Posts

Lenny Kravitz : The Artist.

Lenny Kravitz นักดนตรีร็อคแนวหน้าที่ก้าวข้ามผ่าน สไตล์ เชื้อชาติ และชนชั้นตลอดเส้นทางอาชีพนักดนตรีกว่าสามทศวรรษ ผู้หลงใหลในจิตวิญญาณร็อค เป็นผู้เขียนบท โปรดิวเซอร์ และสร้างสถิติเป็นผู้ชนะ Grammy® Awards มากที่สุดในสาขา”การแสดงเพลงร็อกชายยอดเยี่ยม” เรามาทำความรู้จักกับเขากับจากการที่เขาได้ร่วมงานกับ Jaeger-LeCoultre และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของศิลปินมากความสามารถท่านนี้


นอกจากสตูดิโออัลบั้ม 11 ของเขาที่ทำยอดขายได้ 40 ล้านแผ่นทั่วโลกแล้ว ศิลปินหลากมิติผู้นี้ยังมีผลงานภาพยนตร์ โดยแสดงเป็น Cinna ใน The Hunger Games และ The Hunger Games: Catching Fire คราวิตซ์ยังแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Precious และ The Butler
Kravitz Design InC. บริษัทสร้างสรรด์ของเขานำเสนอผลงานที่น่าประทับใจเกี่ยวกับการลงทุนที่น่าจดจำ ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์โรงแรม โครงการคอนโดมิเนียม ที่พักอาศัยส่วนตัว และแบรนด์ระดับไฮเอนด์ระดับตำนานอย่าง Rolex, Leica และ Dom Perignon ในปี 2022 เขาได้เปิดตัวแบรนด์เดรื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพรีเมียมของตัวเองอย่าง Nocheluna Sotol
เขายังได้รับการยอมรับจาก CFDA ในปี 2022 ด้วยรางวัล “Fashion Icon Award” จากการเป็นผู้มีอิทธิพลทางแฟชั่นที่สำคัญอีกด้วยคราวิตซ์ ยังเป็นผู้เขียน Flash หนังสือที่นำเสนอภาพถ่ายหินที่ไม่เหมือนใคร ส่วนบันทึกความทรงจำล่าสุดของเขา Let Love Rule ติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times
Lenny เปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดที 11 ชื่ออัลบัมว่า Raise Vibration ในปี 2018 ปัจจุบันเขาทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์และภาพลักษณ์ระดับโลกให้กับ YSL Beauty’s Y cologne ล่าสุดเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็น Hollywood Walk of Fame ประจำปี 2023
มาทำความรู้จักตัวเขาให้มากขึ้น จากการได้พูดคุยกับเขาในการร่วมงานกับ Jaeger-LeCoultre

คุณค้นพบแรงบันดาลใจได้จากที่ไหน ?
แรงบันดาลใจของผมเกิดจากการดำเนินชีวิต ทุกๆแง่มุมของมัน ชีวิตไม่เคยหยุดยั้งการเสริมสร้างจิตนาการต่างๆให้กับผม

อะไรจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของคุณ โดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือคุณพยายามสร้างมันขึ้นมา ?
ความคิดสร้างสรรค์ของผมเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ ผมพยายามไม่เข้าไปก่าวกายและปล่อยให้มันไหลลื่นเสียมากกว่า ฉะนั้นในหลายๆครั้งผมฝันถึงเพลงของผม ความคิดสร้างสรรค์ของผม หลังจากนั้นก็นำมาปรับใช้ ทำให้เกิดขึ้นจริง มันค่อยข้างจะเป็นอะไรที่บริสุทธิ์มาก ปราศจากความพยายามตัดสินใดๆ

ปกติคุณใช้เวลานานเท่าไหร่ในการแต่งเพลงเพลงหนึ่ง และเจออุปสรรคอะไรบ้างไหม ?
ผมสามารถเขียนเพลงเพลงนึงขึ้นมาได้ภายใน 5 นาทีถึง 5 สัปดาห์ ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร โดยปกติมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วมาก ผมเคยมีอุปสรรคในการเขียนเพลงตอนผมกำลังทำงานในอัลบัมแรกของตัวเอง ช่วงระหว่างบันทึกเทปอยู่นั้น มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเสียทีเดียว แต่มันแค่ช่วงเวลาในตอนนั้นที่ผมต้องการความเงียบสงบขึ้นมาในใจ ต้องการการอยู่นิ่งๆไม่เคลื่อนไหวเพื่อฟังสิ่งที่ตัวผมเองกำลังจะสื่อออกไป บางครั้งคนเราแค่ต้องการเวลาที่สงบเงียบ

คุณเคยมีที่ปรึกษา(mentor) หรือไม่ ?
เคยครับ คุณตาของผมเอง Albert Roker ท่านเคยเป็นที่ปรึกษาและปัจจุบันก็ยังอยู่ในใจผมตลอดเวลา

คุณเคยเป็นที่ปรึกษา (mentor) ให้ใครหรือไม่ ?
เคยครับ ผมเคยเป็นที่ปรึกษา (mentor) ให้กับนักดนตรีที่เด็กกว่าไปจนถึงเด็กๆ โดยเฉพาะที่เครือรัฐบาฮามาส (The Bahamas) ที่ที่ผมอาศัยอยู่ และมันเป็นอะไรที่น่าสนใจและสุขใจอย่างมากที่ได้ไปที่นั่น

คุณเป็นแนวหน้าในวงการเพลงมาเป็นเวลานานและยังได้มีโอกาสทำงานด้านแฟชั่นอื่นๆด้วย อะไรคือสิ่งที่คุณชื่นชอบมากที่สุด ?
สิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

จากผลงานอันแสนพิเศษทั้งหมดของคุณ คุณภูมิใจกับผลงานชิ้นใดมากที่สุด สิ่งนั้นคือเพลง ภาพยนตร์หรือโปรเจกต์ไหนที่คุณรู้สึกภูมิใจในตนเองมากที่สุด ?
ผมเป็นคนที่ไม่ตัดสินว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดีกว่าอีกสิ่งหนึ่ง ทุกสิ่งเป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็น แต่แน่นอนมันจะต้องมีช่วงเวลาอันแสนพิเศษ ผมหมายถึงว่า ในช่วงที่ผมทำอัลบัมแรกของตนเองนั้น มันพิเศษมากๆ อัลบัมแรกของผม Let Love Rule คือจุดเริ่มต้นของผมและเป็นแนวทางการทำงานของผมมาจนถึงทุกวันนี้

คุณมีเพลงโปรดจากผลงานของตัวเองหรือไม่ ?
เพลงโปรดของผม…คำถามนี้ยาก Thinking of You คือหนึ่งในนั้นแน่นอนเพราะมันคือเพลงที่ผมแต่งให้แม่ของผมหลังจากที่เธอจากผมไป

คุณมีสิ่งใดที่คุณรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยากและคุณจำเป็นจะต้องทำมันหรือไม่ ?
ผมต้องทำงานกับความอดทน ทำทุกอย่างให้ช้าลงและรอคอย ผมชอบการทำทุกอย่างพร้อมๆกันและผมไม่อยากหยุด แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นผมเรียนรู้ที่จะอดทน รอคอย และอยู่จุดศุนย์กลางของความอดทนนั้น สิ่งที่คือสิ่งที่ผมฝึกปฏิบัติอยู่

คุณมีพิธีการใดที่คุณต้องทำก่อนขึ้นเวทีหรือไม่ ?
ก็ไม่ถึงขนาดนั้น พิธีการของผมคือการรู้สึกตัว ต้องรู้สึกพร้อม เมื่อผมรู้สึกพร้อม เมื่อวงของเราผ่านการซ้อมมาอย่างเพียงพอ นั่นคือสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับผมว่าผมสามารถจะแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุดเพราะผมพร้อมแล้ว ดังนั้นมันคือแค่ช่วงเวลาสั้นๆในการอยู่เงียบๆก่อนขึ้นแสดง จากนั้นผมจะเดินผ่านอุโมงค์เพื่อขึ้นไปบนเวทีและทำการแสดง

คุณจะนิยามตนเองว่าอย่างไร ?
ผมคือศิลปิน

คุณประสบความสำเร็จอย่างมากในบทบาทของนักดนตรี นักร้อง นักแสดง นักออกแบบ และช่างภาพ มีพรสวรรค์ใดของคุณที่ยังไม่ได้โชว์ให้โลกเห็นหรือไม่ ?
ผมอยากวาดภาพ มันจะเป็นสิ่งต่อไปที่ผมจะทำ และกีฬาโต้คลื่น (surfing)

คุณวางแพลนอะไรไว้ในปีหน้า ? อัลบัมใหม่ ? การทัวร์คอนเสิร์ต ?
แน่นอนครับ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาในขณะที่ผมกำลังท่องโลก ผมวางแผนที่จะปล่อยเพลงใหม่ที่ผมได้อัดไว้ในช่วงสามปีที่ผ่านมาและออกเดินทางไปกับเสียงเพลงเหล่านั้นพร้อมกับดื่มด่ำเสียงดนตรีในชีวิต

อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับคุณและคุณอยากจะสอนให้กับเด็กๆรุ่นต่อไป ?
ความรัก. ความรักและความรักที่มากขึ้น 

คุณคือนักสะสมนาฬิกา ช่วยบอกได้ไหมว่าจุดเริ่มต้นของความชอบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ?
ผมคิดว่าความชอบนี้เกิดขึ้นก่อนผมจะรู้จักสิ่งนี่ด้วยซ้ำ จุดเริ่มต้นจริงๆมากจากคุณพ่อที่สะสมและมีนาฬิกามากมายในยุค 70s ที่ผมเคยเห็นและได้สัมผัสมาก่อน ณ ตอนนั้นผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ แต่ก็มีโอกาสได้ลองกดปุ่มต่างๆเล่นดู นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นมาจากตอนผมยังเด็ก 

การผลิตนาฬิกาและเสียงดนตรีนั้นมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่เห็น ทั้งเสียงจังหวะติ๊กต่อกของเข็มนาฬิกา เสียงฆ้องระฆังของกลไกการบอกเวลาด้วยเสียง หรือการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆของนาฬิกา อะไรคือสิ่งที่คุณสนใจมากที่สุดกับการผลิตนาฬิกานื้ ?
ความแม่นยำและงานฝีมือครับ 

และอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในนาฬิกาสำหรับคุณ ?
ก็ต้องเป็นกลไกแน่นอนครับ แต่รูปลักษณ์ของนาฬิกาก็มีผลเช่นเดียวกัน มองแล้วชอบหรือเปล่า สวมใส่บนข้อมือแล้วเหมาะหรือไม่ มันสำคัญมากเลยนะครับที่เราต้องใส่แล้วมีความรู้สึกสัมพันธ์และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา 

คุณเลือกที่จะใส่ Reverso ยังไง ? และคุณจะพลิกหน้าปัดด้วยเหตุผลใด ?
สิ่งที่ง่ายที่สุดในการอธิบายให้เห็นภาพคือ ผมใส่ในทุกๆวันครับ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงความมั่นใจในตัวผมตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่เกิดขึ้น Reverso คือส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว ผมจะพลิกหน้าปัดทุกครั้งที่ผมอยากจะพลิกมัน เป็นอีกสิ่งที่สามารถสื่อออกมาได้ผ่านนาฬิกาเรือนนี้ ความรู้สึกคุณเปลี่ยน อารมณ์คุณเปลี่ยน คุณก็แค่พลิกหน้าปัดคุณจะรู้สึกเหมือนได้พบเจอสิ่งใหม่ อารมณ์ใหม่

แล้วโอกาสไหนที่คุณเลือกจะสวมล่ะ ? 

โดยปกติจะใส่เวลาอยู่ในเมืองครับ เพราะเวลาผมอยู่ที่เกาะ ผมไม่ได้คิดถึงเวลาด้วยซ้ำ แต่เมื่อกลับมาอยู่ในเมือง เวลาที่ผมต้องทำงานและเจอผู้คนมากมาย มีหลายอย่างที่ต้องทำ ฉะนั้นผมจึงเลือกสวมนาฬิกา

อะไรคือสิ่งที่เจเกอร์-เลอคูลทร์แสดงออกมาให้คุณเห็น ?
แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดในทุกสิ่งครับ ทั้งงานฝีมือที่เป็นที่สุด งานออกแบบที่สวยที่สุด และการสร้างกลไกที่เยี่ยมยอดที่สุดครับ 

นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้จักกับอาร์ติสท์อย่างเขาคนนี้มากขึ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ากาลเวลาทำอะไรเขาไม่ได้ เขาคงยืนหนึ่งอยู่เหนือกระแสความนิยมที่มาประเดี๋ยวประด๋าว แต่เขาคือคนที่มากความสามารถที่ทำทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคู่ควรแล้วที่จะถูกเรียกว่า The Artist.

jaeger-lecoultre.com

นาฬิกา Jaeger-LeCoultre Reverso รุ่นใหม่ที่พร้อมบ่งบอกตัวตนของคุณด้วยฟังก์ชั่นและการตกแต่งที่แตกต่างกัน

Jaeger-LeCoultre เป็นแบรนด์นาฬิกาที่อยู่คู่งาน Watches and Wonders Geneva มายาวนานตั้งแต่ก่อนที่ตัวงานจะใช้ชื่อนี้ และในทุกปีเราก็ได้เห็นธีมต่างๆ ที่ทางแบรนด์เลือกใช้เพื่อเป็นเส้นเรื่องหลักในการบอกเล่าความเป็นมาที่ทำให้ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ต่างๆ มีความหมายและน่าสนใจมากที่สุด อย่างเช่นในปีนี้ที่แล้วที่นำเอาดาราศาสตร์มาผูกไว้กับฟังก์ชั่นต่างๆ บนหน้าปัดนาฬิกาของตน และในปีนี้ที่ใช้ธีม The Golden Ratio หรือทฤษฎีสัดส่วนทองคำในงานออกแบบเพื่อตอกย้ำถึงสัดส่วนแห่งความลงตัวของนาฬิกา Reverso ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ารุ่นต่างๆ นับตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมา

Reverso Tribute Small Seconds รุ่นตัวเรือนพิงค์โกลด์

เรามาเริ่มต้นกันเบาๆ กับ Reverso Tribute Small Seconds นาฬิการุ่นแรกในปีนี้ที่สานต่อตำนานของการออกแบบตัวเรือนนาฬิกาให้พลิกเอาด้านหลังออกมาไว้ข้างหน้าได้เพื่อป้องกันไม่ให้คริสตอลของนาฬิกาถูกกระแทกหรือขูดขีดขณะเล่นกีฬาโปโล Reverso Tribute Small Seconds เป็นนาฬิการุ่นที่มีฟังก์ชั่นแบบพื้นฐานเหมือนรุ่นดั้งเดิมที่สุด นั่นก็คือการบอกเวลาเพียงอย่างเดียว ตัวเรือนมีให้เลือกเป็นพิงค์โกลด์ ขนาด 45.6 x 27.4 x 7.56 มม. หน้าปัดสีดำขัดลายซันเรย์ หน้าปัดสีเงินแบบขัดลายซันเรย์ และหน้าปัดสีเบอร์กันดีแบบแลคเกอร์

Reverso Tribute Small Seconds รุ่นตัวเรือนสเตนเลสสตีล

และอีกทางเลือกหนึ่งคือรุ่นตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 45.6 x 27.4 x 8.5 มม. หน้าปัดสีเงินโอปอลีน โดย Reverso Tribute Small Seconds ทั้งรุ่นสเตนเลสสตีลและพิงค์โกลด์ต่างก็ที่ทำงานด้วยเครื่องรุ่นเดียวกันซึ่งก็คือเครื่องนาฬิกาแบบไขลานรุ่นคาลิเบอร์ 822 ซึ่งมีกำลังลานสำรอง 42 ชั่วโมง และในยุคสมัยนี้ที่คนไม่ได้ใส่นาฬิกา Reverso ขณะเล่นกีฬาอย่างจริงจังแล้ว Jaeger-LeCoultre ก็พร้อมที่จะให้บริการแกะสลักตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายสำหรับลูกค้าแต่ละท่านบนพื้นที่โลหะด้านหลังของตัวเรือนนาฬิกาโดยคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามระดับความยากง่ายของดีไซน์แต่ละชิ้น

หากเรามีสิทธิ์เลือกนาฬิการุ่นโปรดที่ Jaeger-LeCoultre ออกในปีนี้ ตำแหน่งนั้นจะต้องตกเป็นของ Reverso Tribute Chronograph อย่างแน่นอน เพราะว่าคอลเลคชั่น Reverso แบบคลาสสิกนี้ไม่มีนาฬิกาโครโนกราฟมาเกิน 20 ปีแล้ว และการกลับมาในครั้งนี้ก็ลงตัวทั้งในเรื่องของความสวยงามและความสะดวกการใช้งานจริง เมื่อมองทางด้านหน้าจะเห็นเพียงความเรียบหรูของเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีประกอบกับหลักชั่วโมง แต่เมื่อพลิกมาทางด้านหลังจะพบกับฟังก์ชั่นโครโนกราฟที่ประกอบด้วยวงทดเวลา 60 วินาทีขนาดใหญ่ตรงกลางหน้าปัด และเข็มทดเวลา 30 นาทีแบบเรโทรเกรดทางด้านล่าง ทั้งหมดอยู่บนหน้าปัดแบบเปิดที่เผยให้เห็นการทำงานตลอดจนความละเอียดของงานขัดแต่งกลไกที่อยู่ข้างใต้ได้อย่างเต็มที่

ที่สำคัญ Reverso Tribute Chronograph ยังแตกต่างจากนาฬิกา Reverso แบบโครโนกราฟในอดีตตรงที่บนหน้าปัดด้านหลังซึ่งเป็นฝั่งของโครโนกราฟนั้นมีเข็มบอกเวลาตามปกติด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากจนถึงดีที่สุด ความซับซ้อนทั้งหมดนี้ทำให้เครื่องไขลานรุ่นคาลิเบอร์ 860 มีชิ้นส่วนมากถึงกว่า 300 ชิ้น แต่ก็ยังสามารถบรรจุลงในตัวเรือนขนาด 49.4 x 29.9 x 11.14 ได้อย่างลงตัว รายละเอียดทั้งหมดนี้ประกอบกันทำให้ Reverso Tribute Chronograph เป็นนาฬิกาที่มีรายละเอียดน่าค้นหา มีคอมพลิเคชั่นในระดับกลางที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันจริงได้ และมีราคาในระดับที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด ทั้งในรุ่นสเตนเลสสตีลหน้าปัดสีเทาอมฟ้าแบบขัดลายซันเรย์ซึ่งเป็นสีใหม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในคอลเลคชั่น Reverso ราคาอยู่ที่ 20,000 ยูโร และรุ่นพิงค์โกลด์หน้าปัดสีดำแบบขัดลายซันเรย์ ราคาอยู่ที่ 35,000 ยูโร

ด้านหน้าของ Reverso Tribute Duoface Tourbillon

และสำหรับคนรักนาฬิกาที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ เราขอนำเสนอ Reverso Tribute Duoface Tourbillon ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของนาฬิกา Reverso Tourbillon รุ่นแรกที่ Jaeger-LeCoultre เปิดตัวเมื่อ 30 ปีก่อนในปี ค.ศ. 1993 เรือนเวลาสองหน้าสองอารมณ์สองเวลารุ่นนี้มีจุดเด่นอยู่ที่กลไกตูร์บิยองบริเวณ 6 นาฬิกาซึ่งเป็นวิธีการดั้งเดิมจากยุคสมัยของนาฬิกาพกในการทำให้เครื่องนาฬิกาทำงานได้อย่างมีความเที่ยงตรงสูงสุด ด้วยการนำเอาชิ้นส่วนที่จะได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของโลกเข้าไปอยู่ในกรงที่จะหมุนไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการเฉลี่ยค่าความคลาดเคลื่อน ในครั้งนี้ Jaeger-LeCoultre ประสบความสำเร็จในการทำให้กลไกตูร์บิยองที่ประกอบด้วยชิ้นส่วน 62 ชิ้นและมีน้ำหนักรวม 0.455 กรัมนี้มีความบางเป็นพิเศษ ส่งผลให้ตัวเครื่องไขลานรุ่นคาลิเบอร์ 847 ที่ใช้ในนาฬิการุ่นนี้บางเพียงแค่ 3.9 มม. เท่านั้น

ด้านหลังของ Reverso Tribute Duoface Tourbillon

ด้านหน้าของ Reverso Tribute Duoface Tourbillon มีหน้าปัดสีเงินแบบขัดลายซันเรย์ที่ดึงดูดสายตาให้มองไปที่กลไกตูร์บิยองทางด้านล่าง และเมื่อพลิกมาทางด้านหลัง เราก็จะได้เห็นกับหน้าปัดที่สองที่มีสไตล์แบบเปิดบางส่วน ด้านบนมีแผ่นหน้าปัดสีดำแบบขัดลายซันเรย์เพื่อบอกเวลาในประเทศที่สองตามคอนเซปท์ Duoface สองหน้าสองเวลาของ Jaeger-LeCoultre ถัดขึ้นไปทางด้านขวาบนมีสัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพื่อบอกว่าขณะนั้นในประเทศที่สองเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน พื้นที่โดยรอบทั้งหมดมีการแกะสลักบนเนื้อโลหะด้วยเทคนิคกิโยเช่ซึ่งใช้เครื่องมือที่มีอายุกว่า 100 ปีได้อย่างสวยงาม

Jaeger-LeCoultre สามารถออกแบบนาฬิกาแต่ละรุ่นข้างต้นนี้ให้มีความพิเศษในแบบฉบับของตนได้ด้วยความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมายาวนาน ผ่านทั้งยุครุ่งเรืองและยุคแห่งความยากลำบากของอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสมาได้อย่างมั่นคง หากคุณผู้อ่านสนใจนาฬิกา Jaeger-LeCoultre รุ่นใดก็สามารถติดต่อกับบูติคสยามพารากอนของแบรนด์ได้โดยตรงเพื่อสอบถามเรื่องราคา กำหนดของเข้าหรือการสั่งจองที่หมายเลข 02-610-9925-6

Writer : Ruckdee Chotjinda

 The Aesthetic Arts 

เรือนเวลาสุดหรูของเหล่าสุภาพบุรุษ ถูกนำมาตีความให้อยู่ในเชิงศิลปะ หลากหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา Breitling รุ่น Superocean Automatic 46 หรือจะเป็น นาฬิกา Augemars Piguet รุ่น Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition ถูกตีความและผสมผสานเข้างานศิลปะ ที่แสดงให้เห็นถึงความสนุกสานเป็นต้น แต่ละรุ่น หากตีความในเชิงศิลปะแล้ว จะสวยงามเพียงใด เราไปชมกันเลยครับ

Artist: Patcharapa Inchang

A Call of the Heart

Photography: Courtesy of Jaeger-LeCoultre

Jaeger-LeCoultre มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแต่งตั้งให้ Anya Taylor-Joy (อันยา เทย์เลอร์-จอย) เป็นแอมบาสเดอร์คนใหม่ของ maison โดยการเปิดตัวด้วยวิดีโอสั้น ‘A Call of the Heart’ โดยอิงจากการโทรศัพท์ที่เป็นสัญลักษณ์ในการต้อนรับเธอเข้าสู่ la grande maison

​วิดีโอได้รับแรงบันดาลใจจากการโทรศัพท์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ของ Manufacturing LeCoultre ในปี 1903 Jacques-David LeCoultre ได้โทรหา Edmond Jaeger ช่างซ่อมนาฬิกาชาวปารีส ให้ยอมรับคำท้าในการผลิตกลไกนาฬิกาที่บางเฉียบ นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกันอย่างยาวนานและได้ผลซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งบริษัท Jaeger-LeCoultre

Catherine Rénier ซีอีโอของ Jaeger-LeCoultre กล่าวว่า “การได้พบกับอันยาเหมือนเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ครอบครัวของเธอมีความสนใจเกี่ยวกับกีฬาโปโลและการผลิตนาฬิกา ทำให้ตัวเธอและแบรนด์มีจุดที่เชื่อมโยงกันโดยธรรมชาติ เธอได้รวมเอาค่านิยมและสไตล์ของ maison ของเราไว้ มันถูกถ่ายทอดผ่านความงาม ความอ่อนไหว ความสามารถและความทุ่มเทในการทำงานของเธอ”

อันยา เทย์เลอร์-จอย ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้ อีกทั้งเธอคือผู้ที่เป็นตัวแทนของคำนิยามความเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ เธอสะกดใจคนทั้งโลกด้วยความสามารถของเธอที่ถูกถ่ายทอดผ่านผลงานการแสดงที่มีความเฉียบแหลม กล้าหาญแต่เปราะบาง ไร้เดียงสาแต่อันตราย

​นักแสดงสาววัย 26 ปีที่มีบ้านเกิด ณ ไมอามี คุณพ่อและคุณแม่เป็นชาวอังกฤษ-อาร์เจนตินา เธอเติบโตในบัวโนสไอเรสและลอนดอน เธอเป็นนักแสดงที่ได้รับคำชื่นชมมากมายจากการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง The Witch ของโรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส ในปี 2016 ต่อมาในปี 2020 เธอมีผลงานที่โด่งดังบน Netflix กับเรื่อง The Queen’s Gambit ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัล Golden Globe, a Screen Actors’ Guild award and a Critics’ Choice award ตามมาด้วยบทบาทสำคัญอีกมากมาย

Master Grande Tradition Calibre 948

กลไก Calibre 948 เป็นกลไกที่มีความซับซ้อนมาและเป็นและเป็นการนำเอา World-Time complication และฟลายอิ้งทูร์บิญง(flying tourbillon)มาผนวกเข้ากัน เป็นความงามอันวิจิตรใหม่ของกลไกนี้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการตกแต่งงานฝีมือควบคู่ไปกับความสามารถทางเทคนิค โดยกรอบโครงของทวีปต่างๆ บนหน้าปัดนั้นสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ของเมซงโดยตัดจากแผ่นทองคำขาวและตกแต่งด้วยการลงยาเทคนิค champlevé enamel ซึ่งเป็นการลงยาให้มีพื้นผิวนูนมีระดับต่างๆ

เมื่อ Jaeger-LeCoultre สร้าง Calibre 948 นับเป็นครั้งแรกที่ความซับซ้อนของนาฬิกาบอกเวลาโลกได้ผนวกเอากลไก Flying Tourbillon ยิ่งไปกว่านั้น Universal Tourbillon ยังสร้างวงจรที่สมบูรณ์ของหน้าปัดทุกๆ 24 ชั่วโมง ความยาวของวันสุริยคติเฉลี่ย เป็นการแสดงความเชี่ยวชาญทางเทคนิคของ Jaeger-LeCoultre อย่างแท้จริง โดยคาลิเบอร์อัตโนมัติไนี้ด้รับการคิดค้น พัฒนา และผลิตขึ้นทั้งหมดภายในศูนย์การผลิตของ Jaeger-LeCoultre

ศิลปะแห่งงานลงยา
ในการสร้างสรรค์แผนที่โลกบนหน้าปัดนาฬิการุ่นพิเศษนี้เมื่อมองที่ขั้วโลกเหนือนั้นจะเห็นว่าพื้นผิวไม่ได้แบนราบหรือยู่ในระนาบเดียวกับส่วนอื่นๆ โดยจะลอยอยู่เหนือแป้นหมุนบนโครงทรงโดมที่เกิดจากเส้นลองจิจูดและละติจูดของซีกโลกเหนือ สร้างสรรค์โดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์แห่ง Métiers Rares® (Rare Handcrafts™) โครงร่างของทวีปต่างๆ ถูกตัดออกจากแผ่นทองคำขาวและตกแต่งด้วยการลงยาแบบชองปลีเว่ รายละเอียดขนาดเล็กของภูมิประเทศที่สำคัญต่างๆ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและแสดงให้เห็นถึงความประณีต

ความงดงามของมหาสมุทร
ใต้โดมที่เป็นที่ตั้งของแผ่นทวีปเป็นภาพมหาสมุทร โดนแป้นหมุนนี้เป็นแผ่นแล็กเกอร์สีน้ำเงินสดใสที่ทาทับลวดลายที่สลักแบบลายคลื่นคลื่นกิโยเช่(guilloché pattern)แสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวของทะเลและอิทธิพลของดวงจันทร์ที่มีต่อกระแสน้ำ ในรูรับแสงแบบวงกลมในด้านหนึ่งของแผนที่ กลไกฟลายอิ้งทูร์บิญงจะลอยอยู่เหนือมหาสมุทรสีฟ้านี้เสมือนไร้น้ำหนัก โดยจะหมุนในรอบ 60 วินาที

ตัวเรือนที่หรูหรา
ตัวเรือน Master Grande Tradition เป็นส่วนเสริมที่สมบูรณ์แบบสำหรับหน้าปัด ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ มากกว่า 80 ชิ้น ขอบหน้าปัดนูนที่ตัดกับมุมเอียงแบบกว้างบนตัวเชื่อม และด้านข้างของตัวเชื่อมแบบกลวงช่วยเพิ่มแรงตึงแบบไดนามิก พื้นผิวที่แตกต่างกันได้รับการตกแต่งด้วยการพ่นไมโครบลาสท์ ขัดเงา และขัดด้านแบบซาตินเพื่อเพิ่มการเล่นแสงเงา
การจับนาฬิกาพลิกดูจะเผยให้เห็นความงดงามที่น่าตื่นตา ด้านหลังตัวเรือนเป็นคริสตัลแซฟไฟร์เผยให้เห็นการเรียงกลไกและการประดับตกแต่งอย่างสุดประณีตของกลไกคาลิเบอร์อัตโนมัติ ทำให้เราเห็นถึงความซับซ้อนอันน่าทึ่งของนาฬิกาเรือนนี้

โลกทั้งโลกอยู่บนข้อมือ
เช่นเดียวกับนาฬิการะดับโลกสุดคลาสสิกทั้งหลาย แต่ละเขตเวลาจะแสดงด้วยชื่อเมือง จัดเรียงเป็นวงแหวนรอบหน้าปัดตรงกลาง วงแหวนคงที่สองวงล้อมวงแหวนที่มีชื่อเมือง บ่งบอกจำนวน 24 ชั่วโมงพร้อมตัวเลขและดัชนีสี่เหลี่ยม และขีดบอกนาทีที่แกะสลักด้วยเลเซอร์บนวงแหวนเคลือบสีน้ำเงินที่งดงามเข้ากับมหาสมุทรสีฟ้า การเลียนแบบการหมุนของโลกบนแกน แผนที่ Earth ทรงนุนเล็กน้อย ร่วมกับ Universal Tourbillon และวงแหวนบอกเมือง ทำให้เกิดการปฏิวัติแบบ 360 องศาอย่างสมบูรณ์แบบในจำนวน 24 ชั่วโมง โดยจะระบุเวลาอย่างถูกต้องในแต่ละเมืองเสมอ

Jaeger-LeCoultre : Reverso Tribute Enamel Hidden Treasures

เนื่องในโอกาสครบรอบ 90 ปีการกำเนิดของ Reverso ทาง Jaeger-LeCoultre ขอแนะนำ Reverso Tribute Enamel Hidden Treasures ซึ่งเป็นนาฬิกาสามเรือนที่เฉลิมฉลองผลงานของ 3 ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของศิลปะสมัยใหม่ ได้แก่ Gustave Courbet, Vincent Van Gogh และ Gustav Klimt นาฬิกาทั้งสามเรือนได้ยังรวมเอาทักษะทางช่างฝีมือที่แตกต่างกัน 3 ประการที่ได้รับการฝึกฝนภายใน Manufacturing Jaeger-LeCoultre ได้แก่ grand feu enamel, miniature painting และ guillochage มาไว้ด้วยกัน

คอลเลกชั่น Reverso Tribute นั้นถูกออกแบบใกล้เคียงกับสไตล์ของนาฬิการุ่นดั้งเดิมจากทศวรรษ 1930 ทั้งรายละเอียดและดีไซน์ ในนาฬิการุ่นใหม่ทั้ง 3 เรือนนี้ หน้าปัดหน้าแรกจะมีความเรียบง่ายอันเป็นเอกลักษณ์สอดแทรกความงามของพื้นหลังแบบกิโยเช่ สีของหน้าปัดแต่ละเรือนจะมีเฉดสีที่แตกต่างกันทั้งสีน้ำเงินและสีเขียวนำพาไปสู่สีหน้าปัดในหน้าที่สองซึ่งก็คือผลงาน Enamel ภาพวาด ขนาดจิ๋วที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอันประณีตและอาศัยฝีมือระดับสูงของช่างลงยาที่วาดลงบนหน้าปัดค่อนข้างเล็ก

ภาพวาดอันทรงคุณค่าทั้ง 3 ชิ้นถูกนำเสนอใน Reverso Tribute Enamel Hidden Treasures สื่อถึงขนบแห่งศิลปะตะวันตก ตั้งแต่แนว Realism ของ Courbet ไปจนถึง Post-Impressionism ของ Van Gogh และ The expressive and experimental spirit ของ Klimt และศิลปินกลุ่ม The Viennese Secession เพื่อเป็นเกียรติแก่เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Reverso ที่สามารถซ่อนและเปิดเผยงานศิลปะที่อยู่ที่หน้าปัดหน้าที่สอง นักวิจัยของ Jaeger Lecoultre Manufacturer ได้นำภาพวาดที่สวยงาม 3 ภาพที่หายจากโลกไปหลายสิบปีและได้รับการค้นพบอีกครั้ง พร้อมกับได้รับการพิสูจน์ว่าภาพเหล่านี้คือภาพจริง

Gustave Courbet – View of Lake Léman (1876)

กุสตาฟ กูร์เบต์ พลัดถิ่นจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2416 เขาอาศัยอยู่ใกล้เมืองเวเวย์บนชายฝั่งทะเลสาบ Lac Léman ของสวิตเซอร์แลนด์ (ทะเลสาบเจนีวา) ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากทัศนียภาพที่เปลี่ยนไปของผืนน้ำ ในบรรยากาศที่สวยงามนี้กูเบต์ได้จับภาพความเคลื่อนไหวของเมฆและแสงแดดที่ผิวทะเลสาบ

ในการนำภาพนี้มาทำใหม่ใน Reverso Tribute Enamel Hidden Treasures ช่างลงยาได้พยายามเก็บรายละเอียดของต้นฉบับให้มากที่สุดทั้งเรื่องของสี รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงงานต้นฉบับ โทนสีอ่อน ๆ ของภาพวาดได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ด้วยตัวเรือนทองคำขาวแวววาวและพื้นผิวลายกิโยเช่ที่ละเอียดอ่อนของหน้าปัดสีเทาน้ำเงินจางๆ

Vincent Van Gogh – Sunset at Montmajour (1888)

หลังจากย้ายมาอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2431 แวนโก๊ะได้ทดลองรูปแบบการเขียนภาพแบบใหม่ โดย Sunset at Montmajour วาดในช่วงเย็นของฤดูร้อน เป็นตัวอย่างการแสวงหาของศิลปินในการวาดภาพธรรมชาติในรูปแบบใหม่ จับภาพพืชพันธุ์ที่โดดเด่นแห่งโพรวองซ์และสีสันของช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

สำหรับ Reverso Tribute Enamel Hidden Treasures มาสเตอร์อีนาเมลของ Jaeger-LeCoultre จะสร้างมุมมองที่ชัดเจนของต้นฉบับอย่างเที่ยงตรง ตลอดจนรายละเอียดของฝีแปรงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปินและเทคนิค Impasto (การเน้นรอยเกรียงหรือรอยฝีแปรงหนาๆ บนภาพ)บนหน้าปัดให้ความแตกต่างที่ดูสง่างามกับโทนสีทองและสีน้ำตาลแดงของภาพวาด

Gustav Klimt – Portrait of a Lady (1917)

ภาพวาดโดย Gustav Klimt หนึ่งปีก่อนจะสิ้นชีวิตของเขา Portrait of a Lady เป็นภาพที่ผู้คนรู้จักว่าเป็น ‘double’ portrait ของศิลปินเวียนนา เป็นการเพ้นต์ทับลงไปบนภาพเดิม คลิ้มท์ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่งอย่างมาก เธอเป็นเหมือนเทพธิดาที่เป็นแรงบันดาลใจของกวี แต่เธอได้เสียชีวิตลง ด้วยความพยายามที่จะบรรเทาความเจ็บปวดจากการสูญเสีย เขาวาดภาพของผู้หญิงคนอื่นลงไปบนภาพวาดของเธอผู้เป็นที่รัก

Portrait of a Lady จำลองภาพขนาดย่อที่ด้านหลังตัวเรือนของ Reverso Tribute Enamel Hidden Treasures โดยถ่ายทอดภาพเหมือนชวนฝันแบบเดียวกับที่ Klimt สร้างขึ้น ท่าทีที่สง่างามและเครื่องแต่งกายที่ทันสมัยของตัวแบบได้รับการถ่ายทอดออกมาในรายละเอียดที่สมบูรณ์ และโทนสี

เขียวของแบ็คกราวด์ก็ช่วยสร้างภาพให้ดูมีมิติเช่นเดียวกับภาพต้นฉบับ หน้าปัดสีเขียวที่ลงเทคนิค grand feu enamel บน barleycorn guilloché pattern ทำฉากหลังให้สวยมากๆเมื่อกระทบแสง

Enamelling – a rich tradition at Jaeger-LeCoultre

ศิลปะการ ลงยา(Enamel)มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ณ La Grande Maison(Jaeger-Lecoultre Manufacture) ตัวเรือนนาฬิกา Reverso เรือนแรกที่ได้ผลิตผลงานการลงยาไว้ที่หน้าปัดหลังถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1936 ซึ่งเป็นภาพของสตรีผุ้ที่คาดว่าเป็นมหารานี ณ ขณะนั้น

จากนั้นได้มีการจัดตั้ง In-house Enamelling Atelier ในปีค .ศ. 1990 – จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งมีเพียงไม่กี่โรงงานบนโลกที่จะมีส่วนของการลงยาในโรงงานเช่นนี้ ช่วงปีค.ศ. 1996 Jaeger-Lecoultre เริ่มนำผลงานของศิลปินสำคัญๆ จากยุโรปและเอเชียมาผลิตลงบนหน้าปัดด้านหลังของนาฬิกา Reverso

การลงยาบนหน้าปัดด้านหลังของนาฬิกา Reverso ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กนั้นมีความท้าทายหลายประการ ต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ขั้นสูงของช่างลงยา เพราะนอกจากจะต้องคงรายละเอียดต่างๆของภาพต้นฉบับไว้ ทั้งยังต้องวาดลงในขนาดที่เล็กลงอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นเรื่องของสีจะต้องเป็นเหมือนกับงานศิลปะต้นฉบับ แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของศิลปะการลงยา เรื่องเม็ดสีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดได้อย่างเที่ยงตรงหรือกำหนดได้หลังจากการเผา

ผลงานของ Courbet และ Van Gogh ที่นำมาผลิตซ้ำบน Reverso Tribute Enamel Hidden Treasures ทำให้เกิดความท้าทายเป็นพิเศษ ศิลปินทั้งสองใช้ impasto ที่ค่อนข้างหนัก ดังนั้นการลงสีจึงหนามากจนยก

ขึ้นเหนือพื้นผิวผ้าใบ แน่นอนว่าเทคนิคนี้การลงยา ไม่สามารถทำได้เช่นนั้น ช่างต้องใช้ illusion of the technique และ เทคนิค grand feu enamel ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้ภาพดูมีมิติมากๆ

TECHNICAL SPECIFICATIONS

REVERSO TRIBUTE ENAMEL HIDDEN TREASURES – COURBET

ตัวเรือน: ไวท์โกลด์

ขนาดตัวเรือน: 45.6 x 27.4 มม.

ความหนา: 9.73 มม.

กลไก: ไขขึ้นลานด้วยมือ – Jaeger-LeCoultre Calibre 822/2

บอกเวลาเป็นชั่วโมงและนาที

สำรองพลังงานนาน 42 ชั่วโมง

กันน้ำลึก 30 เมตร

หน้าปัด: Herringbone guilloche ตกแต่งด้วย Grand Feu enamel

ฝาหลังปิดทึบตกแต่งด้วยเทคนิค Grand Feu enamel

สายหนังจระเข้สีดำ

หมายเลขอ้างอิง: Q39334C2

ทำขึ้นมาจำกัดเพียง 10 เรือน

REVERSO TRIBUTE ENAMEL HIDDEN TREASURES – VAN GOGH

ตัวเรือน: ไวท์โกลด์

ขนาดตัวเรือน: 45.6 x 27.4 มม.

ความหนา: 9.73 มม.

กลไก: ไขขึ้นลานด้วยมือ – Jaeger-LeCoultre Calibre 822/2

บอกเวลาเป็นชั่วโมงและนาที

สำรองพลังงานนาน 42 ชั่วโมง

กันน้ำลึก 30 เมตร

หน้าปัด: Herringbone guilloche ตกแต่งด้วย Grand Feu enamel

ฝาหลังปิดทึบตกแต่งด้วยเทคนิค Grand Feu enamel

สายหนังจระเข้สีดำ

หมายเลขอ้างอิง: Q39334V1

ทำขึ้นมาจำกัดเพียง 10 เรือน

REVERSO TRIBUTE ENAMEL HIDDEN TREASURES – KLIMT

ตัวเรือน: ไวท์โกลด์

ขนาดตัวเรือน: 45.6 x 27.4 มม.

ความหนา: 9.73 มม.

กลไก: ไขขึ้นลานด้วยมือ – Jaeger-LeCoultre Calibre 822/2

บอกเวลาเป็นชั่วโมงและนาที

สำรองพลังงานนาน 42 ชั่วโมง

กันน้ำลึก 30 เมตร

หน้าปัด: Herringbone guilloche ตกแต่งด้วย Grand Feu enamel

ฝาหลังปิดทึบตกแต่งด้วยเทคนิค Grand Feu enamel

สายหนังจระเข้สีดำ

หมายเลขอ้างอิง: Q39334K1

ทำขึ้นมาจำกัดเพียง 10 เรือน

New Jaeger-LeCoultre Polaris Date, Limited Edition 

เผยโฉมนาฬิกาที่ได้รับการรังสรรค์อย่างสุดประณีต เป็นการรวมเอาความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงมาอยู่ในดีไซน์ที่ร่วมสมัย ด้วยแรงบันดาลใจจาก Polaris II ปี 1970 งดงามด้วยเข็มนาฬิกาเคลือบแล็กเกอร์ หน้าปัดสีน้ำเงินลวดลาย double-gradient dial และ sunray ทำให้เกิดมิติที่สวยงามอย่างมีเอกลักษณ์ โดยส่วนหนึ่งของหน้าปัดสีน้ำเงินจะเปลี่ยนโทนสีและความแวววาวตามตำแหน่งแสงที่กระทบ โดยตัวเข็มนาฬิกาแบบบาตอง และขีดบอกเวลา รวมทั้งตัวเลขแบบอารบิกเคลือบ Super-LumiNova สีวานิลลาที่เรืองแสงได้ในที่มืด

ตัวเรือนสตีล หน้าปัดขนาด 42 มิลลิเมตร มีเม็ดมะยมด้านข้าง 2 ตำแหน่ง ที่ 2และ 4 นาฬิกา สำหรับปรับเวลาทั่วไปและทำงานสอดคล้องกับการปรับ bezel เพื่อการจับเวลา โดยตัว bezel จะมีตัวเลขและจุดบอกวินาทีดีไซน์เป็นกรอบเอียงลึกลงไปกับหน้าปัด ทำให้นาฬิกามีมิติยิ่งขึ้นแม้ตัวเรือนจะไม่หนามาก ความเที่ยงตรงจากกลไก in-house calibre 899A/1 มีหน้าต่างบอกวันที่ที่ 3 นาฬิกา สำรองพลังงานนาน 38ชั่วโมง ฝาหลังผนึกอย่างแน่นหนา มีสลักข้อความ 1000 HOURS CONTROL และ Limited edition – One of 800 ด้วยรุ่นนี้แต่เดิมเป็นนาฬิกาแบบสปอร์ต สามารถกันน้ำได้ลึก 200 เมตร

สุดยอดตำนานเรือนเวลาที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และยังคงความคลาสสิกในทุกอณู

BORN AGAIN
ในยุคสมัยที่นวัตกรรมต่างๆ พัฒนาไปแบบก้าวกระโดดนั้น วงการนาฬิกาเองก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กันเพราะนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นก็ล้วนแล้วแต่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตัวเรือนนาฬิกาทั้งในเรื่องของวัสดุตัวเรือน รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ รวมไปถึงเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนในตัวเรือนและการดีไซน์อันสดใหม่ให้ทันยุคทันสมัย แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าวันเวลาจะผันเปลี่ยนแปรไปมากแค่ไหนแต่ความคลาสสิกดั้งเดิมของทรงตัวเรือน หรือเอกลักษณ์ในการออกแบบดั้งเดิมนั้นก็ยังคงปรากฏให้เห็นในนาฬิกาต่างเจเนอเรชั่นที่ลอปติมัม ไทยแลนด์รวบรวมมาเทียบกันแบบรุ่นต่อรุ่นให้ผู้อ่านที่หลงใหลคลั่งไคล้นาฬิกาทั้งรุ่นวินเทจและรุ่นใหม่ได้ชื่นชมซาบซึ้งกับความคลาสสิกอันไร้กาลเวลาของเรือนเวลาเหล่านี้แล้วคุณจะเข้าใจว่า “ความอมตะ” นั้นมีอยู่จริงบนข้อมือของคุณเอง

1_021-W1

Bvlgari Daniel Roth Carillon Tourbillon
Daniel Roth นั้นไม่ได้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิงแต่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเป็นหนึ่ง ในคอลเลกชั่นของ Bvlgari โดย Carillon Tourbillon นี้เป็นการสานต่อความละเอียดในการผลิตนาฬิกาของ Daniel Roth ดั้งเดิม บนตัวเรือนโรสโกลด์ขนาด 48 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบไขลาน Caliber DR 3300 มีกลไลทูร์บิญงช่วยให้นาฬิกาเดินเที่ยงตรงที่สุด และฟังก์ชั่นมินิทรีพีตเตอร์แบบ 3 ฆ้องสำหรับตีบอกเวลาเมื่อคุณสไลด์สลักด้านข้างตัวเรือน ผลิตเพียง 50 เรือนทั่วโลกเท่านั้น แต่การันตีได้เลยว่าเสียงของ 3 ฆ้องนั้นไพเราะสะดุดหูแน่นอน

Daniel Roth Asprey Tourbillon Numero 81
อดีตแบรนด์นาฬิกาที่เคยมีโรงงานผลิตตัวเรือนและกลไกทูร์บิญงเป็นของตัวเอง อย่าง Daniel Roth นั้นมีรุ่น Asprey Toubillon เป็นไฮไลท์สำคัญด้วยตัวเรือน เยลโลว์โกลด์ หน้าปัดสลักลายกิโยเช่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เข็มนาฬิกาสีน้ำเงิน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบไขลาน Numero 81 มีฟังก์ชั่นบอกเวลา วินาทีแบบ 3 แถวและกลไกทูร์บิญงอยู่ที่ด้านหน้า ฟังก์ชั่นบอกวันที่แบบ Retrograde และบอกอัตราการสำรองพลังงานที่ด้านหลัง ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้วและกลายมาเป็นของหายากในท้องตลาดไปโดยปริยาย

1_340-W1

Rolex Daytona (Ref. 6263)
Rolex รุ่น Daytona นั้นถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบโจทย์นักแข่งรถมืออาชีพอย่างแท้จริง เรือนวินเทจแท้ๆ เรือนนี้นั้นหายากมากในปัจจุบัน ด้วยตัวเรือน สเตนเลสสตีลขนาด 38 มิลลิเมตร ขอบหน้าปัด Tachymetric แบล็คไลท์ สีดำ กระจกหน้าปัดเป็นพลาสติกดั้งเดิม หน้าปัดหลักสีเงิน พื้นหน้าปัดใน วงโครโนกราฟสีดำ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบไขลาน Vlajoux 727 มีฟังก์ชั่น โครโนกราฟจับเวลา สวมใส่ด้วยสายสเตนเลสสตีลพร้อมบานพับแบบ ชั้นเดียว ความคลาสสิกอยู่ที่เข็มวินาทีที่ตำแหน่งเลขเก้า ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ สำคัญของ Rolex รุ่นคลาสสิกก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่องเป็น Rolex ถาวร

Rolex Daytona (Ref. 116520)
ความคลาสสิกของรุ่น Daytona ยังปรากฏอย่างชัดเจนในรุ่นล่าสุดนี้ ด้วยตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 40 มิลลิเมตร ขอบหน้าปัด Tachymetric สเตนเลสสตีล (โดยสเกลบนขอบเพิ่มจาก 200 Units per Hours ในรุ่นโบราณเป็น 400 Units per Hours ในรุ่นนี้) หน้าปัดสีดำ ปกป้องหน้าปัดด้วยกระจกแซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบอัตโนมัติ Calibre 4130 จากโรงงาน Rolex ซึ่งสังเกตได้ง่ายจากตำแหน่งของ เข็มวินาทีที่หกนาฬิกาอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่บ่งบอกถึงเครื่องภายใน ที่เปลี่ยนจาก Vlajoux กลายมาเป็นเครื่อง Rolex แล้ว

1_155-W1

Tornek-Rayville TR-900
Tornek-Reyville เป็นแบรนด์ที่แยกตัวออกไปจาก Blancpain ในทศวรรษ 30s และผลิต TR-900 นี้ขึ้นมาเพียง 1,000 เรือนโดยใช้ Fity Fathoms เป็นต้นแบบ เพื่อให้ทหารอเมริกันใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และปัจจุบันเหลือที่ยังคงทำงานได้อยู่ราว 300 เรือนเท่านั้น ด้วยตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 40 มิลลิเมตร หน้าปัดสีดำ ขอบหมุนสีดำ มีมาตรวัดบอกความชื้นบนหน้าปัด ฝาหลังสองชั้น มีคุณสมบัติป้องกันสนามแม่เหล็ก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบอัตโนมัติ เป็นรุ่นที่ไม่มีขายตามท้องตลาด มีเพียงทหารอเมริกันที่ไปร่วมรบในสงครามโลก เท่านั้นที่เป็นผู้ครอบครอง

Blancpain Fifty Fathoms
สร้างขึ้นโดยยึดเอาเอกลักษณ์จาก Fifty Fathoms วินเทจรุ่นปี 1953 โดยรุ่นใหม่ นี้มาพร้อมตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 45 มิลลิเมตร มีคุณสมบัติป้องกันสนามแม่เหล็ก หน้าปัดสีดำ ขอบหมุนสีดำหมุนไปฝั่งซ้ายได้ด้านเดียว ด้านข้าง ตัวเรือนฝั่งเก้านาฬิกาสลักชื่อรุ่น กันน้ำได้ลึกถึง 300 เมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบอัตโนมัติ Calibre 1315 มีฟังก์ชั่นบอกวันที่ สามารถสำรองพลังงานได้นานสูงสุดถึง 120 ชั่วโมง ซึ่งความแตกต่างระหว่างตัวใหม่กับ ตัวโบราณนั้น มีเพียงวัสดุที่เปลี่ยนไปและฟังก์ชั่นวันที่ที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น โดยรวม แล้ว Blancpain ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างครบถ้วน

1_126-W1

Jaeger-LeCoultre Memovox
ตระกูล Memovox คือนาฬิกาข้อมือวินเทจที่ตั้งปลุกครั้งใดก็ต้องตกใจทุกครั้ง และนี่คือ Memovox เจเนอเรชั่นแรก ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ หน้าปัดสีขาว หลักชั่วโมงแบบขีดสีทอง ปกป้องหน้าปัดด้วยพลาสติก ทรงโดม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องอัตโนมัติแบบโรเตอร์ครึ่งรอบ (มีรุ่นที่ใช้เครื่องแบบไขลานด้วย แต่ตัวบางกว่า และเสียงไม่เพราะเท่าเครื่องอัตโนมัติ) ซึ่งในตัวหลังๆ ถูกพัฒนาเป็นโรเตอร์แบบเต็มรอบ มีเม็ดมะยมสองเม็ดสำหรับตั้งเวลาและสำหรับตั้งปลุก เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนเล่น Jaeger-LeCoultre พอสมควร

Jaeger-LeCoultre Master Memovox
เป็นรุ่นพิเศษที่ Jaeger-LeCoultre ต้องการสื่อให้เห็นถึงเจตนารมณ์ ในการเปิดตัว Memovox ในปี 1956 บนตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 40 มิลลิเมตร หน้าปัดสีเงิน มีตัวอักษรบอกรุ่น Memovox บนหน้าปัด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบอัตโนมัติ Caliber 956 จากโรงงาน Jaeger-LeCoultre มีฟังก์ชั่นวันที่เพิ่มเติมจากตัวโบราณ สามารถสำรองพลังงานได้นานสูงสุดถึง 45 ชั่วโมง กันน้ำได้ลึกสูงสุดถึง 50 เมตร สวมใส่ด้วยสายหนังจระเข้พร้อมบานพับ 2 ชั้น คลาสสิกถึงขั้นเรียกได้ว่าแทบจะแกะมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน เพิ่มเติมฟังก์ชั่นใหม่ๆ ให้ทันกาลเวลาที่หมุนไปเท่านั้น

1_218 1-W1

TAG Heuer Monaco
ตำนานของนาฬิการุ่น Monaco ยังคงสืบสานต่อมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันนั้นใช้เครื่องระบบอัตโนมัติ Caliber 12 ซึ่งพัฒนามาจาก Caliber 11 สำรองพลังงานได้นานสูงสุดถึง 40 ชั่วโมง สิ่งที่ต่างไปจากตัวโบราณคือรุ่นนี้ไม่มี หน้าปัดสีเทา มีเพียงหน้าปัดสีน้ำเงินและสีดำ หากใครอยากเก็บคอลเลกชั่นให้สีหน้าปัดตรงกันเป๊ะๆ คงต้องเสาะหารุ่นโบราณที่สีหน้าปัดตรงกับรุ่นใหม่เอาเอง แต่สำหรับนักสะสมรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มเล่นรุ่นนี้ ปีนี้เป็นโอกาสดีที่จะจับคู่คอลเลกชั่นให้สมบูรณ์แบบ เนื่องจาก TAG Heuer เพิ่งตัดสินใจนำ Caliber 11 ดีไซน์เดิมกลับมาทำใหม่สำหรับคนที่พลาดโอกาสสะสมเรือนเวลาคลาสสิกเรือนนี้

Heuer Monaco
ก่อนที่ Heuer จะรวมกับบริษัท Techniques d’Avant Garde ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์สำหรับรถฟอร์มูล่าวันนั้น คอลเลกชั่น Monaco คือรุ่นที่ฮิตติดตลาดมากที่สุด และผู้สวมใส่ก็คือนักแข่งรถในตำนานอย่างสตีฟ แมคควีนนั่นเอง ด้านในของ Heuer Monaco ตัวนี้ใช้เครื่อง Caliber 11 ที่พัฒนาร่วมกับ Brietling Hamilton Seiko และ Zenith ซึ่งเป็นการร่วมมือกันผลิตเครื่อง โครโนกราฟระบบอัตโนมัติ และได้ฤกษ์ประจำการอยู่ในรุ่นนี้เป็นรุ่นแรก Monaco เรือนนี้เป็นนาฬิกาสำหรับคนถนัดซ้าย เพราะเม็ดมะยมอยู่ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา ปัจจุบันหายากมาก ส่วนใหญ่แฟนๆ TAG Heuer จะเก็บสะสมเข้ากรุกันไปหมดแล้ว

1_177-W1

Bulova Accutron II
ภาคต่อของนาฬิกานี้นั้นได้เครื่องแบบ Ultra High Frequency ที่ทำงานบนความถี่สูงถึง 262 kHz (เครื่องควอตช์ทั่วไปทำงานบนความถี่ประมาณ 32 kHz) เพื่อการเดินที่เที่ยงตรงที่สุด ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 42 มิลลิเมตร มีชื่อรุ่นสลักบนกระจก ภายในหน้าปัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนสีเขียวรอบนอกแสดงหลักชั่วโมง และกลางหน้าปัดโชว์เครื่องภายใน เม็ดมะยมอยู่ทางด้าน 3 นาฬิกาต่างกับรุ่นเก่าที่มีเม็ดมะยมอยู่ที่ฝาหลัง เข็มวินาทีเดินแบบต่อเนื่องต่างจากเครื่องควอตช์ทั่วไป แม้รูปทรงตัวเรือนเปลี่ยนไป แต่เครื่องภายในก็ยังคงคล้ายตัวโบราณเช่นเดิม

Bulova Accutron
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1960 ตอนที่ NASA คัดเลือกนาฬิกาเพื่อที่จะให้ นักบินใส่ขึ้นไปบนอวกาศ เรือนเวลาเรือนนี้คือคู่แข่งสำคัญของ Omega Moonwatch ตัวเครื่องพลังงานผ่าน Electromagnetic Coils (หรือขดลวดทองแดง) สองอันบนหน้าปัด ทำให้เดินได้แม่นยำกว่าเครื่องควอตช์ในสมัยนั้นมาก ตัวเรือนไวท์โกลด์ 14K รุ่นนี้ไม่มีเม็ดมะยมข้างตัวเรือน แต่ตั้งเวลาจากสลักด้านหลัง ความพิเศษของเรือนนี้อยู่ที่การสลักโลโก้แบรนด์และสัญลักษณ์บอกชั่วโมงลงไปบนกระจกหน้าปัด ทำให้หาอะไหล่ ในการซ่อมได้ยากมาก จึงหาเครื่องที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้น้อยเต็มที

1_208-W1

Cartier Tank Américaine
ความคลาสสิกของ Cartier รุ่น Tank Amricaine ที่ผลิตออกมาตั้งแต่ ปี 1919 นั้น จะผลิตซ้ำแค่ไหนก็ยังคงความคลาสสิกอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เปลี่ยนแปลง รุ่นใหม่นี้ได้ตัวเรือนไวท์โกลด์กว้าง 26.6 มิลลิเมตร ยาว 45.1 มิลลิเมตร บางเพียง 8.85 มิลลิเมตร หน้าปัดสีขาวครีม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบอัตโนมัติ มีฟังก์ชั่นวันที่ (ที่ไม่มีในรุ่นโบราณ) กันน้ำได้ลึกสูงสุดถึง 30 เมตร สวมใส่ด้วยสายหนังจระเข้สีดำพร้อมบานพับไวท์โกลด์ รุ่นนี้เป็นที่คุ้นตาเหล่า นักสะสมมากที่สุดเ พราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่ออกวางขายมาอย่างยาวนานพอกับรุ่น Tank Franaise เลยทีเดียว

Cartier Tank Américaine Thai Royal Crest
เรือนเวลาเรือนนี้ถือเป็นเรือนสำคัญที่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยก็ว่าได้ เพราะ Cartier ผลิตออกมาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาส ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 ปีในปีค.ศ. 1996 โดยผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น ตัวเรือนแพลตินัม ปกป้องหน้าปัดด้วยกระจกแซฟไฟร์กันรอยขีดข่วน หน้าปัดสีทองแดงขัดลาย Sunburst หลักชั่วโมงสไตล์โรมัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องระบบไขลานเอกลักษณ์จาก Cartier สวมใส่ด้วยสายหนังจระเข้พร้อมบานพับแพลตินัม นับเป็นเรือนเวลาคลาสสิก ที่ถูกเลือกมาเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

Content by Poramin T., Photography by Sompoch T.

Jaeger-LeCoultre pieces customized go under the hammer at (RED) AUCTION

ทั่วทั้งโลกต่างรู้ดีว่า ป๋าโบโน(Bono) นักร้องดังวงU2จะทำบุญทั้งทีมีหรือที่จะธรรมดา…จึงอาสาชวนอีกสองดีไซเนอร์ระดับแนวหน้าอย่าง Sir Jonathan Ive(หัวหน้าทีมผู้ออกแบบ โปรดักสุดฮิต ตระกูล Apple)และ Marc Newson(นักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ชื่อดัง) มาช่วยกันสรรสร้างนวัตกรรมการออกแบบสุดล้ำ เพื่อออกประมูลในงาน (RED) AUCTION ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2013 ณ สถานที่ประมูลงาน Sotheby  กลางกรุง New York ซึ่งงานนี้รายได้มอบให้กองทุนโลกเพื่อการต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย (The Global Fund to Fight AIDS, Tuberculosis and Malaria)

Loptimumthailand-red auction-1

 

Loptimumthailand-red auction

             โดยงานนี้ หนึ่งในไฮไลท์เด็ดที่สองดีไซเนอร์ดังเลือกสรร ผลงานจากแบรนด์นาฬิกาชื่อก้องโลก Jaeger-LeCoultre ผลิตออกมาเป็นพิเศษภายใต้ชื่อรุ่น  Jaeger-LeCoultre Atmos 561 นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนงาม ผลิตจากแก้วเป่าทรงหนาอันมีเอกลักษณ์เด่นที่เข็มบอกเวลาเป็นสีแดง และ นาฬิกาข้อมือกันน้ำลึกรุ่น Jaeger-LeCoultre Memovox Tribute to Deep Sea โดดเด่นด้วยพื้นหลังและโลโก้สีแดงสะท้อนแรงบันดาลใจจากงาน (RED) AUCTION ซึ่งจะเริ่มออกตระเวนให้เหล่าผู้ใจบุญโดยยลโฉมกันที่ฮ่องกง ลอนดอน และปิดท้ายที่นิวยอร์ค เชื่อได้ว่าเหล่ามหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ต้องออกโรง ยกป้าย ห่ำหั่นราคากันอย่างดุเด็ด เผ็ดมันอย่างแน่นอน

Loptimumthailand-red auction-jaeger-atom

 Jaeger-LeCoultre Atmos 561

Loptimumthailand-red auction-jaeger-deep sea1

 Jaeger-LeCoultre Memovox Tribute to Deep Sea