Posts

‘Bentley’ เปิดตัว ‘Naim for Mulliner’ ที่สุดของระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์

เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เปิดตัว ‘NAIM FOR MULLINER’ ที่สุดของระบบเครื่องเสียงของสุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์

เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เปิดตัว ‘Naim for Mulliner’ ที่สุดของระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์สำหรับ Bentley Batur by Mulliner สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์รุ่นพิเศษที่จะถูกรังสรรค์ขึ้น ณ Bentley’s Dream Factory เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ โดยระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์รุ่นพิเศษนี้ผ่านการพัฒนากว่า 10,000 ชั่วโมง พร้อมด้วยฮาร์ดแวร์ใหม่ที่โดดเด่นและการปรับแต่งระบบใหม่ทั้งหมด ‘Naim for Bentley’ ถือเป็นระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ที่ดีที่สุดระบบหนึ่งในปัจจุบัน โดยวิศวกรของเบนท์ลีย์ได้วางแผนในการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์เพื่ออัครยนตรกรรมรุ่นพิเศษโดยเฉพาะ

โดยจากความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 15 ปี เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส และ เครื่องเสียงเนมม์ได้คิดค้นระบบเครื่องเสียง ‘Naim for Bentley’ และถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการริเริ่มการพัฒนา ซึ่งระบบจะมอบประสบการณ์แห่งเสียงที่ไม่เหมือนใครด้วยการนำเสนอรายละเอียด พลัง ความอบอุ่น ความผ่อนคลาย และการดื่มด่ำผ่านการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับความร่วมมือระหว่าง Naim และ Focal ได้กำหนดมาตรฐานและข้อแนะนำมากกว่า 56 ข้อเพื่อการพัฒนาระบบลำโพง 20 ตัวที่จะใช้ภายในห้องโดยสารของ Batur by Mulliner โดยใช้ระยะเวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการพัฒนาที่สุดของระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ – ‘Naim for Mulliner’

การใช้ตัวขับลำโพง Focal แบบสั่งทำพิเศษติดตั้งอยู่ภายในโครงของลำโพงอันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ที่สร้างขึ้นด้วยการผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุ – Additive Manufacturing (AM) ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเสียงผ่านระบบลำโพงกว่า 20 ตัว ซึ่งประกอบด้วยลำโพงเสียงแหลม 6 ตัว ลำโพงเสียงกลาง 9 ตัว วูฟเฟอร์ 2 ตัว ทรานส์ดิวเซอร์เสียงเบส 2 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 1 ตัว โดยลำโพงเสียงแหลมและลำโพงเสียงกลางทั้งหมดจะใช้ตัวขับลำโพงใหม่สำหรับ’Naim for Mulliner’ ในขณะที่วูฟเฟอร์และซับวูฟเฟอร์จะได้รับการปรับแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและไดนามิกให้ดียิ่งขึ้น

ตำแหน่งลำโพงแต่ละตัวจะได้รับการกำหนดมาอย่างดีเพื่อการบูรณาการระบบที่สมบูรณ์แบบ สร้างประสบการณ์แห่งเสียงที่ไร้ที่ติ ซึ่ง Batur by Mulliner จะได้รับการออกแบบด้วยการเพิ่มความแข็งแรงรอบห้องโดยสาร โดยเฉพาะบริเวณประตูห้องโดยสารและบริเวณห้องโดยสารด้านหลังเพื่อการพัฒนาระบบเครื่องเสียง ‘Naim for Mulliner’ ใหม่

ลูกค้า 18 รายที่ได้ครอบครอง Batur by Mulliner จะได้เพลิดเพลินกับประสบการณ์การรังสรรค์อัครยนตรกรรมร่วมกับทีม Mulliner Design และเลือกออปชันระบบเครื่องเสียงภายในรถยนต์ โดย Batur by Mulliner ถือเป็นก้าวสำคัญของแผนกออกแบบพิเศษ Mulliner ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการรถยนต์ที่ต้องการการออกแบบพิเศษที่ผสมผสานความหรูหราและสมรรถนะอันเป็นดีเอ็นเอของเบนท์ลีย์

ความร่วมมือของสุดยอดวิศวกรรมยานยนต์และนวัตกรรมแห่งเสียง

Naim for Bentley มอบระบบเครื่องเสียงที่ทันสมัยที่สุดของโลกสำหรับทั้งภายในรถยนต์เบนท์ลีย์และสำหรับใช้เพื่อความบันเทิงภายในที่พักอาศัยผ่านการพัฒนาของระบบเสียงที่ดีที่สุดอย่างไม่หยุดยั้ง โดยทั้งแบรนด์เครื่องเสียงและแบรนด์รถยนต์ร่วมกับทีมด้านการออกแบบและวิศวกรรมต่างทำงานร่วมกันเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ตามแบบฐานภายในรถยนต์ (OEM) ที่มีศักยภาพสูงที่สุดในตลาด

Naim ได้คว้ารางวัล Queen’s Award ในสาขาด้านนวัตกรรม และได้ปรับปรุงระบบประมวลผลสัญญาณดิจิทัล (DSP) ที่ล้ำสมัย เนื่องจากการตระหนักถึงการนำแนวทางใหม่ไปใช้กับเทคโลโนยีภายในยนตรกรรม โดย DSP ถือเป็นส่วนสำคัญของระบบเสียง Naim for Mulliner ที่เป็นนวัตกรรมที่นำเสนอโหมดต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเสียงภายในรถยนต์ให้สอดคล้องกับตำแหน่งที่นั่งและความชอบของผู้ฟัง และยังช่วยเพิ่มคุณภาพของเสียงให้ดีที่สุดในทุกย่านความเร็วและทุกสภาพถนน

สำหรับการตั้งค่าเสียงภายในรถยนต์ ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ผ่านอินเทอร์เฟซของหน้าจอระบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้วที่อยู่ตรงกลางคอลโซลหน้า โดยลูกค้าสามารถกำหนดการตั้งค่าได้หลายวิธี ทั้งการตั้งค่าแบบจอแสดงผลเดียว การตั้งค่าแบบแบ่งหน้าจอเป็น 2:1 หรือ การตั้งค่าแบบการแสดง 3 ฟังก์ชันที่แตกต่างพร้อมกัน ซึ่งการออกแบบโดยรวมเน้นความเรียบง่าย ความสะดวกต่อการใช้งาน และการยกระดับงานดีไซน์แบบร่วมสมัย

ระบบเสียง Naim for Mulliner สามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม Spotify, Apple Music, TIDAL และ Deezer หรือ แพลตฟอร์มการฟังเพลงในรูปแบบออนไลน์อื่นๆ ช่วยให้ลูกค้าเพลิดเพลินไปกับตัวเลือกของเพลง วิทยุดิจิทัล หรือสื่อประเภทหนังสือเสียง และพอดแคสต์ได้ตามต้องการ

‘Bentley Speed’ อัครยนตรกรรมรุ่นที่ทรงสมรรถนะที่สุดของแบรนด์

BENTLEY SPEED เรือธงขุมพลัง W12 ที่ทรงสมรรถนะที่สุดของแบรนด์ ก่อนปิดฉากการผลิต

Bentley Speed อัครยนตรกรรมรุ่นที่ทรงสมรรถนะที่สุดของแบรนด์กับขุมพลังเครื่องยนต์รุ่น W12 ที่มอบประสิทธิภาพและสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้น ขับเคลื่อนอัครยนตรกรรมระดับเรือธงตั้งแต่ปี 2546 อันประกอบไปด้วย Continental GT Convertible Speed, Continental GT Speed, Flying Spur Speed และ Bentayga Speed ส่งท้ายสายการผลิตเครื่องยนต์รุ่น W12 ที่ทรงพลังและประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งยุค สร้างอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ความสำเร็จด้านวิศวกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ของเบนท์ลีย์ มอเตอร์สมากว่า 20 ปี

Bentley Speed ได้แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นด้านการตกแต่งแบบสปอร์ตและประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับจากสมรรถนะของเครื่องยนต์รุ่น W12 ซึ่งการตกแต่งในรุ่น Bentley Speed ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างเป็นเอกลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสปอร์ตและความโฉบเฉี่ยวที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพในการขับขี่ อาทิ โลโก้และงานปักคำว่า ‘Speed’ พร้อมกับการเย็บตะเข็บบนเบาะโดยสารแบบเฉพาะรุ่น ‘Speed’ 

‘Bentley’ ประสบความสำเร็จในการทดสอบถังเชื้อเพลิงชีวภาพ

เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ได้ติดตั้งหัวจ่ายเชื้อเพลิงชีวภาพขนาด 1.2 ลิตรสำหรับอัครยนตรกรรมรุ่นปัจจุบันและรถยนต์คลาสสิก ณ โรงงานในเมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้กว่า 85% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเบนซินแบบทั่วไป

ในงาน Goodwood Festival of Speed เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ได้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันพิชิตเนินเขากว่า 32 ครั้งด้วยอัครยนตรกรรม 6 คันที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ โดยมี Bentley Batur กับเครื่องยนต์รุ่น W12 ที่มอบพละกำลังกว่า 750 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่ 2 ทำเวลาในการแข่งขันได้ 55 วินาที ติดหนึ่งในสามอันดับแรก ส่วนอัครยนตรกรรมเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด Bentayga EWB สามารถสร้างผลงานที่น่าพึงพอใจด้วยเวลาเพียง 1 นาที 21 วินาที พร้อมกับการลากกองฟางน้ำหนักกว่า 2.5 ตัน ซึ่งเพียงพอสำหรับการเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพในการเดินทางเป็นระยะทางกว่า 1,100 ไมล์หรือเทียบเท่ากับการเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ทั้งหมดในงาน Goodwood Festival of Speed

สำหรับหัวจ่ายเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่ 2 ที่ติดตั้ง ณ โรงงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษนี้ได้เป็นไปตามมาตรฐานโลก EN228 สำหรับน้ำมันเบนซิน นั้นหมายความว่าเชื้อเพลิงชีวภาพสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนเชื้อเพลิงจากปั๊มทั่วไปได้โดยไม่จำเป็นต้องดัดแปลงเครื่องยนต์แต่อย่างใด ซึ่งรวมถึงรถยนต์คลาสสิกจากปี 1920 อย่างรุ่น EXP2 ที่เก่าแก่ที่สุดและยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน โดยอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ทุกรุ่นที่ผลิตขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและราบรื่นด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่ 2 เช่นเดียวกับการใช้น้ำมันเบนซินจากปั๊มทั่วไป ในขณะที่ยังสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้อย่างมา

เชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่ 2 จะแตกต่างจากรุ่นแรก ซึ่งทำจากพืชไร่ที่ปลูกในพื้นที่เพาะปลูก เชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นที่ 2 ผลิตจากของเสีย รวมถึงของเสียจากการเกษตรและป่าไม้ และของเสียจากอุตสาหกรรมอาหาร โดยในระหว่างกระบวนการผลิต ชีวมวลของเสียจะถูกย่อยสลายโดยใช้การหมัก นำไปสู่การสร้างเอทานอล หลังจากนั้น การคายน้ำของเอทานอลจะเปลี่ยนเป็นเอทิลีน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำมันเบนซินได้ผ่านกระบวนการโอลิโกเมอไรเซชันหรือการผูกโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนแบบสั้นเข้าด้วยกันเพื่อผลิตโมเลกุลที่ยาวขึ้นและมีพลังงานหนาแน่นขึ้น สำหรับเชื้อเพลิงที่ผลิตขึ้นเป็นเชื้อเพลิงหมุนเวียน 100% ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ประมาณ 85% เมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซินแบบทั่วไป โดยเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นนี้จะช่วยลดปัญหาในเรื่องเกี่ยวกับ ‘อาหารและเชื้อเพลิง’ ที่เกิดขึ้นจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรุ่นแรกได้ด้วยใช้วัสดุเหลือทิ้ง 

ครั้งแรกในรอบ 93 ปี ‘Bentley’ การกลับมาของอัครยนตรกรรมคลาสสิก Speed Six

เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เปิดตัวอัครยนตรกรรมคลาสสิก Speed Six ใหม่ ซึ่งถือเป็นการผลิตขึ้นใหม่ครั้งแรกในรอบ 93 ปี ณ งาน Goodwood Festival of Speed ในปีนี้

โดย Speed Six ถือเป็นรถแข่งในตำนานของเบนท์ลีย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และถือเป็นหนึ่งในอัครยนตรกรรมที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเบนท์ลีย์ สำหรับ Speed Six รุ่นต้นแบบ Car Zero จะถูกใช้ในกระบวนการพัฒนาซึ่งประกอบไปด้วยการทดสอบความทนทานในสภาพแวดล้อมจริงและการทดสอบในสนามแข่ง ก่อนการผลิตตามคำสั่งของลูกค้าจำนวน 12 คัน ซึ่งโควต้าทั้งหมดได้ถูกครอบครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว