Posts

ตะลุยเทือกเขาอันนะปุรณะ ประเทศเนปาลกับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ

the uniquely Unforgettable Annapurna

ช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินเท้าจาก
เส้นทาง Thorong La pass บนเทือกเขาอันนะปุรณะ ประเทศเนปาล เป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะเป็นเส้นทางเส้นทางที่สวยและเดินทางไม่ยากมากนัก เมื่อเราได้ไปเดินด้วยตัวเองก็พบว่าเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงจริงๆ

ช่วงครึ่งแรกของการเดิ
<<เมื่อเราไปถึงกาฐมาณฑุ เห็นสภาพอากาศที่ดูอึมครึม พร้อมกับมองภูเขาสูงตรงหน้า เราก็อดถามเพื่อนชาวเนปาลของเราไม่ได้ว่า นี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเดินทางหรือไม่>>

Tea House เล็กๆ

“ไม่มีปัญหา” เขาตอบพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่คุณก็รู้ไม่ใช่หรือว่าอากาศบนภูเขานั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าอากาศไม่ดีคุณก็อย่าเสี่ยง การเดินย้อนกลับลงมาดีที่สุดนะ มายเฟรนด์”

Thorong La Passw1

หลังคริสต์มาสหนึ่งวัน อรุณรุ่งบนภูเขาอากาศเย็นเยียบ หลังจากนั่งรถยาวนานออกมาจากกาฐมาณฑุ เราก็เริ่มต้นเดินก้าวแรกบน   เส้นทางยอดนิยมของนักเดินบนเทือกหิมาลัยของเนปาล Thorong La pass ซึ่งเป็นทางข้ามภูเขาเส้นที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูง 5,416 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ชาวเนปาลผู้เป็นทั้งพ่อครัว w1

ในช่วงปลายเดือนธันวาคมไม่ค่อยมีใครมาเดินเท้าบนเส้นทางนี้นัก เพราะถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่น เมื่อนักเดินน้อย ที่พักร้านอาหารที่เปิดตามรายทางก็จะน้อยไปด้วย แต่ก็พอมีเปิดให้กับนักเดินจำนวนน้อยนิดที่เลือกเดินในช่วงนี้ เหตุผลหนึ่งคงเป็นเรื่องของความหนาวเย็น และอาจหมายรวมไปถึงความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศเข้าไปด้วย หลายช่วงของการเดินมีแต่เราเท่านั้นที่เดินหอบหายใจอยู่บนเส้นทางอย่างโดดเดี่ยว

ที่ Manang หลังฟ้าปิดมาห

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมกับเพื่อนมาเทร็กกิ้งกันที่ประเทศเนปาล เริ่มจากไปเดินขึ้นยอด Gokyo ต่อด้วย Langtang และ Annapurna  ทั้งสามเส้นทางนี้เราเดินในช่วงที่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการมาเยือน ต้องลุ้นเรื่องสภาพอากาศ แต่ก็ได้มาซึ่งความไม่พลุกพล่านของผู้คนเราเรียกการเดินของเราว่าเดินนอกฤดู สภาพอากาศในช่วงรอยต่อของปีบนเส้นทางเดินเท้ามีทั้งดีและย่ำแย่ ความเหน็บหนาวนั้นสุดๆ ช่วงครึ่งแรกของการเดินอากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส จวบจนกระทั่งเราเดินถึงเมือง Manang ที่ความสูง 3,519 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศก็เริ่มส่อเค้าว่าต้องวัดดวงกันว่าสภาพอากาศวันที่เราจะข้าม Thorong La นั้นจะเป็นเช่นไร

บรรดาไกด์และลูกหาบเติม

Manang คือหมู่บ้านศูนย์กลางของเขตพื้นที่ Manang ก่อนสิ้นปีมีที่พักเปิดอยู่เพียงสองสามแห่งเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ Tilicho Hotel   น่าจะเป็นที่พักที่ดีที่สุดของ Manang ซึ่งเราได้เข้าพัก ชายหนุ่มชาวเนปาลเชื้อสายทิเบต เจ้าของบอกกับเราว่า เขาเปิดทั้งปีไม่มีหยุด ที่พักแห่งนี้พ่อของเขาสร้างขึ้นมา ทุกวันนี้เขารับช่วงบริหารต่อ แน่นอนว่าเขาบริหารได้ดีที่เดียว หลังจากที่กินแต่อาหารที่มีแต่แป้งมาหลายวัน ฝ่าความชันและเหน็บหนาวของแต่ละค่ำคืนมาจนถึงเมืองสำคัญของเส้นทางอย่าง Manang เป็นเมืองที่เราจะพักสองคืนเพื่อปรับสภาพร่างกายให้รับกับความสูงได้ ก่อนที่จะไต่ระดับไปหาสี่พันและห้าพันเมตร ได้เจอกับที่พักดี ที่สำคัญคืออาหารของที่นี่ดีมาก แม้ว่าจะมีราคาสูงแต่เราก็อดไม่ได้ที่จะปรนเปรอร่างกายของเราด้วย Yak Steak ปิดท้ายด้วยพายแอปเปิ้ลและชานมร้อนๆที่เมือง Manang อากาศปิด มีช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นที่เราได้มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์ แต่ในวันที่เราออกจาก Manang ท้องฟ้ากลับมาเปิดอีกครั้ง แต่ก็เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีขาวลอยล่องอยู่เต็มท้องฟ้า

ประตูเข้าออกห

ออกจาก Manang เส้นทางมีแต่ชันขึ้น เมื่อพ้นสี่พันเมตรเหนือระดับน้ำทะเลไปแล้ว ระยะก้าวของเราก็หดสั้นลงๆ ความเหนื่อยในการก้าวเท้าออกไปแต่ละก้าวดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้น เป็นผลมาจากทั้งระดับความสูง ความชันของเส้นทาง และอากาศที่เบาบาง อยู่ที่พื้นราบใกล้ระดับน้ำทะเลที่กรุงเทพฯ ร่างกายเราได้รับออกซิเจน 100% ที่ความสูงสี่พันเมตรออกซิเจนจะลดลงเหลือ 60% วิวทิวทัศน์บนที่สูงของโลกงดงามชวนให้หลงใหล เริ่มตั้งแต่ออกจาก Upper Pisang มาแล้ว เทือกเขารอบๆ ตัวเราห่มคลุมด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่เส้นทางที่เราย่ำเท้าผ่านไปก็ถูกปูลาดด้วยหิมะเกือบตลอด ออกจาก Manang เดินอีกสองวันเราจะปถึงจุดพักสุดท้ายก่อนเดินข้าม Thorong La

วัดสำคัญของเมือง

วันข้าม Thorong La นับเป็นวันที่สำคัญที่สุดและถือว่ายากที่สุด เพราะเราต้องเดินบนหิมะที่ความสูงห้าพันกว่าเมตรไปเกือบจนถึงจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางที่ 5,416 เมตร เราภาวนาว่าขอให้อากาศดี ท้องฟ้าเปิดในวันที่เราเดินข้ามด้วยเถอะ

 

ตีสองผมละจากความอุ่นของถุงนอนเดินออกจากห้องไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกสบายใจเพราะท้องฟ้าเปิดมองเห็นรอบๆ ตัวได้ชัดเจน แต่พอตื่นมาอีกครั้งตอนตีสี่เตรียมตัวออกเดิน ข้างนอกหิมะเริ่มตกแล้ว เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย เพื่อนชาวเกาหลีตัดสินใจไม่เดินข้ามเพราะพ่วงเอาลูกชายตัวเล็กสองคนมาเดินด้วย แต่ไกด์บริษัททัวร์กลุ่มใหญ่ที่เราเดินเกาะกลุ่มมาบอกว่าวันนี้ยังข้ามได้แต่พรุ่งนี้ไม่แน่แล้ว ตัดสินใจเอาว่าจะเดินข้ามหรือเดินกลับ

หมู่บ้าน Ngawal ของชาวเนปาลเชื้อสายทิเบต

ประมาณตีห้าเราเริ่มออกเดินท่ามกลางความมืดและเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนไปทั่ว เราก้าวเดินอย่างช้าๆ ตามกันไป พอเริ่มมีแสงสว่างในตอนสายเราก็อยู่ระหว่างทาง ย่ำเท้าจมหายลงไปในผืนหิมะ วิวทิวทัศน์ รอบตัว หรือมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีขาวสีเทา ขบวนนักเดินสิบกว่าคน ทยอยก้าวเท้าตามกันไป สภาพของผมรู้ตัวได้เลยว่าแย่มาก บนเขตแดน  ห้าพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเลเป็นโลกที่ห่างไกลจากความคุ้นเคย ที่ไปได้คือด้วยกำลังใจล้วนๆ และความคิดที่ว่าเดี๋ยวก็จบแล้วกัดฟันอีกนิดเดียว   วนเวียนอยู่เช่นนี้ มองปลายเท้านับจังหวะลมหายใจ หาคำสวดภาวนาให้สอดคล้องกับจังหวะหายใจจังหวะก้าวเดิน รู้สึกตัวได้เลยว่านี่เป็นความเหนื่อยที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิตเลย พลังงานในร่างกายตกไปอยู่ในขีดขั้นต่ำแทบจะหมดถังอยู่แล้ว ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดก่อนที่ทางเดินจะเทลาดลงไปอีกด้านหนึ่งของเทือกเขา เจดีย์องค์เล็กถูกพันไว้ด้วยธงมนต์ ป้ายแสดงตำแหน่งความสูง พร่าเลือนอยู่ในเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนอยูในอากาศสภาพอากาศย่ำแย่เอามากๆ ทีเดียว เราทำเฉกเช่นทุกๆ คน คือไปยืนอ่อนระโหยถ่ายภาพกับป้ายเพื่อยืนยันว่า เราฝ่าฟันมาถึงจุดที่สูงที่สุดแล้ว เรียกว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งที่รออยู่คือเดินลงจากจุดนี้ลงไปหาเมือง Muktinath ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเส้นทางที่ง่ายเพราะค่อนข้างชัน รวมทั้งบรรยากาศของวันนี้ที่ถูกพายุหิมะลูกย่อมๆ ผ่านมาเยือน

 

ในโลกของความขาวโพลน ถัดจากวันนี้ไปคงอีกหลายวันกว่าที่ผู้คนจะเดินข้าม Thorong La ได้อีกครั้ง หิมะที่ตกลงมาในวันนี้และน่าจะตกอีกวันได้ทำหน้าที่เป็นกุญแจที่ลั่นดาลเอาไว้เรียบร้อย เรารู้สึกโชคดี ที่วันเวลาในทริปที่เราวางไว้มาประจวบกับดินฟ้าอากาศเช่นนี้พอดิบพอดี หากมาช้าอีกวัน เราคงต้องย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม ไม่อาจข้าม Thorong La อย่างที่ตั้งใจได้ แม้บรรยากาศจะไม่สว่างสดใส แต่ก็มีความงดงามอีกรูปโฉมที่แสดงความจริงอีกด้านหนึ่งของภูเขาให้เราได้ประจักษ์ ในขณะเดียวกันสถานที่แห่งนี้ก็ทำให้เราได้ค้นพบพลังเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราเช่นเดียวกัน

เด็กชาวชายเนปาล1

คืนนั้นเราฉลองกันเล็กๆ ที่ Muktinath ด้วยการสั่งเบียร์มาดื่ม มองดูเกล็ดหิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกที่พัก แม้ว่าจะยังไม่จบทริป แต่เราก็หาได้กังวลอะไรแล้ว เพราะเราได้ผ่านส่วนที่ยากที่สุดของเส้นทางมาแล้ว สรุปแล้วแม้จะไม่ได้เดินรอบใหญ่ของเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเกือบเดือน  แต่เราก็ได้เดินไปบนช่วงที่ถือเป็นไฮไลท์ของเส้นทาง Thorong La แล้ว 10 วันกับระยะทางร่วมหนึ่งร้อยกิโลเมตรบนเทือกเขาอันนะปุรณะ การเดินนอกฤดูนั้นยากลำบากและได้เห็นบรรยากาศของทิวทัศน์   ที่มักไม่ปรากฏอยู่บนคู่มือท่องเที่ยว ถึงจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเดิน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นความจริงอีกมุมหนึ่งของเทือกเขาอันนะปุรณะที่ยากจะลืมเลือน
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปนคร กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ด้วยบริการของสายการบินไทยที่สะดวกสบาย ที่พักในกาฐมาณฑุเราเลือกย่านทาเมลเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของนักเดินทาง ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายราคา ที่สำคัญคือในย่านนี้มีทุกอย่างให้เลือกซื้อหาสำหรับนักเดินทาง โดยเฉพาะกับบรรดานักเดินเขาที่จะไปออกทริปเลียนแบบ มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้เลือกนั่ง แต่เราแนะนำให้ไปที่ Garden Of Dreams ซึ่งตั้งอยู่ในย่านทาเมลเช่นกัน (ต้องเสียเงินค่าเข้า) ด้านในมีสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงามมีร้านอาหาร และร้านกาแฟ บรรยากาศสงบเงียบ การเดินเท้าบนภูเขาสามารถติดต่อบรรดาบริษัททัวร์ซึ่งมีอยู่หลายเจ้าในย่านทาเมล ทุกเส้นต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าไปเดินเท้า ที่พักบนภูเขาหากอยู่ในช่วงฤดูท่องเที่ยวมีให้เลือกหลายแห่ง ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก

สำหรับเด็กชาวท้องถิ่นแล้วความหนาว
วีซ่าเข้าเนปาลสามารถทำได้ที่ สถานทูตเนปาลที่กรุงเทพฯ หรือ จะมาทำ Visa on Arrival ที่สนามบินก็ทำได้โดยไม่ยุ่งยาก (เราเลือกมาทำวีซ่าแบบ Visa on Arrival ที่สนามบินกาฐมาณฑุเลย ใช้เวลาไม่นาน) หลังจากย่ำเท้าบนเทือกเขาหิมาลัยมาสิบวัน วันกลับ เมื่อเดินขึ้นบนเครื่องการบินไทยที่กาฐมาณฑุ  เราก็รู้สึกเหมือนกลับถึงบ้านแล้ว รอยยิ้มที่อบอุ่นและการบริการที่คุ้นเคย ขณะที่เครื่องทะยานขึ้นจากสนามบิน เรามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเทือกหิมาลัย ทอดตัวยาวถูก ห่มคลุมด้วยหิมะสีขาวสะอาดตา

หากคุณคลั่งไคล้การปั่นจักรยาน Copenhagen คือเมืองที่คุณไม่ควรพลาด

Copenhagen on Bicycle

หากคุณเป็นคนที่คลั่งไคล้การปั่นจักรยาน หรือเห็นคนอื่นปั่นจักรยานแล้วมีความสุข อาจด้วยพลังงานจากทั้งผู้คนที่เคลื่อนไหวไปมา Copenhagen เมืองหลวงแห่งประเทศเดนมาร์กคือเมืองที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

dscf0782_w1

ด้วยระยะทางการบินจากกรุงเทพมหานครของเราถึงโคเปนฮาเกน หรือที่คนท้องถิ่นออกเสียงว่า คู้บ เบ็น ฮ้าว” เพียง 11 ชั่วโมง (หากบินตรง) หรือหากต้องต่อเครื่องจากลอนดอนก็ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น

dscf0766_w1

ในยุคที่ผู้คนดูเหมือน “รักโลก-รักเรา” อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมืองนี้ที่วางแผนว่าจะเป็นเมืองที่ใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้พลังงานแบบดั้งเดิมทั้งหมด 100% โดยพลังงานหมุนเวียนนั้นก็ได้แก่ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ มีเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จทั้งเมืองให้ได้   ภายในปีค.ศ. 2050 เราจึงมองเห็นกังหันลมขนาดยักษ์สีขาวหมุนไปหมุนมาดูเพลินตาดี

dscf0721_w1

ก่อนที่เครื่องจะแลนด์ลงบนแผ่นดินเดนมาร์ก เราขอแนะนำให้คุณมองออกมาจากช่องหน้าต่างเครื่องบินเพื่อชื่นชมถนนเชื่อมระหว่างเมืองโคเปนเฮเกนกับเมืองแมลหมู (Malmö) ประเทศสวีเดน เป็นอุโมงค์  ลอดใต้ทะเลออเรซุนด์ (Øresund) สะพานแห่งนี้มีความยาว 8 กิโลเมตรจากอ่าวสวีเดนมาจนถึงเกาะที่ถมทะเลและอุโมงค์ความยาว 4 กิโลเมตรจากเกาะเพเบอร์ฮอล์ม (Peberholm) จนถึงโคเปนเฮเกน ซึ่งเปิดใช้  เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2000 ถนนเส้นนี้ช่วยทำให้การคมนาคม  กับคนในแสกนดิเนเวียและนักท่องเที่ยวสามารถนำจักรยานขึ้นรถไฟไปปั่นเพื่อไปมาหาสู่กันได้อย่างสบายใจ

dscf0949_w1

กระบวนการพิธีการตรวจคนเข้าเมืองไม่เข้มงวดเลยสักนิด ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเราได้ผ่านการออกวีซ่ากลุ่มประเทศเชงเก้นจากสถานทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดมากที่สุดมาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามมากมายเหมือนกับการเดินทางเข้ามหานครลอนดอนหรือเมืองใหญ่อื่นๆ ในยุโรป

dscf0864_w1

การเดินทางมาโคเปนเฮเกนในครั้งนี้ของเราไม่มีจุดหมายสำคัญนอกจากตั้งใจว่าจะไปดูงานศิลปะที่ Museum of Modern Art LOUISIANA มีงานประติมากรรมกลางแจ้ง และงานของศิลปินเลื่องชื่ออย่าง Yayoi Kusama (ยาโยอิ คุซามะ) ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปิน แขนงอื่นๆ สร้างสรรค์ผลงานแตกหน่อออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด งาน Installation “Gleaming Lights of the Souls” จัดแสดงไว้ในห้องเล็กๆ ทำให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมปลดปล่อยจินตนาการโดยไม่ต้องรอคิวยาวเหยียดเหมือนจัดแสดงที่ลอนดอน

dscf0724_w1

แน่นอนว่าก่อนกลับขอแนะนำให้แวะที่ร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์ “Louisiana Butik” ที่ขนงานดีไซน์จากนักออกแบบทั้ง  ชาวเดนิชเองและจากประเทศเพื่อนบ้านมีตั้งแต่งานเซรามิก งานผ้า น้ำหอม ถ้วยโถโอชาม หรือแม้แต่หนังสือดีๆ ที่อาจหาที่อื่นได้ เรียกว่ามีของให้ช็อปตั้งแต่หลักสิบยันหลักหมื่น (โครน) และที่ห้ามพลาดคือการนั่งชิลด์จิบกาแฟที่ Louisiana Cafe เลือกที่นั่งริมระเบียงเพื่อมองวิวริมทะเลจะช่วยทำให้คุณผ่อนคลายพร้อมๆ ไปกับพักสายตาด้วยประติมากรรมชิ้นเอกจากประติมากรชาวอเมริกันเลื่องชื่อ Alexander Calder (อเล็กซานเดอร์ คัลเดอร์)

The Nyhavn docks become alive as the sun sets in this Danish summer night.

เราได้รับการดูแลอย่างดีจากคุณกอล์ฟ – ยศอนันต์ มากสมบูรณ์ เพื่อนรุ่นน้องที่มาใช้ชีวิตตามประสาคติ Slow Life อยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้มานานถึง 17 ปี คุณกอล์ฟมีภรรยาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ และมีลูกน้อยหน้าตาหล่อเหลามาก คาดเดาว่าโตขึ้นสามารถเป็นนายแบบได้อย่างสบาย

dscf0980_w1

ก่อนเรามาคุณกอล์ฟช่วยทำการบ้านให้ด้วยการแนะนำให้เราซื้อ Copenhagen Card ด้วยคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการของบัตรที่จะทำให้เราสามารถขึ้นรถบัส รถไฟใต้ดิน รถไฟและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ได้อย่างไม่จำกัดถึง 73 แห่งภายในระยะเวลา 24-120 ชั่วโมงนับว่าคุ้มมากที่สุด (ราคาเริ่มตั้งแต่ 379-839 โครนสำหรับผู้ใหญ่) บัตรนี้มีจำหน่ายที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใจกลางเมืองตรงข้ามกับสวนสนุก Tivoli แลนด์มาร์กหลักของเมือง ที่สนามบิน และที่พิพิธภัณฑ์ทุกแห่ง

dscf0733_w1

การเดินทางจากในเมืองโคเปนเฮเกนเพื่อไปยัง Louisiana ต้องนั่งรถไฟจากสถานีรถไฟกลางเมืองไปอีก 40 นาที เราขอแนะนำว่าคุณสามารถลงทะเบียนรับบริการ Free-Wifi ได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประจำเมืองเช่นกัน ช่วยประหยัดสตางค์ไปได้อีกนิดและไม่หลุดการเชื่อมต่อจากโลกโซเชียล

dscf0760_w1

หากคุณมีเวลาสัก 2 คืนในเมืองแห่งนี้ ขอแนะนำให้แวะไปทำความเข้าใจกับวิถีชีวิตของคนที่นี่และประเทศใกล้เคียงรวมถึงประวัติศาสตร์ ของโลกตั้งแต่ยุคน้ำแข็งจนถึงยุคปัจจุบัน มีการจัดแสดงงานไว้เป็นหมวดหมู่เข้าใจง่ายที่ The Museum Of National History ซึ่งอยู่บริเวณเกาะใจกลางเมืองใกล้ๆกับอาคารรัฐสภา หอสมุดแห่งชาติ (หรือที่เรียกว่า The Black Diamond) หรือพระราชวังคริสเตียนเบิร์ก ไม่ว่าจะไปที่ไหน หากคุณเป็นคนชื่นชอบสถาปัตยกรรมยุโรปหรือดีไซน์ร่วมสมัยแล้ว เมืองนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน โดยเฉพาะความล้ำเลิศในการจัดการกับ “ที่ว่าง” ให้ดูโล่ง เมื่อเดินหรืออยู่ในอาคารนั้นๆ จะไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด ด้วยเหตุนี้เองคนเดนิชเลยเป็นนักออกแบบสร้างสรรค์ระดับโลก ข้อนี้เราคิดเอาเองเพราะความมหัศจรรย์แห่งความ “ว่าง” ที่สถาปนิกนักออกแบบตกแต่ง นักจัดวางภูมิทัศน์ ฯลฯ หรืออาจเหมาเอาได้ว่าคน  ที่นี่มีความว่างที่เป็นบ่อเกิดของการกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ให้ทำงานอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ

dscf0772_w1

เสร็จจากเดินชมพิพิธภัณฑ์แล้วก็ควรหาเวลาเดินเล่น หรือปั่นจักรยานที่มีให้ยืมทั่วไป จักรยานรุ่นใหม่นำทางด้วยระบบ GPS ใช้ระบบการจ่ายด้วยเครดิตการ์ดไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ชาวเมืองด้วยกัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วได้รับความนิยมพอสมควร การแข่งขันให้เช่าจักรยาน   ก็ดูเป็นเทรนด์ที่มาแรงมาก มีจักรยานให้เลือกเช่าหลายแบบ เช่น แบบมาตรฐาน (2 ล้อ) ราคา 110 โครน (ต่อ 24 ชั่วโมง) หรือแบบครอบครัว (3 ล้อที่มีที่นั่งกระบะด้านหน้า) ราคา 450 โครน (ต่อ 24 ชั่วโมง)

golfcopen_w1

หรือหากจะออกแรงเดินให้เพลินๆ สามารถทำได้โดยไล่ไปตั้งแต่อาคารหอสมุดหรือที่รู้จักกันในชื่อ The Black Diamond ไปจนถึงบริเวณท่าจอดเรือ Nyh Havn เดินข้ามสะพาน Inderhavnsbroen ที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ เปิดใช้เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมปีนี้เอง แม้ว่าจะใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 5 ปี (ประวัติคร่าวๆ ก็คือ สะพานนี้เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 2011 ตอนแรกกะจะสร้างเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 แต่สร้างไปครึ่งปี ก็พบว่าแปลนที่วาดมามีข้อผิดพลาด จึงต้องทำการแก้ไขอย่างเร่งด่วน พอแก้ไขเสร็จ บริษัทรับเหมาก่อสร้างเดิมที่รับผิดชอบอยู่ก็ประกาศล้มละลาย ต้องหาบริษัทใหม่มารับช่วงต่อ หลังจากนั้นก็ยังไม่หมดเรื่อง เพราะงบประมาณแรกที่ตั้งไว้ 220 ล้านโครนนั้น ใช้ไปหมดจากความล่าช้าที่เกิดขึ้น ทำต้องอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมมาอีก  100 ล้านโครน จึงเสร็จจนได้) นับเป็นสะพานแห่งมิตรภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของจริง ชาวเมืองโคเปนเฮเกนล้วนภาคภูมิใจ สะพานนี้เองเชื่อมระหว่าง Nyhavn ไปจนถึง Christianhavn และมีสะพานเล็กเชื่อมไปที่เกาะกระดาษ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Copenhagen Street Food ที่ชื่อว่าเกาะกระดาษ (PapirØen) ก็เพราะว่าสมัยก่อนเป็นที่ตั้งของโรงงาน ทํากระดาษ ที่นี่ประกอบไปด้วยร้านอาหารนานาชาติ มีร้านอาหารไทย เกาหลีญี่ปุ่น อินเดีย ฯลฯ มากมายถึง 35 ร้าน บาร์เบียร์หลากสัญชาติ   5 แห่ง ห้องน้ำใหญ่โตกว้างขวางมีพื้นที่นั่งด้านนอกรับลมริมทะเลเป็นแหล่ง แฮงค์เอาท์ของคนหนุ่มสาว วัยทำงาน นักท่องเที่ยว เรียกว่าเป็นโครงการนำเอาอาคารเก่าที่เคยเป็นโรงงานกระดาษมาปรับใช้พื้นที่เพื่อการสันทนาการ ให้สอดรับกับวิถีคนเมือง จุดนี้เองที่ทำให้โคเปนเฮเกนมีชีวิตชีวาไม่ดูอึมครึมหรือเงียบเหงาเหมือนบางเมืองในยุโรปที่เคยไปมา

dscf1037_w1

แค่เดินเล่นในโคเปนเฮเกนรับพลังงานจากคนทุกเพศทุกวัยที่ขับขี่จักรยานวนเวียนไปมาตั้งแต่เช้ายันดึก (หนุ่มสาวและคนวัยทำงานชอบออกมาดื่มด่ำรับลมยามค่ำคืนกันมาก ที่นั่งด้านนอกบาร์จึงมักได้รับ ความนิยม ช่วยเพิ่มอรรถรสการเป็นนักสังเกตการณ์ได้เป็นอย่างดี    หากจิบเบียร์ Tuborg ด้วยก็จะได้อารมณ์มาก) เดินเล่นๆ สูดรับอากาศบริสุทธิ์ริมทะเล มองเห็นคนใช้ชีวิตกลางแจ้งเล่นเรือใบ ว่ายน้ำ ตกปลา กีฬาทางน้ำแทบทุกชนิด ก็นับว่าเพียงพอต่อการมาชาร์จแบตเพิ่มพลังให้กับชีวิตแล้ว รับรองว่าไฟในตัวคุณจะลุกโชนจนอยากหาจักรยานเอาไว้ปั่นสักคัน

 

ผ่อนคลายแบบใกล้ชิดธรรมชาติที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก Four Seasons Tented Camp Golden Triganle

Hidden Adventure

ซุกตัวอยู่ในทิวเขาสีเขียวสดโอบล้อมลำโขงที่ไหลระหว่างพรมแดนลาว พม่า และไทย คือเต็นท์สีขาวจำนวน 15 หลังและฝูงช้างป่าที่รอให้คุณมาสัมผัสประสบการณ์ความผ่อนคลายแบบใกล้ชิดธรรมชาติที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก Four Seasons Tented Camp Golden Triganle

CHR_015_aspect16x91

แหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังของจังหวัดเชียงรายเห็นจะหนีไม่พ้นบริเวณเกาะแก่งแผ่นดินของสามประเทศเพื่อนบ้านมาบรรจบกัน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อสามเหลี่ยมทองคำ ความงดงามของลำน้ำและทิวเขาของบริเวณนี้เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้ Four Seasons รังสรรค์แคมป์หรูหรากลางป่า เพื่อต้อนรับนักผจญภัยที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายจำเจ เมื่อนั่งเรือหาวยาวจากฝั่งโขงไปเป็นระยะเวลาประมาณ 15 นาที คุณจะเริ่มเห็นหลังคาเต็นท์สีขาว ซ่อนตัวมิดชิด กระจายตัวห่างกันอยู่ตามไหล่เขา เชื่อมถึงกันด้วยสะพานที่สร้างจากเชือกเกลียวหนาและไม้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ คุณสามารถเลือกที่จะผ่อนคลายอยู่ในเต็นท์ส่วนตัวที่ตกแต่งด้วยโทนสีไม้และขาว พร้อมทิวทัศน์ของเทือกเขาที่จะผ่อนคลายสายตา หรือออกไปเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ Four Seasons เตรียมไว้ให้

04742-A

04742-A

Explorer

นอกจากสถานที่ตั้งและรูปแบบของสถาปัตยกรรมแล้ว ที่นี่ยังโดดเด่นด้วยกิจกรรมที่จะเปิดโอกาสให้คุณลองเป็นนักผจญภัย ไม่ว่าจะเป็นการสอนขี่ช้างและเลี้ยงช้างตามภูมิปัญญาของคนพื้นเมืองที่นี่ การเดินเขาตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ลัดเลาะไปตามแนวป่าจนพบกับทิวทัศน์ที่คุณคาดไม่ถึง พ้นเขตแคมป์ไปแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก น้ำพุร้อน ในห้วยหมากเลี่ยม หรือยอดดอยสะโงะ

CHR_124

Epicurean

แต่ถ้าไม่รักการผจญภัยเท่าใดนัก ที่นี่ก็พร้อมจะพาคุณไปเรียนรู้เรื่องวัตถุดิบและพืชสมุนไพรที่ปลูกในบริเวณแคมป์ก่อนจะนำมาปรุงอาหาร หลังจากออกเก็บเกี่ยวและเลือกสรรวัตถุดิบสดๆ จากต้น เชฟแห่ง Four Seasons Tented Camp Golden Triangle ก็จะรอคุณอยู่ที่ปลายทางเพื่อสอนวิธีการปรุงวัตถุดิบเหล่านั้นทันที อีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าสนใจคือการนั่งเรือหางยาวล่องไปตามลำน้ำเพื่อรับชมสามเหลี่ยมทองคำจากมุมมองใหม่ เชื่อเถอะว่าหมอกสีขาว สายลม และน้ำที่สาดกระเซ็นจะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อย Four Seasons พร้อมที่จะผ่อนคลายคุณด้วยสปาแบบเปิดโล่งที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ พร้อมบริการคุณด้วยทรีทเมนต์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น นวดไทย นวดน้ำมัน ขัดตัว ฯลฯ

CHR_069

ที่ตั้ง: สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

การเดินทาง: เดินทางด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพมหานคร ใช้เวลาประมาณ 75 นาที จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถยนต์เป็นระยะทาง 65 กิโลเมตร จากนั้นลงเรือหางยาวเป็นเวลา 15 นาที

ราคา: เริ่มต้นที่ประมาณ 93,000 บาทต่อคืน

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ (ฤดูหนาว)

CHR_086_aspect16x9

Content by Ronnakorn R., Photography By Four Seasons