POP ART : The BATTLE WOUND of THALUFAH นิทรรศการศิลปะแห่งการต่อสู้ทางการเมือง
นิทรรศการศิลปะแห่งการต่อสู้ทางการเมืองแบบทะลุฟ้า
ใครที่สนใจการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ฝักใฝ่การเมืองผู้มีใจรักประชาธิปไตย คงน่าจะคุ้นเคยกับชื่อของ ‘ทะลุฟ้า’ เป็นอย่างดี ในฐานะกลุ่มนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เริ่มเป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกจากกิจกรรม ‘เดินทะลุฟ้า’ การเดินขบวนจากภาคอีสานถึงกรุงเทพฯ เป็นระยะทาง 247.5 กม. ในเวลา 21 วัน เพื่อแสดงข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในประเด็นต่างๆ ทั้งการปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง (ในแคมเปญ ‘ปล่อยเพื่อนเรา’) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ตามมาด้วยการก่อตั้ง ‘หมู่บ้านทะลุฟ้า’ ที่พวกเขาสร้างค่ายพักแรมบนท้องถนน ปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล เพื่อสานต่อข้อเรียกร้องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการจัดกิจกรรม ‘Art Gallery’ การแสดงผลงานศิลปะและการแสดงศิลปะแสดงสดเชิงสัญลักษณ์ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย บนถนนราชดำเนิน รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และอีกหลายต่อหลายกิจกรรม
ด้วยความที่ทะลุฟ้าเป็นกลุ่มนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ การต่อสู้เคลื่อนไหวของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความแปลกแหวกแนว สดใหม่ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยศิลปะและความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างยิ่ง
กว่า 1 ปี ที่พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน เพื่อแสดงถึงเจตจำนงของประชาชนที่ต้องการส่งไปให้ถึงภาครัฐอย่างสันติ แต่พวกเขากลับถูกปราบปรามจากภาครัฐด้วยความรุนแรง ทั้งการสลายการชุมนุม จับกุม คุมขัง ดำเนินคดี และถูกคุกคามโดยอำนาจรัฐนานัปการ
ล่าสุด ในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กลุ่มทะลุฟ้าหยิบเอาประสบการณ์ที่ได้รับจากการบังคับใช้ความรุนแรงโดยอำนาจรัฐตลอด 1 ปีที่ผ่านมา นำมาถ่ายทอดให้ผู้คนได้รับรู้ในพื้นที่ทางศิลปะเป็นครั้งแรก ในนิทรรศการที่มีชื่อว่า The Battle Wound of Thalufah ที่นำเสนอผลงานศิลปะในรูปแบบของพยานวัตถุ ที่เป็นเหมือนหลักฐานของการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเขา วัตถุเหล่านี้เป็นเสมือนหนึ่งรอยบาดแผลจากการต่อสู้ทางการเมือง ดังคำประกาศเจตนารมณ์ของพวกเขาที่ว่า
“ถ้าจะมีใครสักคนกล่าวว่าความเจ็บปวดคือสิ่งที่บอกได้ว่าเรานั้นยังมีชีวิต ดังนั้น… บาดแผลก็คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บอกได้ถึงร่องรอยของความทรงจำในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เช่นกัน”
จุดเริ่มต้นของนิทรรศการครั้งนี้เกิดจากการที่ทะลุฟ้าต้องการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขาในช่วงปลายปี 2564 โดยใช้ชื่อ ‘ลงถนน’ ที่พวกเขาตั้งใจจะแสดงงานศิลปะในพื้นที่ชุมนุมบนท้องถนน เพราะโดยปกติพวกเขาก็ทำการต่อสู้เคลื่อนไหวบนท้องถนนเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่ก่อนหน้าที่จะจัดนิทรรศการที่ว่า พวกเขามีโอกาสได้พบกับมิตร ใจอินทร์ ศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองรุ่นใหญ่ที่เชียงใหม่ และได้รับข้อเสนอให้แสดงนิทรรศการในพื้นที่ทางศิลปะของเขา นิทรรศการครั้งนี้จึงถือกำเนิดขึ้นในที่สุด
ด้วยความที่กลุ่มทะลุฟ้าประกอบด้วยคนรุ่นใหม่ มีความ
หลากหลายทางความคิด สมาชิกในกลุ่มบางคนเองก็ศึกษาทางด้านศิลปะ การออกแบบ ภาพยนตร์ และในอีกหลายสาขา ทำให้พวกเขาสามารถหยิบฉวยเอาศิลปะและความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในการต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างเปี่ยมสีสัน
พวกเขามองว่าม็อบคือสนามทางวัฒนธรรม และต้องการเปิดพื้นที่การพูดคุยแลกเปลี่ยนทางการเมืองกับคนทำงานศิลปะมากขึ้น ในหลายๆ ครั้ง กิจกรรมการเคลื่อนไหวของพวกเขาเองก็มีศิลปินมืออาชีพมากหน้าหลายตาเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันอีกด้วย
จากก่อนหน้าที่เคยแสดงงานศิลปะบนท้องถนน เมื่อมีโอกาสแสดงงานในพื้นที่หอศิลป์ ทะลุฟ้าจึงหยิบเอาผลงานที่เคยแสดงบนท้องถนนมาใช้ในการสื่อสารกับคนกลุ่มใหม่ๆ เพื่อเปิดมุมมองให้พวกเขาเข้าใจการต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มหรือแม้แต่นักต่อสู้เคลื่อนไหวเยาวชนคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันให้มากยิ่งขึ้น
อีกทั้งในช่วงระยะเวลาการจัดแสดงนิทรรศการ ยังเป็นช่วงเวลาครบรอบ 1 ปี ที่กลุ่มทะลุฟ้าก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาจึงประมวลเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมาบอกเล่าผ่านวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่นำมาจัดแสดง เพื่อเล่าเรื่องราวภายใต้แนวคิดที่มีชื่อว่า “THE BATTLE WOUND” (บาดแผลแห่งการต่อสู้) ด้วยความที่สิ่งของเหล่านี้ผ่านเหตุการณ์ เรื่องราว และมีประสบการณ์เคียงข้างนักต่อสู้เคลื่อนไหวกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิดถึงเลือดเนื้อ
ไม่ว่าจะเป็นป้ายผ้าประท้วงที่พวกเขาเคยใช้คลุมทับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในการชุมนุมเดือนกันยายน ปี 2564 หรือหุ่นผ้าจำลองรูปศพที่พวกเขาใช้ในการเสียดสีและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แทนผู้เสียชีวิตในสถานการณ์โควิดที่แยกราชประสงค์ ในเดือนกันยายน ปี 2564 รวมถึงโปสเตอร์ ใบปลิว สิ่งพิมพ์ ป้ายไวนิล เสื้อยืดรณรงค์ กราฟฟิตี้บนผนัง หรือแม้แต่ข้าวของที่ใช้สอยในม็อบ อย่างเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ผ่านสมรภูมิทางการเมือง ภาชนะเครื่องใช้ในครัวอย่างตะหลิว ทัพพี อันเป็นอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้ทำอาหารกินกันในม็อบ จักรเย็บผ้า ที่พวกเขาใช้เย็บป้ายประท้วงและหุ่นผ้า ข้าวของทุกชิ้นเหล่านี้ต่างมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของกลุ่มทะลุฟ้า ไม่ต่างอะไรกับเชื้อเพลิงที่ช่วยขับเคลื่อนพวกเขาให้เดินหน้าต่อไปได้ก็ไม่ปาน
กลุ่มทะลุฟ้านำวัตถุข้าวของต่างๆ เหล่านี้มาเชื่อมร้อยกันเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นภายใต้แนวคิดหลักของนิทรรศการ เพื่อให้เรื่องราวเหล่านี้ขยายความเข้าใจเกี่ยวกับม็อบ เกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขา ไปสู่วงกว้าง ไม่จำกัดอยู่กับแค่คนที่สนใจการเมืองเท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าศิลปะเข้ากับคนได้ทุกชนชั้น ทุกเพศ
ทุกวัย และอาจทำให้การต่อสู้ของทะลุฟ้าและเยาวชนคนรุ่นใหม่ผู้รักประชาธิปไตยถูกตีแผ่และสื่อสารกับผู้คนได้มากขึ้น
“เราคิดว่าการที่นักกิจกรรมฯ นักเคลื่อนไหวฯ อย่างเราจะมาทำงานศิลปะนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดแปลกอะไร เราก็เป็นแค่คนที่ทำงานการเมือง เป็นคนที่ออกมาเรียกร้องทางการเมือง ที่เอาประสบการณ์ของเรามาแสดงออกให้คนเห็นผ่านศิลปะ ดังคำกล่าวของอาจารย์ทัศนัย (เศรษฐเสรี) ที่ว่า ‘ศิลปะไม่เป็นเจ้านายใคร และไม่เป็นขี้ข้าใคร’ เราเชื่อว่าศิลปะควรเป็นของทุกคน ทุกคนสามารถใช้งานศิลปะได้ ศิลปะควรจะพูดได้ทุกอย่าง ศิลปะไม่ควรถูกจำกัดว่าห้ามพูดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ ศิลปะควรเป็นอิสระ และเป็นได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต
“ที่เราต้องออกมาต่อสู้เพราะปัญหามาถึงตัวเราจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศเราถูกแช่แข็ง ไม่พัฒนามาหลายปี ตั้งแต่ตอนเราเรียนประถม ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นที่รู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นของพวกเราหายไป ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลชุดนี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้
เป็นเหมือนแรงสะเทือนใต้น้ำที่แรงขึ้นเรื่อยๆ จนเราสัมผัสได้ เรารู้สึกตัวเราถึงออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้กัน เพราะเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง พวกเราไม่อยากทนอีกต่อไป ถ้าเราไม่ออกมาทำอะไรสักอย่างตอนนี้ ราคาที่เราจะต้องจ่ายมันจะแพงขึ้นเรื่อยๆ และเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
“การทำนิทรรศการครั้งนี้ เป็นเหมือนการเปิดเพดานบางอย่างของเราและของสังคม ว่านักต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมืองก็สามารถทำนิทรรศการศิลปะ และใช้ศิลปะในการขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองได้ ทำให้เห็นว่าศิลปะสามารถเชื่อมโยงกับการเมืองและทุกสิ่งทุกอย่างได้จริงๆ” ตัวแทนกลุ่มทะลุฟ้ากล่าวทิ้งท้าย
– Author: MutAnt –
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากกลุ่มทะลุฟ้า
Photography: Courtesy of the studio