Rolex Oyster Perpetual Deepsea Challenge

Photography: Courtesy of rolex

Author: Sethapong Pawwattana

The Oyster Perpetual Deepsea Challenge, waterproof to a depth of 11,000 metres (36,090 feet)

ผลจากความเชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกาสำหรับการดำน้ำของ Rolex และเป็นเรือนเวลาที่แสดงถึงความก้าวหน้าในการพิชิตความลึกใต้มหาสมุทร โดยได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิการุ่นทดลองที่ James Cameron สวมใส่ขณะดำดิ่งสู่บาดาลที่ร่องลึกมาเรียนาด้วยความลึกระดับ 10,908 เมตร (35,787 ฟุต) เมื่อปี 2012 และมาพร้อมกับการกันน้ำที่รับประกันได้สูงถึง 11,000 เมตร (36,090 ฟุต) กลไกคาลิเบอร์ 3230 ที่เปิดตัวในปี 2020 สามารถประหยัดพลังงานได้เพิ่มขึ้นประมาณ 70 ชั่วโมง จากคุณสมบัติสองประการ ประการแรกคือความหนาของผนังกระปุกลานที่บางลงเพื่อการใส่สปริงที่ยาวขึ้นจึงสามารถเพิ่มปริมาณการเก็บพลังงานให้มากขึ้นได้ และอีกประการคือการทำงานของชุดกลไกปล่อยจักร Chronergy ซึ่งผลิตขึ้นจากนิกเกิล-ฟอสฟอรัสที่ผ่านการจดสิทธิบัตรแล้ว เป็นการผนวกรวมกันของประสิทธิภาพด้านพลังงานอันยอดเยี่ยมและน่าเชื่อถือ และไม่เกิดผลกระทบใดๆ เมื่อต้องเผชิญกับการรบกวนจากสนามแม่เหล็ก

ความคลาสสิกที่ไร้กาลเวลา แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ (Tank Louis Cartier)

ดีไซน์โมเดิร์นคลาสสิกที่ไร้ขอบเขตของเวลา แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ (Tank Louis Cartier) กับโฉมใหม่ล่าสุดด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์จุดเด่นคือหน้าปัดสี่เหลี่ยมลายกราฟิกซ้อนกรอบ หน้าปัดโมโนโครมในเฉดสีแดงโดดเด่น ซึ่งเป็นสีประจำเมซง และเข้มขลังในหน้าปัดสีเทาแอนทราไซต์

ความงามที่ไร้กาลเวลาเริ่มจาก Tank นาฬิกาที่สร้างพลังและเรื่องราวประทับใจจากรุ่นสู่รุ่น สู่ Tank Louis Cartier ดีไซน์ล่าสุด สะดุดตาด้วยหน้าปัดสี่เหลี่ยมลายกราฟิกซ้อนกรอบ ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ปรากฏครั้งแรกบนนาฬิกามัสท์ เดอ คาร์เทียร์ (Must de Cartier) เรือนเด่นจากยุค 1980s ซึ่งของเดิมนั้นมีตัวเรือนสี่เหลี่ยมผืนผ้าดีไซน์ที่มีคานประกบตัวเรือนในแนวดิ่งอันเป็นเอกลักษณ์

หน้าปัดสีแดงที่เราเห็นนี้ใช้วิธีเคลือบแล็กเกอร์ ส่วนหน้าปัดสีเทาใช้เทคนิคชุบกัลวาไนซ์ เพิ่มความเงางามด้วยเทคนิคการเคลือบซ้อนกันหลายชั้น ขับเน้นความเด่นของเลขโรมันทั้ง 4 ตำแหน่ง ละเมียดละไมในดีไซน์ด้วยการลดตัวเลขบอกชั่วโมงลงเหลือเพียง 4 ตำแหน่ง นี่คือความงามสง่าของ Tank Louis Cartier รุ่นใหม่นี้ที่นาฬิกาพลิกรับแสงแต่ละครั้งจะปรากฏมิติของสีบนหน้าปัดที่ดูลุ่มลึกและชวนให้จับจ้อง เป็นความพิเศษที่มีเอกลักษณ์สมค่าคู่ควรกับคนที่ชอบความพิเศษไม่เหมือนใคร

– Author: Sethapong Pawwattana –

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาร์เทียร์ โปรดเยี่ยมชม www.cartier.com/th-th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Cartier Thailand

LINE Official Account: @CartierTH

Tech Gombessa ฉลองครบรอบ 70 ปีของ Fifty Fathoms


Blancpain (บลองแปง) สานต่อการเฉลิมฉลองการครบรอบ 70 ปีของ Fifty Fathoms (ฟิฟตี้ ฟาธอมส์) จาก Rangiroa Atoll ในดินแดน French Polynesia สถานที่ปฏิบัติภารกิจ Tamataroa โดย Blancpain ได้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของนาฬิกาดำน้ำแบบโมเดิร์นเรือนแรกด้วยการเปิดตัวนาฬิกาโมเดลใหม่ล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเชิงเทคนิคในการดำน้ำยุคปัจจุบัน

อุปกรณ์ชิ้นนี้มีนวัตกรรมที่ได้รับการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Marc A. Hayek ประธานและซีอีโอของ Blancpain กับ Laurent Ballesta ผู้ก่อตั้งโครงการ Gombessa ภายใต้ชื่อ “Tech Gombessa” ซึ่งมีความสามารถในการจับเวลาดำน้ำได้นานถึงสามชั่วโมงเป็นครั้งแรก การเปิดตัวนี้ยังมีขึ้นเพื่อระลึกถึงการครบรอบ 10 ปีของโครงการ Gombessa ที่ Blancpain มีส่วนช่วยผลักดันในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นในปี 2013 นอกจากนั้นยังถือเป็นการเปิดตัวคอลเลคชั่นนาฬิกาดำน้ำไลน์ใหม่ของ Blancpain อีกด้วย
เมื่อ 70 ปีที่แล้ว เรือนเวลาระดับไอคอนนาม Fifty Fathoms ได้ถือกำเนิดขึ้น เรือนเวลาที่ปฏิวัติวงการและกลายเป็นนาฬิกาดำน้ำแบบโมเดิร์นเรือนแรกของโลกซึ่งถูกคิดค้นขึ้นโดย Jean-Jacques Fiechter ผู้หลงใหลในการดำน้ำแบบสคูบาและยังเป็นซีอีโอของ Blancpain ในขณะนั้น เขาเป็นดั่งผู้บุกเบิกในการวางกฏระเบียบของกิจกรรมดังกล่าวที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทั้งยังมีความเข้าใจถึงความจำเป็นของการจับเวลาใต้ผืนน้ำ อุปกรณ์ที่เขาออกแบบขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองจึงเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนที่มีความเกี่ยวข้องกับท้องทะเลจนกลายเป็นอุปกรณ์คู่กายของเหล่านักดำน้ำและผู้สำรวจมหามุทรชั้นนำมากมาย ด้วยเป้าหมายของ Fifty Fathoms ที่มุ่งเน้นไปในการยกระดับความปลอดภัย มันจึงมีส่วนอย่างมากในการพัฒนาวงการอีกทั้งยังส่งเสริมการค้นพบสิ่งใหม่ในโลกใต้ทะเล

ปี 2023 ถือเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองการครบรอบ 70 ปีของ Fifty Fathoms ทั้งยังเป็นภาพสะท้อนในการหวนกลับมาของการให้กำเนิดนาฬิกาที่เปี่ยมไปด้วยนวัตกรรม ตั้งแต่ยุค 1950 เป็นต้นมา การดำน้ำมีวิวัฒนาการขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเรื่องการยืดระยะเวลาในการดำน้ำ แม้ว่านาฬิกา Fifty Fathoms ในปี 1953 จะตอบโจทย์ความต้องการของ Jean-Jacques Fiechter และนักดำน้ำมากประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นได้ แต่ ณ ตอนนี้ความต้องการที่มีต่อการจับเวลาใต้น้ำได้เปลี่ยนไปเนื่องจากความสามารถในการอยู่ใต้น้ำที่นานขึ้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นโดยตรงกับประธานและซีอีโอของ Blancpain ที่เป็นนักดำน้ำสคูบาตัวยง ทั้งยังเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการดำน้ำแบบระบบวงจรปิด (closed-circuit) มาเป็นเวลาหลายปี เขาจึงตัดสินใจที่จะลงมือออกแบบอุปกรณ์ชิ้นพิเศษร่วมกับ Laurent Ballesta นักดำน้ำ ช่างภาพ และนักชีววิทยาทางทะเลโดยได้รับเอาคุณสมบัติอันล้ำค่าจากนาฬิกา Fifty Fathoms ปี 1953 มารวมเข้ากับประสบการณ์โดยตรงของตนเอง

โดยมีเป้าหมายในการบรรลุความต้องการของกลุ่มสุดยอดนักดำน้ำ อาทิ เหล่าสมาชิกของทีมสำรวจ Gombessa ที่งานวิจัยของพวกเขาต้องเกี่ยวข้องกับการดำน้ำลึกภายใต้ระยะเวลาที่ยาวนาน ทั้งนี้ด้วยการสนับสนุนของ Blancpain นักดำน้ำลึกเหล่านี้จึงได้รวมตัวกันในการปฏิบัติภารกิจที่จะกินระยะเวลาหลายปีในชื่อ Tamataroa ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อศึกษาพฤติกรรมของฉลามหัวค้อนใหญ่ (Sphyrna mokarran) ใน French Polynesia นำโดยคณะกรรมการที่ล้วนเป็นนักดำน้ำลึกที่มี Marc A. Hayek และ Laurent Ballesta รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้การเฝ้าสังเกตุการณ์ และการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปด้วยวิธีการดำน้ำเชิงเทคนิคบริเวณ Rangiroa Atoll โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการดำเนินการตามมาตรการการจัดการเพื่อการอนุรักษ์
ด้วยเหตุการณ์นี้เองจึงนำมาสู่การเปิดตัวครั้งแรกของนาฬิกาเรือนใหม่ล่าสุดจากคอลเลคชั่น Fifty Fathoms นาม Tech Gombessa ที่ถูกออกแบบให้สามารถจับเวลาดำน้ำได้ยาวนานถึง 3 ชั่วโมงหรือจนกระทั่งออกจากการดำน้ำแบบอิ่มตัว (saturation system) นาฬิกาเรือนนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยสองนักดำน้ำเมื่อ 5 ปีที่แล้วและผ่านการทดสอบมาอย่างโชกโชน ในปี 2019 หลังจากผ่านช่วงเวลา 1 ปีในการกำหนดแนวคิด Blancpain เริ่มขั้นตอนในการพัฒนาโดยเริ่มต้นจาก 2 องค์ประกอบหลักได้แก่ กลไก และขอบหน้าปัดจับเวลาหมุนได้ทิศทางเดียว ทั้งนี้ขอบหน้าปัดจับเวลาของ Fifty Fathoms Tech Gombessa มีสเกลจับเวลา 3 ชั่วโมงซึ่งแตกต่างจากขอบหน้าปัดจับเวลาของนาฬิกาดำน้ำทั่ว ๆ ไป โดยมันทำงานควบคู่กับเข็มพิเศษซึ่งจะเดินครบหนึ่งรอบภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง ปลายเข็มมีสีสันและวัสดุเช่นเดียวกับมาร์กเกอร์บนขอบหน้าปัดที่มีการเคลือบสารเรืองแสงสีขาวพร้อมการเปล่งแสงสีเขียว ระบบการทำงานดังกล่าวนี้ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกและจดสิทธิบัตรร่วมกันโดย Marc A. Hayek และ Laurent Ballesta โดยมันถือเป็นหัวใจสำคัญของกลไกขึ้นลานอัตโนมัติรหัส 13P8 ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งในด้านความเที่ยงตรงและความแข็งแกร่งซึ่งช่วยให้ Fifty Fathoms เป็นที่สุดแห่งนาฬิกาดำน้ำมาเป็นเวลาถึง 70 ปี


เมื่อขอบหน้าปัดจับเวลา และกลไกลงตัวแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบตัวเรือนให้เหมาะสมต่อการใช้ในการดำน้ำลึก โจทย์ในการออกแบบนั้นชัดเจนนั่นคือ นาฬิกา Fifty Fathoms Tech Gombessa ต้องมีหน้าตาแบบ Fifty Fathoms แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความแตกต่างที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น ‘เทค’ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เหล่านักออกแบบของ Blancpain จึงเลือกใช้ขอบหน้าปัดจับเวลาเซรามิคแทนที่จะใช้ขอบแซฟไฟร์อย่างทุกครั้ง อีกทั้งยังตัดสินใจทำให้มันมีความโค้งที่มากกว่าและเอียงลงเข้าหาหน้าปัดที่กรุด้วยคริสตัลซึ่งช่วยขจัดความผิดเพี้ยนในการมองเห็น อีกทั้งเพื่อช่วยในการอ่านค่าให้ได้ชัดเจนที่สุดในความมืดจึงเลือกใช้งานหน้าปัดแบบใหม่ที่เรียกว่า absolute black หรือสีดำสนิทที่สามารถดูดซับแสงได้เกือบ 97% ในขณะที่หลักชั่วโมงถูกรังสรรค์ขึ้นจากวัสดุเรืองแสงทรงกล่องสีส้มที่เปล่งแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นสีที่เลือกไว้ใช้สำหรับการบอกชั่วโมงและนาทีจึงมีความแตกต่างจากสีที่เอาไว้ใช้บอกข้อมูลสำหรับการจับเวลาดำน้ำนั่นเอง
ตัวเรือนทำจากไทเทเนียมเกรด 23 ซึ่งเป็นเกรดที่ Blancpain เพิ่งนำมาใช้กับนาฬิกาของตนเองเมื่อไม่นานมานี้ วัสดุดังกล่าวยังสามารถเรียกได้อีกแบบว่า เกรด 5 ELI (extra low interstitials) ซึ่งถือเป็นไทเทียมที่มีความบริสุทธิ์ที่สุดที่มีอยู่ มีคุณสมบัติโดดเด่นทางด้านความแข็งแกร่ง ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และมีน้ำหนักเบาจึงช่วยให้สวมใส่สบายจนแทบจะไม่รู้สึกถึงการมีนาฬิกาขนาด 47 มม.อยู่บนข้อมือ ทั้งยังมีวิธีการยึดตัวเรือนแบบใหม่ของ Blancpain ซึ่งยึดจากตรงกลางด้านในผ่าน central lugs เข้ากับสายนาฬิกาให้เป็นหนึ่งเดียวกัน นาฬิกามีขีดความสามารถในการกันน้ำระดับ 30 บาร์ (ประมาณ 300 เมตร) พร้อมฮีเลียมวาล์ว โดยในขณะที่มีการดำน้ำแบบอิ่มตัวภายในห้องปรับความดัน ฮีเลียมจะสามารถซึมเข้าไปภายในนาฬิกาได้ ดังนั้นในขณะที่ทำการคลายความดันเพื่อขึ้นสู่ผิวน้ำ การคลายวาล์วจะช่วยในการไล่ฮีเลียมออก (การปรับดังกล่าวไม่ส่งผลใด ๆ ต่อความสามารถในการกันน้ำของตัวนาฬิกา) สำหรับการขึ้นลานและการตั้งเวลานั้นทำผ่านการหมุนเม็ดมะยมที่ควบคุมทั้งการปรับเข็มชั่วโมง เข็มนาที และเข็มจับเวลาดำน้ำในคราวเดียว ตัวเม็ดมะยมเป็นแบบขันเกลียวพร้อมคราวน์การ์ดล้อมที่มาในดีไซน์ทรงสี่เหลี่ยมคางหมูเข้ากับรูปทรงของ lugs ไม่มีพื้นที่ส่วนใดที่ไม่ถูกใส่ใจในการดีไซน์ซึ่งนั่นรวมไปถึงด้านหลังของเรือนเวลา บริเวณพื้นที่ของตัวเรือนชิ้นกลางมีลักษณะเป็นมุมเอียงซึ่งแตกต่างจากลักษณะกลมมนทรง ‘อ่าง’ ของ Fifty Fathoms ในโมเดลอื่น ๆ รอยบากที่ใช้สำหรับขันสกรูยังได้รับการปรับปรุงใหม่แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งเช่นเดิม มีตุ้มเหวี่ยงสีแอนทราไซต์ประทับโลโก้ Gombessa Expeditions ที่โดดเด่นด้วยรูปทรงทันสมัยพร้อมการเปิดช่องขนาดใหญ่ 3 ช่องไว้สำหรับชื่นชมการทำงานของกลไก สายยางสีดำใช้การขันกสรูเพื่อยึดกับขาของตัวเรือนที่มีการเสริมความแข็งแรงด้วยไทเทเนียมด้านใน ทำให้มั่นใจว่าสายจะอยู่ในรูปทรงที่ถูกต้องในระยะยาว อีกทั้งยังมีสายสำหรับต่อความยาวในกรณีสวมใส่นาฬิกาบนชุดดำน้ำ หัวเข็มขัดล็อคสายมีความกว้างพิเศษและพินที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสาตร์ได้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเสริมการยึดนาฬิกาไว้กับข้อมือและเพื่อให้ง่ายต่อการรัดสายส่วนต่อ


นาฬิกา Fifty Fathoms Tech Gombessa มาในกล่อง Peli™ แบบพิเศษที่สามารถกันน้ำและกันกระแทก ทั้งยังนำไปใช้ใส่อุปกรณ์ชนิดอื่นได้เนื่องจากสามารถจัดสรรพื้นที่ภายในได้เอง บรรจุทั้งตัวนาฬิกา สายส่วนขยาย ที่ใส่นาฬิกาแบบพกพา แว่นขยาย เซ็ตชุดการแบ่ง และอุปกรณ์สำหรับตัดเพื่อจัดพื้นที่ภายในกระเป๋าตามความต้องการ
รายละเอียดทุกอย่างของนาฬิกา Tech Gombessa ดูเหมือนจะรวมกันได้อย่างราบรื่นไร้ที่ติ แต่แท้จริงแล้วมันผ่านการปรับแต่งมานับครั้งไม่ถ้วนซึ่งล้วนเกิดมาจากการทดสอบในสถานการณ์จริงที่ Marc A. Hayek ได้สวมใส่เรือนเวลาโปรโตไทป์หลายเวอร์ชั่นในการดำน้ำของเขา เช่นเดียวกับ Laurent Ballesta และเหล่านักดำน้ำของทีมสำรวจ Gombessa ซึ่งได้ทดสอบนาฬิการุ่นนี้ตลอดขั้นตอนของการพัฒนา โดยเรือนโปรโตไทป์ทั้งหมด 4 เวอร์ชั่นถูกทดสอบบนข้อมือของเหล่านักสำรวจใต้ทะเลเป็นระยะเวลาเกือบ 50 วันที่ระดับความลึกระดับ 120 เมตรระหว่างภารกิจ Gombessa V และ Gombessa VI ที่เกิดขึ้นในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนปี 2019 และ 2021 ตามลำดับ โดยทั้ง 2 ภารกิจมีการนำทั้งการดำน้ำแบบอิ่มตัวพร้อมวิธีการดำแบบวงจรปิดมาใช้เป็นครั้งแรกซึ่งเหล่านักดำน้ำได้ผ่านการใช้ชีวิตภายในห้องปรับความดันขนาด 5 ตารางเมตรตลอดเดือน อีกทั้งยังออกมาด้านนอกเพื่อสำรวจท้องทะเลทุก ๆ วันจึงมีโอกาสได้ทดสอบฮีเลียมวาล์วหลายเวอร์ชั่นอีกด้วย
นาฬิกา Fifty Fathoms Tech Gombessa ได้กลายเป็นเรือนเวลาสำหรับปฏิบัติภารกิจของกลุ่มนักดำน้ำทีม Gombessa เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ความต้องการสุดหินได้อย่างครบถ้วน การเปิดตัวนาฬิการุ่นนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่การครบรอบ 70 ปีของ Fifty Fathoms และยังเป็นการครบรอบ 10 ปีแห่งความร่วมมือระหว่าง Blancpain และ Laurent Ballesta ซึ่งโครงการ Gombessa ของเขาได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 2013 ที่ Blancpain เข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดตัวไลน์ใหม่ภายใต้ชื่อ Fifty Fathoms Tech สำหรับนาฬิกา Blancpain ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อการดำน้ำเชิงเทคนิคนั่นเอง
เกี่ยวกับ Fifty Fathoms


เปิดตัวครั้งแรกในปี 1953 Fifty Fathoms คือนาฬิกาดำน้ำรูปแบบโมเดิร์นเรือนแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักดำน้ำเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการสำรวจโลกใต้ทะเล มันถูกเลือกใช้โดยนักดำน้ำรุ่นบุกเบิก และเหล่าทหารเรือชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกในฐานะอุปกรณ์จับเวลาระดับมืออาชีพ ด้วยประสิทธิภาพในการกันน้ำ ระบบปะเก็นสองชั้นบริเวณเม็ดมะยม กลไกขึ้นลานอัตโนมัติ หน้าปัดสีเข้มที่ตัดกันอย่างชัดเจนกับสารเรือนแสงที่หลักบอกเวลา ขอบจับเวลาหมุนได้ทิศทางเดียว และคุณสมบัติในการป้องกันสนามแม่เหล็ก ทำให้ Fifty Fathoms กลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับนักดำน้ำในการปฏิบัติภารกิจใต้ผืนทะเล
คุณลักษณะที่สำคัญเหล่านี้ทำให้ Fifty Fathoms กลายเป็นดั่งแม่แบบแห่งนาฬิกาดำน้ำของวงการ และแม้จะเต็มไปด้วยข้อพิสูจน์นานับประการจากในอดีตแต่ก็พร้อมที่จะมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ นั่นทำให้ Fifty Fathoms รุ่นยุคปัจจุบันเลือกใช้กลไกสมัยใหม่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งและความเที่ยงตรง มันเต็มไปด้วยนวัตกรรมเชิงเทคนิคอันหลากหลายที่ได้รับมาจากประสบการณ์อันโชกโชนทางด้านการดำน้ำของ Blancpain ความเสี่ยง และความจำเป็นอย่างยิ่งยวด
Fifty Fathoms มีบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาการดำน้ำแบบสคูบาและการค้นพบโลกใต้สมุทร รวมทั้งทำให้ Blancpain เชื่อมต่อกับกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับท้องทะเลได้อย่างใกล้ชิด ความสัมพันธ์นี้ยังถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 70 ปี Fifty Fathoms คือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดพันธสัญญาแห่งการอนุรักษ์ท้องทะเลของ Blancpain

คิม ซู ฮยอน ร่วมถ่ายทอดสไตล์อันโดดเด่นผ่านนาฬิกาหรูเรือนล่าสุดจาก MIDO Multifort M Chronometer

สนุกกับการแต่งตัวได้อย่างไม่รู้จบไปกับซูเปอร์สตาร์หนุ่ม “คิม ซู ฮยอน” (Kim Soo-hyun) แบรนด์แอมบาสเดอร์ชื่อดังจากแบรนด์นาฬิกาหรู “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ที่ล่าสุดได้มาร่วมถ่ายทอดสไตล์อันป็นเอกลักษณ์ผ่านเรือนเวลาดีไซน์เท่ “มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์” (Multifort M Chronometer) ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์อันแข็งแกร่งบนหน้าปัดสีเขียว พร้อมฟังก์ชั่นความแม่นยำและทนทานสูงสุด ให้เหล่าคนรักนาฬิกาได้ยลโฉมพร้อมกันแล้ววันนี้

“มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (GEORGES SCHAEREN) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.SCHAEREN & CO. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน และยังคงไว้ซึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วน 

สำหรับ “มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์” (Multifort M Chronometer) นับเป็นเรือนเวลาชิ้นเยี่ยมที่สามารถการันตีถึงฝีมือของช่างทำนาฬิกาแบรนด์ “มิโด” (MIDO) ได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านการรับรองโดยสถาบันทดสอบความเที่ยงตรงของนาฬิกาแห่งสวิตเซอร์แลนด์ (Official Swiss Chronometer Testing Institute หรือ COSC) โดยตัวเรือนถูกขับเคลื่อนด้วยกลไก อัตโนมัติคาลิเบอร์ 80 (Calibre 80) ที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 80 ชั่วโมง พร้อมซิลิคอน บาลานซ์สปริง (Silicon Balance Spring) ที่มีคุณสมบัติด้านความแม่นยำทนทานต่อสนามแม่เหล็ก โดยมีการสลักคำว่า ‘Chronometer’ บนหน้าปัด เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงความแม่นยำที่เกินกว่าค่ามาตรฐาน 

อีกหนึ่งความโดดเด่นของ “มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์” (Multifort M Chronometer) คือรูปลักษณ์อันแข็งแกร่งและดุดัน ด้วยตัวเรือนและสายจากสแตนเลสสตีลที่มีความทนทานเป็นพิเศษ มาพร้อมหน้าปัดทรงกลมสีเขียวที่มีการไล่ระดับสีเขียวบริเวณตรงกลางกระจายออกไปด้านข้างกระทั่งกลายเป็นสีดำบริเวณรอบหน้าปัด และเทคนิคการขัดลายซาตินในแนวตั้งอย่างประณีต จึงทำให้หน้าปัดของ “มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์” (Multifort M Chronometer) มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีการเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova®) สีเบจที่ตัวเข็มนาฬิกาและบริเวณอินเด็กซ์โดยรอบเพื่อช่วยให้อ่านค่าเวลาได้อย่างแม่นยำเมื่อตัดกับพื้นหลังสีเข้ม พร้อมเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนทั้งสองด้าน และมีช่องระบุวันที่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา รวมถึงดีไซน์ฝาหลังแบบเปลือยที่สามารถมองเห็นกลไกการขับเคลื่อนของนาฬิกาได้อย่างงดงาม โดย “มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์” (Multifort M Chronometer) สามารถกันน้ำลึกในระดับ 100 เมตร 

นอกจากนี้นาฬิกาข้อมือของ มิโด” (MIDO) ที่ผ่านการทดสอบโดย COSC ยังเพิ่มระยะเวลาการรับประกันพิเศษจาก 3 ปี เป็น 5 ปีอีกด้วย พบกับ “มัลติฟอร์ท เอ็ม โครโนมิเตอร์” (Multifort M Chronometer) เรือนเวลาดีไซน์เท่ คุณภาพมาตรฐานตามแบบฉบับ Swiss made ได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์ “มิโด” (MIDO) เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ MIDO Official Store ใน Shopee และ Lazada และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่เว็บไซต์  www.midowatches.com

rhunrun เรียบเรียง

ความร่วมมือครั้งใหม่ HUBLOT และ TAKASHI MURAKAMI

ความร่วมมือครั้งใหม่ ระหว่าง Hublot (อูโบลท์) และ Takashi Murakami (ทาคาชิ มุราคามิ) นำเสนอผลงาน NFTs (เอ็นเอฟที) รวมถึงนาฬิการุ่นพิเศษที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเพียงหนึ่งเดียวทั้ง 13 เรือน ที่ถ่ายทอดไว้ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของดอกมุราคามิหรือดอกไม้ยิ้มไอคอนิกอันเป็นศูนย์กลางในผลงานของศิลปินชาวญี่ปุ่นท่านนี้

ในงานเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้น ณ Glass House (กลาส เฮาส์) ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 Hublot และ Takashi Murakami ได้ประกาศถึงโครงการแห่งความร่วมมือเชิงศิลป์ครั้งที่สี่ กับการเปิดตัว NFTs ใหม่ 13 ชิ้นงาน และนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวทั้ง 13 เรือน โดยการประกาศครั้งนี้ยังเป็นตัวแทนสะท้อนถึงความต่อเนื่องของโครงการต่างๆ นับจากอดีต พร้อมทั้งเป็นการมอบรางวัลให้กับผู้ซื้อนาฬิกาและนักสะสมชิ้นงาน NFTs ชุดแรกๆ ผ่านทางการเข้าถึงแบบเอ็กซ์คลู-ซีฟเฉพาะ

NFTs ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทั้ง 13 ชิ้นงานนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิดีโอเกมและโทรทัศน์ของญี่ปุ่นจากยุค 1970s เช่นเดียวกับนาฬิกา Classic Fusion Takashi Murakami All Black (คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ ออล แบล็ก) ผลงานแห่งความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างแบรนด์นาฬิกาสวิสฯ และ Takashi Murakami ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2021 โดยผลงาน NFTs เหล่านี้จะเชื่อมโยงกับนาฬิกา Classic Fusion (คลาสสิก ฟิวชั่น) รุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวและผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 13 เรือน พร้อมทั้งเตรียมที่จะเผยโฉมในงาน Watches & Wonders 2023 (วอทช์เชส แอนด์ วันเดอร์ส 2023) ที่เจนีวา สำหรับนาฬิกา 12 เรือนของรุ่นนี้จะมีจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ hublot.com ซึ่งจะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเพียงเจ้าของผู้ครอบครองอย่างน้อยหนึ่งในชิ้นงาน NFTs จากทั้งหมด 324 ชิ้น ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นผลงานแห่งความร่วมมือครั้งที่สามระหว่าง Hublot และ Takashi Murakami โดย NFTs ทั้ง 324 ชิ้น

แต่เดิมนั้นถูกนำเสนอให้กับผู้เป็นเจ้าของหนึ่งในนาฬิกาสองรุ่นของ Hublot x Takashi Murakami ได้แก่ Classic Fusion Takashi Murakami All Black และ Classic Fusion Takashi Murakami Sapphire Rainbow (คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ ออล แบล็ค และ คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ แซฟไฟร์ เรนโบว์)) ก่อนที่พวกเขาจะสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนชิ้นงานดิจิทัลนี้ได้ผ่านทางแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT อย่าง OpenSea (โอเพนซี) โดย ณ ช่วงเวลาระหว่างการประกาศโครงการใหม่นี้ที่นิวยอร์กในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 จนถึงเวลาเริ่มต้นจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน ค.ศ. 2023 ณ เจนีวา เป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้นักสะสมที่สนใจหนึ่งในนาฬิการุ่นใหม่ได้มีโอกาสสะสมหนึ่งใน NFTs ที่จะมีจำหน่ายบน OpenSea โดยผู้ซื้อผู้โชคดีแต่ละคนที่ได้ครอบครองหนึ่งในนาฬิกาเอกลักษณ์เฉพาะรุ่นใหม่ทั้ง 12 เรือนนี้ ก็จะได้รับ NFT เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะของนาฬิกาเรือนนั้นๆ ไปด้วย

Hublot และ Takashi Murakami ได้ยกระดับนาฬิกาในฐานะงานศิลปะสู่มิติใหม่ โดยการเชื่อมโยงศิลปะแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูงเข้ากับศิลปะดิจิทัล นาฬิกาเรือนที่ 13 ของคอลเลคชั่นนี้ซึ่งเปิดตัวที่นิวยอร์ก ในรุ่น Classic Fusion Takashi Murakami Black Ceramic Rainbow (คลาสสิก ฟิวชั่น ทาคาชิ มุราคามิ แบล็ก เซรามิก เรนโบว์) นับเป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานสองรุ่นที่เปิดตัวมาแล้วก่อนหน้า โดยนาฬิการุ่นนี้ได้ตีความหมายใหม่ให้กับสัญลักษณ์อันเป็นไอคอนิกของ Takashi Murakami อย่าง ดอกมุราคามิ หรือดอกไม้ยิ้ม ภายในเรือนเวลากลีบดอกไม้ทั้ง 12 กลีบได้ถูกสร้างสรรค์ผ่านการไล่เฉดสีอย่างสมบูรณ์แบบจากอัญมณีต่างๆ ทั้ง ทับทิม, แซฟไฟร์, อเมทิสต์, ซาโวไรต์ และโท-แพซ ต้องขอบคุณระบบลูกบอลรองรับ (ball-bearing) อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นโดยทีมวิศวกรของ Hublot ที่ทำให้กลีบดอกไม้เหล่านี้ไม่เพียงรังสรรค์ภาพอันมีชีวิตชีวาของสีสัน แต่พวกมันยังสามารถหมุนบนแกนไปตามแต่ละการเคลื่อนไหว ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลีบดอกไม้ได้สร้างสรรค์มิติอันโดดเด่นที่ตัดกับตัวเรือนเซรามิกสีดำ ขนาด 45 มม. และศูนย์กลางของรูปดอกไม้ยิ้มยังถูกจัดวางไว้ทางด้านบนของกระจกแซฟไฟร์เพื่อสร้างเป็นภาพสามมิติอันสวยงาม

ในขณะที่นาฬิกาอีก 12 เรือนซึ่งจะมีจำหน่ายและสามารถครอบครองได้โดยผู้ที่ถือครอง NFTs บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเฉพาะนั้น ยังชวนให้นึกถึงดอกไม้ของศิลปินและเป็นตัวแทนของหนึ่งใน 12 กลีบดอกแต่ละกลีบ เป็นสัญลักษณ์ของ 12 ชั่วโมงบนหน้าปัด และ NFTs ทั้ง 12 ชิ้นงานอีกด้วย
หัวใจของนาฬิกาขับเคลื่อนด้วยกลไกจักรกล manufacture Unico calibre (แมนูแฟคเจอร์ ยูนิโค คาลิเบอร์) ที่ติดตั้งอยู่ภายในดีไซน์อันเป็นสัญลักษณ์ของ Classic Fusion โดยกลไกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียวนี้มอบพลังงานสำรองได้ 72 ชั่วโมง และในฐานะนาฬิกาแห่งความร่วมมือรุ่นที่สามระหว่าง Hublot และศิลปินชาวญี่ปุ่น การเปิดตัวครั้งนี้นับเป็นบทพิสูจน์ถึงน่าทึ่งที่ควรค่าแก่การสะสมซึ่งเกิดขึ้นจากสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นนี้

โดยในขั้นต่อไป นักสะสมจะมีช่วงเวลาตลอดหนึ่งปีเต็มระหว่างนี้ที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ซื้อขาย NFTs ทั้ง 12 ชิ้นงานได้บนแพลตฟอร์ม OpenSea จนถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 2024 โดยจะมีเพียงนักสะสมผู้ซึ่งครอบครองชิ้นงาน NFTs ใหม่ทั้ง 12 ชิ้นนี้เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ซื้อในการซื้อนาฬิกาเรือนที่ 13 อันเป็นที่ตามหามากที่สุด นั่นคือ Classic Fusion Takashi Murakami Black Ceramic Rainbow และหากเกิดกรณีที่ไม่มีผู้ใดสามารถครอบครอง NFTs ทั้ง 12 ชิ้นได้ทั้งหมด นาฬิกาเรือนนี้จะถูกนำไปประมูลโดย Hublot เพื่อระดมและสมทบทุนให้กับการกุศลต่อไป

ส่องกันจะๆ นาฬิกาสีแดงบนข้อมือริฮานน่า

ถึงจะถูกยกย่องให้เป็นเจ้าแม่แห่งการตลาดบนเวทีพักครึ่งของการแข่งขัน Superbowl ที่โลกต้องจดจำภาพตบแป้งกลางเวทีของ @badgalriri แต่ที่เด่นไม่แพ้กันก็คือนาฬิกาสีแดงเด่นที่จริงๆ แล้วเป็นนาฬิกาส่วนตัวของเธอเอง ที่ได้รับเลือกมาให้คอมพลีทลุคแดงแรงฤทธิ์ของเธอ(อ่านได้ในโพสต์ https://hommesthailand.com/2023/02/rihanna-look-on-stage-super-bowl-2023-halftime-show/)

Photo courtesy of Jacob & Co.


Rihanna มีความสตรองเรื่องรสนิยมที่โดดเด่น อย่างนาฬิกาสีแดงนี้เธอกับ แบรนด์นาฬิกา Jacob & Co. ซึ่งเธอชื่นชอบในดีไซน์มาอย่างยาวนาน ไม่ต่ำกว่า 15 ปี กล่าวได้ว่าเธอเป็นลูกค้าและ muse ของแบรนด์อย่างแท้จริง ในค่ำคืนสำคัญนั้นริรี เลือกที่จะสวมนาฬิกาของเธอเองในระหว่างการแสดงสด Superbowl ชุดเอี๊ยมสีแดงของเธอซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเธอ โดยนาฬิกาเรือนนี้อยู่ในคอลเลกชั่น ในคอลเลกชั่น Northern Lights โดดเด่นที่หน้าปัดสีแดงจากคริสตัลสีแดง กรอบนาฬิกาผังด้วยเพชรสีขาวจำนวน 323 เม็ดล้อมกรอบตัวเรือนขนาด 44 มม. เติมเต็มความสูงค่าด้วยสายหนังจระเข้ทำสีแดง
เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่เธอเป็นลูกค้าประจำและเป็นเพื่อนกับ Jacob Arabo ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์นาฬิกานี้ “ริฮานน่าเป็นเหมือนเทพธิดา” จาค็อบ อาราโบ กล่าว “เธอมีครบทุกอย่าง มีความเป็นผู้นำที่ไม่มีใครเหมือน อีกทั้งมีพรสวรรค์เหลือล้น และพลังที่สดใสไม่เหมือนใคร ระหว่างการแสดง Superbowl เธอแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเธอเป็นเจ้าของเวที ไม่ว่าจะเวทีไหนก็ตาม และเธอเป็นลูกค้าที่มีลงลึกในทุกรายละเอียด เธอจะเลือกในสิ่งที่เราทำได้อย่างดีที่สุดเท่านั้นสำหรับเธอ”

The Brilliant Northern Lights เป็นนาฬิกาตัวเรือนสเตนเลสสตีล ประดับเพชรแบบพาเว่ 11.26 กะรัต ขับเคลื่อนด้วยกลไกระดับสูง skeleton movement ที่เผยให้เห็นชิ้นส่วนภายในที่จัดวางอย่างสวยงามรวมทั้ง graphic bridge layout อันเป็นแบบเฉพาะของ Jacob & Co เท่านั้น ปิดด้านหน้าของตัวเรือนด้วยคริสตัลสีแดงสุดหายากในวงการนาฬิกา นี่เป็นหนึ่งในนาฬิกาและเครื่องประดับระดับสูงของ Jacob & Co. หลายชิ้นที่ Rihanna เป็นเจ้าของและสวมใส่อยู่เป็นประจำ
ต้องยอมรับว่าเธอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเธอจริงๆ และเธอก็ทรงพลังมากจนได้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเธอเสมอ

#jacobandco #jacobandco_switzerland

King Seiko กับฉลองครบรอบ 110 ปี แห่งการผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของญี่ปุ่น

King Seiko ร่วมฉลองครบรอบ 110 ปี แห่งการผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของญี่ปุ่น ผ่านลวดลาย Kikkoumon ครั้งแรกบนหน้าปัด King Seiko

ในปีนี้ถึงวาระแห่งการฉลองครบรอบ 110 ปีแห่งการผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของญี่ปุ่น ด้วยการเปิดตัวซีรีส์นาฬิกาที่ระลึก ซึ่งรวมถึงนาฬิกา King Seiko (คิง ไซโก) รุ่นใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากมรดกทางเทคโนโลยี และการออกแบบอันยาวนาน อีกทั้งยังเป็นการกลับมาของคอลเลกชัน King Seiko ที่ได้รับอิทธิพลจากนาฬิกาวินเทจรุ่นดั้งเดิม ที่สร้างความประทับใจให้กับคนรักนาฬิกาทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยเส้นสายที่เฉียบคม รูปลักษณ์ที่หรูหราเมื่ออยู่บนข้อมือ และฝีมือการออกแบบที่เป็นเลิศ

คอลเลกชันเรือนพิเศษที่มีความโดดเด่นจากพื้นหน้าปัดที่ไล่ระดับสีได้อย่างสวยงามหรูหรา เหลี่ยมมุมของลวดลายเล่นกับแสงได้อย่างน่าหลงใหล โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปทรงเรขาคณิตแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่า คิกโกมอน (Kikkoumon) อันมีต้นแบบมาจากรูปทรงหกเหลี่ยมบนกระดองเต่า ซึ่งในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นนั้น เต่าเป็นสัญลักษณ์ของอายุยืนยาวและความเจริญรุ่งเรือง และรูปทรงหกเหลี่ยมของกระดองเต่ายังเชื่อมโยงกับชุดเกราะของซามูไรที่มีความหมายถึงความแข็งแกร่งและชัยชนะอีกด้วย

นอกจากนี้ ลาย Kikkoumon ยังมีเรื่องราวอันยาวนานที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของ King Seiko ในศตวรรษ 1960 ณ โรงงานในเขตคาเมโดะของกรุงโตเกียว ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักกันในชื่อ คาเมชิมะ (Kameshima) พื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำและลำธาร ที่ถูกเรียกว่า “เกาะเต่า” (Tortoise Island) รูปแบบลวดลายบนหน้าปัดมีมิติความลึกและพื้นผิวที่น่าทึ่ง จริงๆ แล้วรูปหกเหลี่ยมแต่ละชิ้นประกอบขึ้นจากรูปหกเหลี่ยมซ้อนกันสามชิ้น แต่ละชิ้นมีความลึกที่แตกต่างกัน ดูมีมิติ พร้อมทั้งเทคนิคการไล่เฉดจากสว่างที่กลางหน้าปัด แล้วค่อยๆ เข้มขึ้นทีละน้อยไปจนถึงขอบหน้าปัด

อินเด็กซ์บอกเวลาหลักชั่วโมงผ่านการเจียเหลี่ยมอย่างประณีต ผสานกับชุดเข็มแสดงเวลาที่คมกริบ ทำให้คอลเลกชันแห่งการเฉลิมฉลองเรือนนี้ เต็มไปด้วยความสง่างามและโดดเด่น ข้อต่อตัวเรือนได้รับการขัดเงาพื้นผิวให้เงาราวกับกระจกตกแต่งด้วยเทคนิคการขัดแบบลายริ้วแฮร์ไลน์ (Hairline) มอบสัมผัสแห่งความละเมียดละไมเคียงคู่กับความแม่นยำเที่ยงตรง ประกอบเข้ากับกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทรง box-shaped พร้อมเคลือบสารป้องกันการสะท้อนแสง ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติที่ล้ำสมัย คาลิเบอร์ 6R31 สำรองพลังงานได้ 70 ชั่วโมง

คอลเลกชันสุดพิเศษนี้มาพร้อมสายหนังสีดำพร้อมตัวล็อก เพิ่มทางเลือกในการสวมใส่ เปลี่ยนลุคเป็น Dressing watch ได้อย่างง่ายดายKING SEIKO Watchmaking 110th Anniversary รหัส SPB365J สนนราคาจำหน่าย 71,000 บาท จำหน่ายในจำนวนจำกัดเพียง 1,200 เรือนเท่านั้น ที่บูติคของ Seiko สาขาเซ็นทรัลพระราม9, ไซโกบูติคออนไลน์, เคาท์เตอร์ไซโก ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศและ สามารถซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ Website 

rhunrun เรียบเรียง

ส่องเรือนเวลาสุดหรูของแม่ค้าสาว ‘Rihanna’ ในโชว์ Super Bowl Half Time Show

หลังจากที่เราได้ชมโชว์สุดอลังการ ของแม่ค้าสาวสวย Rihanna กันไปแล้วกับโชว์ Super Bowl Half Time Show แม้จะทำการแสดง ที่ทั้งร้องเยอะและเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง แต่เธอคนนี้ก็ไม่พลาดที่จะสวมใส่เครื่องประดับสุดหรู ที่มีมูลค่าสูงริบ นั่นก็คือเรือนเวลาบนข้อมือของเธอนั่นเอง เราได้ส่องและถอดรหัสออกมา สิ่งนี้น่าจะเป็นเรือนเวลาจาก JACOB & CO รุ่น BRILLIANT SKELETON NORTHERN LIGHTS ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขัดเงาและประดับเพชรสีขาวทรงกลมกว่า 251 เม็ด (10.25 กะรัต) พร้อมด้วยเม็ดมะยม ที่ประดับเพชรขาวเจียระไนทรงกลมกว่า 30 เม็ด (0.47 กะรัต) นาฬิกาสุดประณีตที่ผสมผสานระหว่างเครื่องประดับชั้นสูงและนาฬิกาเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของแบรนด์ ที่มีความหรูหรา และเป็นความงามทางกลของ Jacob & Co. Openwork Calibre JCAM01 ที่ถูกผลิตทุกขั้นตอนด้วยมือนั่นเอง

JACOB & CO

BRILLIANT SKELETON NORTHERN LIGHTS

ซูมลุคและเครื่องเพชรของสองดาวเด่น ‘Jisoo’ และ ‘คิมเบอลี่’ ในงาน Beautés du Monde โดย Cartier

Cartier จัดงานค็อกเทลปาร์ตี้เพื่อเฉลิมฉลองการมาเยือนของคอลเล็กชั่นไฮจิวเวลรี Beautés du Monde ครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงแรม Siam Kempinski โดยงานนี้ได้มีแขกคนสำคัญอย่าง ‘Jisoo’ มาในฐานะ Cartier’s Global Brand Ambassador เป็นแขกรับเชิญสุดพิเศษที่มาภายในงาน พร้อมด้วยสาวไทยอย่าง ‘คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส’ ก็มาเป็นอีกหนึ่งแขกคนสำคัญของงาน ในฐานะ Friend of the Maison ด้วยเช่นกัน

Jisoo

ในครั้งนี้ สาวสวยอย่าง Jisoo ได้ปรากฏกายภายในงานในลุค All Black โดยสวมใส่สร้อยคอและต่างหู RAYUELA โดดเด่นจับตาด้วยมรกตโคลัมเบียรูปทรงห้าเหลี่ยม น้ำหนักรวม 6.84 กะรัต จาก Cartier

Kimberley Anne Woltemas

ตามติดมาด้วยสาวไทยอย่าง ‘คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส’ ในลุคเดรสสีขาวสุดสง่า พร้อมด้วยการสวมใส่สร้อยคอและแหวน NOPAL สะกดทุกสายตา ด้วยรูเบลไลต์ทรง Cat’s eye สีแดงก่ำ น้ำหนัก102.17 กะรัต (สร้อยคอ) และ 44.08 กะรัต (แหวน) จาก Cartier

Fashion Show

ไม่เพียงเท่านั้น ในงานยังได้จัด Mini Fashion Show ให้แขกผู้มาร่วมงานได้ยยลโฉมไฮจิวเวลรีชิ้นไฮไลท์จากคอลเล็กชั่น Beautés du Monde ที่สวมใส่โดยนายแบบและนางแบบรวม 8 ลุค ที่บ่งบอกถึงสไตล์ในแบบคาร์เทียร์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์ของเมซงอย่างยาวนาน แต่ละลุคจะงดงามเพียงใด เราไปชมกันเลยครับ

Beautés du Monde รังสรรค์ขึ้นจากแรงบันดาลใจในการเฝ้าสังเกตและชื่นชมความงดงามของโลกใบนี้ไม่ว่าจะอยู่แห่งใด ผ่านการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญของคาร์เทียร์ในการดีไซน์อันสง่างาม รวมไปถึงการจับคู่ผสมผสานระหว่างอัญมณีเลอค่า โดยขับเน้นองค์ประกอบของธรรมชาติและวัฒนธรรมอันหลากหลาย

ห้วงเวลาแสนโรแมนติกกับไอเดียของขวัญจาก Omega

เมื่อวันวาเลนไทน์ใกล้เข้ามา OMEGA จึงขอเสนอเรือนเวลาอันแสนพิเศษสองรุ่น ของขวัญในอุดมคติสำหรับคนรักที่หลงใหลในความหรูหราจากสวิส

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลือกสำหรับสุภาพสตรีของ OMEGA ยังมาพร้อมสรรพด้วยดอกไม้ นาฬิกา De Ville Mini Trésor ตัวเรือนทอง Moonshine™ 18K ได้รับการประดับด้วยลวดลายบุปผชาติสีแดงบนสายนาฬิกาผ้าที่พิมพ์แบบ Toile de Jouy อันเป็นเอกลักษณ์

เพชรถูกนำมาประดับเรียงร้อยบนด้านข้างของตัวเรือนขนาด 26 มม. อีกทั้งการตกแต่งด้วยธีมดอกไม้ยังครอบคลุมไปถึงบนเม็ดมะยมที่ประกอบด้วยเพชรหนึ่งเม็ดซึ่งรายล้อมด้วยลายดอกไม้จากลิควิดเซรามิกสีแดง หน้าปัดทรงโดมรังสรรค์จากอีนาเมลสีออฟไวท์ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบ “Grand Feu” ถูกเติมเต็มด้วยชุดเข็มจากทอง Moonshine™ 18K ที่ขัดเงาแบบไดมอนด์

รวมถึงหลักเลขโรมันที่พิมพ์ด้วยสีโรส ขุมกำลังของเรือนเวลา De Ville อันสง่างามคือกลไก OMEGA Calibre 4061 ซึ่งติดตั้งอยู่ภายใต้กระจกแซฟไฟร์ประดับด้วยลวดลาย “Her Time” เคลือบโลหะจนดูราวกับกระจก

ในด้านเรือนเวลาสำหรับสุภาพบุรุษก็นับได้ว่าคลาสสิกอย่างแท้จริง นาฬิกา OMEGA De Ville Prestige เจเนอเรชั่นที่ 3 รังสรรค์จากทอง Sedna™ 18K หน้าปัดเคลือบ PVD สีดาร์คบลที่ตกแต่งด้วยลวดลายซันบรัช ประดับด้วยชุดเข็มเคลือบ PVD สีทอง Sedna™ หลักชั่วโมงมีการสลับระหว่างหลักเลขโรมันและทรงคาโบชง

และเติมเต็มลุคที่เหนือกาลเวลาด้วยหน้าต่างวันที่ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา, หน้าปัดย่อยบอกวินาที ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา รวมถึงรางนาทีแบบรางรถไฟที่บริเวณขอบของหน้าปัด นาฬิกาที่ได้รับการรับรอง Master Chronometer รุ่นนี้มาในกล่องหนังสีดาร์คบลูและขับเคลื่อนด้วยกลไก OMEGA Master Co-Axial Calibre 8802 ที่สามารถยลโฉมได้ผ่านกระจกแซฟไฟร์ที่ทนทานต่อการขีดข่วนบนฝาหลัง

เช่นเดียวกับความรักที่จะดำรงตราบนิรันดร์ นาฬิกาทั้งสองรุ่นต่างถูกผลิตให้สามารถใช้งานได้ยาวนานและได้รับการรับประกันที่ครอบคลุมทั่วโลกนานถึง 5 ปีเต็ม คู่เรือนเวลาประจำวันวาเลนไทน์ของ OMEGA พร้อมวางจำหน่ายทั้งที่บูติก หรือช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ OMEGA นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังมีของขวัญอีกมากมายหลายแบบสำหรับคนสำคัญของคุณให้เลือกสรรอีกด้วย

rhunrun เรียบเรียง