Posts

All NEW Mazda 3 (2019) ดีไซน์ใหม่ พร้อมเครื่องยนต์ SKYACTIV-X

Mazda ทำตลาดรถยนต์นั่งขนาดกระทัดรัด C-segment ของพวกเขาด้วยรถอย่าง Familia ตั้งแต่ปี 1963 และได้วิวัฒนาการต่อมาอีก 8 เจนเนอเรชั่นโดยใช้ชื่อในการทำตลาด 323 และ Protege ในบางประเทศ หลังจาก 8 เจนเนอเรชั่นผ่านไป Mazda ก็ยุบชื่อเดิม แล้วใช้ชื่อรุ่นเป็นตัวเลขแทน นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Mazda 3 (ในญี่ปุ่นเรียกว่า Axela) ซึ่งเปิดตัวเจนเนอเรชั่นแรกในญี่ปุ่นเมื่อเดือนตุลาคมปี 2003 โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกับ Ford จนกระทั่งวันที่ 26 มิถุนายน 2013 Mazda เผยโฉมเจนเนอเรชั่นที่ 3 ที่มีโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องยนต์แบบ SKYACTIV เป็นการปฏิวัติรูปแบบของรถจากนอกถึงใน

นับจากปี 2003 ถึงปัจจุบัน Mazda ขายรุ่น 3 ไปแล้วมากกว่า 6 ล้านคัน เป็นรถรุ่น Global ที่มียอดขายดีที่สุดของค่าย สร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรมให้กับ Mazda รถเจนเนอเรชั่นที่ 3 (SKYACTIV 1) เป็นแรงผลักดันสำคัญส่วนหนึ่งในเรื่องการออกแบบ KODO design และวิศวกรรมที่มุ่งเน้นความรู้สึกที่ดีเมื่อได้ขับ ตลอดจนการตอบสนองต่อคำสั่งของผู้ขับ และลดอัตราการสิ้นเปลืองลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ Mazda 3 สมัยที่อยู่ใต้ร่มของ Ford

Mazda 3 ในทุกรุ่น มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ SkyActiv-X ขนาด 2.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 222 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ตามมาตรฐาน นอกจากนี้ ทั้งแบบแฮทช์แบ็คและซีดาน จะมาพร้อมกับตัวเลือก i-Activ all-wheel drive ของมาสด้า ซึ่งจะมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เท่านั้น

นอกจากนี้แล้ว Mazda ยังมีแพ็คเกจใหม่ทั้งในรุ่นแฮทช์แบ็คและรุ่นซีดาน ที่อาจจะมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบ Active Driving เบาะหนัง มี Moonroof ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED และมีระบบปรับแสงสว่างที่ด้านหน้า

เจษฎาเทคนิคมิวเซียม พิพิธภัณฑ์สำหรับคนรักรถ Classic อย่างแท้จริง

“โอ้โห…” เป็นคำอุทานของเหล่าทีมงานที่หลุดออกมาจากปากอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่อันกว้างขวางของเจษฎาเทคนิคมิวเซียมที่ดูเหมือนจะคับแคบไปถนัดตาเพราะรถสารพัดขนาดและหน้าตาที่จอดเรียงรายกันจนเต็มพื้นที่ ทีมงานหลายคนดูจะตื่นเต้นกับรถขนาดกะทัดรัดที่เรียกว่า ‘ไมโครคาร์’ ส่วนอีกหลายคนก็ตาดีไปเห็นใบพัดใต้ท้องรถและตระหนักว่ารถคันตรงหน้านั้นสามารถแปลงร่างเป็นเรือได้ในยามจำเป็น ในขณะที่ทีมงานเพศชายที่มีใจรักรถยนต์เป็นทุนเดิมอยู่นั้นก็ดูจะตื่นตาไปกับรถโบราณหน้าตาดีที่รายเรียงกัน จนทำให้เราต้องปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเก็บภาพและหาโลเคชั่นกันตามใจ ท่ามกลางสายตาอันอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของเจษฎา เดชสกุลฤทธิ์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ด้วยใจรัก

“ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีนะครับ” เขาเริ่มต้นเล่าด้วยน้ำเสียงใจดีไม่ผิดกับหน้าตา “เปิดบริการตั้งแต่พ.ศ. 2549 แล้วครับ ผมไม่หวังผลกำไร แค่อยากจะอนุรักษ์มรดกและประวัติศาสตร์เรื่องยานพาหนะและเครื่องจักรกลจากทั่วโลกเท่านั้นเองครับ

“จุดเริ่มต้นเหรอครับ” เขานิ่งคิด “ผมก็คงคล้ายกับเด็กผู้ชายหลายคนที่ตอนเด็กๆ ชอบรถยนต์และบรรดาเครื่องยนต์กลไกต่างๆ บังเอิญที่บ้านก็มีอาชีพเกี่ยวกับการซ่อมรถด้วย ผมจึงเติบโตมากับพวกรถยนต์และเครื่องยนต์น่ะครับ พอโตมาก็มีอาชีพเกี่ยวกับยานพาหนะด้านบรรเทาสาธารณภัย โดยเฉพาะรถดับเพลิง ทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในทวีปยุโรป เวลาว่างผมก็จะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์รถยนต์และเครื่องจักรกล หรือที่แถบนั้นเรียกกันว่า Technik Museum เรียกได้ว่าไปกี่ครั้งๆ ก็จะต้องเจียดเวลาเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ทุกครั้ง เห็นรถสะสมที่เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก หรือ ‘ไมโครคาร์’ ก็เริ่มอยากสะสมบ้าง เลยเริ่มต้นซื้อตามงานประมูลต่างๆ โดยรถคันแรกที่มาถึงมือผมได้แก่ Messerschmitt KR200 เป็นรถสัญชาติเยอรมันที่ผมประมูลได้มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อพ.ศ. 2540 ตั้งแต่คันนั้นมาถึงบัดนี้ผมมีไมโครคาร์รวมๆ แล้วกว่า 300 คันครับ

“Messerschmitt เป็นบริษัทผลิตเครื่องบินให้กับกองทัพเยอรมันครับ หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง บริษัทก็ถูกประเทศสัมพันธมิตรสั่งห้ามผลิตเครื่องบินต่อ เลยเบี่ยงมาผลิตรถยนต์แทน แต่เขาก็ยังรักษารูปร่างหน้าตาไว้ให้เหมือนเคบินของเครื่องบิน ตัวเครื่องไม่กี่ซีซีเท่านั้น เพราะน้ำมันราคาสูง และวัสดุผลิตก็หายากเนื่องจากประเทศแพ้สงคราม รถ Messerschmitt KR200 คันแรกของผมนี่เปิดประตูโดยยกขึ้นจากด้านข้าง แบบนี้นะครับ” มีคนแสดงกลไกการเปิดประตูอันน่าทึ่งนี้ให้เราเห็นจริงจัง ท่ามกลางเสียงฮือฮาของทีมงาน “นี่คือไมโครคาร์คันแรกของผม ผมเลยเอามาทำเป็นสัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์ครับ

“ส่วนคันนี้คือ BMW Isetta ซึ่งความพิเศษคือมันเคยเป็นบริษัทผลิตสกูตเตอร์และตู้เย็นของประเทศอิตาลี เขาจึงออกแบบมาให้ไมโครคาร์คันนี้เปิดหน้าเหมือนกับประตูตู้เย็น พอ BMW ซื้อลิขสิทธิ์มาก็ผลิตต่อโดยเคารพรูปแบบดั้งเดิม ลักษณะกลมมนแบบนี้ทำให้มันถูกเรียกว่า ‘บับเบิลคาร์’ ซึ่งไมโครคาร์ส่วนใหญ่ก็มีสามล้อเป็นปกติแล้วนะครับ และที่สำคัญคือเวลาเกิดอุบัติเหตุสามารถเปิดหลังคาผ้าใบแล้วลุกหนีออกจากรถได้เลย หลังๆ ก็มีการซื้อลิขสิทธิ์ไปผลิตต่อโดยหลายบริษัทครับ อย่าง Heinkel Kabine ก็ใช่ครับ ในพิพิธภัณฑ์มีหลายคันอยู่”

นอกจากนั้นแล้วเจษฎายังเล่าเรื่องราวของไมโครคาร์หลากหลายสัญชาติให้พวกเราฟัง ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะก่อตั้งพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมา เพราะกระแสเสียงความรักนั้นส่งผ่านมาถึงทีมงานเราได้ไม่ยากนัก “ความสุขของการสะสมจริงๆ คือการได้เห็นรถเก่าพวกนี้กลับมาวิ่งได้อีกครั้งหนึ่ง ผมให้ทีมงานของผมซ่อมจนทุกคันกลับมาใช้การได้จริงนะครับ และผมโชคดีมากๆ ที่มีโอกาสได้นำของสะสมเหล่านี้ไปรับใช้ในงานสำคัญๆ ของประเทศ การได้เห็นไมโครคาร์คันจิ๋วๆ วิ่งเรียงรายกันบนถนนราชดำเนิน ถนนเยาวราชนั้น เป็นภาพที่สวยงามและแปลกตาจริงๆ ครับ ถือเป็นขบวนพาเหรดบนถนนสายสำคัญของประเทศจริงๆ” สีหน้าของเขาแสดงความสุขอย่างปิดไม่มิด

“ตอนนี้ผมซื้อที่ริมแม่น้ำไว้ขยายพิพิธภัณฑ์แล้วนะครับ” เขาเล่าต่อ “ตอนแรกๆ น่ะผมก็สะสมรถเหล่านี้ไว้ดูคนเดียว แต่มันก็เพิ่มจำนวนขึ้นจนกลายเป็นหลายร้อยคัน เวลาเพื่อนฝูงได้มาชมทุกคนก็ชอบ พอผมได้ตัดสินใจซื้อเรือดำน้ำเก่าของโซเวียตก็จัดแถลงข่าว เริ่มมีคนภายนอกรู้จัก ผมจึงตัดสินใจเปิดพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการเมื่อพ.ศ. 2549 เพราะทุกอย่างก็พร้อมอยู่แล้ว ตอนนี้ผมเปิดให้เข้าชมฟรีครับ แต่ถ้าส่วนที่สร้างใหม่เสร็จเมื่อไรผมค่อยเก็บค่าเข้าครับ อยากจะให้พิพิธภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานสากล และให้บริการครบวงจร มีการจัดแสดงยานพาหนะทุกประเภท แบ่งเป็นโซนชัดเจน และผมก็จะมีเรือรบหลวงมาอยู่ในคอลเลกชั่นด้วยนะครับ”

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.jesadatechnikmuseum.com

งานรวมพลที่ห้ามพลาดสำหรับผู้รักรถยนต์ที่มีคาแร็กเตอร์และสไตล์ที่ชัดเจน

Vintage roadsters

งาน Chantilly Arts & Elgance Richard Mille ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนปีที่ผ่านมานั้นได้บริษัทประมูลอย่าง Bonhams ส่งรถยนต์สวยๆ เข้าร่วมงานอย่างมากมาย แม้ว่าคนจะไม่คลั่งไคล้การประมูลรถยนต์เหมือนกับงานในปีก่อนๆ แต่เสน่ห์ของรถยนต์รุ่นเก่าๆ ที่เข้ามาร่วมประมูลนั้นก็ยากที่จะต้านทานได้จริงๆ

มอเตอร์โชว์ครั้งสำคัญอย่าง Chantilly Arts & Elgance Richard Mille ที่จัดขึ้นเป็นปีที่สามแล้วได้ถูกจัดให้เป็นงานรวมพลที่ห้ามพลาดสำหรับผู้รักรถยนต์ที่มีคาแร็กเตอร์และสไตล์ที่ชัดเจนและแตกต่างจากงานแสดงรถยนต์อื่นๆ

ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัด ผู้เข้าร่วมงาน (ซึ่งคาดว่าจะมีถึง 13,500 คน ในปีนี้) บรรยากาศในงาน การแสดงแฟชั่น ดนตรี และที่ขาดไม่ได้ ก็คือรถยนต์รุ่นหายากและราคาแพงลิบ ทุกอย่างรวมอยู่ในงานนี้แล้ว งานอวดโฉมรถยนต์ครั้งนี้มีคอนเซ็ปต์คาร์จาก 8 ค่ายเข้าร่วมงานทั้ง Aston Martin (แอสตัน มาร์ติน) BMW (บีเอ็มดับเบิ้ลยู) Bugatti (บูกัตติ) Lexus (เล็คซัส) McLaren (แม็กลาร์เรน) Mercedes-Benz (เมอร์เซเดส-เบนซ์) Rolls-Royce (โรลส์-รอยซ์) DS Automobiles (ดีเอส ออโตโมบิลส์) และ DS E-Tense (ดีเอส อี-เท็นซ์) ซึ่งคว้ารางวัล Best Of Show ไป “เราได้รับรางวัลอันทรงเกียรติหลายรางวัลจากการจัดงานสองครั้งแรก ทำให้เราได้รับยกย่องให้เป็นงานมอเตอร์โชว์ที่ดีที่สุดงานหนึ่ง และก็ทำให้บริษัทรถยนต์หลายต่อหลายค่ายตอบรับเข้าร่วมงานของเรา เป้าหมายของเราในปีถัดๆ ไปนั้นอยากจะให้ยอดผู้เข้าชมทะลุถึง 20,000 – 25,000 คน คู่แข่งสำคัญของเราก็ได้แก่งาน Le Mans Classics ทำให้เราต้องหารถที่โดดเด่น แปลก และแตกต่างมาสู้ อย่างไรก็ตาม ผมก็มั่นใจว่าอนาคตของ Chantilly Arts & Elégance Richard Mille จะสดใสอย่างแน่นอนครับ” Patrick Peter (แพทริค ปีเตอร์) ผู้จัดงานกล่าว

นอกเหนือไปจากค่ายผลิตรถยนต์ต่างๆ ที่ตบเท้ากันเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ยังมีบริษัทประมูล Bonhams ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ลอนดอน นิวยอร์ก และฮ่องกง ได้นำเสนอโฉมงามสี่ล้อจำนวน 29 คันให้เข้าร่วมประมูลในงาน ตั้งแต่รถเปิดประทุนรุ่น 1,500 คันกะทัดรัดจาก Nash Metropolitan     (แนช เมโทรโพลิแทน) ไปจนถึงรุ่น 911 (Type 964) Turbo 3.6.  คันบึกบึนจาก Porsche (ปอร์เช่) ไม่จำเป็นต้องรอให้รถทุกคันขายจนหมด ยอดเงินรวมที่ได้จากการประมูลก็เกิน 9 ล้านยูโรไปแล้ว  แค่ Mercedes-Benz 500K Roadster 1935 คันเดียวก็จบการประมูลไปที่ 5,290,000 ยูโรแล้ว ทำให้ Malcolm Barber (มัลคอล์ม บาร์เบอร์) ผู้อำนวยการร่วมของ Bonhams กล่าวว่า “Chantilly Arts & Elégance Richard Mille เป็นอีเวนต์สุดหรู  และ Bonhams ก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนในงานนี้ และเราก็พอใจกับผลลัพธ์มากเลยครับ” แม้ว่าผลลัพธ์จะออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์  ไปสักเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจไม่น้อยทีเดียว

7C5A0894R1

MERCEDES-BENZ 500K ROADSTER 1935

€5,290,000

ในที่สุด เจ้า 500K คันนี้ก็ได้ประมูลออกไปด้วยราคา 5,290,000 ยูโร ประวัติของรถคันนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง ตั้งแต่เปิดตัวที่เบอร์ลินในปีค.ศ. 1935 นักธุรกิจชาวเยอรมันนามว่า Hans Friedrich Prym (ฮานส์ ฟรีดริช พรีม) ก็ได้ไปครอง หลังจากถูกขโมยในปีค.ศ. 1945 ก็ไปโผล่อยู่ที่อเมริกาอีกครั้งในปีค.ศ. 1970 ถึงจะเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วหลายครั้ง แต่นับตั้งแต่ปีค.ศ. 2012 เป็นต้นมา รถคันนี้ก็กลับไปสู่อ้อมกอดของตระกูลพรีมอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความแรงระดับ 160 แรงม้าและความเร็วสูงสุดที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้รถยนต์คันนี้มีสมรรถนะสูงสุดคันหนึ่งของยุค ผลิตออกมาทั้งหมด 354 คัน แต่มีเพียง 29 คันเท่านั้นที่ได้ประกอบตัวถัง Roadster

24066247-4-35

Horch 853 Spezialroadster 1937

€1,035,000

ก่อนที่ Audi (ออดี้) จะถือกำเนิด เจ้ารถยนต์สัญชาติเยอรมันคันนี้ซึ่งทั้งโฉบเฉี่ยวและสง่างามในคราเดียวกัน ถูกผลิตออกมาเพียง 950 คัน คันที่ Bonhams เสนอขายนั้นมีประวัติที่ซับซ้อน เคยไปพักผ่อนอยู่แถวท้องไร่ท้องนาในยูเครนมาเป็นเวลานาน และถูกดัดแปลงตัวถังให้เป็นรถกระบะเพื่อใช้งานแบบอเนกประสงค์ ทำให้บริษัท Horch Classic ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพรถกันอย่างยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. 2009 กว่าจะแปลงร่างกลับมาเป็นสภาพแบบนี้

Lot 8 Porsche

Porsche 911 (Type 964) 3.6 Turbo 1993

€238,625

ด้วยดีไซน์ยั่วยวนใจ และพลังอันเหลือล้น ทำให้เจ้า 964 Turbo คันนี้เป็นหนึ่งในปีศาจตัวเทพแห่งยุค ’90s คันนี้ซื้อที่ประเทศโอมานในปีค.ศ. 1993 และวิ่งไปน้อยกว่า 50,000 กิโลเมตร การันตีได้ถึงประสิทธิภาพที่ยังอัดแน่นอยู่เต็มตัวถัง

1626421-1600-951

Ferrari Dino 246 GT Berlinette 1973

€262,200

เวลาไม่สามารถทำอะไรเจ้า Ferrari Dino 246 คันนี้ได้เลย และดูเหมือนว่าโฉมรถจะงามขึ้นทุกปีๆ เสียด้วย รถคันนี้เป็นหนึ่งใน 200 คัน จาก E-Series ถึงแม้ว่าสีรถจะไม่ใช่สีเดิมซึ่งเป็นสีฟ้า แต่ก็มีผู้มาประมูลไปด้วยราคาที่ไม่โหดมาก คือ 262,000 ยูโร ยังไม่รวมค่าขนส่ง

24071121-1-59

BMW Z1 1990

€69,000

Z1 คันนี้ไม่เคยเก่าเลย เหมือนกับระบบประตู มหัศจรรย์” ที่ผลุบลงไปในบังโคลนรถได้อัตโนมัติ จริงๆ แล้ว ไม่มีบริษัทผลิตรถยนต์ค่ายไหนซื้อไอเดียประกอบประตูรถยนต์แบบนี้เลย รถคันนี้วิ่งมาแล้ว 23,203 กิโลเมตร จุดเด่นอยู่ที่การเล่นสีซึ่งได้หายาก (มีรถแค่ 133 คันที่ผลิตระหว่างปีค.ศ. 1988 – 1991 ที่ใช้สีนี้) เปลี่ยนเจ้าของมาแค่สองมือ แต่ราคาประมูลพุ่งสูงถึง 69,000 ยูโรไม่รวมค่าขนส่ง

24067073-1-28

Range Rover 4×4 1975

€40,250

ถ้าคุณยังแคลงใจกับสมรรถนะของ Range Rover (แรนจ์โรเวอร์) ที่ตกรุ่นอยู่ในกรุเช่นนี้ ราคาประมูลเกิน 40,000 ยูโรของรถปีค.ศ. 1975 ที่เปลี่ยนเจ้าของมาแล้วห้าคนคันนี้คงจะพิสูจน์อะไรได้ไม่มากก็น้อย รถวิ่งไปเพียง 74,000 กิโลเมตรเท่านั้น สภาพเดิมแบบสุดๆ แถมสีทองคลาสสิกนี้ก็ดูเข้ากับรูปลักษณ์ตัวถังเป็นอย่างดี

สรุปยอดการประมูล  

€5,290,000

Mercedes-Benz 500K Roadster 1935

€1,035,000

Horch 853 Spezialroadster 1937

€632,500

Horch 853A Sportcabriolet 1938

€632,500

Horch 780B Cabriolet 1934

€293,250

Bentley Continental S1 Coup 1956

€262,200

Ferrari Dino 246 GT Berlinette 1973

€238,625

Porsche 911 (Type 964) 3.6 Turbo 1993

€207,000

Rolls-Royce Silver Cloud III Cabriolet 1965

€138,000

British Salmson 20/29 HP 2.6 Litre Roadster 1938

€101,200

Porsche 928 GTS 1994

€70,150

Jaguar XJ-S V12 Lynx Eventer 1984

€69,000

BMW Z1 1990

€51,750

Alfa Romeo Montral Coup 1972

€40,250

Range Rover 4×4

1975

€17,825

Nash Metropolitan

1500 Cabriolet 1962

€16,675

Ferves Ranger 4×4

1969