตัวเรือสามล้อนี้จะทะยานไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อมากๆ ครับ และในจังหวะที่พุ่งไปเร็วๆ แบบนั้น นอกจากเลือดลมจะสูบฉีดให้ตื่นเต้นเล่นๆ แล้ว ผมรู้สึกว่าความเครียดในตัวพุ่งหายไปกับความเร็วเลยครับ สนุกมากเลยครับ

หลังจบวัน อากาศทะเลทรายจากร้อนระอุก็เปลี่ยนเป็นอากาศเย็นๆ สบาย ทะเลทรายตอนเย็นๆ นี่สวยโรแมนติกทีเดียวครับ เป็นทิวทัศน์ที่หาไม่ได้ในประเทศอื่น ผมก็ขอใช้เวลาเย็นๆ มีความสุขกับอาหาร กีตาร์ และอากาศของทริปนี้ ขอบอกเลยนะครับว่า ผมแอบหลงรักบรรยากาศของทะเลทรายจริงๆ ครับ ตอนกลางวันเป็นอีกแบบ ตอนกลางคืนเป็นอีกแบบ แต่จะยังไงก็เป็นเมืองที่มีเสน่ห์จริงๆ ครับ

ผ่านไปสองเล่มแล้วนะครับ เรายังไม่ได้ไปเยือนศาสนสถานสำคัญของประเทศกลางเมืองอาบูดาบีเลยครับ เล่มหน้าเตรียมพบกับสถาปัตยกรรมสุดอลังการพร้อมกับผมได้เลยครับ

How to Get There

การบินไทยมีเที่ยวบินตรงสู่เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทุกวัน (เมืองอาบูดาบีอยู่ห่างจากเมืองดูไบประมาณสองชั่วโมงโดยรถยนต์)

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.thaiairways.com

การเดินทางไปเกาะเซอร์บานิยาส ต้องนั่งรถไปที่เมืองท่ารูเวส (Ruwais) และต่อเรือเฟอร์รี่ของโรงแรม (บริการฟรี) ไปอีกประมาณ 40 นาทีถึงจะถึงเกาะ

 

Where to Stay

Anantara Al Sahel &Al Yamm Villa Resort

สำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราและความเป็นส่วนตัวถึงที่สุด โรงแรมนี้มีเพียงวิลล่าวิวทะเล 30 ห้องเพื่อให้แขกได้รับความเป็นส่วนตัวอย่างสูงที่สุด คุณสามารถดื่มด่ำกับชายหาดได้ทั้งวันแบบไม่มีใครรบกวน

www.sir-bani-yas-island.anantara.com

crome@anantara.com

Anantara Sir Bani Yas Island Al Sahel Villa Resort

ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของอุทยาน เป็นที่พักสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีวิลล่าสุดหรูเพียง 30 หลัง สร้างโดยดำริของชีคซาเยดที่ต้องการพัฒนาพื้นที่นี้ให้มีมูลค่า ตอนเย็นสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติพร้อมบาร์บีคิวที่ห้องอาหาร Savannah Grill ได้

www.sir-bani-yas-island.anantara.com

alsahel@anantara.com

Desert Island Resort & Spa by Anantara

โรงแรมระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่บนเกาะเซอร์บานิยาส ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนที่หรูหราแบบในเมือง มีห้องพัก ห้องสูท และวิลล่าทั้งหมดเพียง 64 ห้อง พร้อมวิวทะเลและสระว่ายน้ำขนาดยักษ์

www.sir-bani-yas-island.anantara.com

dirs@anantara.com

What to Know

-ชุดว่ายน้ำและกางเกงขาสั้นสามารถใส่ได้บริเวณริมชายหาด และสระว่ายน้ำของโรงแรมเท่านั้น

-ควรส่องสัตว์อย่างสุภาพ ไม่วิ่งไล่ หรือทำอันตรายสัตว์ป่า และห้ามให้อาหารโดยเด็ดขาด

– Land Surfing ต้องสวมหมวกและสนับป้องกันอย่างรัดกุม เพราะความเร็วและกระแสลมอาจทำให้บังคับยากและเกิดอุบัติเหตุได้

-การดื่มแอลกอฮอล์ในบาร์ของโรงแรมทำได้ แต่พึงระวังอย่าเอะอะหรือรบกวนคนอื่นจนเกินงาม

ตะลุยทะเลทรายไปกับเจมส์ จิรายุ

from Abu Dhabi with love: Part I 

จากทะเลทรายที่ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น สู่เมืองที่เต็มไปด้วยอารยธรรม ที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้ตามองได้เพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งสิ่งล้ำค่านั้นซ่อนอยู่ใต้ทรายสีทอง ซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมเพื่อรอใครสักคนที่ผ่านมา ซึมซับเสน่ห์นั่นจนไม่อยากจะจากไป

ความประทับใจแรก

ตั้งแต่เป็นเด็ก ความคิดในหัวที่จะมาเยือนทวีปตะวันออกกลางของผมต้องถือว่าเป็นศูนย์ แถมประเทศอย่างสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์นั้นก็เป็นประเทศที่ผมเพิ่งจะมารู้จักผ่านทางโซเชียล มีเดียเมื่อเร็วๆ นี้ เราอาจจะชินตาว่าประเทศนี้รวยมหาศาล มีเทคโนโลยีล้ำโลก และมีตึกสูงชนก้อนเมฆ แต่ไม่ใช่แค่นั้น

เครื่องบินของสายการบินไทยง้างล้อเพื่อรอแตะพื้น รอบตัวผมตอนนี้มีแต่เมืองที่แปลกตา สิ่งก่อสร้างต่างๆ ออกจะเป็นโทนเดียวกันคือสีออกครีมๆ จุดมุ่งหมายครั้งนี้ไม่ใช่เมืองหลวงดูไบ แต่เป็นเมืองอาบูดาบีที่ห่างออกไปประมาณสองชั่วโมง เสียดายที่ไม่ได้เห็นเมืองไฮเทคแสนล้ำนี่ ฝากไว้ก่อนนะ ดูไบ!! รอบหน้าจะมาหาให้หนำใจ

ปราสาทกลางทะเลทราย

ปราสาท Mirage Palace (ปัจจุบันได้ปรับเป็นโรงแรมหรูที่ชื่อว่า Qasr Al Sarab Desert Resort by Anantara) ตั้งอยู่กลางทะเลทรายตรงจุดที่เรียกว่า ‘ไม่มีอะไร’ จริงๆ เลยครับ เหมือนกับหลงทางกลางทะเลทรายมาเจอปราสาทตรงนี้เลยนะครับ ปราสาทนี้เกิดขึ้นเพราะชีคซาเยด ผู้ก่อตั้งประเทศตัดสินใจกลับมาพัฒนาดินแดนแถบนี้หลังก่อตั้งประเทศ เพราะเป็นดินแดนที่บรรพบุรุษของเขาอาศัยอยู่ และตอนนี้ก็กลายเป็นพื้นที่ที่สวยงามมากๆ กลางทะเลทราย ปราสาทหลังนี้สวยมาก อลังการมากเลยครับ มาเดินๆ อยู่แถวนี้นี่แอบคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายอาหรับสักองค์เลยครับ และเพื่อแก้เบื่อ ผมจะพาคุณผู้อ่านไปทำกิจกรรมที่เรียกว่า Dune Bashing คือ เค้าจะมีคนขับที่ถูกฝึกมาแล้ว ขับรถฉวัดเฉวียนไปบนเนินทราย กวาดเอาทรายขึ้นมาตลบฟุ้ง ตื่นเต้นมากเลยครับ และต่อด้วย Sandboarding อารมณ์ประมาณเล่นสโนว์บอร์ด แต่เปลี่ยนหิมะเป็นทรายแทนครับ ก็สนุกตื่นเต้นไปอีกแบบครับ

ความผูกพัน

สมัยก่อนประเทศจะก่อตั้ง ชนพื้นเมืองจะดักเหยี่ยวที่บินอพยพผ่านมา และนำมาฝึกให้เหยี่ยวช่วยล่าเหยื่อเพื่อเป็นอาหาร ซึ่งการฝึกเหยี่ยวให้ช่วยล่าสัตว์ได้นั้นจะต้องอาศัยความเชื่อใจกันระหว่างเหยี่ยวกับผู้ฝึกเป็นอย่างมากเลยนะครับ และเมื่อถึงหน้าหนาว สัญชาติญาณเหยี่ยวก็จะบินไปหาที่ที่อุ่นกว่า เขาก็จะปล่อยเหยี่ยวไปกับฝูง ซึ่งปีถัดมา บางครั้งเหยี่ยวที่บินอพยพกลับมาทางเดิมก็จะกลับมาหาเจ้าของ บางครั้งก็เอาครอบครัวกลับมาด้วย อะไรประมาณนี้ครับ เป็นเรื่องเล่าที่น่ารักดีนะครับ ผมว่าแต่ปัจจุบัน การฝึกเหยี่ยวเปลี่ยนเป็นกีฬาสำหรับคนรวยในประเทศ มีการตั้งองค์กรและสมาคมสำหรับควบคุมและเพาะพันธ์เหยี่ยวขึ้นมาโดยเฉพาะ (Emirates Bird Society) เพื่อจัดการและดูแลเรื่องเหยี่ยวทั้งหมด และรัฐบาลเองก็ร่วมมือกับองค์การ UNESCO จัดให้การเลี้ยงเหยี่ยวเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของประเทศไปแล้วนะครับนับเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่สนุกมากๆ เลยนะครับสำหรับผม แต่นี่ยังเพิ่งจะเริ่มเท่านั้นนะครับ เล่มหน้าผมจะพาไปทำกิจกรรมสนุกๆ แบบที่คุณผู้อ่านจะไม่เชื่อเลยครับว่ามีกิจกรรมแบบนี้อยู่ในเมืองนี้ แล้วรอติดตามกันด้วยนะครับ

How to Get There

การบินไทยมีเที่ยวบินตรงสู่เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทุกวัน รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.thaiairways.com (เมืองอาบูดาบีอยู่ห่างจากเมืองดูไบประมาณสองชั่วโมงโดยรถยนต์) อัลซารับอยู่ห่างจากเมืองอาบูดาบีประมาณสามชั่วโมงโดยรถยนต์ ถนนราดยางขับรถไม่ยากมาก แต่ด้วยความเวิ้งว้างของทะเลทราย ควรเดินทางไปกับคนท้องถิ่น หรืออย่างน้อยก็คนที่รู้จักเส้นทางบ้าง ไม่ควรเดินทางไปคนเดียว

Where to Stay

Qasr Al Sarab Desert Resort by Anantara ใจกลางทะเลทรายที่เคยเป็น Mirage Palace หรือวังเก่าของชีคผู้ปกครองสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บัดนี้ตึกหลังงามได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มาเป็นโรงแรมสุดหรูขนาด 206 ห้อง ผู้เข้าพักจะรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงและเจ้าชายท่ามกลางสถาปัตยกรรม  อันงดงามและทะเลทรายต้องมนตร์ นอกจากนั้นคุณยังสามารถเข้าชมการเลี้ยงเหยี่ยว และกิจกรรมสนุกๆ กลางทะเลทรายได้แบบไม่กลัวเหงาเลยทีเดียว www.qasralsarab.anantara.com / Email: crome@anantara.com

What to Know

อุณหภูมิกลางวันและกลางคืนของทะเลทรายต่างกันมากควรเตรียมเสื้อผ้าพร้อมรับความหนาวของทะเลทรายยามค่ำคืนด้วยเมื่อออกไปอยู่กลางทะเลทรายตอนกลางวัน ควรสวมเสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ และปิดปากปิดจมูกกันทรายเข้าด้วยการเล่นกับเหยี่ยวต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด สุนัข ม้า และอูฐเป็นสัตว์ที่เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่ก็ไม่ควรบุ่มบ่าม หรือเอะอะเสียงดังจนเกินไป

รวมภาพบรรยากาศเจมส์ จิรายุ บรรณาธิการรับเชิญชองเราเดินทางไปตะลุยอาบูดาบี

Stay tuned with L’Optimum Thailand
ใครเดาได้บ้างว่าเจมส์กำลังเดินทางไปไหน? ติดตามภาระกิจของเจมส์ในต่างแดนทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวได้ทางลอปติมัม ไทยแลนด์ ที่นี่ ที่เดียว

First Meal in Abu Dhabi
หลังจากเดินทางมาประมาณ 6 ชั่วโมง เรามาเช็คอินกันที่ Eastern Mangroves Hotel & Spa By Anantara พักผ่อนเติมพลังก่อนจะไปตะลุยดินแดนทะเลทรายในวันพรุ่งนี้

เดินสำรวจโรงแรม Eastern Mangroves Hotel & Spa ยามสายๆ ก่อนที่จะไปเที่ยวอีกสองที่ในวันนี้ จะเป็นที่ไหนบ้างนั้น โปรดติดตามครับ

ที่แรกเรามากันที่ Sheikh Zayed Mosque หรือ Grand Mosque เป็นมัสยิดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแลนด์มาร์กของเมืองและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

วันนี้ เจมส์-จิรายุ ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจบนเรือสปีดโบ๊ต เพื่อมุ่งหน้ามาเข้าพักที่โรงแรม Desert Island Resort& Spa by Anantara พร้อมขอตัวทำสปาและทานอาหารมื้อพิเศษ ก่อนเตรียมตะลุยกับกิจกรรมสนุกๆที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น

หากคิดว่าอะบูดาบีมีทะเลทรายคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะทริปนี้ เจมส์-จิรายุ พาแฟนลอปติมัมออกท่องซาฟารี ณ Sir Bani Yas Island ซึ่งถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งถูกตั้งชื่อตามชนเผ่าบานิยาส์ที่เคยอาศัยเมื่อ 250 ปีที่แล้ว โดยมีกิจกรรมส่องสัตว์ เป็นหนึ่งในไฮไลท์ ตามรอยที่ชีคซาเยดทรงดำริให้นำสัตว์ป่าและพืชพรรณต่างๆมาปรับปรุงพื้นที่เพื่อเรียกนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

เสร็จสิ้นภาระกิจไปอีกหนึ่งวัน กลับมาพักผ่อนกินข้าวที่โรงแรม Desert Island Resort & Spa by Anantara เตรียมตัวลุยภารกิจต่อไปครับผม

ปิดท้ายด้วยกิจกรรมยามเย็นของวันนี้ Land Sailing ท่ามกลางทะเลทราย และอย่าลืมติดตามบรรยากาศสุดสนุกต่อในวันพรุ่งนี้ครับ

Qasr Al Sarab Desert Resort by Anantara
ใจกลางทะเลทรายที่เคยเป็น Mirage Palace หรือวังเก่าของชีคผู้ปกครองสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บัดนี้ตึกหลังงามได้ถูกปรับเปลี่ยนให้มาเป็นโรงแรมสุดหรูขนาด 206 ห้อง ผู้เข้าพักจะรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงและเจ้าชายท่ามกลางสถาปัตยกรรมอันงดงามและทะเลทรายต้องมนตร์ นอกจากนั้นคุณยังสามารถเข้าชมการเลี้ยงเหยี่ยว และกิจกรรมสนุกๆ กลางทะเลทรายได้แบบไม่กลัวเหงาเลยทีเดียว

วันนี้เรามาตะลุยทะเลทรายอันแสนระอุกับกิจกรรมสนุกๆ อย่าง Dune Bashing หรือขับรถตะลุยทะเลทราย ต่อด้วย Sand Skateboard หรือลุยเนินทรายบนสเก็ตบอร์ด ที่งานนี้บอกได้เลยว่าเจมส์-จิรายุ บรรณาธิการรับเชิญของเรานี่สนุกจนลืมร้อนเลยทีเดียว

Falcon Show & Camel Trek
วันนี้เรามาดูโชว์เหยี่ยวและขี่อูฐชมทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลทราย อดใจรอภาพเคลื่อนไหวกันด้วยนะครับ!

ก่อนจะจบทริปนี้ คืนสุดท้ายเรายังอยู่ที่ Anantara Qasr Al Sarab Desert Resort พักผ่อนพร้อมกับกินอาหารต้นตำหรับชิลๆ เราขอขอบคุณทุกเสียงเชียร์และกำลังใจที่คอยติดตามผลงานของเจมส์ในฐานะบรรณาธิการรับเชิญคอลัมน์ Journey นิตยสาร L’Optimum Thailand ไว้เจอกับเจมส์ได้ใหม่โอกาสหน้า ขอบคุณครับ

เมื่อโชคชะตาชักพาให้ เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข ได้มาร่วมงานกับดีไซเนอร์ระดับตำนาน Yohji Yamamoto

Fashion Moment: JamesJi as the First Thai Star to Walk in Paris Fashion Week 2016

ภาพที่เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข ดาราหนุ่มชื่อดังจากประเทศไทย สวมใส่เครื่องแต่งกายสีดำสนิทจากฝีมือของโยจิ ยามาโมโตะ (Yohji Yamamoto) เดินออกมาบนรันเวย์คอลเลกชั่นดูหนาว 2016/2017 ถือเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ทางแฟชั่นที่สื่อทุกแขนงแข่งกันรายงานทั้งในอินสตาแกรมและสื่อดิจิตอลอื่น ๆ

Back Stage_4326

หลายคนอาจสงสัยว่า ‘เจมส์จิ’ จับพลัดจับผลูไปเดินแบบให้กับ ‘โยจิ’ นักออกแบบรุ่นเก๋าระดับตำนานได้อย่างไร และ ‘โยจิ’ เห็นอะไรในตัวดาราดังที่มักมีภาพจำเป็นหนุ่มน้อยมากความสามารถผู้มีบุคลิกร่าเริงสดใส ขัดกับความดุดันและเงียบขรึมซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของห้องเสื้อโยจิ ยามาโมโตะ

Back Stage_8259

นิตยสารลอปติมัมในฐานะผู้สนับสนุนหลัก นอกจากจะเก็บภาพการเดินทางและภาพเบื้องหลังของภารกิจนี้ เรายังไปสืบเสาะหาข้อมูลเพื่อร้อยเรียงเรื่องราวทั้งหมดมาเล่าให้คุณฟัง เพื่อช่วยให้คุณทำความเข้าใจปรากฏการณ์แฟชั่นที่เพิ่งเกิดขึ้นไปอย่างไม่ทันตั้งตัว !

Back Stage_1668

เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจมส์เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อเซ็นสัญญากับค่ายเพลงยูนิเวอแซล มิวสิก เจแปน (Universal Music Japan)

IMG_0024

เป็น ‘ความบังเอิญ’ เมื่อเจมส์ใช้เวลาว่างจากงานแวะไปดูเสื้อผ้าของโยจิ ยามาโมโตะที่ร้านสาขาถนนโอโมเตะซันโด (Omotesando) และเป็น ‘ความบังเอิญ’ เมื่อระหว่างที่เจมส์กำลังเลือกดูเสื้อผ้าอยู่นั้น โยจิ ยามาโมโตะเจ้าของห้องเสื้ออันเป็นตำนาน เปิดประตูร้านเข้ามา

Back Stage_4419

ระยะเวลาสั้น ๆ ของบทสนทนาระหว่างเจมส์จิ และโยจินั้นเพียงพอให้โยจิ ยามาโมโตะ นักออกแบบผู้มักเรียกตัวเองว่าช่างตัดเสื้อ นักออกแบบผู้เต็มไปความคิด มุมมอง อันลุ่มลึกและดุดัน ตัดสินใจเลือกเจมส์จิเป็นหนึ่งในนายแบบที่จะสวมใส่เสื้อผ้าของเขาเพื่อแสดงต่อสื่อและสาธารณะชนในคอลเลกชั่นฤดูหนาว 2016/2017 ณ กรุงปารีส

Back Stage_2083

อิทธิพลของโยจิ ยามาโมโตะนั้นเป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล เขาคือหนึ่งในกลุ่มนักออกแบบชาวญี่ปุ่นที่พังปราการอนุรักษ์นิยมของวงการเสื้อผ้า ที่ในขณะนั้นขับเคลื่อนด้วยนักออกแบบชาวตะวันตก คอลเลกชั่นแรกของโยจิ ยามาโมโตะซึ่งจัดแสดง ณ กรุงปารีสในปี พ.ศ. 2524 สร้างความฮือฮาให้กับวงการเสื้อผ้า เกิดเป็นปรากฏการณ์ทางศิลปะเมื่อเขาสะท้อนแนวความคิดแบบรื้อสร้าง (Decontructionism) ผ่านการทำลายกฏดั้งเดิมของแพทเทิร์นเพื่อนำเสนอเสื้อผ้าที่มีโครงสร้างหลวม และใช้สีดำเป็นหลัก ภายหลังโยจิเฉลยว่า สิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากการที่เขาเติบโตมาในยุคหลังฮิโรชิมา (Post-Hiroshima) หรือยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกใส่พลเรือนญี่ปุ่นในเมืองฮิโรชิม่าเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ปี พ.ศ. 2488 จนก่อให้เกิดความโศกเศร้าแก่มวลมนุษยชาติ

Back Stage_221

48 ปีหลังจากเหตุการณ์นั้น เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุขลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปี พ.ศ. 2536 เจมส์จิก้าวเข้าสู่วงการผ่านการค้นพบของปิ๊ก-ฌาณฉลาด ทวีทรัพย์ ด้วยบทบาทแรก คือ หม่อมราชวงศ์พุฒิภัทร จุฑาเทพ ในละครชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ฉายเมื่อปี พ.ศ. 2556 ดาราหนุ่มวัย 19 ปีสร้างความฮือฮาให้หมู่ผู้ชมด้วยฝีมือการแสดงที่เป็นธรรมชาติและบุคลิกรอยยิ้มที่สดใส ขี้เล่น เจมส์จิประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่หยุดพัฒนาความสามารถ เขาเองได้ไปฝึกฝนทักษะด้านการร้องเพลง เต้น และแสดงละครทั้งที่ประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่น

Back Stage_7638

35 ปีหลังจากคอลเลกชั่นแรกของโยจิ ณ กรุงปารีส 3 ปี หลังจากละครชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพที่เจมส์จินำแสดงออกฉาย ในค่ำวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559 เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุขกลายเป็นดาราไทย ‘คนแรก’ ที่ได้ร่วมเดินแบบ ในปารีสแฟชั่นวีค ณ กรุงปารีส เมืองหลวงที่ได้ชื่อว่า เป็นศูนย์กลางของวงการเสื้อผ้ามาหลายร้อยปี ความร่วมมือระหว่างสองขั้วแห่งวงการนำเสนอความแปลกใหม่ให้กับห้องเสื้อระดับตำนาน และแสดงให้เราเห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ของดาราหนุ่มผู้นี้

Back Stage_2614

สำหรับลอปติมัมเอง เจมส์จิเคยปรากฏกายในฐานะ The Boy Wonder หรือหนุ่มมหัศจรรย์ ลงปกฉบับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อเราทราบข่าวคราวการร่วมมือกันในครั้งนี้ ลอปติมัมจึงไม่รอช้าที่จะช่วยวางแผนการเดินทางทั้งหมด พร้อมจัดทีมผู้เชี่ยวชาญอย่างก้อง-กฤษฏิ์ จิระเกียรติวัฒนา ช่างทำผมชื่อดังเพื่อช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมตลอดการเดินทาง อีกทั้งยังมีช่างภาพที่จะคอยเก็บภาพทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นยามว่างในกรุงปารีส หรือเบื้องหลังการแสดงแฟชั่นโชว์อันเป็นตำนานครั้งนี้

แน่นอนว่า ความร่วมมือระหว่างเจมส์จิและโยจิ จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ส่วนจะมีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกนั้น คงบอกได้เพียงว่า รอติดตามกันต่อไป

Content by Editorial Team, Photography by Ekaphop Duangkham