Angelus’ Identity

Author: Sethapong Pawwattana

Photography: Courtesy of Angelus

การออกแบบที่ผสานความซับซ้อนทางกราฟิกหรือสไตล์วินเทจ Angelus คือแบรนด์นาฬิกาที่โดดเด่นในเชิงเทคนิคและกลไกจับเวลา มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในนาฬิกาตูร์บิญงสเกเลตัน การใช้วัสดุล้ำสมัย และกลไกโครโนกราฟ ทั้งยังสะท้อนถึงถิ่นกำเนิดที่เมืองลาโชซ์-เดอ-ฟงด์ส ในรุ่นประวัติศาสตร์ของแบรนด์ แม้จะยืนหยัดในคุณภาพด้วยแนวคิดที่พิสูจน์ผ่านกาลเวลามายาวนาน

Angelus ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1891 โดยสามพี่น้องตระกูลสโตลซ์ ได้แก่ อัลแบร์, กุสตาฟ และชาร์ลส์ สโตลซ์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องกลไกที่สลับซับซ้อน พวกเขาสร้างโรงงานผลิตกลไกขึ้นที่เลอ โลค (Le Locle) ผลิตคาลิเบอร์ของตนเองสำหรับนาฬิการีพีทเตอร์ และตั้งแต่ปี 1925 ก็ผลิตคาลิเบอร์สำหรับนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟซึ่งได้รับการยกย่องจากนักสะสมผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นผลงานรุ่นบุกเบิกของนาฬิกาโครโนกราฟเลยทีเดียว นับเป็นก้าวสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ผลักดันให้เกิดจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูแบรนด์กลับมาอีกครั้งในปี 2011

นาฬิกา Chronodate นับเป็นรุ่นที่มาเพิ่มบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Angelus คอลเลกชั่นนี้ผสมผสานสองสไตล์ที่แตกต่างเข้าด้วยกัน นั่นคือการนำเสนอแบรนด์ในฐานะตัวแทนของมรดกแห่งศาสตร์การประดิษฐ์นาฬิกาสวิส และการนำเสนอการออกแบบเชิงเทคนิคที่ล้ำสมัย โดยใช้กลไกโครโนกราฟที่มาพร้อมฟังก์ชั่นแสดงวันที่ เพอริเฟรัล เดท (peripheral date) ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์สำคัญของนาฬิกา Chronodato รุ่นดั้งเดิม แต่มาติดตั้งในตัวเรือนแบบร่วมสมัยและทำขึ้นอย่างประณีตด้วยวัสดุสมัยใหม่อย่างคาร์บอนคอมโพสิท สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์ Angelus ได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งรากฐานทางประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาและการมีส่วนร่วมในการแสวงหาและพัฒนานวัตกรรมล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง

Seiko 5 Sports x Peanuts ‘Surfboard’ Limited Edition

Author: Sethapong Pawwattana

Photography: Courtesy of Seiko

Seiko เผยโฉมนาฬิกาคอลเลกชั่นล่าสุดที่โดดเด่นสะดุดตา ถ้าใครชอบความคราฟท์ของญี่ปุ่น ก็ต้อง Presage คอลเลกชั่น Craftsmanship ที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับ 110 ปี การผลิตนาฬิกา Seiko รวมเอางานฝีมือดั้งเดิมทั้งหมดของญี่ปุ่นมาไว้ในแต่ละรุ่น ทั้งการลงยาสีขาวบริสุทธิ์ที่กาลเวลาไม่ทำให้สีเปลี่ยนเป็นหมองหรืออมเหลือง หน้าปัดสีแดงน้ำตาลจากเทคนิคการทำเครื่องเขิน urushi lacquer หน้าปัดสีขาวจากเทคนิคเครื่องลายครามอริตะ และหน้าปัดสีน้ำเงินจากเทคนิค shippo enamel

ส่วนใครชอบกลิ่นอายเรโทรของยุค ’60s ก็มีนาฬิกา Seiko Presage ‘Style60’s’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น Crown Chronograph ในยุคนั้น นอกจากนี้ยังมีนาฬิกาดำน้ำ Seiko Prospex ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่น GMT สำรองพลังงานได้ 3 วัน ใครที่ชอบสีสันและนาฬิกาหน้าปัด 38 มม. กับดีไซน์ที่มีกลิ่นอายยุค ’80s ต้อง Seiko 5 Sports SKK Series 38 mm Mid-Size กับหน้าปัดสีสุดดำ สีแชมเปญ สีเขียวมิ้นต์ และสีส้มซันเรย์ ที่โดดเด่นจับตาอีกรุ่นก็คือ Seiko Astron GPS Solar ที่ปรับตัวในการบอกเวลาตามเขตเวลาและแหล่งกำเนิดพลังงานคือแสง มาด้วยกัน 4 รุ่น ด้วยตัวเรือนขนาด 41.2 มม. และการร่วมงานของ Seiko กับ Peanuts หรือที่เราเรียกแบบชินปากว่า Snoopy นั่นเอง ความพิเศษไม่ใช่แค่ลายเส้นการ์ตูนที่อยู่บนหน้าปัด แต่รุ่นที่มีตัวเลข (แสดงผลวินาที) ยังเป็นแบบเดียวกับที่คนวาดการ์ตูนออกแบบไว้ ส่วนขนาดหน้าปัดจะมีขนาด 38 มม. สำหรับ Seiko 5 Sports x Peanuts ‘Surfboard’ Limited Edition

TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Blue ดำเนินการสานต่อสปิริตการแข่งขัน Formula 1

ลาโช-เดอ-ฟง, สวิตเซอร์แลนด์: ผู้ผลิตนาฬิกาลักซ์ชัวรี่สัญชาติสวิสภูมิใจนำเสนอนาฬิกา TAG Heuer ลิมิเต็ดรุ่น Monaco Chronograph Racing Blue ที่มาใหม่ในรูปแบบนาฬิกาจับเวลาแข่งขันความเร็วโครโนกราฟทรงสี่เหลี่ยมอันเป็นไอคอนิก โดยนาฬิกา TAG Heuer Monaco รุ่นใหม่นี้ ได้ตอกย้ำความทุ่มเทของแบรนด์อย่างแท้จริงในการผลิตเรือนเวลาระดับตำนานที่ได้แรงบันดาลใจจากจักรวาลแห่งมอเตอร์สปอร์ต ไม่เพียงแค่เป็นนาฬิกาโครโนกราฟเท่านั้น แต่นาฬิกาเรือนนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเลิศและนวัตกรรม นอกจากนี้ นาฬิกา TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Blue เรือนใหม่นี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งในเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนานของแบรนด์ที่เชื่อมต่อกับการแข่งขันรถซึ่งสรรเสริญผ่านเฉดสีน้ำเงินโดยมีชื่อว่าสี French Racing Blue

TAG Heuer Monaco: นาฬิกาที่สร้างจากแรงบันดาลใจผ่านการแข่งขันระดับตำนาน

TAG Heuer ยังคงยืนอยู่ข้างเคียงการแข่งขันความเร็วในด้านการจับเวลาอย่างใกล้ชิด โดยคอลเล็กชั่นรุ่น Monaco ได้สะท้อนอุดมการณ์นี้ทั่วทั้งตัวนาฬิกา เริ่มเมื่อแบรนด์ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นปี 1969 ซึ่งปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมนาฬิกาไปจากเดิม ด้วยความไม่เหมือนใครในตลาดนาฬิกาที่มาในรูปแบบโครโนกราฟ ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยม พร้อมความสามารถในการกันน้ำ ขับเคลื่อนด้วยกลไกภายในรุ่นคาลิเบอร์ 11 โฉมใหม่ เสริมด้วยดีไซน์โดดเด่น – อีกทั้งนาฬิกา Heuer Monaco ยังถูกตั้งชื่อตามประเทศเจ้าภาพตำนานการแข่งขัน  Formula 1 อันเลื่องชื่อซึ่งเป็นสายสัมพันธ์ทำให้เกิดพื้นที่อันแสนพิเศษทั้งในความตราตึงใจและความเป็นมา รวมถึงปัจจุบันยังคงส่งผลต่ออัตลักษณ์ของ TAG Heuer จวบจนทุกวันนี้

อย่างที่ทุกคนทราบดี นาฬิกา TAG Heuer Monaco มักจะมีความเชื่องโยงกับหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเจเนอเรชั่นอยู่เสมอ โดยในปี 1970 ขณะถ่ายทำภาพยนตร์ Le Mans ดาราฮอลลีวูด Steve McQueen ตัดสินใจเลือกสวมใส่ชุดและนาฬิกาสำหรับแข่งรถเพื่อสะท้อนความเป็นนักแข่งมืออาชีพและเทรนเนอร์ตามแบบนักแข่งอย่าง Jo Siffert จากการเลือกสวมใส่ในครั้งนั้น ทำให้เขาดูเปรียบเสมือนกับนักแข่งรถตัวจริง และได้กลายมาเป็นสไตล์ไอคอนิกผ่านการตัดสินใจของเขาเองที่ช่วยเสริมลุคสปอร์ตภูมิฐานด้วยนาฬิกา Heuer Monaco 

หลายปีผ่านไป นาฬิกา TAG Heuer Monaco มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวบรวมวัสดุใหม่ๆ ผนวกกับการใช้เทคโนโลยีในการผลิต รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ ของดีไซน์ทั้งหมดทำให้กลายเป็นงานศิลปะอย่างแท้จริงและเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณอันล้ำยุคของแบรนด์อย่างรวดเร็ว โดยนาฬิกา Monaco Chronograph Racing Blue เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้ได้แสดงถึงความไร้ขีดกำจัดผ่านการดำรงไว้ซึ่งมรดกของการแข่งขันความเร็วพร้อมกับการจารึกความนอกกรอบที่ไม่มีวันจางหายในนาฬิการุ่นนี้

สีสันประจำชาติแห่งการแข่งขัน

ในฤดูร้อนปี 2023 TAG Heuer เปิดตัวนาฬิกา TAG Heuer Monaco รุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นการขีดเส้นเชื่อมต่อประวัติศาตร์กว่าหลายทศวรรษของแบรนด์เข้ากับโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต ในช่วงยุคแรกเริ่มของการแข่งขันยานยนต์ รถแข่งที่ใช้สีประจำชาติได้สร้างความโดดเด่นท่ามกลางรถแข่งสีอื่น ๆ ที่มาจากอุตสาหกรรมและสปอนเซอร์รถยนต์ โดยแต่ละประเทศ มีเฉดสีเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น สีเขียวของรถแข่งสัญชาติอังกฤษอันโด่งดัง สีแดงสดของรถแข่งสัญชาติอิตาลี หรือ สีขาวจากรถแข่งสัญชาติเยอรมันที่ได้เปลื่ยนเป็นสีเงินในภายหลัง รวมถึงไปถึงสีที่โดดเด่นไม่มีใครเทียบได้อย่างเฉดสีน้ำเงินที่สะท้อนความเป็นฝรั่งเศส ซึ่งสีน้ำเงินเฉดนี้ได้สร้างบันดาลใจให้กับการสร้างสรรค์ผลงานล่าสุดของ TAG Heuer อย่างนาฬิกา TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Blue นั่นเอง

โดยนาฬิกา TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Blue รุ่นใหม่มาในโทนสีที่ทำให้นึกถึงสีที่มีความสปอร์ตของรถยนต์แบรนด์ดังอย่าง Talbot-Lago , Delage และสุดท้ายคือ Bugatti Type 35 อันโด่งดัง พร้อมหน้าปัดย่อยและสายนาฬิกาในโทนสีน้ำเงินเข้มเฉด Azure และเลือกใช้เฉดสีที่สว่างกว่าบนหลักบอกเวลา ทั้งนี้ ยังโดดเด่นด้วยการเสริมลูกเล่นสีเหลืองมะนาวให้รู้สึกสดชื่นเติมเต็มพาเลทนาฬิการุ่นนี้ได้อย่างไร้ที่ติ

ยิ่งกว่าไปนั้น นาฬิการุ่นนี้ยังเป็นที่น่าจดจำด้วยหน้าปัดพ่นเงาซันเรย์สีเงินดูดีสะกดทุกสายตาชวนให้นึกถึงแดชบอร์ดที่หมุนบนเครื่องยนต์ซึ่งพบได้ในรถสปอร์ตในช่วงปี 1920 และ 1930 ตัวหน้าปัดประทับเครื่องหมายบอกเวลาชั่วโมงสีเงิน 8 ตัวพร้อมกับจุดสีน้ำเงิน 12 จุด ช่วยประหยัดเวลาอ่านหน้าปัด โดยเฉพาะเครื่องหมายรูปสี่เหลี่ยมทรงกระบอกสีเหลืองสดใสตำแหน่ง 12 นาฬิกาที่เชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเข็มนาฬิกากลางโครโนกราฟ เข็มชั่วโมงและเข็มนาทีเคลือบด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova® สีน้ำเงิน เสริมการมองเห็นได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกระดับแสงสว่าง ปิดท้ายด้วยเข็มกลางเคลือบแลกเกอร์ในสีเหลืองมะนาวเพิ่มความเตะตาด้วยสีสัน โดยรวมแล้วองค์ประกอบการออกแบบเหล่านี้ของนาฬิกา TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Blue ได้แสดงถึงการผสานระหว่างการสร้างสรรค์นาฬิกาอันโดดเด่นรวมเข้ากับจิตวิญญาณแห่งโลกยานยนต์

นาฬิการุ่นนี้ขับเคลื่อนโดยกลไกโครโนกราฟคาลิเบอร์ 11 อัตโนมัติ บรรจุในตัวเรือนไททาเนียมเกรด 2 พ่นทราย ที่มาพร้อมความทนทานและน้ำหนักเบา และด้วยตัวเรือนฝาหลังแซฟไฟรทำให้สามารถมองเห็นกลไกด้านในด้วยตาเปล่า

นาฬิกา TAG Heuer Monaco Chronograph Racing Blue ยังมาพร้อมกับสายหนังลูกวัวเจาะรูสีน้ำเงินซิกเนเจอร์ของนาฬิกาแสดงถึงการแข่งรถ ล็อคสายนาฬิกาด้วยบานพับไททาเนียมสลักตราสัญลักษณ์ Heuer และฝาหลังของนาฬิกา Monaco Chronograph Racing Blue รุ่นลิมิเต็ดนี้ ยังสลักด้วยประโยค “One of 1000” และจะนำเสนอในแพ็คเกจสีน้ำเงินสดที่ออกแบบพิเศษเสริมดีเทลด้วยสีเหลืองมะนาวTAG Heuer Monaco Chronograph Racing Blue รุ่นใหม่นี้พร้อมวางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ปี 2023 เป็นต้นไป ณ ร้านบูติกของ TAG Heuer และบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของแบรนด์ รวมถึง ร้านจัดจำหน่ายที่รับการคัดเลือก

Tudor: New Black Bay 54

Author: Sethapong Pawwattana

Photography: Courtesy of Tudor

ชมนาฬิกา Tudor รุ่นล่าสุด ที่เพิ่งเผยโฉมไปในงาน Watches and Wonders 2023 ที่เจนีวา โดยมีรุ่นเด่น Black Bay GMT ที่มีหน้าปัดสีโอพาลีน ซึ่งดูคล้ายสีขาว แต่มีสีเงินเจืออยู่ในนั้นอย่างงดงาม วงขอบหน้าปัดจับคู่สีน้ำเงิน-แดงอย่างลงตัวสุดๆ หรือใครชอบความเท่แบบหน้าปัดสีน้ำเงินก็มีขนาด 31/36/39/41 มาให้เลือก นอกจากนี้ยังมีหน้าปัดสีดำที่โดดเด่นด้วยวงขอบสีแดง ส่วนใครชอบเสน่ห์ของสีดำคงละสายตาจาก New Black Bay 54 ไม่ได้ เท่แบบเข้มๆ จริงจัง สำหรับเรือนนี้ ส่วนใครชอบหน้าปัดสีพิเศษๆ ลองมองหา Tudor Royal รุ่นใหม่ได้ โดยตัวกลไกทั้งหมดของคอลเลกชั่นล่าสุดจะเป็นการประกอบขึ้นโดย Tudor เองทั้งหมด

Seamaster Diver 300M “Paris 2024” Special Edition

นาฬิกา Seamaster Diver 300M “Paris 2024” Special Edition ถูกรังสรรค์ขึ้นพิเศษเพื่อยกย่องมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 32 นาฬิกาโอลิมปิกรุ่นนี้คือหมุดหมายของการทำหน้าที่ผู้บอกเวลาอย่างเป็นทางการครั้งที่ 31 ของ OMEGA บทบาทที่ทางบริษัทได้ทำหน้าที่มาตั้งแต่ปี 1932

ภายในห้วงเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้ โลกก็จะได้พบกับพิธีเปิดของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก Paris 2024 สำหรับการเริ่มต้นนับถอยหลังสู่รายการแข่งขันแห่งประวัติศาสตร์ดังกล่าว ผู้บอกเวลาประจำงานอย่าง OMEGA จึงเผยเรือนเวลารุ่นใหม่ซึ่งสมบูรณ์แบบด้วยสัมผัสแห่งทองคำ นาฬิกาขนาด 42 มม. รุ่นใหม่จะวางจำหน่ายเพียงที่บูติก OMEGA ในปารีสซึ่งเป็นเมืองเจ้าภาพ เครื่องบอกเวลาผลิตจากสแตนเลสสตีลและทอง Moonshine™ 18K – อัลลอยด์เยลโลว์โกลด์เอกสิทธิ์ของ OMEGA ซึ่งช่วยมอบเฉดสีอันละเอียดอ่อนและคุณสมบัติที่ทนทานต่อการซีดจาง ในฐานะเรือนเวลาแห่งโอลิมปิก ทองคำจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ รวมถึงยังตอกย้ำถึงเหรียญที่บรรดานักกีฬาต่างปรารถนา ทองคำถูกนำเสนออย่างโดดเด่นในส่วนของขอบตัวเรือนที่ตกแต่งด้วยสเกลดำน้ำยกนูนซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีเลเซอร์และดอทบรรจุสารเรืองแสง Super-LumiNova ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกา
หน้าปัดที่ถูกสลักด้วยเลเซอร์ช่วยเสริมรูปลักษณ์ที่ชวนสะกดสายตา โดยผลิตจากเซรามิกสีขาวที่ตกแต่งแบบด้านและมีการขัดเงาในส่วนของลวดลายคลื่นที่ยกนูน สำหรับหน้าต่างวันที่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา OMEGA ได้เลือกใช้ตัวเลขสีดำในแบบอักษร Paris 2024 ในขณะที่เข็มวินาทีกลางเองก็ประดับด้วยตรา Paris 2024 ที่เล็กทว่าโดดเด่น

ทว่ารายการข้างต้นกลับไม่ใช่รายละเอียดทั้งหมดที่ถูกนำมาติดตั้งเสริมให้เรือนเวลาดั้งเดิม ยังมีฝาหลังที่ระลึกซึ่งประดับด้วยเหรียญทอง Moonshine™ 18K ตกแต่งด้วยตราของ Paris 2024 ซึ่งขัดเงาตัดกับพื้นหลังที่ระเหยด้วยเลเซอร์ เติมเต็มตรา Paris 2024 ด้วยข้อความ “Paris 2024″ และห่วงโอลิมปิกจากสแตนเลสสตีลขัดเงาที่รายล้อมด้วยลวดลายขรุขระ

สายนาฬิกาสแตนเลสสตีลมาพร้อมกับระบบ Quick Change ซึ่งหมายความว่าผู้สวมใส่สามารถสลับสายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของตนเองได้อย่างสะดวก – ไม่ว่าจะเป็นสายนาฬิกายางแบบ Quick Change ในสีน้ำเงิน, ขาวหรือแดง หรือกระทั่งสายที่ออกแบบมาโดยเฉพาะอย่างสายนาฬิกา NATO Paris 2024

ด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน Seamaster Diver 300M รุ่นนี้จึงไม่อาจขาดมาตรฐานระดับสูงสุดในด้านประสิทธิภาพและความเที่ยงตรง กลไก Co-Axial Master Chronometer 8800 และนาฬิกาทั้งเรือนต่างต้องเข้ารับการทดสอบและรับรองโดยสถาบันมาตรวิทยาสวิส (Swiss Federal Institute of Metrology, METAS) เพื่อให้ตรงตามระดับคุณภาพที่เข้มงวดที่สุด

มหกรรมกีฬาโอลิมปิก Paris 2024 จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 26 กรกฎาคม ปี 2024 ในฐานะผู้บอกเวลาอย่างเป็นทางการ OMEGA ได้ใช้เวลาตลอด 90 ปีในการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีที่สำคัญในการวัดค่าต่างๆ ระหว่างการแข่งขันไปพร้อมกับบันทึกห้วงฝันของเหล่าสุดยอดนักกีฬาจากทั่วโลก แบรนด์จะรอคอยการแข่งขันอย่างตั้งใจเพื่อร่วมบันทึกห้วงเวลาสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น

Instagram: @OMEGA
Facebook: OMEGA Watches
Twitter: @OMEGAWatches

Patek Philippe Calatrava Ref. 5224R-001

Author: Sethapong Pawwattana

Photography: Courtesy of Patek Philippe

Patek Philippe ได้ขยายขอบข่ายนาฬิกาสำหรับการเดินทางและนาฬิกาที่มีกลไกความซับซ้อน เพื่อรองรับการใช้งานประจำวันในรูปแบบนาฬิกาโมเดลคาลาทราวา ซึ่งประกอบด้วยฟังก์ชั่นทราเวลไทม์ บอกเวลาสองเขตเวลา ร่วมกับความเป็นเลิศของการแสดงเวลา 24 ชั่วโมง โดยที่คาลิเบอร์ 31-260 PS FUS 24H กลไกไขลานอัตโนมัติใหม่ที่ให้ความสําคัญกับนวัตกรรมด้านเทคนิค ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพการทำงานยิ่งขึ้น และง่ายต่อการใช้งาน สะท้อนความโดดเด่นด้วยตัวเรือนโรสโกลด์ขนาด 42 มม. สง่างดงามพร้อมหน้าปัดและสายนาฬิกาสีกรมท่า

ฟังก์ชั่นทราเวลไทม์ที่มีความโดดเด่นของการแสดงเวลาโซนที่ 2 (ประกอบด้วยเข็มชั่วโมง 2 เข็มที่ศูนย์กลาง โดยเข็มหนึ่งสามารถปรับให้เดินหน้าและถอยหลังทีละ 1 ชั่วโมง) ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก ทั้งในเรื่องความสะดวกในการใช้งาน และการอ่านค่าที่ชัดเจน

กลไกคาลิเบอร์ 31-260 PS FUS 24H กลไกไขลานอัตโนมัติ ฟังก์ชั่นทราเวลไทม์ บอกเวลาสองเขตเวลาของเวลาท้องถิ่นและเวลาที่บ้าน โดยแสดงเวลา 24 ชั่วโมง แสดงเวลาวินาที สำรองพลังงาน 48 ชั่วโมง

การทำงานของเม็ดมะยมแบบ 3 จังหวะ กดเข้าที่ตำแหน่งปกติเพื่อไขลานนาฬิกา ดึงออกที่ตำแหน่งกลางเพื่อตั้งเวลาท้องถิ่นให้เวลาเดินหน้าหรือถอยหลังเปลี่ยนแปลงทีละ 1 ชั่วโมง ดึงออกทั้งหมดเพื่อตั้งเวลาทันทีสำหรับเวลาที่บ้าน เวลาท้องถิ่น และนาที ด้วยฟังก์ชั่น ‘stop seconds’

หน้าปัดนาฬิกาสีกรมท่า การตกแต่งที่ตัดกัน (ลวดลายวงเกลียวกลางหน้าปัด ลวดลายวงเกลียวจากการขัดซาตินบริเวณพื้นที่วงของการบอกเวลาชั่วโมง ลวดลายก้นหอยบริเวณเคาน์เตอร์บอกเวลาวินาที ขอบรอบวงประกายชมพู) สายนาฬิกาหนังลูกวัวสีกรมท่า ลายนูบัคตัดกับตะเข็บสีครีมเย็บด้วยมือ หัวเข็มขัดทำจากโรสโกลด์

Louis Vuitton เผยเรือนเวลาคอลเล็กชั่น Tambour ในรูปทรงคลาสสิกที่ยังคงไปด้วยเสน่ห์เต็มเปี่ยม

แบรนด์สุดหรู Louis Vuitton เปิดตัวเรือนเวลารุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Tambour ในโอกาสการฉลองครบรอบ 21 ปี ตอบรับกับความเติบโตและนำเสนอในรูปทรงที่เพรียวบางขึ้น ตัวเรือนทรงกลมและสายสแตนเลสสตีล ยังมาพร้อมกับหน้าปัดที่มีมาเป็นตัวเลือกถึง 2 สีด้วยกันไม่ว่าจะเป็น สีน้ำเงินหรือสีเงิน

รูปทรงที่ทันสมัยของหน้าปัดแบบยูนิเซ็กส์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตรและความหนาของตัวเรือนขนาด 8.3 มิลลิเมตร สามารถคล้องอยู่บนข้อมือของผู้สวมใส่ได้อย่างไร้ที่ติ ไม่เพียงเท่านั้นเรายังจะได้เห็นปัดย่อยที่ประดับอยู่ตรงบริเวณ 6 นาฬิกาเพื่อบอกเวลาเป็นวินาที พร้อมทั้งดีเทลชื่อแบรนด์ที่มี 12 ตัวอักษรสลักอยู่บริเวณรอบขอบหน้าปัดอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น Caliber LFT023 ก็เป็นมากกว่ากลไกการเคลื่อนไหวที่วิวัฒนาการไปพร้อมกับนาฬิกาตองม์บูร์ นับเป็นครั้งแรกในการผลิตกลไกอัตโนมัติระบบสามเข็มเอกสิทธ์เฉพาะของหลุยส์ วิตตอง โดยพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตกลไกนาฬิกา ระดับสูง Le Cercle des Horlogers พร้อมกับนำเสนอสัญลักษณ์ที่เป็นดังรหัสภาษาของเมซง ตั้งแต่ฟันเฟืองประดับด้วยสัญลักษณ์ดอกไม้โมโนแกรม ไปจนถึงชิ้นส่วนไมโครโรเตอร์ตกแต่งลวดลายอักษรย่อ LV

การออกแบบเน้นย้ำถึงความร่วมสมัย แม้แต่องค์ประกอบขนาดเล็กของเรือนเวลา สะพานกลไกแต่งพื้นผิวแบบทราย ส่วนขอบขัดเงาและมุมตัดเว้า คือรูปแบบที่ปรากฏซ้ำไปมาราวกับถ้อยคำที่บ่งบอกถึงสุนทรียศาสตร์ของเรือนเวลา พื้นผิวลายจุด ขนาดเล็กถูกแต่งบนชิ้นส่วนหลักเพื่อสื่อถึงเทคนิคการตกแต่งแบบดั้งเดิม ทว่าอัญมณีใสไร้สีแบบเก่าถูกแทนที่ด้วยเม็ดทับทิม สีมาเจนต้าเพื่อมอบรูปลักษณ์อันล้ำสมัยให้แก่กลไกคาลิเบอร์ LFT023 ชิ้นส่วนไมโครโรเตอร์ผลิตด้วยทองคำ 22 กะรัต จับคู่กับกลไกไขลานที่สามารถสำรองพลังงานสูงสุดถึง 50 ชั่วโมง ในรอบความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมงด้วยอัตรา 4 ครั้งต่อวินาที

นับเป็นการนำเรือนเวลาที่ถูกดีไซน์ไว้ตั้งแต่ปี 2002 กลับมาทำรังสรรค์ใหม่ที่ยังคงไปด้วยเอกลักษณ์และเสน่ห์อยู่เต็มเปี่ยม

‘นาฬิกา’ มีความสำคัญอย่างไร? เพราะเหตุใดเหล่าสุภาพบุรุษถึงให้ความสำคัญต่อของชิ้นนี้

ในทุกวันนี้ ‘นาฬิกา’ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะด้วยจากความชอบหรือจากกระแสโซเชี่ยลมีเดียในยุคปัจจุบัน แต่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า เรือนเวลาเหล่านี้แท้จริงแล้วมีความสำคัญอย่างไร? ‘นาฬิกา’ ถือเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการบ่งบอกเวลา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีบทบาททางสัญญาณทางสังคมและความรู้สึกของเจ้าของนาฬิกาอีกด้วย

บ่งบอกเวลา : นาฬิกาทำหน้าที่บ่งบอกเวลาอย่างแม่นยำ ช่วยให้คนสามารถวางแผนกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ และช่วยให้เราไม่พลาดการนัดหมายหรือกิจกรรมที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ในการทำงาน การเรียนการสอน และการเดินทาง นักศึกษาวิทยาลัยหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ต้องใช้นาฬิกาเพื่อปรับตัวกับเวลาท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ

สัญญาณทางสังคม : นาฬิกาบางชนิด มีการออกแบบที่ซับซ้อนและดูดีมีลักษณะที่สวยงาม สัญญาณที่ควบคุมการสวมใส่นาฬิกานี้สามารถส่งความหมายทางสัญญาณทางสังคมเกี่ยวกับความหรูหรา ความรวย หรือเป็นเครื่องบทบาททางสังคม บางครั้งการสวมใส่นาฬิกายังมีความหมายในการแสดงความเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มที่เหมือนกัน เช่น กลุ่มที่มีความชอบในการสวมใส่นาฬิกาแบบเฉพาะเจาะจง นักกีฬา หรือกลุ่มคนที่สนใจเกี่ยวกับศิลปะ เป็นต้น

การแสดงความเป็นระเบียบ : การสวมใส่นาฬิกาอาจถูกมองว่าเป็นการแสดงความเป็นระเบียบ นาฬิกาเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความเป็นระเบียบในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจช่วยในการส่งเสริมการปฏิบัติตามเวลา การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความเสียสละ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการสร้างความเป็นระเบียบและอยู่ดีกับสังคม

วัฒนธรรมและเทคโนโลยี : การออกแบบนาฬิกาในปัจจุบันได้รับการพัฒนาอย่างก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัสดุ มีนาฬิกาที่ใช้เทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น ปริมาณการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจ หรือการตรวจจับการหายใจของร่างกาย

คุณค่าทางจิตใจ : นาฬิกายังเป็นเครื่องเตือนจิตใจให้แก่เจ้าของได้เป็นอย่างดี เพราะสิ่งล้ำค่าที่แทนจิตใจมีอยู่มากมาย และหนึ่งในสิ่งของที่นิยมเก็บไว้เพื่อส่งต่อก็คือ ‘นาฬิกา’ นั้นเอง นับเป็นอีกหนึ่งสิ่งของที่แทนคุณค่าทางจิตใจได้เป็นอย่างดี

นาฬิกา เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะในสังคม และมีความสำคัญพร้อมทั้งประโยชน์ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังทำให้ผู้ที่ชื่นชอบเรือนเวลาเห็นพัฒนาการในด้านการออกแบบและเทคโนโลยีที่น่าทึ่งอีกด้วย

LONGINES เผยโฉมเรือนเวลาคอลเล็กชั่น CONQUEST โฉมใหม่ที่หวนกลับสู่ต้นกำเนิด

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา Longines (ลองจินส์) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จัดงาน ‘The Conquest Collection Launch 2023’ เปิดตัวโมเดลใหม่ในคอลเล็กชั่น ‘Conquest’ (คอนเควสต์) นาฬิกาสไตล์สปอร์ตที่หลอมรวมความเชี่ยวชาญ ในองค์ประกอบด้านเทคนิคอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยวทันสมัยที่ได้แรงบันดาลใจจากการเล่นกีฬา พร้อมหน้าปัดเฉดสีใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘New Horizon To Conquer’ โดยมี Friend of Longines ประเทศไทย ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ และ ‘เก้า-สุภัสสรา ธนชาต’ ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยสไตล์คลาสสิกที่สะท้อนความสง่างามตามแบบฉบับของลองจินส์มาร่วมงาน พร้อมดื่มด่ำดินเนอร์หรู ณ Villa Frantzén

คอลเล็กชั่น ‘Conquest’ นาฬิกาสปอร์ตของลองจินส์ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1954 โดยการกลับมาพร้อมลุคโฉมใหม่ล่าสุดในเวอร์ชั่นขนาด 34 มม. และ 41 มม. รวมถึงเวอร์ชั่นโครโนกราฟ 42 มม. ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากโมเดลรุ่นดั้งเดิมของคอลเล็กชั่นนี้ มาพร้อมมาร์คเกอร์ชั่วโมงที่เพรียวบาง ช่วยผสมผสานความเรียบหรูแนวสปอร์ตเข้ากับความแข็งแกร่งทนทานได้อย่างลงตัว จากความงดงามอันเรียบง่ายของโมเดลแรกจากช่วงกลางยุค 1950s สู่เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่นำเสนอในตัวเรือน สแตนเลสสตีลที่สามารถกันน้ำได้ระดับ 10บาร์ (100เมตร) และมีฝาหลังตัวเรือนโปร่งใสแบบขันเกลียวแน่น สายรัดข้อมือ สแตนเลสสตีลพร้อมตัวล็อกแบบพับ โดยตัวเรือนมีให้เลือกทั้งแบบผิวขัดเงาและผิวซาติน ภายในตัวเรือนบรรจุกลไกไขลานอัตโนมัติที่มาพร้อมซิลิคอนบาลานซ์สปริงและส่วนประกอบชิ้นส่วนใหม่ทำจากวัสดุที่ไม่ดูดแม่เหล็ก จึงทำให้สามารถต้านทานสนามแม่เหล็กได้เกินระดับมาตรฐาน ISO 764 ได้ถึงสิบเท่า

สำหรับเวอร์ชั่นขนาด 34 มม. ที่ตกแต่งด้วยมาร์คเกอร์ชั่วโมงประดับเพชรบนหน้าปัดสีน้ำเงินและสีเขียว มีความโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยการเพิ่มเพชรเป็นสองเม็ด ณ ตำแหน่ง3, 9 และ 12 นาฬิกา ส่วนหน้าปัดสีขาวมุกมาเธอร์ออฟเพิร์ลนั้นมาพร้อมขอบตัวเรือนประดับเพชรจำนวน 48 เม็ด นอกจากนี้ยังมีวาริเอชั่นอีกสองแบบ ได้แก่ หน้าปัดสีเงิน และสีบรอนซ์สว่างซึ่งตกแต่งด้วยมาร์คเกอร์ชั่วโมงที่เพรียวบาง ทางด้านโมเดลขนาด 41 มม. ซึ่งมาพร้อมหน้าต่างวันที่ มีหน้าปัดให้เลือก ในหลากหลายสีสันไม่ว่าจะเป็น สีบรอนซ์, สีเงิน, สีน้ำเงิน, สีดำ และสีเขียว และเวอร์ชั่นขนาด 42 มม. เป็นรุ่นโครโนกราฟ racing face ที่มีหน้าปัดสีดำ, สีเงิน, สีทอง และสีน้ำเงินให้เลือกสรร โดยสีสันเหล่านี้ตัดกับหน้าปัดย่อย ณ ตำแหน่ง 3, 6 และ 9 นาฬิกา อีกทั้งยังเสริมความสง่างามด้วยขอบตัวเรือนสตีลที่มีกราฟวัดความเร็ว พร้อมด้วยเซรามิกอินเซิร์ท

‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ , ‘เก้า-สุภัสสรา ธนชาต’ , ‘เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ’ , พรีม ชนิกานต์ ตังกบดี , ‘กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง’

ไม่เพียงเท่านั้นนอกจาก ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ และ ‘เก้า-สุภัสสรา ธนชาต’ ที่เป็น Friend of Brand แล้วนั้นยังได้ชักชวน 2 หนุ่มกับ 1 สาวอย่าง ‘เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ’ , ‘กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง’ และ ‘พรีม-ชนิกานต์ ตังกบดี’ มาร่วมงานดินเนอร์สุดพิเศษในครั้งนี้อีกด้วย

ระเบิดมือหรือนาฬิกา

การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ ‘ASAP Rocky’ ได้พิสูจน์จุดยืนของเขาในฐานะไอคอนนิคแห่งยุค ด้วยสไตล์ในมิวสิควิดีโอซิงเกิ้ลล่าสุดของเขา “RIOT (Rowdy Pipe’n)” 

ไอเทมที่โดดเด่นไม่เหมือนใครคือความร่วมมือระหว่าง ‘L’Epée 1839’ ผู้ผลิตนาฬิกาชาวสวิสที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดรายหนึ่งของโลก และ ‘Alex Moss’ ผู้ค้าอัญมณี

นาฬิกาทูร์บิญง (Tourbilon Watch) ประดับด้วยเพชรสีขาว จำลองรูปทรงมาจากระเบิดมือ MKII ในประวัติศาสตร์ อุปกรณ์เสริมมีหมุดที่ใช้แทนกุญแจได้สองเท่า เมื่อใช้เข็มดึงเพื่อตั้งเวลาและหมุนเข็มนาฬิกาแบบ 8 วัน ชั่วโมงและนาทีจะแสดงบนจานอลูมิเนียมสีดำ 2 แผ่นที่หมุนโดยตรงเหนือแกนกลางของระเบิดมือ