เปิดโผรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 87 ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งผู้ที่มีรายชื่อเข้าชิงรางวัลมากที่สุดในปีนี้คือ ภาพยนตร์ตลกร้ายอย่าง Birdman ของ อเลฮานโดร กอนซาเลช ฮีนาร์รีตู และภาพยนต์อาชญกรรมคอมมาดี้ The Grand Budapest Hotel ของ เวส แอนเดอร์สัน โดยทั้งคู่เข้าชิงเรื่องละ 9 สาขา

มารู้จักหนังทั้ง 8 ที่เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขา ภาพยนต์ยอดเยี่ยม (Best Picture)

Birdman หนังที่ชนะใจนักวิจารณ์
สำหรับเนื้อเรื่องของ Birdman หาใช่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ระเบิดเมือง (อย่างที่พวกเราคิด) แต่ถือเป็นหนังตลกร้าย เหน็บ เจ็บแสบ พูดถึงเรื่องของ อดีตนักแสดง ไมเคิล คีตัน ที่เคยโด่งดังเป็นพลุแตก มาจุดที่ตกอับจนไม่มีใครสนใจ และต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยการรับบทนำในละครบรอดเวย์ พร้อมการปรากฎตัวของมนุษย์นก นอกจากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ต่างกับการหยิบชีวิตรุ่งเรืองในอดีตของ ไมเคิล คีตัน ผู้รับบทนำ มาล้อเลียนแบบเจ็บจี๊ด ทำให้ได้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ว่า นี่คือบทบาทที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของเขาเลยก็ว่าได้ หากว่าด้วยเรื่องการกำกับของผู้กำกับคนเก่ง อเลฮานโดร กอนซาเลช ฮีนาร์รีตู ถือเป็นการฉีกแนวทางเดิมๆ จากหนังดราม่าของเขาอย่าง Babel หรือ 21 Grams มาเป็นหนังดราม่าคอมมาดี้

The Grand Budapest Hotel สีสันกินขาด อัตราภาพเหนือชั้น
หนังที่ว่าด้วยเรื่องราวพนักงานแผนกคอนซิเอจในตำนาน และพนักงานประจำล็อบบี้ที่กลายมาเป็นเพื่อนที่ไว้ใจกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยทั้งหมด ถือเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ทีมนักแสดงของหนังอลังการมาก และสิ่งที่เรียกได้ว่าโดดเด่นไม่แพ้เนื้อเรื่องของหนังคือเสื้อผ้าหน้าผม และสีภาพในโทนสีฉูดฉาด ของยุคสงครามโลกในปี 1920 โดยครั้งนี้ Fendi (เฟนดิ) ได้ร่วมมือกับ Milena Canonero คอสตูมดีไซเนอร์ เจ้าของรางวัลออสการ์ 3 รางวัล ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับนักแสดงนำอย่าง Edward Norton และ Tilda Swinton

Boyhood หนังที่ใช้เวลาทำนานที่สุด
หนังที่ถ่ายทอดชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ที่ผ่านเหตุการณ์ตลอดเวลา 12 ปี แต่ท้ายที่สุดแล้วมันได้นำพาผู้ชมร่วมขบคิดและย้อนกลับมามองชีวิตของตัวเองว่า ‘คุณค่า’ ของการมีชีวิตอยู่นั้นคืออะไร….หืม นอกหนังเรื่องนี้จะทำให้เรารู้คุณค่าของชีวิตแล้ว ยังจะได้เห็นการเลี้ยงลูกในแบบครอบครัวคนอเมริกัน รวมไปถึงเสรีนิยมในความเชื่อการเมือง ที่สำคัญตลอดระยะ 3 ชั่วโมงเรามั่นใจว่าคุณจะไม่รู้สึกเบื่อเลย ที่จริงเนื้อหาและข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้เราไม่น่าพูดถึง เพราะถ้าเอาจริงแค่บอกใช้ระยะเวลาในการถ่ายทำ 12 ปี โดยที่ไม่เปลี่ยนนักแสดง ก็ถือว่าเจ๋งกินขาดแล้ว

American Sniper ขวัญใจคอหนัง
หนังที่ดัดแปลงจากชีวิตจริงของ คริส ไคย์ล ผลแม่นปืนของหน่วยซีลประจำกองทัพสหรัฐ ซึ่งเขียนชีวประวัติตัวเองเป็นหนังสือที่ใช่ชื่อเดียวกับหนัง รับบทนำโดย แบรดลี คูเปอร์ ซึ่งเขายอมเพิ่มน้ำหนักให้ดูบึกบึนเพื่อนที่รับบท คริสในหนังเรื่องนี้ ความโดดเด่นคงนี้ไม่พ้นเรื่องราวชีวิตของทหารผู้ที่จิตวิญญาณหนักแน่นว่าจะในสงคามจะไม่มีใครทอดทิ้งใคร หากแม้จะได้กลับบ้าน ทุกคนก็จะได้กลับบ้านพร้อมกัน

The Imitation Game หนังขวัญใจมหาชน
สร้างมาจากเรื่องจริงจากประวัติศาตร์วงการคอมพิวเตอร์ ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่ออังกฤษกำลังจะแพ้สงครามกับเยอรมันนี หนทางเดียวในการจะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ได้ คือ ต้องอาศัยความอัฉริยะของนักคณิตศาสตร์ระดับโลกอย่าง อลัน ทัวร์ริง ในการแกะรหัสอินิกม่าของนาซี แต่แล้วหลายอย่างกลับต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาค้นพบเรื่องต้องห้ามที่เกิดขึ้นกับตัวเขา เมื่อไม่สามารถชื่นชอบผู้หญิงในแบบที่ควรจะเป็น ด้วยรสนิยมทางเพศที่แตกต่างออกไป ความแตกต่างที่ทัวร์ริ่งจำเป็นต้องปกปิดหลบซ่อนเอาไว้จากกฎหมายที่มีบทลงโทษสำหรับความแปลกแยกของเขาที่สังคมไม่เข้าใจขณะนั้น จึงถือเป็นจุดขายที่ทำให้เราอยากจะติดตามถึงแม้ในชีวิตจริงเรื่องราวประมาณนี้ได้เป็นที่ยอมรับแล้ว ….ยุคสงครามโลกไม่ได้เป็นแบบนั้นไง

The Theory of Everything หนังหวาน
จะบรรยายถึงชีวิตของบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอีกทั้งยังเป็นนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ระดับตำนานอย่าง Stephen Hawkings ซึ่งตกหลุมรักกับ Jane Wilde เพื่อนนักเรียนที่มหาวิทยาลัย Cambridge แต่หลังจากที่ Hawking ประสบอาการป่วยทางประสาทในวัย 21 ปี Jane คอยอยู่เคียงข้างและต่อสู้กับ Hawking อยู่ตลอด ในขณะที่ Stephen เริ่มศึกษาในสิ่งที่เขาชำนาญและเป็นสิ่งที่มีค่าในชีวิตสำหรับเขามากที่สุดคือ “เวลา” ถือเป็นหนังที่น่ารักชวนจินตนาการตาม บางเวลาแอบเผลอคิดตามไปว่า หากชีวิตเราเป็นแบบนี้คงจะดีไม่น้อย
ปล. หนังเรื่องนี้จะทำให้เราสัมผัสถึงความหมายของคำว่า เวลา ที่ตัวขีดชะตาชีวิต

Whiplash ขวัญใจเด็กแนว
ถือเป็นหนังเรื่องแรกที่กองลอปติมัมนัดหมายกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไปดูพร้อมกันแต่ด้วยเวลาในการปิดเล่มไม่ทัน และอีกบลาๆ เลยทำให้นัดครั้งนั้นต้องถูกยกเลิกไป ว่าด้วยเรื่องของหนังต่อ ถือเป็นหนังที่ส่งต่ออารมณ์ได้อย่างดุเดือด พาให้เสียงหัวใจเต้นไปตามจังหวะกลองที่ค่อยดังขึ้นเรื่อยๆ หนังจะเริ่มดำเนินเรื่องจากอารมณ์ว่างเปล่า จากนั้นก็เป็นจังหวะเนิบๆ แล้วค่อยหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจังหวะที่รู้สึกว่าหัวใจเราเกือบเต้นตามไม่ทันด้วยซ้ำ… หากให้พูดถึงข้อคิดคงจะได้แรงบันดาลใจหลายอย่างจากหนังเรื่องนี้ ตามสโลกแกนหนังเลย ‘อย่ายอมแพ้ อย่าเลิกฝัน อย่าหยุดตี’