Posts

Mr. Ewan Gunn – Diageo’s Global Whisky Brand Ambassador

Mr. Ewan Gunn (ยวน กันน์) ดำรงตำแหน่งวิสกี้แบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของดิอาจิโอ ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม รวมถึง Johnnie Walker Blue Label ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น เขาอยู่ในวงการสก็อตช์วิสกี้มานานถึง 24 ปี หลังจากเรียนจบด้านภาษาจากมหาวิทยาลัย ก็ผันตัวมาทำงานกับบริษัทวิสกี้เล็กๆ ที่ทำให้เขาได้ทดลองทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย การตลาด และประชาสัมพันธ์ จากการที่ยวนหลงใหลในสก็อตช์วิสกี้ เขาจึงมีความสุขมากที่ได้แบ่งปันความรู้ ส่วนผสมและเรื่องราวที่พิเศษเกี่ยวกับสก็อตช์วิสกี้ และประเทศสกอตแลนด์ให้ผู้คนได้รับรู้ โดยปัจจุบันได้มาร่วมงานกับดิอาจิโอเป็นเวลา 12 ปีแล้ว


สก็อตช์วิสกี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอาชีพของคนในสกอตแลนด์ เนื่องจากสกอตแลนด์เป็นอันดับหนึ่งของโลกในแง่ของสก็อตช์วิสกี้ แน่นอนว่าสก็อตช์วิสกี้ ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของชาวสกอตแลนด์ที่มีอยู่ราวๆ 5 ล้านคน บางหมู่บ้านที่มีคนอยู่ 50-100 คน เขาก็สร้างโรงกลั่นกันขึ้นมา โดยมีโรงกลั่นในสกอตแลนด์ทั้งหมดประมาณ 145 โรงกลั่น ขนาดเล็กใหญ่คละกันไป เรื่องขนาดของโรงกลั่นและการจ้างงานนั้น ยังขึ้นกับเกษตรกรที่ปลูกข้าวบาเลย์เพราะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสก็อตช์วิสกี้ ตลอดจนคู่ค้าในด้านอื่นๆ อย่างคนผลิต ทำขวด หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีหน้าที่ในการผสมสก็อตช์วิสกี้ ถือได้ว่าโรงกลั่นสก็อตช์วิสกี้ ครอบคลุมการจ้างงานในหลากหลายทักษะ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยการทำโรงกลั่น สก็อตช์วิสกี้ถือเป็นหนึ่งในอาชีพหลักที่เป็นอัตลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของสกอตแลนด์


การสืบทอดมรดกทางด้านวัฒนธรรม ทักษะจากรุ่นสู่รุ่น บางโรงกลั่นมีการสืบทอดกันมายาวนานถึง 240 ปี สำหรับโรงกลั่นที่เก่าที่สุด เพราะเหมือนเป็นธรรมเนียมในตระกูลที่สืบทอดต่อๆ กันมา โดยกระบวนการหลักในการผลิต ยังคงไว้ตามเดิม แต่วิธีในการเข้าไปจัดการ จะแตกต่างออกไป เช่น อาจจะมีเป็นแผงควบคุมเพื่อดูแลในเรื่องของสายการผลิต หรืออาจจะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนโรงกลั่น หรือการใช้ของเสียที่ได้จากโรงงาน เป็นพลังงานชีวภาพของโรงกลั่นนั้นๆ ถือเป็นการสนับสนุนให้โรงกลั่นอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสาน จะช่วยในแง่ของความยั่งยืนมากขึ้น โดยยังคงรสชาติดั้งเดิมและมรดกทางวัฒธรรมที่สืบทอดต่อๆ กันมา
Johnnie Walker เป็นแบรนด์ที่อยู่มายาวนานกว่า 200 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1820 ส่วน Johnnie Walker Blue Label เข้ามาร่วมพอร์ตโฟลิโอในปีค.ศ. 1992 และวางจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย โดย Johnnie Walker Blue Label นั้นมีความพิเศษ เริ่มตั้งแต่การคัดสรรส่วนผสมที่ประณีต โดยในถังบ่มจำนวน 10,000 ถัง มีเพียง 1 ถังเท่านั้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจนสามารถนำมาบรรจุลงในขวด Johnnie Walker Blue Label ได้ ซึ่งในสกอตแลนด์มีถังบ่มสก็อตช์วิสกี้รวมถึง 11 ล้านถังเพื่อคัดสรรนำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้


น้ำที่นำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้มาจากหลายลุ่มแม่น้ำจากทั้งสี่มุมเมืองของสกอตแลนด์ เป็นอีกหนึ่งความลงตัวของรสชาติสก็อตช์วิสกี้ของ Johnnie Walker Blue Label โดยส่วนผสมที่มาจากสเปย์ไซด์จะมีกลิ่นผลไม้ จากไฮแลนด์จะมีความหอมหวาน ส่วนเวสต์แลนด์มีจะกลิ่นควัน
สำหรับเทรนด์ทั่วโลกในปัจจุบัน ผู้คนนิยมดื่มสก็อตช์วิสกี้กับอาหาร เคล็ดลับคือ สามารถจับคู่เครื่องดื่มกับอาหารอย่างเหมาะสม เช่น อาหารรสชาติเผ็ด ก็ทานคู่กับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นควัน ส่วนอาหารรสชาติหวานหรือขนมหวาน ทานกับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นวนิลา โดยรสนิยมการดื่มของผู้คนมีพัฒนาการ โดยช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ผู้คนชอบที่จะดื่มอะไรที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดิอาจิโอจึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติที่สูงกว่ามาตรฐาน มีความละมุน นุ่มลึก


อีกสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ของ Johnnie Walker Blue Label นอกจากกลิ่นแล้วคือ texture ที่มีความ smooth และ creamy มากๆ แตกต่างจากสก็อตช์วิสกี้ตัวอื่นๆ โดยใน 1 แก้ว รสชาติที่สัมผัสจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ดื่มด่ำ สำหรับนักสะสม Johnnie Walker Blue Label มีหลากหลายรุ่นที่อยากจะแนะนำ เช่น รุ่น Ghost and Rare ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่หายากมากๆ เพราะนำส่วนผสมมาจากโรงกลั่นที่ปิดตัวลงไปแล้ว โดยมีบางที่ปิดไปแล้วถึง 30-40 ปี อย่าง Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Dundas ก็เป็นรุ่นแนะนำที่นักสะสมควรมีไว้ครอบครอง ความพิเศษคือเราไม่สามารถหารสชาติแบบนั้นได้อีกแล้ว เพราะเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปแล้วมาผลิต ทำให้ความรู้สึกตอนที่กำลังดื่มด่ำมันล้ำค่ามากๆ เป็นความรู้สึกที่มีได้แค่ครั้งเดียว ยังมี Johnnie Walker Blue Label อีกรุ่นหนึ่งคือ Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Ellen ซึ่งเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปตั้งแต่ปี 1980 หรือประมาณ 40 ปี มาทำเป็นสก็อตช์วิสกี้ ถือเป็นอีกหนึ่งคอลเลคชั่นที่ทรงคุณค่ามากๆ และมีรสชาติที่ยอดเยี่ยม


เรื่องหนึ่งที่คนชอบเรื่องขนบในการรับประทานอาหารยุคใหม่นิยมจะจับคู่อาหารกับเครื่องดื่ม (Food Pairing) แต่เดิมมักจะเข้าใจว่าวิสกี้ไม่สามารถนำมาจับคู่กับอาหารได้ แต่แท้จริงแล้วสก็อตช์วิสกี้อย่าง Johnnie Walker Blue Label สามารถเข้าได้กับอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสชาติหนักๆ อย่างเช่น สเต็ก บาร์บีคิว หรือรสชาติอาหารเบาๆ ที่มีรสตรงข้ามกันอย่าง แซลมอน หรือแม้แต่ขนมหวาน ได้แก่ ช็อกโกแลต เป็นต้น อีกทั้งสก็อตช์วิสกี้ยังช่วยดึงรสชาติในอาหารออกมา ทำให้เกิดรสชาติใหม่ๆ หรือแม้แต่อาหารก็สามารถไปเสริมรสชาติสก็อตช์วิสกี้ได้เช่นกัน
เมื่อพูดถึงวิธีการดื่มสก็อตช์วิสกี้ ให้ลองวางแก้วน้ำเย็นไว้ข้างๆ แก้วสก็อตช์วิสกี้ เริ่มจากการใช้น้ำเย็นดื่มล้างพาเลตต์ต่างๆ แล้วจึงค่อยดื่มสก็อตช์วิสกี้ตาม เพื่อเพิ่มความสดชื่น และการสัมผัสรสชาติที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น หรือบางคนเลือกที่จะหยดน้ำ 3-4 หยด ลงไปในแก้วสก็อตช์วิสกี้ เพื่อจะให้แอลกอฮอล์มีความเข้มข้นลดลง ทั้งยังช่วยดึงกลิ่นผลไม้ และมอบรสชาติใหม่ๆ ออกมา
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้สก็อตช์วิสกี้มีความพิเศษ คือไม่ใช่แค่น้ำที่นำมาผลิตเป็นสก็อตช์วิสกี้ต้องมีคุณภาพเท่านั้น แต่รสชาติและกลิ่นต้องมีความยอดเยี่ยม ลึกล้ำและซับซ้อน รวมถึงมีรสชาติหนักและเบาผสมผสานอย่างสมดุลกัน มีความลงตัวอย่างหาใครเทียบได้ยาก นอกเหนือจากนี้ ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา ดังนั้นกว่าจะมาเป็นสก็อตช์วิสกี้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่อยู่แค่ตัวสก็อตช์วิสกี้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกันด้วย
ในฐานะ Global Whisky Brand Ambassador ยวนเห็นด้วยและชื่นชมกับการที่ผู้คนนำ ผลิตภัณฑ์สก็อตช์วิสกี้ไปผสมเป็นเครื่องดื่มแบบค็อกเทล เพราะกว่าจะรังสรรค์ ให้เกิดรสชาติใหม่หรือเกิดเป็นเครื่องดื่มแก้วใหม่ ต้องใช้เวลาและทำให้เกิดความพิเศษมากจริงๆ อีกทั้งกลิ่นหรือรสที่เกิดเป็นค็อกเทลแก้วใหม่ ย่อมต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยเช่นกัน รวมถึงยวนอยากให้เห็นคุณค่าของบาร์เทนเดอร์ โดยสามารถมองผ่านเลนส์แบบเชฟที่มี ความสามารถอย่างเชฟระดับมิชลินสตาร์ เพราะอยากส่งเสริมวงการบาร์เทนเดอร์ ให้ยิ่งใหญ่เหมือนเชฟระดับโลกด้วยเช่นกัน

The original pizza from Naples.

หลายคงอยากจะรู้ว่าพิซซ่าต้นตำรับจากเมืองเนเปิลส์เป็นเช่นไร เพราะเราได้ยินเสียงร่ำลือนักหนาว่าต้นกำเนิดพิซซ่านั้นมาจากเมืองเนเปิลส์ เราจะไม่ลงลึกว่าแท้จริงพิซซ่ามีต้นกำเนิดมาจากไหน แต่ว่าพิซซ่าสไตล์เนเปิลส์คือหนึ่งในพิซซ่าที่คนทั่วโลกยอมรับว่าอร่อยที่สุดชนิดหนึ่ง แต่วันนี้เราจะหาพิซว่าตามแบบเนเปิลส์จริงๆ ได้ที่ Starita (สตาริต้า) ซึ่งมีความเป็นมายาวนานกว่า 122 ปีและมาเปิดที่เมืองไทยเป็นที่แรกนอกเหนือจากในอิตาลี


แน่นอนว่าหลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเมืองไทย ซึ่ง Don Antonio Starita ผู้ดำเนินกิจการพิซซ่านี้ได้บอกกับเราว่า เขาเห็นว่าคนไทยกับคนเนเปิลส์มีนิสัยคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นความมีชีวิตชีวา รักในเรื่องอาหาร และรูปแบบของการปรุงอาหารมีเอกลักษณ์ แน่นอนว่าเขาทราบว่าคนไทยชื่นชอบอาหารอิตาเลียนโดยเฉพาะพิซซ่า ดันั้นเขาจึงเลือกที่จะมาเปิดร้านพิซซ่า Starita (สตาริต้า) สาขาแรกนอกอิตาลีที่กรุงเทพฯ ด้วยความพิถีพิถันในทุกส่วนผสม และความใส่ใจทุกขั้นตอนของการทำอาหาร เพื่อให้ทุกคนได้ลิ้มรสความอร่อยแบบต้นฉบับได้อย่างสมบูรณ์


หลายคนอาจจะเคยได้ชิมพิซซ่า Starita ถ้าได้เดินทางไปเที่ยวเนเปิลส์หรืออิตาลีไม่ว่าจะเป็นมิลานเปิดสาขาในปี 2016 เมืองตูริน(ปี 2018) และเมืองฟลอเรนซ์ในปี 2021 โดยร้านแรกดั้งเดิมตั้งอยู่ที่ Materdei ในเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งในปี 1901 ในฐานะโรงกลั่นเหล้าองุ่น ซึ่งในช่วงปลายยุค 40 ได้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่สำหรับการชิมไวน์และอาหารแบบดั้งเดิมต่างๆ จนกลายเป็นร้านพิซซ่านับเแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในปีต่อๆ มา ร้านอาหารแห่งนี้ก็มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นในฐานะของร้านพิซซ่าที่มุ่งเน้นความเป็นพิซซ่าเนเปิลส์แบบดั้งเดิมที่ดีที่สุด อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากสำนักวาติกัน โดยสมเด็จพระสันตะปาปาจิโอวานนี เปาโลที่ 2 ในปี 2000 และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Don Antonio Starita (ดอน อันโตนิโอ สตาริต้า) ผู้บริหารแบรนด์ Starita ได้เข้ามาดูแลอย่างทุ่มเท และให้ความใส่ใจในทุกขั้นตอนของการทำพิซซ่า


ล่าสุด ในปี 2023 Starita เลือกเปิดสาขานอกประเทศอิตาลีเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานคร ด้วยการมองการณ์ไกลของดอน อันโตนิโอ ร่วมมือกับ คุณเทพฤทธิ์ มัลโฮตรา และ คุณปรมินทร์ ศรีชวาลา กรรมการผู้จัดการบริษัท พีแอนด์ดี กูร์เมต์ จำกัด จนกลายเป็น Starita Bangkok พร้อมได้เชฟผู้เชี่ยวชาญจาก Starita Academy อย่าง Reberto Barone (รีเบอร์โต้ บารอนเน่) และ Diego Pagona (ดิเอโก้ บาโกน่า) มาประจำอยู่ที่สาขาในกรุงเทพฯ เพื่อยืนยันว่าคนไทยจะได้ชิมรสชาติของพิซซ่าที่เหมือนกับที่เนเปิลส์อย่างแนนอน เ
เราได้มีโอกาสชิมเมนูขึ้นชื่ออย่างพิซซ่า Montanara Starita ที่เกิดขึ้นในยุค 80 โดย ดอน อันโตนิโอ สตาริต้าด้วยการเลือกใช้มะเขือเทศท้องถิ่น เพิ่มด้วยชีส Foir Di Latte โดย texture ของพิซซ่านั้นมีความกรอบนอกนุ่มในเพราะเราเริ่มด้วยการทอดแล้วนำเข้าเตาอบเพื่อสร้างขอบพิซซ่าแบบเฉพาะของ Starita ที่ยากจะต้านทาน สิ่งที่ทำให้ Montanara Pizza นี้ไม่ซ้ำใครคือซอสสูตรลับสุดหวงแหน
พิซซ่า Marinara Starita ที่ใช้ซอสมะเขือเทศเชอร์รี่ Datterini จากซิซิลี พร้อมกับรสชาติที่มีชีวิตชีวาของกระเทียมที่วางตรงกลางของจานและรสชาติเข้มข้นของชีสเปโคริโน พริกไทยดำ และออริกาโน ทำให้นึกถึงซอสของคุณยายสไตล์อิตาลี ด้วยมะเขือเทศสับที่ค่อยๆ กลายเป็นซอสที่เข้มข้นและนุ่มนวล นี่คืออาหารจานเด่นที่แท้จริง ซึ่งเป็นจานของสตาริตาที่เป็นที่รู้จักไปทั่วอิตาลีและถูกกล่าวขานไปทั่วโลก
พิซซ่า Margherita Starita เป็นการทำพิซซ่าแบบคลาสสิค ด้วยการใช้ซอสมะเขือเทศสูตรพิเศษและดั้งเดิมของ Starita เพิ่มเติมด้วยชีส Foir Di Latte เพื่อให้รสชาตินุ่มละมุน เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์


พิซซ่า Burrata ได้นำเสนอความเป็นเนเปิ้ลส์แท้ๆด้วยการนำเข้า Burrata cheese จากอิตาลีและการเลือกใช้ Grape tomato เพื่อทำให้มีความหวานพิเศษ เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และจบด้วยน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์
พิซซ่า Versuvio Mix เราเลือกใช้มะเขือเทศเชอรี่สีเหลืองและสีแดง เพราะทำให้ได้รสชาติหวานอมเปรี้ยว เติมความละมุนด้วยมอสซาเรลลาชีส อีกทั้งยังเติมความเข้มข้นด้วยชีสเปโคริโนโรมาโน เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และจบด้วยน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์
พิซซ่า Tartufo ทุกคำจะได้กลิ่นหอมที่เข้มข้นจากเห็ดทรัฟเฟิล เพิ่มชีส Foir Di Latte จากอิตาลีเพื่อให้รสชาตินุ่มละมุน ปิดท้ายด้วยความหอมจากใบโหระพาอิตาเลียน
Starita มีเมนูพิซซ่ามากกว่า 20 เมนู รวมทั้งแป้งพิซซ่าไร้กลูเตน โดยส่วนสำคัญที่สุดในการทำ พิซซ่าคือ แป้งพิซซ่า (Pizza Dough) ที่ต้องปรับระดับค่าของน้ำสำหรับแป้งพิซซ่าให้ได้มาตรฐานเท่ากันกับน้ำในเมืองเนเปิลส์ เพื่อให้รสชาติของพิซซ่านั้นถูกต้องตามสูตรของ Starita และยังมี Burrata แบบโฮมเมดสำหรับสลัดและอาหารทานเล่น พาสต้าที่เป็นสูตรต้นตำรับ โดยเฉพาะพาสต้าคาโบนาร่าที่มีรสชาติเหมือนกับในอิตาลีอย่างแท้จริง


Starita Bangkok มีการตกแต่งให้มีกลิ่นอายตามแบบฉบับของ Starita ในประเทศอิตาลี สร้างบรรยากาศให้เหมาะกับทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับพิซซ่าเนเปิ้ลส์ต้นตำรับได้อย่างรื่นรมย์ นอกเหนือจากอาหารแล้ว Starita Bangkok ยังมีไวน์ชั้นดี เบียร์สดจากอิตาลี และค็อกเทลโดยบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีคอยบริการอีกด้วย
ร่วมลิ้มลองความอร่อยของพิซซ่าเนเปิ้ลส์ระดับตำนานจากอิตาลีได้ที่ร้าน Starita Bangkok ชั้น G อาคาร Oakwood Residence ทองหล่อ ซอยอรรถพัฒน์ (ซอยทองหล่อ 13) ร้านเปิดวันอังคารถึงวันพฤหัสบดี เวลา 12.00 – 14.30 น. และ 17.00 – 22.30 น. , วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 14.30 น. และ 17.00 -23.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 099-466-4461, Instagram: @staritabangkok

The Chase for Carrera

ครั้งแรกของโลก! กับภาพยนตร์สั้นแนวแอ็คชั่น-คอมเมดี้ของ Ryan Gosling เพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบ 60 ปี Carrera (คาร์เรรา) นาฬิกาเรือนไอคอนิกของ TAG Heuer

เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีของ TAG Heuer Carrera แบรนด์นาฬิกาชั้นสูงของสวิตเซอร์แลนด์ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่กล้าหาญและไม่เคยมีใครทำมาก่อน เช่นเดียวกับการออกแบบนาฬิกาของพวกเขา นั่นก็คือ การเปิดตัวภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นคอมเมดี้ของฮอลลีวูด นำแสดงโดย Ryan Gosling แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ TAG Heuer (นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Drive และ The Gray Man) และ Vanessa Bayer (วาเนสซ่า เบเยอร์) (จากภาพยนตร์เรื่อง I Love That For you และ Saturday Night Live) หนังระทึกขวัญไล่ล่าสุดแหวกแนวกับเรื่องราวการหนีของ Gosling จาก Prop Master หรือผู้ออกแบบและจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉากที่นำแสดงโดย Bayer ซึ่งพยายามที่จะถอดนาฬิกา TAG Heuer Carrera เรือนอันเป็นที่รักของเขาออกจากข้อมือ และเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้วางแผนที่จะให้เธอทำเช่นนั้น

อำนวยการสร้างโดย 87 North ของ David Leitch ผู้รับผิดชอบภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นที่โด่งดังที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ John Wick (จอห์น วิค) จนถึง Deadpool 2 (เดดพูล 2) และเมื่อปีที่แล้วกับเรื่อง Bullet Train (บูลเล็ท เทรน) ซึ่งกำกับโดย Nash Edgerton (แนช เอ็ดเกอร์ตัน) (ภาพยนตร์เรื่อง Mr. Inbetween) Gosling ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Chase for Carrera ในขณะที่ร่วมงานกับ Leitch ในภาพยนตร์เรื่อง The Fall Guy ในประเทศออสเตรเลีย ทั้ง Gosling และ Leitch ต่างมีส่วนร่วมในผลงานสร้างสรรค์ของ The Chase for Carrera และผลลัพธ์ที่ได้คือภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างแท้จริง

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะได้เห็น Gosling และ Bayer ดวลกันในรูปแบบไฮ-ออกเทน เมื่อทุกอย่างตั้งแต่รถสปอร์ตรุ่นดังไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถบั๊กกี้ไฟฟ้าที่ใช้ในกองถ่ายวิ่งผ่านฉากภาพยนตร์ต่างๆ ในมุมมองของสัดส่วนหนังระดับบล็อกบัสเตอร์หรือหนังที่ประสบความสำเร็จสูง ด้วยความรอบรู้ในการจัดฉากภาพยนตร์ในภาพยนตร์ที่ Leitch รับบทเป็นผู้กำกับในหนังด้วย

การเฉลิมฉลองที่เป็นเกียรติสำหรับนาฬิกาเรือนไอคอนิกที่ถือกำเนิดจากสนามแข่ง เมื่อได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในปี 1963 โดย Jack Heuer (แจ็ค ฮอยเออร์) อดีต CEO ในตำนานของ TAG Heuer ตั้งชื่อตามการแข่งขัน Carrera Panamericana (คาร์เรรา แพนอเมริกานา) ที่โด่งดังและอันตราย ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายและการอ่านค่าได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งจำเป็นสำหรับผู้ขับขี่ในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลงานระดับไอคอน ที่สง่างามและสวมใส่สะดวกสบาย ในดีไซน์ที่สะท้อนความกล้าและความเป็นสปอร์ตสุดเท่ สื่อถึงความรักของ Heuer ที่มีต่อการออกแบบในช่วงกลางศตวรรษซึ่งยังคงความเป็นอมตะตลอด 60 ปีที่ผ่านมา

@TAGHeuer
#TAGHeuerCarrera60

ROLEX PERPETUAL PLANET INITIATIVE

Rolex สนับสนุน Coral Gardeners กลุ่มนักอนุรักษ์มหาสมุทรรุ่นเยาว์ที่มาพร้อมกับภารกิจในการรักษาแนวปะการังผ่านการฟื้นฟู กิจกรรมเพื่อสร้างการตระหนักรู้ และนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างจริงจัง ผ่านโครงการแนวคิดริเริ่ม Perpetual Planet ของแบรนด์ ตั้งแต่ปี 2017 Titouan Bernicot ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Coral Gardeners ได้สร้างกฎการอนุรักษ์ขึ้นมาใหม่ โดยนำแนวทางการสร้างความตระหนักและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้เยาวชนได้เห็นถึงความแตกต่างที่พวกเขาสามารถทำได้ด้วยการฟื้นฟูแนวปะการัง ซึ่งจะทำให้ได้สภาพแวดล้อมที่กว้างขึ้นกลับคืนมา

ด้วยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิธีการฟื้นฟูแนวปะการัง Titouan และทีม Coral Gardeners ได้ตัดชิ้นส่วนของปะการังเพื่อเพาะเลี้ยงในเรือนเพาะชำเป็นเวลากว่า 12-18 เดือน ก่อนที่จะ “ยึดติด” ชิ้นส่วนเหล่านั้นกลับไปที่แนวปะการังที่อยู่ใกล้เคียงด้วยปูนทนน้ำทะเล และติดตามการเติบโตของแนวปะการังที่ได้ยึดติดไว้

Coral Gardeners ทำการปักชำปะการังประมาณ 10,000 กิ่งในเรือนเพาะชำปะการัง 6 แห่ง ที่กระจายอยู่ทั่วเฟรนช์โปลินีเซีย โดยทีมงานได้เล็งเห็นถึงผลสำเร็จของปฏิบัติการดังกล่าว เนื่องจากแนวปะการังกลับมามีชีวิตและสีสันสวยงามอีกครั้ง

ทุกวันนี้พวกเขาได้บรรลุเป้าหมายเริ่มต้นในการปลูกปะการัง 30,000 กิ่ง ซึ่งได้เพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของกลุ่ม Coral Gardeners ได้ขยายไปไกลกว่าแค่ในเฟรนช์โปลินีเซีย พวก เขาได้เข้าร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอนุรักษ์แนวปะการังต่าง ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของแนวปะการังทางออนไลน์โดยวิดีโอและรูปภาพของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเข้าถึงผู้คนกว่า 200 ล้านคน ในเวลาเพียงห้าปี และมีผู้ติดตามมากกว่าครึ่งล้านในบัญชี Instagram ของพวกเขา ภาพและวิดีโอที่ให้ข้อมูลอันน่าทึ่งเหล่าน้ี มุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความสนใจในการอนุรักษ์ และคาดหวังที่จะจุด ประกายเก่ียวกับการปกป้องผืนมหาสมุทร
ทีมนักเคลื่อนไหวกำลังสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีในการแบ่งปันและค้นหาข้อมูลให้กว้างมากขึ้น ผ่าน CG Labs โดยพวกเขากำลังพัฒนา ReefOS แพลตฟอร์มใหม่ที่ทำขึ้นเพื่อเชื่อมต่อแนวปะการังกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเฝ้าติดตามงานท่ีพวกเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นท้ังนี้วิศวกรของเหล่า Coral Gardeners กำลังทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับและขยายขอบเขตการอนุรักษ์แนวปะการังในแบบโอเพนซอร์สอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปรัชญาแห่งการ ยกระดับประสิทธิภาพอย่างต่อเน่ืองอันสอดคล้องกับแนวคิดของ Rolex

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมกับผู้คนระดับตำนานจากโครงการ ROLEX PERPETUAL PLANET INITIATIVE
ตามรอยเส้นทางของนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่สร้างแรงบันดาลใจอย่าง SYLVIA EARLE สิ่งนี้ทำให้ผมอยากที่จะดำดิ่งลงไปในน้ำ และสร้างความเคลื่อนไหวให้มากยิ่งขึ้น”

Titouan Bernicot ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Coral Gardeners

การเปิดตัวโครงการ Perpetual Planet อันเป็นแนวคิดริเริ่มในปี 2019 ได้ตอกย้ำถึงการมีส่วนร่วมดังกล่าว โดยแรกเริ่มโครงการได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่โครงการ Rolex Awards for Enterprise รวมถึงความร่วมมืออันยาวนานกับโครงการ Mission Blue และ National Geographic Society โครงการดังกล่าวยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีพันธมิตรมากกว่า 20 ราย รวมถึง Cristina Mittermeier และ Paul Nicklen ผู้ก่อตั้งองค์กร Sea Legacy, Rewilding Argentina และ Rewilding Chile องค์กรลูกของ Tompkins Conservation, โครงการ Under The Pole, โครงการ Monaco Blue และองค์กร Coral Gardeners

Volti Tascan Grill and Bar

ห้องอาหาร โวลติ เปิดให้บริการอีกครั้งภายใต้แนวคิดใหม่ “โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์” ที่สายเนื้อต้องไม่พลาดเพราะจุดเด่นหนึ่งก็คือสเต๊กเนื้อที่ย่างจากเตาถ่าน แต่ใครไม่สายเนื้อก็มีอาหารสไตล์ทัสคานีที่เป็นจุดเด่นจากการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาปรุงอาหาร ด้วยเมนูที่พร้อมพรั่งทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย พาสต้า รวมทั้งอาหารทะเลที่คัดมาสดๆ ปรุงในสไตล์ครัวในบ้านของชาวทัสคานีย์


เป็นการกลับมาอีกครั้งของห้องอาหารอิตาเลียน Volti ด้วยแนวคิดใหม่ “อาหารย่างในสไตล์ทัสคาน” ที่คุณพลาดไม่ได้ โดยห้องอาหาร โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ โฉมใหม่ นำเสนอความอร่อยจากเนื้อคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก นำมาปรุงในสไตล์ทัสคานีย์แท้ด้วยการรมควันและย่างด้วยเตาถ่าน เริ่มจากเนื้อชั้นเยี่ยมอย่างเนื้อวากิวสายพันธุ์เลือดแท้ 100% (A5) ซึ่งเป็นเนื้อวากิวเกรดสูงสุดที่หายากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเนื้อแองกัสออสเตรเลีย (MBS3+) ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของเนื้อแองกัสจากเมืองดาร์ลิงดาวน์ รัฐควีนส์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นเนื้อที่ได้รับรางวัลสเต็กเนื้อแองกัสที่ดีที่สุด โดยมีความโดดเด่นด้านเนื้อสัมผัสที่นุ่มและรสชาติเนื้อที่เข้มข้น อีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ได้แก่ F1 วากิว (MBS7+) ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดสำหรับเนื้อออสเตรเลียน F1 วากิว

เนื้อที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี พร้อมนำมาย่างบนเตาถ่านชาร์โคลที่ออกแบบโดยชาวออสเตรีย ราดด้วยไขมันวากิวหมักด้วยขิง และเสิร์ฟบนถาดเกลือหิมาลายัน เพื่อให้เนื้อสเต็กจะยังคงอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง

โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งพร้อมด้วย บรูโน เฟอร์รารี หัวหน้าพ่อครัว อิตาเลียนคนใหม่ เชฟบรูโนได้รับเลือกให้เป็น “เชฟและเจ้าของห้องอาหารรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศอิตาลี” โดยมิชลินไกด์ ประเทศอิตาลี และเขายังได้รับดาวมิชลินดวงแรกในปี พ.ศ. 2551 จากห้องอาหารเวียนตูริน (Wien Turin) ในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

“โวลติให้ความสำคัญกับการเป็นตัวจริง เราภูมิใจที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นเมนูของโวลติจึงประกอบไปด้วยเนื้อเกรดพรีเมียมไปจนถึงส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั้งในและต่างประเทศ ส่วนประกอบแต่ละอย่างของแต่ละเมนูล้วนทำขึ้นเอง ตั้งแต่เส้นพาสต้า ไปจนถึง ลิมอนเชลโลที่ผสมขึ้นเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มที่เสิร์ฟเมื่อจบมื้ออาหารที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในทุกองค์ประกอบที่ทีมเชฟของเราทุ่มเทให้กับอาหารทุกจานที่เสิร์ฟให้กับแขกของเรา” เชฟบรูโนกล่าว

เร่ิมจากอาหารเรียกน้ำย่อยที่หลายๆ คนที่ติดใจรสชาติหนวดหมึกทะเลต้องชอบกับการปรุงที่ไม่ซับซ้อนแต่ทว่าความอร่อยอยู่ที่การคัดเนื้อหมึกที่สดมากๆ มาย่างไฟแบบพอสะดุ้งแล้วปรุงรสด้วยสมุนไพรต่างๆ ชูรสเด่นด้วยความเปรี้ยวของมะนาวเลมอน ความเค็มจากเนื้อหมึกรวมทั้งผิวหมึกที่กรอบจากการย่างไฟช่างเป็นรสสัมผัสที่สดชื่นนึกถึงบรรยากาศริมทะเล ส่วนพาสต้าที่มาในรูปแบบแผ่นแป้งสอดไส้พอคำที่เพิ่มรสด้วยซอสสูตรพิเศษ แต่สายเนื้อที่ยังไม่ถึงจานหลักอย่างสเต็กลองสั่งการ์ปัชโช ที่ทำจากเนื้อสไลด์บางๆ เหยาะน้ำมันมะกอกและน้ำส้ม โรยหน้าด้วยเนยแข็งและผักอารูกูลา(ผักโขมอิตาเลียน)รสชาติดีมาก เมื่อจานหลักมาถึง เนื้อสเต็กไม่ทำให้ผิดหวังเลย ด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยมของเนื้อและความเข้าใจในคุณภาพของเนื้อของเชฟที่ปรุงสุกมาแบบถนอมรสชาติแท้ๆ ของเนื้อแต่ละชนิดได้เป็นอย่างดี อยากจะสัมผัสความจุ้ยซี่ ความนุ่มละมุน ความละลายในปากของเนื้อชนิดใดเชฟสามารถทำให้ได้โดยไม่เสียคุรภาพของเนื้อชนิดนั้นๆ

ปิดท้ายด้วยของหวานที่เชฟทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้อาหารจานหลักไม่ว่าจะเป็น Panna Cotta รสละเมียดหอมกลิ่นนม , Piedmont Hazelnut Gianduja แป้งทอดมากับซอสฮาเซลนัท และ Tartufo Nero ที่เป็นไอศกรีมรสทรัฟเฟิลบรรจุอยู่ภายในลูกบอลช็อกโกแลต ของหวานจานนี้คือพลาดไม่ได้จริงๆ

ทุกท่านสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศภายในห้องอาหารที่มีการตกแต่งในสไตล์อิตาเลียนร่วมสมัย สุดชิคในขณะชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยาและสระว่ายน้ำอันแสนร่มรื่นของโรงแรมฯ พร้อมจิบหลากหลายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ในบรรยากาศสบายๆ ของเลานจ์ และบาร์ที่ชั้น 1 และชั้น 3 ของห้องอาหาร

ตื่นตาไปกับทักษะการปรุงอาหารของทีมพ่อครัวมืออาชีพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลในรสชาติของอาหารทุกจานที่ทุกท่านสามารถรับชมได้จากครัวเปิดขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 ของห้องอาหาร ในขณะที่กำลัง อิ่มอร่อยไปกับอาหารจานโปรด

นอกจากนี้ โวลติ ยังนำเสนอรายการไวน์นานาชนิดให้ทุกท่านได้เลือกลิ้มลองโดยได้รวบรวมไวน์ที่ดีที่สุดของประเทศอิตาลี คราฟต์เบียร์ที่ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถัน และสำหรับท่านที่ยังไม่จุใจกับรสชาติอาหารรมควัน ต้องไม่พลาดที่จะชิมหลากหลายเมนูค็อกเทลรมควันรสเลิศของโวลติ

โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ เปิดให้บริการอาหารมื้อค่ำในทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ทีมเชฟของเรายังสามารถรังสรรค์เมนูพิเศษสำหรับรับรองแขกจำนวน 10 ถึง 100 ท่าน ทำให้โวลติเป็นห้องอาหารที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์ทางธุรกิจ งานเลี้ยงฉลองต่างๆ แบบส่วนตัว อาหารค่ำมื้อพิเศษภายในครอบครัว รวมถึงงานหมั้น และงานแต่งงานอีกด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ แผนกสำรองที่นั่งห้องอาหาร โทร. 0 2236 7777 หรือ อีเมล restaurants.slbk@shangri-la.com www.Shangri-La.com

Lenny Kravitz : The Artist.

Lenny Kravitz นักดนตรีร็อคแนวหน้าที่ก้าวข้ามผ่าน สไตล์ เชื้อชาติ และชนชั้นตลอดเส้นทางอาชีพนักดนตรีกว่าสามทศวรรษ ผู้หลงใหลในจิตวิญญาณร็อค เป็นผู้เขียนบท โปรดิวเซอร์ และสร้างสถิติเป็นผู้ชนะ Grammy® Awards มากที่สุดในสาขา”การแสดงเพลงร็อกชายยอดเยี่ยม” เรามาทำความรู้จักกับเขากับจากการที่เขาได้ร่วมงานกับ Jaeger-LeCoultre และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของศิลปินมากความสามารถท่านนี้


นอกจากสตูดิโออัลบั้ม 11 ของเขาที่ทำยอดขายได้ 40 ล้านแผ่นทั่วโลกแล้ว ศิลปินหลากมิติผู้นี้ยังมีผลงานภาพยนตร์ โดยแสดงเป็น Cinna ใน The Hunger Games และ The Hunger Games: Catching Fire คราวิตซ์ยังแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Precious และ The Butler
Kravitz Design InC. บริษัทสร้างสรรด์ของเขานำเสนอผลงานที่น่าประทับใจเกี่ยวกับการลงทุนที่น่าจดจำ ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์โรงแรม โครงการคอนโดมิเนียม ที่พักอาศัยส่วนตัว และแบรนด์ระดับไฮเอนด์ระดับตำนานอย่าง Rolex, Leica และ Dom Perignon ในปี 2022 เขาได้เปิดตัวแบรนด์เดรื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพรีเมียมของตัวเองอย่าง Nocheluna Sotol
เขายังได้รับการยอมรับจาก CFDA ในปี 2022 ด้วยรางวัล “Fashion Icon Award” จากการเป็นผู้มีอิทธิพลทางแฟชั่นที่สำคัญอีกด้วยคราวิตซ์ ยังเป็นผู้เขียน Flash หนังสือที่นำเสนอภาพถ่ายหินที่ไม่เหมือนใคร ส่วนบันทึกความทรงจำล่าสุดของเขา Let Love Rule ติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times
Lenny เปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดที 11 ชื่ออัลบัมว่า Raise Vibration ในปี 2018 ปัจจุบันเขาทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์และภาพลักษณ์ระดับโลกให้กับ YSL Beauty’s Y cologne ล่าสุดเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็น Hollywood Walk of Fame ประจำปี 2023
มาทำความรู้จักตัวเขาให้มากขึ้น จากการได้พูดคุยกับเขาในการร่วมงานกับ Jaeger-LeCoultre

คุณค้นพบแรงบันดาลใจได้จากที่ไหน ?
แรงบันดาลใจของผมเกิดจากการดำเนินชีวิต ทุกๆแง่มุมของมัน ชีวิตไม่เคยหยุดยั้งการเสริมสร้างจิตนาการต่างๆให้กับผม

อะไรจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของคุณ โดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือคุณพยายามสร้างมันขึ้นมา ?
ความคิดสร้างสรรค์ของผมเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ ผมพยายามไม่เข้าไปก่าวกายและปล่อยให้มันไหลลื่นเสียมากกว่า ฉะนั้นในหลายๆครั้งผมฝันถึงเพลงของผม ความคิดสร้างสรรค์ของผม หลังจากนั้นก็นำมาปรับใช้ ทำให้เกิดขึ้นจริง มันค่อยข้างจะเป็นอะไรที่บริสุทธิ์มาก ปราศจากความพยายามตัดสินใดๆ

ปกติคุณใช้เวลานานเท่าไหร่ในการแต่งเพลงเพลงหนึ่ง และเจออุปสรรคอะไรบ้างไหม ?
ผมสามารถเขียนเพลงเพลงนึงขึ้นมาได้ภายใน 5 นาทีถึง 5 สัปดาห์ ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร โดยปกติมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วมาก ผมเคยมีอุปสรรคในการเขียนเพลงตอนผมกำลังทำงานในอัลบัมแรกของตัวเอง ช่วงระหว่างบันทึกเทปอยู่นั้น มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเสียทีเดียว แต่มันแค่ช่วงเวลาในตอนนั้นที่ผมต้องการความเงียบสงบขึ้นมาในใจ ต้องการการอยู่นิ่งๆไม่เคลื่อนไหวเพื่อฟังสิ่งที่ตัวผมเองกำลังจะสื่อออกไป บางครั้งคนเราแค่ต้องการเวลาที่สงบเงียบ

คุณเคยมีที่ปรึกษา(mentor) หรือไม่ ?
เคยครับ คุณตาของผมเอง Albert Roker ท่านเคยเป็นที่ปรึกษาและปัจจุบันก็ยังอยู่ในใจผมตลอดเวลา

คุณเคยเป็นที่ปรึกษา (mentor) ให้ใครหรือไม่ ?
เคยครับ ผมเคยเป็นที่ปรึกษา (mentor) ให้กับนักดนตรีที่เด็กกว่าไปจนถึงเด็กๆ โดยเฉพาะที่เครือรัฐบาฮามาส (The Bahamas) ที่ที่ผมอาศัยอยู่ และมันเป็นอะไรที่น่าสนใจและสุขใจอย่างมากที่ได้ไปที่นั่น

คุณเป็นแนวหน้าในวงการเพลงมาเป็นเวลานานและยังได้มีโอกาสทำงานด้านแฟชั่นอื่นๆด้วย อะไรคือสิ่งที่คุณชื่นชอบมากที่สุด ?
สิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

จากผลงานอันแสนพิเศษทั้งหมดของคุณ คุณภูมิใจกับผลงานชิ้นใดมากที่สุด สิ่งนั้นคือเพลง ภาพยนตร์หรือโปรเจกต์ไหนที่คุณรู้สึกภูมิใจในตนเองมากที่สุด ?
ผมเป็นคนที่ไม่ตัดสินว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดีกว่าอีกสิ่งหนึ่ง ทุกสิ่งเป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็น แต่แน่นอนมันจะต้องมีช่วงเวลาอันแสนพิเศษ ผมหมายถึงว่า ในช่วงที่ผมทำอัลบัมแรกของตนเองนั้น มันพิเศษมากๆ อัลบัมแรกของผม Let Love Rule คือจุดเริ่มต้นของผมและเป็นแนวทางการทำงานของผมมาจนถึงทุกวันนี้

คุณมีเพลงโปรดจากผลงานของตัวเองหรือไม่ ?
เพลงโปรดของผม…คำถามนี้ยาก Thinking of You คือหนึ่งในนั้นแน่นอนเพราะมันคือเพลงที่ผมแต่งให้แม่ของผมหลังจากที่เธอจากผมไป

คุณมีสิ่งใดที่คุณรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยากและคุณจำเป็นจะต้องทำมันหรือไม่ ?
ผมต้องทำงานกับความอดทน ทำทุกอย่างให้ช้าลงและรอคอย ผมชอบการทำทุกอย่างพร้อมๆกันและผมไม่อยากหยุด แต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นผมเรียนรู้ที่จะอดทน รอคอย และอยู่จุดศุนย์กลางของความอดทนนั้น สิ่งที่คือสิ่งที่ผมฝึกปฏิบัติอยู่

คุณมีพิธีการใดที่คุณต้องทำก่อนขึ้นเวทีหรือไม่ ?
ก็ไม่ถึงขนาดนั้น พิธีการของผมคือการรู้สึกตัว ต้องรู้สึกพร้อม เมื่อผมรู้สึกพร้อม เมื่อวงของเราผ่านการซ้อมมาอย่างเพียงพอ นั่นคือสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับผมว่าผมสามารถจะแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุดเพราะผมพร้อมแล้ว ดังนั้นมันคือแค่ช่วงเวลาสั้นๆในการอยู่เงียบๆก่อนขึ้นแสดง จากนั้นผมจะเดินผ่านอุโมงค์เพื่อขึ้นไปบนเวทีและทำการแสดง

คุณจะนิยามตนเองว่าอย่างไร ?
ผมคือศิลปิน

คุณประสบความสำเร็จอย่างมากในบทบาทของนักดนตรี นักร้อง นักแสดง นักออกแบบ และช่างภาพ มีพรสวรรค์ใดของคุณที่ยังไม่ได้โชว์ให้โลกเห็นหรือไม่ ?
ผมอยากวาดภาพ มันจะเป็นสิ่งต่อไปที่ผมจะทำ และกีฬาโต้คลื่น (surfing)

คุณวางแพลนอะไรไว้ในปีหน้า ? อัลบัมใหม่ ? การทัวร์คอนเสิร์ต ?
แน่นอนครับ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาในขณะที่ผมกำลังท่องโลก ผมวางแผนที่จะปล่อยเพลงใหม่ที่ผมได้อัดไว้ในช่วงสามปีที่ผ่านมาและออกเดินทางไปกับเสียงเพลงเหล่านั้นพร้อมกับดื่มด่ำเสียงดนตรีในชีวิต

อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับคุณและคุณอยากจะสอนให้กับเด็กๆรุ่นต่อไป ?
ความรัก. ความรักและความรักที่มากขึ้น 

คุณคือนักสะสมนาฬิกา ช่วยบอกได้ไหมว่าจุดเริ่มต้นของความชอบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ?
ผมคิดว่าความชอบนี้เกิดขึ้นก่อนผมจะรู้จักสิ่งนี่ด้วยซ้ำ จุดเริ่มต้นจริงๆมากจากคุณพ่อที่สะสมและมีนาฬิกามากมายในยุค 70s ที่ผมเคยเห็นและได้สัมผัสมาก่อน ณ ตอนนั้นผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ แต่ก็มีโอกาสได้ลองกดปุ่มต่างๆเล่นดู นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นมาจากตอนผมยังเด็ก 

การผลิตนาฬิกาและเสียงดนตรีนั้นมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่เห็น ทั้งเสียงจังหวะติ๊กต่อกของเข็มนาฬิกา เสียงฆ้องระฆังของกลไกการบอกเวลาด้วยเสียง หรือการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆของนาฬิกา อะไรคือสิ่งที่คุณสนใจมากที่สุดกับการผลิตนาฬิกานื้ ?
ความแม่นยำและงานฝีมือครับ 

และอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในนาฬิกาสำหรับคุณ ?
ก็ต้องเป็นกลไกแน่นอนครับ แต่รูปลักษณ์ของนาฬิกาก็มีผลเช่นเดียวกัน มองแล้วชอบหรือเปล่า สวมใส่บนข้อมือแล้วเหมาะหรือไม่ มันสำคัญมากเลยนะครับที่เราต้องใส่แล้วมีความรู้สึกสัมพันธ์และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรา 

คุณเลือกที่จะใส่ Reverso ยังไง ? และคุณจะพลิกหน้าปัดด้วยเหตุผลใด ?
สิ่งที่ง่ายที่สุดในการอธิบายให้เห็นภาพคือ ผมใส่ในทุกๆวันครับ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงความมั่นใจในตัวผมตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่มหัศจรรย์มากที่เกิดขึ้น Reverso คือส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว ผมจะพลิกหน้าปัดทุกครั้งที่ผมอยากจะพลิกมัน เป็นอีกสิ่งที่สามารถสื่อออกมาได้ผ่านนาฬิกาเรือนนี้ ความรู้สึกคุณเปลี่ยน อารมณ์คุณเปลี่ยน คุณก็แค่พลิกหน้าปัดคุณจะรู้สึกเหมือนได้พบเจอสิ่งใหม่ อารมณ์ใหม่

แล้วโอกาสไหนที่คุณเลือกจะสวมล่ะ ? 

โดยปกติจะใส่เวลาอยู่ในเมืองครับ เพราะเวลาผมอยู่ที่เกาะ ผมไม่ได้คิดถึงเวลาด้วยซ้ำ แต่เมื่อกลับมาอยู่ในเมือง เวลาที่ผมต้องทำงานและเจอผู้คนมากมาย มีหลายอย่างที่ต้องทำ ฉะนั้นผมจึงเลือกสวมนาฬิกา

อะไรคือสิ่งที่เจเกอร์-เลอคูลทร์แสดงออกมาให้คุณเห็น ?
แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดในทุกสิ่งครับ ทั้งงานฝีมือที่เป็นที่สุด งานออกแบบที่สวยที่สุด และการสร้างกลไกที่เยี่ยมยอดที่สุดครับ 

นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้จักกับอาร์ติสท์อย่างเขาคนนี้มากขึ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ากาลเวลาทำอะไรเขาไม่ได้ เขาคงยืนหนึ่งอยู่เหนือกระแสความนิยมที่มาประเดี๋ยวประด๋าว แต่เขาคือคนที่มากความสามารถที่ทำทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคู่ควรแล้วที่จะถูกเรียกว่า The Artist.

jaeger-lecoultre.com

Classique Quantième Perpétuel 7327

ในช่วงปี 1780 อับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์ (Abraham-Louis Breguet) ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการคิดค้นประดิษฐ์กรรมกลไก perpétuelle (แปร์เปตูแอล) หรือ ระบบปฏิทินถาวร ที่ประกอบด้วยโรเตอร์แบบเคลื่อนไหว (à secousses oscillating weight) ที่ช่วยให้กลไกคาลิเบอร์สามารถทำงานสอดประสาน กับจังหวะของผู้สวมใส่ยามย่างก้าวเคลื่อนไหว ซึ่งนับเป็นการส่งพลังให้กลไกทำงานเองในตัวได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเรือนเวลานี้มักมาพร้อมกลไกปฏิทินด้วย นอกจากนี้เบรเกต์ก็ยังได้ถือโอกาสลองรังสรรค์หน้าปัดสีเงินขัดแต่งลาย guilloché (กิลโยเช่) ขึ้นเป็นครั้งแรกอีกด้วยและในปี 2023 นี้ เบรเกต์ได้รังสรรค์นิยามบทใหม่ให้แก่คอลเลคชั่น Classique (คลาสสิค) อีกครั้ง กับกลไก perpetual calendar หรือปฏิทินถาวร นำเสนอผ่านสีทองสองเฉดด้วยกัน


Quantième Perpétuel 7327 (ควองเตียม แปร์เปตูแอล 7372) ที่เบรเกต์รังสรรค์ขึ้นใหม่นั้น สะท้อนอัตลักษณ์ แห่งเบรเกต์อย่างชัดเจน คือเรือนเวลาที่เรียบง่ายยามสวมใส่ทว่าภายในเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ฟังก์ชั่นอันน่าหลงใหลซึ่งถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 นี้ สามารถแสดงวันได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้ว่าแต่ละเดือนจะมีจำนวนวันไม่เท่ากันก็ตาม รวมถึงปีอธิกสุรทิน ที่เดือนกุมภาพันธ์จะมี 29 วันอีกด้วย ซึ่งการ จะรังสรรค์กลไกอัจฉริยะเช่นนี้ได้ จะต้องอาศัยระบบ ‘ความจำ’ สี่ปี ซึ่งยาวนานถึง 1,461 วัน กลไกประกอบด้วยด้วยระบบเฟืองบอกชั่วโมง และลานศูนย์กลางขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกลไกทั้งหมด ในแต่ละวัน เพื่อการนี้ต้องอาศัยชิ้นส่วนมากกว่า 294 ชิ้นเพื่อส่งให้กลไกทำงาน อีกเป้าประสงค์หลักของ เบรเกต์คือการรังสรรค์นาฬิกาที่มีน้ำหนักเบาและสวมใส่สบาย และ The Manufacture หรือสำนักรังสรรค์นวัตกรรมเรือนเวลาก็เจาะจงเลือกใช้กลไกคาลิเบอร์ 502 พร้อมด้วยระบบปฏิทิน ด้วยความบางเพียง 4.5 มม. เท่านั้น กลไก 502.3P นับเป็นกลไกเบรเกต์ที่บางที่สุด ซึ่งออกแบบบนพื้นฐานความบางที่ยังคงประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด

บาร์เรลแบบเปิดช่วยคงความบาง แต่วางใจได้เรื่องประสิทธิภาพการทำงานอันคงที่สม่ำเสมอและเปี่ยมพลัง โรเตอร์ทองคำอยู่ ณ ตำแหน่ง off-centred เพื่อสร้างพื้นที่ให้กับชิ้นส่วนกลไกหลักอย่างเต็มที่ เพื่อให้กลไกทั้งหมดอยู่ร่วมกันโดยที่ยังคงสัดส่วนความบางไว้ได้เป็นอย่างดี กลไกขึ้นลาน ด้วยมือรังสรรค์จากโรเดียม ขับเคลื่อนด้วยความถี่ 3 เฮิร์ตซ์ และสำรองพลังงานได้นาน 45 ชั่วโมง พร้อมด้วยซิลิคอน บาลานซ์ สปริงแบบแบน และเอสเคปเมนท์แบบเส้นตรงพลิกด้าน (inverted straight-line escapement) และฮอร์นทำจากซิลิคอนเช่นกัน ซิลิคอนมีคุณสมบัติหลากหลาย นอกจากจะทนต่อการ กัดกร่อนและการสวมใส่แล้ว ยังไม่ตอบสนองต่อสนามแม่เหล็ก ช่วยให้นาฬิกามีความเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น
ส่วนกลไกซึ่งอวดความงดงามให้ได้ยลผ่านคริสตัลแซฟไฟร์ด้านหลังตัวเรือน คือทักษะศิลป์การรังสรรค์ ความงดงามอันทรงคุณค่ายิ่งของเบรเกต์ โรเตอร์ทองคำนั้นสลักมือด้วยอุปกรณ์ rose engine เป็นลายรวงข้าวบาร์เลย์เชื่อมกันเป็นวงกลม บริดจ์ตกแต่งด้วยลาย Côtes de Genève (โกท เดอะ เฌอแนฟ) และชิ้นส่วนอื่นๆก็ผ่านการแต่งขอบแบบลบคม (chamfered edges) และประดับลาย Côtes de Genève เช่นกัน ซึ่งศาสตร์แห่งหัตถ์ศิลป์ที่ต้องอาศัยความแม่นยำและความเชี่ยวชาญขั้นสูงนี้ รังสรรค์ขึ้นโดยเหล่าช่างฝีมือแห่ง The Manufacture ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางหุบเขา Vallée de Joux (วาลเลย์ เดอ ฌู) ในสวิสเซอร์แลนด์

เรือนเวลาดีไซน์เรียบหรู

ผลงานสร้างสรรค์ชิ้นใหม่ของเบรเกต์นี้น่าหลงใหลทั้งในแง่กลไกและความงดงามของหน้าปัด เปี่ยมด้วย สุนทรียแห่งความคลาสสิคเหนือกาลเวลา อีกทั้งสะท้อนความโดดเด่นและจิตวิญญาณอันร่วมสมัยของแบรนด์ หน้าปัดประดับด้วยลวดลาย Clous de Paris (คลู เดอ ปารี) หรือลายตะปู ฟังก์ชั่นมูนเฟสแสดงข้างขึ้นข้างแรม อยู่ ณ ตำแหน่งระหว่าง 1 และ 2 นาฬิกา ที่ดูสมจริงยิ่งนัก ด้วยเทคนิคการใช้ค้อนตีขึ้นลายด้วยมือ ท้องฟ้าเคลือบประดับด้วยบลูแลกเกอร์ที่ให้ความเงาเล่นแสง เผยให้เห็นบรรดาดวงดาวระยิบล้อไปกับองศาจังหวะของหน้าปัด ทั้งวันในสัปดาห์ วันที่ และปี มารวมกัน ณ ด้านล่างหน้าปัด ส่วนเสี้ยววงกลม ณ ตำแหน่งระหว่าง 10 และ 11 นาฬิกา แสดงเดือนด้วยเข็มสไตล์ retrograde (เรโทรกราด์) ส่วนชั่วโมงและนาทีแสดงด้วยเข็มบลูสตีลตกแต่งปลาย “พระจันทร์” ตามแบบฉบับเบรเกต์ ลายเซ็นลับของเบรเกต์ ที่ผู้ก่อตั้งได้รังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1795 อวดโฉม ณ ตำแหน่งระหว่าง 11 และ 12 นาฬิกา รวมถึงระหว่าง 12 และ 1 นาฬิกา
ปิดท้ายด้วยการปรับตั้งฟังก์ชั่นต่างๆบนหน้าปัด สามารถทำได้จากหลากหลายตำแหน่งโดยรอบหน้าปัดขนาด 39 มม. ปุ่มตั้งวันในสัปดาห์อยู่ตรงบริเวณ 4 นาฬิกา และฟังก์ชั่นมูนเฟสอยู่ระหว่าง 4 และ 5 นาฬิกา วันที่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา และปุ่มตั้งเดือน และ ปีอยู่ ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา ส่วนเม็ดมะยมตั้งเวลาอยู่ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา

คอลเลคชั่น Classique
คอลเลคชั่น Classique นั้นทั้งทรงประสิทธิภาพและยังโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ถ่ายทอดสุนทรียศาสตร์ที่มีรากฐานจากต้นกำเนิดของแบรนด์ นอกจากอับราฮัม-หลุยส์ เบรเกต์จะเป็นอัจฉริยะแห่งการรังสรรค์เรือนเวลาและสุดยอดนักประดิษฐ์แล้ว ยังถือเป็นดีไซเนอร์คนแรกๆ ผู้มาก่อนกาล ก่อนคำว่านักออกแบบจะเกิดขึ้นมาเสียอีก เมื่อเบรเกต์ก่อตั้งขึ้นในกรุงปารีสในปี 1775 ขณะนั้นสไตล์บาโรกกำลังเป็นที่นิยม ซึ่งเขาก็ได้คิดค้นและเปิดโลกแห่ง นีโอคลาสสิคให้กับวงการนาฬิกา ด้วยวิสัยทัศน์นี้ หน้าปัดจึงมีรูปลักษณ์ล้ำนำสมัยและยังดูเวลาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
เขายังเป็นผู้คิดค้นเข็มนาฬิกาปลาย “พระจันทร์,” ลวดลายกิลโยเช่ และหน้าปัดแบบ off-centered และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเข็มนาฬิกาปลายพระจันทร์นั้นใช้กับนาฬิกาพกตั้งแต่ปี 1812 เป็นต้นมา และถือเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ต่อมา ซึ่งเรือนเวลา Quantième Perpétuel 5327 ก็ได้นำแรงบันดาลใจจากงานสร้างสรรค์อันเป็นต้นแบบเหล่านี้ มาถ่ายทอดสู่เรือนเวลาอีกครั้งในปี 2004 และเวอร์ชั่นปี 2023 จะถ่ายทอดความร่วมสมัย และยังคงอัตลักษณ์อัน โดดเด่นของนาฬิกาในแบบฉบับ Classique ไว้อย่างชัดเจน
มีให้เลือกสรรทั้งวัสดุไวท์โกลด์ และโรสโกลด์ 18K รุ่นไวท์โกลด์จับคู่กับสายสีมิดไนท์บลู และรุ่นโรสโกลด์ มาพร้อมสายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำตาลดูน่าค้นหา

ข้อมูลเชิงเทคนิค
Classique Quantième Perpétuel 7327BB/11/9VU
ตัวเรือน: ไวท์โกลด์ 18K ด้านหลังกรุคริสตัลแซฟไฟร์
เส้นผ่านศูนย์กลาง: 39 มม.
ความหนา: 9.13 มม.
หน้าปัด: ทองคำเคลือบสีเงิน สลักมือด้วย rose engine
ระบบกลไก: ขึ้นลานอัตโนมัติ โรเตอร์ทองคำ
กลไกขั้นสูง: ปฏิทินถาวร (แสดงวันในสัปดาห์, วันที่, เดือน
แบบเรโทรกราด์ และ ปีอธิกสุนทิน) และ มูนเฟส
เอสเคปเมนท์: แบบเส้นตรงพลิกด้าน (inverted straight-line lever) ฮอร์นซิลิคอน และบาลานซ์สปริงซิลิคอนแบบแบน
ประสิทธิภาพการกันน้ำ: 3 บาร์
กลไก: คาลิเบอร์ 502.3.P
ความถี่: 3 เฮิร์ตซ์
สำรองพลังงาน: 45 ชั่วโมง
สายนาฬิกา: สายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำตาลพร้อมตัวล็อคสายแบบพับ

Classique Quantième Perpétuel 7327BR/11/9VU
ตัวเรือน: โรสโกลด์ 18K ด้านหลังกรุคริสตัลแซฟไฟร์
เส้นผ่านศูนย์กลาง: 39 มม.
ความหนา: 9.13 มม.
หน้าปัด: ทองคำเคลือบสีเงิน สลักมือด้วย rose engine
ระบบกลไก: ขึ้นลานอัตโนมัติ โรเตอร์ทองคำ
กลไกขั้นสูง: ปฏิทินถาวร (แสดงวันในสัปดาห์, วันที่, เดือนแบบ เรโทรกราด์ และ ปีอธิกสุนทิน) และ มูนเฟส
เอสเคปเมนท์: แบบเส้นตรงพลิกด้าน (inverted straight-line lever) ฮอร์นซิลิคอน และบาลานซ์สปริงซิลิคอนแบบแบน
ประสิทธิภาพการกันน้ำ: 3 บาร์
กลไก: คาลิเบอร์ 502.3.P
ความถี่: 3 เฮิร์ตซ์
สำรองพลังงาน: 45 ชั่วโมง
สายนาฬิกา: สายหนังอัลลิเกเตอร์สีน้ำตาลพร้อมตัวล็อคสายแบบพับ

La Brace รสเลิศจากไฟ

เราทราบกันดีว่าอาหารจะอร่อยเพียงใดต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบและเครื่องปรุงด้วย จึงไม่แปลกใจเมื่อ คุณจ้อ – พัชรินทร์ เหมอังกูร เจ้าของบริษัท กูร์เมท์ วัน ฟู้ดส์ เซอร์วิส เปิดร้านอาหารเอง จึงเชื่อได้ว่าวัตถุดิบของร้านนี้จะต้องที่สุดตั้งแต่เนื้อสุดพรีเมียมไปจนถึงเกลือที่ใช้ปรุงอาหาร โดยไม่มีการอ่อนข้อใดๆ


ร้านอาหาร La Brace ที่โครงการ Earth Ekamai เป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอเรเนียน ภายใต้การดูแลของเชฟมาร์ค เฮเก็นแบ็ค ผู้มากประสบการณ์ เมื่อมาถึงเราก็เห็นโต๊ะที่วางของเรียกน้ำย่อยไม่ว่าจะเป็นแฮมอะเบอริโก้ แซลมอนรมควัน ปูอลาสก้าขาใหญ่ๆ อวบๆ เนื้อสดหวาน แต่ที่เซอร์ไพร้สมากคือเป็ดรมควัน(Duck Pastrami)ที่เชฟใช้เทคนิคเฉพาะตัวทำออกมาอร่อยแบบไม่เคยชิมแล้วถูกใจเช่นนี้มาก่อน ใครมาร้านนี้ต้องชิมให้ได้ และพิเศษคือเคานืเตอร์ที่มีหอยนางรมสดคัดมาแล้วจากหอยนางรวมประเทศต่างๆ โดยคัดที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ เข้ามาให้ได้ลิ้มลอง ใครที่ชอบดื่มไวน์คู่กับอาหารที่นี่ก็มีไวน์ให้เลือกมากมาย ส่วนใครชอบค็อกเทลที่นี่มีบาร์ขนาดใหญ่ให้นั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ


แม้จะดื่มด่ำกับอาหารเรียกน้ำย่อยแต่เราก็ตื่นตากับจานแรกที่มาเสิร์ฟก็คือ French White Asparagus & Jamon Iberico (มีให้ชิมเฉพาะฤดูใบไม้ผลิของยุโรป) หน่อไม้ฝรั่งขาวนี่คือที่สุดจริงๆ สำหรับวัตถุดิบที่สร้างความแปลกใจให้กับการปรุงที่แสนจะเรียบง่ายที่สุดแต่อร่อยที่สุด ชอบไอเดียของเชฟที่นำเอาเห็ดทรัฟเฟิลที่หายากและราคาสูงมาจับคู่กับหน่อไม้ฝรั่งขาวอย่างลงตัวโดยมีซอส Bearnaise sauce ที่เชฟสร้างความซับซ้อนของรสชาติเป็นตัวเชื่อม นี่คือการจับคู่ที่ลงตัวมาก สลัดที่มีโก้ตชีส(goat cheese)เป็นจุดเด่นก็แสนจะลงตัว หลายๆ คนไม่ชินกับเนยแข็งที่ทำจากนมแพะโดยเฉพาะกลิ่น แต่ของที่นี่รสชาติเข้มหอมมันไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวของน้ำนมแพะที่เราจะไม่ชอบ เขากริลด้านบนมาพอให้ชีสหลอมนิดๆ มีกลิ่นหอมของความร้อนที่ทำปฏิกิริยากับเนยแข็ง
จากนั้นก็เป็นพาสต้าที่ต้องบอกว่าจานนี้ขอบอกว่าต้องมาชิมให้ได้ ก่อนที่จะตามด้วยหอยตลับอบไวน์ขาวสไตล์แอนดาลูเซีย จานนี้ก็ต้องไม่พลาดจริงๆ เพราะมาทั้งรสชาติของซอส กลิ่นสมุนไพรที่หอมและมีเอกลักษณ์ของการครัวแอนดาลูเซีย

แล้วก็มาถึงไฮไลท์ที่ไม่ใช่จานหลักจานสุดท้าย แต่เป็นการนำเอาเส้นพาสต้ามาผัดกับน้ำมันมะกอก แอนโชวี่ พริกกระเทียม ที่ดูเหมือนใครๆ ก็ทำ แต่ขอบอกว่าที่นี่ทำออกมาจนจัดจ้านถูกปากคนชอบความอร่อยที่ถึงเครื่องถึงรส ต้องบอกว่าเชฟมาร์คไม่ได้ปรุงจานนี้เพื่อเอาใจคนไทยที่ชอบจัด แต่เขาทำจานนี้ออกมาเพื่อให้คนรับรู้ว่าพาสต้าที่ใช้เครื่องปรุงเรียบง่าย(แต่มากคุณภาพ)นั้นทำออกมาแล้วควรจะมีรสชาติเป็นอย่างไร
จานต่อมาเชฟนำเสนอกุ้งเผา(Spanish Style Garlic Prawns)ที่ทำออกมาสไตล์ตะวันตกคือจับคู่กับซอสที่เชฟทำมาพิเศษ แต่ทักษะการเผา(ย่าง)กุ้งทำออกมาเนื้อชุ่มรสหวานมาก จานต่อมาคือ เนื้อวากิว A5 ที่ย่างมากด้วยไฟที่คุสมชื่อร้าน La Brace ที่หมายถึงไปที่คุโพลง เมื่อวัตถุดิบดีเยี่ยมขนาดนี้เชฟต้องใช้ฝีมือจริงๆ ในการชูรสที่อร่อยนี้ให้ปรากฏโดดเด่นยิ่งขึ้นอีก เนื้อวากิวนี้ผ่านขั้นตอน wet-aged เพื่อให้เนื้อคงรสชาติเหมือนไม่ได้ผ่านกาลเวลาที่ขนส่งหรือการเก็บมาเลย วิธีนี้ทำให้เนื้อมีรสชาติที่ชุ่มฉ่ำคงความอร่อยแม้จะผ่านการเก็บมา


สำหรับไฟที่เชฟใช้ย่างเนื้อนั้นใช้ถ่านไม้คุณภาพที่ให้ความร้อนแบบสม่ำเสมอและทำให้อาหารที่ย่างมีกลิ่นหอมไฟ สเต๊กจานนี้จึงอร่อยโดยไม่ต้องพึ่งซอสหรือน้ำจิ้มใดๆ แต่เชฟมาร์คก็ยังมีมัสตาร์ดเพื่อชูรสสเต๊กจานนี้ แน่นอนว่าคัดมาแล้วทั้งสิ้นว่าเป็นมัสตาร์ดชั้นเลิศจริงๆ ใครชอบรสหวานหน่อนลองเหยาะมัสตาร์ดที่ผสมน้ำผึ้งที่หอมหวาน หรือ grain mustard ก็เหมาะให้รสสัมผัสที่จับคู่กับสเต๊กนี้ลงตัวมาก

ยังไม่จบแค่นี้ เมนคอร์สจานสุดท้ายของมื้อนี้คือซี่โครงแกะย่าง แม้สเต๊กจะทำให้เราอิ่มเอมกับอาหารย่างแล้ว แต่ซี่โครงแกะย่างนี้เราก็ไม่ยอมพลาดเช่นกัน เช่นกันว่าเนื้อแกะคุณภาพดีมาก แค่ย่างไฟให้ได้เนื้อสุกแบบชุ่มฉ่ำ เมื่อรับประทานแล้วต้องบอกว่าได้รสเต็มๆ คำ และไม่มีกลิ่นสาบของเหมือนเนื้อแกะทั่วๆ ไป
ปิดท้ายด้วยของหวานที่มีขนม 3 ชนิด คือ ราสพ์เบอร์รี่ทาร์ต, ยูซุทาร์ต และไวท์ช็อกโกแลตที่ทำเป็นรูปเปลือกหอยเชลล์ที่ชูรสด้วยซอสส้ม ทั้งสามชนิดนี้เป็นขนมที่เหมาะกับการจบมื้ออาหารที่เลิศรสนี้ รสเปรี้ยวอมหวานช่วยให้รู้สึกสดชื่นจริงๆ

La Brace อยู่ในโครงการ Earth Ekamai (สุขุมวิท 63) เป็นกริลล์เฮาส์และไวน์บาร์ หนึ่งเดียวในย่านเอกมัย-ทองหล่อ โทร.094 540 6662

KENZO Varsity Jungle

คอลเลกชั่นพิเศษสำหรับเอเชียจาก Kenzo ที่เปิดตัวในสิงคโปร์ “KENZO Varsity Jungle” ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2023 ที่ Nigo ผุ้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของเคนโซ่ สร้างสรรค์ขึ้นมาโดยได้แรงบันดาลใจมากจากเรื่องราวของเคนโซ่ โดยมีเหล่า friends of the House และแขกวีไอพีจากทั่วเอเชียตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียต่างมารวมตัวกันในสิงคโปร์


การเฉลิมฉลองครั้งนี้จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Art Scienceในสิงคโปร์ สถาปัตยกรรมท่ีได้แรงบันดาลใจจากดอกบัวบานกลายมาเป็นอาคารที่โดดเด่นสะดุดตา โดยจุดเด่นของคอลเลกชั่นนี้จะมีรายละเอียดของลวดลายกราฟิกรูปช้างและเสือ ช้างซึ่ง กล่าวกันว่าเป็นสัตว์ที่มีความจำดีท่ีสุดในบรรดาสัตวทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่ผู้ก่อตั้งแบรนดอ์ย่างเคนโซ ทากาดะ ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ โดยครั้งหนึ่งเขาถึงกับขี่ช้างออกมาเพื่อโค้งให้ผู้ที่เข้ามาชมแฟชั่นโชว์ของเขาเป็นฟินาเล่ที่เป็นที่กล่าวขานกันมาก นอกจากนี้คำว่า zo ในภาษาญี่ปุ่นยังหมายถึงช้างอีกด้วย ในขณะท่ีเสือนั้นเป็นสัญลักษณ์หลักของแบรนด์นับตั้งแต่เร่ิมออกคอลเลกชั่นแรก ๆ ในปี 1975 โดย ลวดลายสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์เหล่านี้จะแสดงให้เห็นถึงการตีความส่วนบุคคลของ Nigo เกี่ยวกับความ แข็งแกร่งและความกล้าหาญ พรอ้มกับแสดงความเคารพต่อดีไซเนอร์ของแบรนด์ผู้ล่วงลับไปด้วย


ท่ามกลางหลากภาพกราฟิกและเพลงของ DJ PRAV สะท้อนวิสัยทัศน์ของแบรนด์เกี่ยวกับความมีชีวิตชีวาและการแสดงออกถึงตัวตนจะฉายให้เห็นอย่างเด่นชัดผ่านจิตวิญญาณของความเป็นเสื้อผ้าสไตล์ นักศึกษามหาวิทยาลัย ที่เป็นการพบกันของตะวันตกและตะวันออก ซึ่งเราจะเห็นจากแจ็คเก็ตที่มีโลโก้หรือตักอักษรขนาดใหญ่ประดับบนตัวเสื้อตามสไตล์แฟชั่นของนักศึกษาคอลเลจของอเมริกา ในขณะที่ลายกราฟฟิกรูปช้างและเสือจะมีคามโดดเด่นมาก ส่วนคอปกเสื้อแบบกะลาสีนั้นจริงๆ แล้วเป็นการนำเอาคอปกเสื้อแบบนักเรียนญี่ปุ่นมาดัดแปลงซึ่งมีทั้งเสื้อแบบเชิ้ตรวมถึงเสื้อถักตัวหลวมและมีคอปกกะลาสีด้านหลัง นอกจากนี้ยังมีธงสามเหลี่ยมที่เราจะเห็นในงานกีฬาของมหาวิทยาลัยมาเป็ลวดลายที่ปะลงไปบนเสื้อหรือกางเกง ส่วนรองเท้านั้นความพิเศษยังมีที่หัวรองเท้าที่ข้างหนึ่งจะมีคำว่า KENZO อีกข้างหนึ่งจะมีคำว่า PARIS โดยใช้ฟ้อนต์ที่แตกต่างกันด้วย สำหรับสาวๆ รองเท้าจะเป็นสไตล์แมรีเจน(รองเท้านักเรียน)แต่พื้นรองเท้าสไตล์แพลตฟอร์มหนาพอประมาณ ส่วนของหนุ่มๆ จะเป็นรองเท้าสนีกเกอร์พื้นรองเท้าหนา มีรายละเอียดของดีไซน์ต่างกันไป ว่ากันว่าคอลเลกชั่นนี้เสมือนจดหมายรักถึงจุดเริ่มต้นในฐานะนักดนตรีก่อนประสบความสาเร็จอย่างสูงในวงการแฟชั่นของนิโกะ ถูกส่งผ่านเสียงเพลงฮิปฮอปและแร็พจากบูธดีเจ เผยให้เห็นจิตวิญญาณอันแน่วแน่แห่งการมองโลกในแง่ดีที่เปี่ยมด้วยอิสรภาพของ KENZO แต่แน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่งคอลเลกชั่นที่มีความชัดเจนของรูปแบบดีไซน์ และการนำเอาลายกราฟฟิกมาปรากฎอยุ่บนอาภรณ์อย่างลงตัวที่สุดคอลเลกชั่นหนึ่ง


ค่ำคืนนี้มีทั้งเซเลบริตี้และอินฟลูเอนเซอรจ์ากท่ัวเอเชียท่ีเข้ามาร่วมงานไม่ว่าจะเป็น Keung To จาก MIRROR วงบอยแบนด์ยอดนิยมของฮ่องกง, Austin Lin ศิลปินมากความสามารถจากไต้หวันท่ีเคยได้รับรางวัลสำคัญทั้งรางวัล Golden Horse และ Golden Bell Awards มาแล้ว, ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร นักแสดงมากความสามารถท่ีมีความสนใจด้านแฟชั่นจากประเทศไทย, Glenn Yong นักร้องและนักแสดงมากความสามารถชาวสิงคโปร์, Anh Tu นักร้องและนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ และ Quynh Anh Shyn แฟชั่นนิสต้าช่ือดังจากเวียดนาม, Laureen Uy อินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชั่นและการท่องเท่ียวท่ี ได้รับรางวัลมากมายจากฟิลิปปินส์, Ayla Dimitri, Anaz Siantar และ Nazla Alifa สามอินฟลูเอนเซอร์และบล็อกเกอร์แฟชั่น ชั้นนำจากอินโดนีเซีย รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ท่านอื่นๆ ๆ จากสิงคโปร์ อาทิ Yoyo Cao และ AisyahแAzizแยังมาร่วมงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย


ร้าน KENZO สาขามารินา เบย์ แซนด์ส สิงคโปร์และพิพิธภัณฑ์ Art Science นั้นตั้งอยู่ภายในพื้นท่ีของ โรงแรมมารินา เบย์ แซนด์ส ซึ่งเป็นทั้งรีสอรต์และแลนดม์ารก์ท่ีครบวงจรท่ีสุดในประเทศท่ีมากด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างสิงคโปร์ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมและสมบรูณแบบที่สุดในการสะท้อน วิสัยทัศน์แบบตะวันออกพบตะวันตกอันเป็นเอกลักษณ์ของนิโกะ และการมองโลกในแง่ดีอย่างไม่ประนีประนอมในแบบฉบับของ KENZO และพบกับคอลเลกชั่นนี้ได้ในบูติกของเคนโซ่ที่กรุงเทพฯ เช่นกัน

พรีออเดอร์นิตยสาร L’Officiel Hommes Thailand ฉบับปกแข็ง Summer 2023 ได้แล้ววันนี้!

เผยภาพแรก! ของสองหนุ่มสุดฮอต ‘มาย ภาคภูมิ ร่มไทรทอง’ และ ‘อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์’ บนปกนิตยสาร ลอฟฟิเซียล ออมส์ ฉบับปกแข็ง Summer 2023 (ประจำเดือนพฤษภาคม 2566) ที่อัดแน่นไปด้วยแฟชั่นเซ็ตสุดเท่ พร้อมบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คูลซีฟที่จะมาทำให้แฟนๆ ตกหลุมรักสองหนุ่มขึ้นไปอีกขั้น

ากแฟนๆ ไม่อยากพลาด สามารถตามไปพรีออเดอร์ได้ที่ลิงก์เว็ปไซต์ของเรา หรือทาง LINE Official Account @LOfficiel เท่านั้น (http://bit.ly/3Kw0OZH)

สามารถพรีออเดอร์กันได้แต่วันที่ 13 เมษายน จนถึงวันที่ 18 เมษายน 2566 นี้เท่านั้น!

—————————————————-

First look! ‘Mile-Phakphum Romsaithong’ and ‘Apo-Nattawin Wattanagitiphat’ on L’Officiel Hommes Thailand, Summer 2023 issue (on newsstand since May 2023), with fashion set and exclusive interview which will make you love them even more. Don’t miss this issue!!

(Disclaimer: The Photo is for Pre-Order, not the actual cover)

Don’t miss this issue!! Pre-order on Website or LINE Official Account : @LOfficiel (http://bit.ly/3Kw0OZH)

Pre-order period: April 13th – 18th, 2023