BEACH VIBES 

Photographer: RANK

Fashion Editor: Chanond Mingmit

ชวนจีชางอุคคุยเรื่องเวลาในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Rado

Author: Kemmachart Tearsawat

Photography: Courtesy of Rado

ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุเรือนเวลาจากสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Rado ในครั้งนี้ได้พาเราบินลัดฟ้าไปร่วมงานเปิดตัวโกลบอลแอมบาสเดอร์คนล่าสุดกับหนุ่ม Ji Chang-Wook ที่จัดขึ้น ณ L’espace Etnah กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

พร้อมทั้งยังได้พาเราไปเยี่ยมชมงานอีเวนต์และเรือนเวลาคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดที่มาจัดแสดงในงานครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโมเดลใหม่ของรุ่นยอดนิยมอย่าง Captain Cook High-Tech Ceramic Skeleton กับรูปโฉมใหม่แบบเผยกลไกสเกเลตันอันงดงาม และรุ่นไฮไลท์ที่เปิดตัวเป็นที่แรกในงานนี้อย่าง DiaStar Original Skeleton ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ยังได้ร่วมชมนาฬิกาที่เป็นสเกเลตันรุ่นต่างๆ ของ Rado ที่มอบสัมผัสเบาสบาย เหมาะสำหรับผู้สวมใส่ทั้งในชีวิตประจำวันและผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถที่จะสวมใส่เอกลักษณ์ที่แตกต่างภายใต้ความหลงใหลและความท้าทาย นอกจากนี้ยังมีคอลเลกชั่นไอคอนิกอย่าง True Square และ Centrix โมเดลใหม่ที่นำมาจัดแสดงภายในงานอีกด้วย และความพิเศษของการไปร่วมงานในครั้งนี้ เรายังได้พูดคุยอย่างเป็นกันเองร่วมกับโกลบอลแอมบาสเดอร์คนล่าสุดอย่างหนุ่ม Ji Chang-Wook อีกด้วย

รู้สึกอย่างไรกับการที่ได้รับเลือกเป็นแอมบาสเดอร์แห่งแบรนด์ Rado ในครั้งนี้

ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับ Rado ในฐานะ global brand ambassador ผมหวังว่าเราจะได้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ด้วยกันต่อไปครับ

คุณรู้จักแบรนด์นาฬิกา Rado ตั้งแต่เมื่อใด

ผมรู้จัก Rado มานานมากแล้วครับ เพราะเป็นนาฬิกาสวิส และผมก็สนใจนาฬิกาอยู่แล้วครับ

หากพูดถึงแบรนด์ Rado สิ่งแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร

ดีไซน์ที่น่าหลงใหล ความหลากหลายในการใช้งาน อีกทั้ง CEO แห่ง Rado ก็มีความแน่วแน่ต่อแบรนด์และมีความหลงใหลในเรื่องของนาฬิกา

คอลเลกชั่นใดของ Rado ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณมากที่สุด

ผมคิดว่าเป็นคอลเลกชั่นที่โด่งดังที่สุด Captain Cook จริงๆ แล้วผมชอบทุกอย่างเกี่ยวกับ Rado เพราะมีดีไซน์ที่หลากหลายและผมสามารถเลือกใช้งานได้ตามสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น DiaStar Skeleton ที่ผมได้รับวันนี้ก็ชอบมากครับ เพราะดีไซน์ออกมาได้ดีมากและมีชื่อผมแกะสลักที่ด้านหลังตัวเรือนอีกด้วย

คำจำกัดความของคำว่า ‘เวลา’ ในความหมายของคุณคืออะไร

เป็นคำถามที่ยากมากเลยนะครับ ผมคิดว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัด และมีความสำคัญเสมอภาคกับทุกคนครับ

คุณมีวิธีการจัดลำดับความสำคัญในเรื่องของเวลาอย่างไร

เนื่องจากตารางงานที่ยุ่งมากของผม ผมจะไม่ได้เรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำ แต่ผมจะทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ณ เวลานั้น แต่จะมีช่วงเวลาที่ผมได้พักจากการถ่ายละคร ผมจะหาเวลาในการพักผ่อนหลังจากการทำงานเสมอครับ

Paperphile

Artist: M.S. Embers


นาฬิกา Cartier รุ่น Santon-Dumont

Chic and Complicated

ครั้งแรกกับฟังก์ชั่นแอนนวลคาเลนดาร์ในคอลเลกชั่น Aquanaut ของ Patek Philippe

Author: Ruckdee Chotjinda

Photography: Courtesy of Patek Philippe

หลังจากที่ Patek Philippe มีการปล่อยนาฬิกา Aquanaut ที่บอกเวลาได้สองประเทศในปี ค.ศ. 2021 และนาฬิกาโครโนกราฟในปี ค.ศ. 2022 ไปแล้วก็ถึงคราวที่คอลเลกชั่น Aquanaut นี้จะได้มีฟังก์ชั่นแอนนวลคาเลนดาร์กับเขาบ้าง และที่คุณเห็นอยู่นี้ก็คือ Patek Philippe Aquanaut Luce Annual Calendar Ref. 5261R-001 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Watches and Wonders Geneva 2023 

องค์ประกอบทั้งหมดของระบบปฏิทินได้รับการจัดวางอย่างสมมาตรและอ่านค่าได้ชัดเจน เริ่มต้นตั้งแต่หน้าต่างวันที่บริเวณ 6 นาฬิกา วงหน้าปัดย่อยสำหรับเดือนและวันตรงกลางหน้าปัด และหน้าต่างมูนเฟสที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา กลไกแอนนวลคาเลนดาร์นี้ได้รับการโปรแกรมมาให้รู้ว่าแต่ละเดือนในหนึ่งปีนั้นมีจำนวนวันกี่วัน ผู้ใช้นาฬิกาจำเป็นต้องปรับตั้งปฏิทินเองเพียงแค่ปีละหนึ่งครั้งเมื่อถึงเวลาสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ไม่เพียงเท่านั้น กลไกมูนเฟสของนาฬิการุ่นนี้ยังเป็นแบบความเที่ยงตรงสูงพิเศษด้วยและจะมีความคลาดเคลื่อนสะสมรวมเพียงแค่หนึ่งวันในระยะเวลา 122 ปี 

ตัวเรือนโรสโกลด์ของ Aquanaut รุ่นนี้เป็นแบบไม่ประดับเพชร วัดขนาดได้ 39.9 มม. ภายในบรรจุเครื่องนาฬิกาแบบขึ้นลานอัตโนมัติรุ่นคาลิเบอร์ 26-330 S QA LU ซึ่งมีโรเตอร์ผลิตจากทอง 21 กะรัต นาฬิการุ่นนี้สวมใส่ด้วยสายแบบคอมโพสิทสีฟ้าอมเทาในเฉดเดียวกันกับหน้าปัด วัสดุที่นำมาผลิตสายนี้เป็นวัสดุที่ใส่แล้วสบายข้อมือ ทั้งยังมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เราจึงเรียกว่า Aquanaut Luce เรือนนี้เป็นนาฬิกาสไตล์แคชวลชิคได้อย่างแท้จริง 

 ‘TAG Heuer’ เปิดตัว Boutique ณ Siam Paragon

TAG Heuer ผู้ผลิตนาฬิกาลักซ์ชัวรี่จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้สานต่อความเป็นเลิศในธรรมเนียมที่ได้ดำเนินเรื่องราวผ่านมา โดยริเริ่มบูติกแฟลกชิปแห่งใหม่ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร  ด้วยในโอกาสอันพิเศษนี้ TAG Heuer ได้จัดงานอีเว้นท์เปิดตัวบูติกแห่งใหม่นี้ โดยเชิญแขกผู้มีเกียรติและแขกส่วนบุคคลเข้าร่วมภายในงาน อาทิเช่น ไบเบิ้ล-วิชญ์ภาส สุเมตติกุล ต้าเหนิง-กัญญาวีร์ สองเมือง และ แขกคนสำคัญของ TAG Heuer อื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมการต้อนรับอย่างอบอุ่นโดย Frédéric Arnault ผู้บริหารของแบรนด์ TAG Heuer และทีมผู้บริหารจาก Siam Piwat

TAG Heuer แบรนด์นาฬิกาสวิสที่เป็นที่รู้จักนี้ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1860 โดยเป็นตัวแทนของความแม่นยำในการจับเวลาและเป็นผู้จับเวลาอย่างมุ่งมั่นในการแข่งขัน Formula 1 ที่สร้างมรดกอันยาวนานจนได้กลายมาเป็นแบรนด์เรือนเวลาสปอร์ตชั้นนำในปัจจุบัน ซึ่งมีจุดจัดจำหน่ายและบูติกมากกว่า 400 แห่งทั่วโลกอย่างสง่างาม และยังคงไม่หยุดยั้งสร้างผลงานการออกแบบและนวัตกรรม รวมไปถึงสร้างเรื่องราวระดับตำนานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ TAG Heuer ยังคงมีความแข็งแกร่งที่หาที่เปรียบไม่ได้

โดยก้าวอันสำคัญครั้งนี้ TAG Heuer เปิดตัวบูติกแฟลกชิปแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นบูติกสาขาที่ 5 ในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ชั้น M สถาปัตยกรรมภายในร้านถูกตกแต่งในโทนสีจากตราสัญลักษณ์แบรนด์ที่ประกอบไปด้วย สีขาว แดง และเขียว ที่คงเอกลักษณ์อันน่าจดจำตามสไตล์ของแบรนด์  ซึ่งการเปิดบูติกแฟลกชิพแห่งใหม่นี้ จัดขึ้นเพื่อขยายการเข้าถึงในกลุ่มคนที่หลงใหลในเรือนเวลาและเพิ่มประสบการณ์รูปแบบใหม่แก่ลูกค้าแบรนด์ TAG Heuer พร้อมจัดจำหน่ายนาฬิกาและแอ็คเซสเซอรี่ส์อย่างครบครัน

ด้วยโอกาสอันน่ายินดีนี้ ในวันที่ 11 กันยายน TAG Heuer จึงเฉลิมฉลองด้วยการจัดงานเปิดตัวบูติกแฟลกชิปแห่งนี้ พร้อมเปิดงานโดย Frédéric Arnault ผู้บริหารของแบรนด์ TAG Heuer และทีมผู้บริหารจาก Siam Piwat ภายในงานได้มีการจัดพาชมรูปแบบการตกแต่งของบูติกโฉมใหม่ที่มีการประดับด้วยดอกไม้ทั้งภายในบูติกและบริเวณหน้าทางเข้าพื้นที่งาน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้รวมงานได้สำรวจนาฬิกาจากหลากหลายคอลเล็กชั่นภายในบูติกอีกด้วย และเพื่อเสริมความสำเร็จที่เกิดขึ้น Frédéric Arnault ผู้บริหารของแบรนด์ TAG Heuer ยังได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นในการตอกย้ำการเปิดตัวที่สำคัญ ณ งานอีเว้นท์ที่น่าจดจำควรแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ของ TAG Heuer ครั้งนี้

โดยแขกผู้มาเยือนจะได้รับการต้อนรับในพื้นที่ราว 100 ตารางเมตรที่จะสร้างความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปยังบูติกแฟล็กชิปสุดพิเศษแห่งนี้ที่ได้จารึกการเดินทางที่ยาวนานของแบรนด์เอาไว้ ซึ่งไม่เพียงแค่นำเสนอผลงานฝีมือในการผลิตนาฬิกาอย่างไร้ที่ติและความทุ่มเทในเรื่องความแม่นยำและนวัตกรรม แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นจักรวาลและมรดกอันล้ำหน้าของแบรนด์ที่พา TAG Heuer ไปสู่ความเป็นผู้นำด้านการผลิตนาฬิกาในแวดวงอุตสาหกรรม 

โดยสามารถพบกับความเป็นเลิศของ TAG Heuer ได้แล้ววันนี้ที่บูติกแฟลกชิป TAG Heuer แห่งใหม่หรือสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มได้ที่บัญชี LINE อย่างเป็นทางการ: @TAGHeuerTH

TAG Heuer และ Porsche ร่วมพัฒนาเรือนเวลารุ่นใหม่

TAG Heuer และ Porsche ร่วมพัฒนาสองเรือนเวลารุ่นใหม่ เพื่อสรรเสริญเกียรติแห่งความเป็นรถสปอร์ต

โดยจับมือกันอย่างภาคภูมิใจในการนำเสนอนาฬิการุ่นใหม่อย่าง TAG Heuer Carrera Chronosprint x Porsche มาพร้อมกับดีไซน์ 2 รูปแบบ การเปิดตัวครั้งนี้นับว่าเป็นการแสดงความเคารพแก่ช่วงวาระแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของคอลเล็กชั่น TAG Heuer Carrera และ Porsche 911 (เดิมถูกเรียกว่า 901) การผนวกรวมองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งจากนาฬิกาและรถยนต์ ทำให้ออกมาเป็นนาฬิกาเหล่านี้ที่จะมอบประสบการณ์การบอกเวลาที่ไม่มีใครเทียบได้ 

นาฬิกาทั้งหมดนี้จะมาในรูปแบบสตีลและทอง แต่ละรุ่นมีคอนเซปต์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เส้นสีแดงบนหน้าแปลนนาฬิกาสะท้อนถึงความสำเร็จจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 9.1 วินาที ซึ่งเป็นการรำลึกถึง Porsche 911 รุ่นบุกเบิก องค์ประกอบที่มีความเป็นไดนามิกนี้ได้ช่วยเสริมความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวและพลังที่แฝงในเรือนเวลา

Ulysse Nardin : FREAK X ENAMEL BLUE

ต่อยอดความสมบูรณ์แบบของคอลเลกชั่น Freak ด้วยผลงาน Freak X Enamel Blue รุ่นใหม่ เป็นครั้งแรกสำหรับนาฬิกา Freak X ที่ได้นำเสนอหน้าปัดชั่วโมงที่มาพร้อมกับศิลปะชั้นสูงด้วยเทคนิคกิโยเช่ลงอีนาเมล (ลงยา) สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ของนาฬิการุ่นนี้

Freak เปิดตัวครั้งแรกในปี 2001 ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตนาฬิกาไปอย่างสิ้นเชิง และยังคงก้าวข้ามขีดจำกัดต่อไป เนื่องจากไม่มีหน้าปัดและไม่มีเข็ม กลไกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบอกเวลา อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรกที่กลไกการเคลื่อนไหวได้รับการแยกส่วนเพื่อแสดงเวลาด้วยตัวเอง โดย Freak X Enamel Blue ได้ผสมผสานศิลปะชั้นสูงโดยช่างฝีมือโบราณเข้ากับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เทคนิคชั้นสูงนี้เป็นเทคนิคพิเศษที่ดูแลโดยช่างฝีมือของ Ulysse Nardin ผสมผสานอย่างลงตัวกับการประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาขั้นสูง (Haute Horlogerie)

เอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Freak รุ่นใหม่นี้คือหน้าปัดลงอีนาเมล (ลงยา) เทคนิคการตกแต่งพิเศษที่สืบทอดโดยช่างฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น เทคนิคนี้มักจะใช้ได้กับนาฬิกาที่ผลิตโดยช่างฝีมือชั้นสูงเท่านั้น เพราะต้องใช้ทักษะในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมจนถึงการลงอีนาเมล (ลงยา) เป็นงานฝีมือที่ต้องอาศัยพรสวรรค์ ความรู้ และประสบการณ์ ไม่น่าแปลกใจที่จะหาช่างฝีมือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทำได้

 Donzé Cadrans ตั้งอยู่ที่เมือง Le Locle ประเทศ Switzerland ซึ่ง Ulysse Nardin เป็นเจ้าของ และยังคงรักษาความรู้ความชำนาญที่เป็นเลิศนี้ไว้ หน้าปัดที่ดูแปลกใหม่นี้ ได้รับการตกแต่งตามเทคนิคกิโยเช่เป็นครั้งแรก ด้วยการใช้เส้นสายลวดลายทรงเรขาคณิต เทคนิคนี้ช่วยทำให้หน้าปัดดูมีมิติและความทันสมัย โดยการเคลือบอีนาเมล (ลงยา) หลายชั้นบนหน้าปัดนี้
แผ่นสีที่ใช้ในการลงยาจะถูกบดแล้วค่อยๆ เติมน้ำ สีแต่ละชั้นจะถูกเผาในเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 800 องศา และระหว่างแต่ละชั้น ต้องใช้เวลาระบายความร้อนซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที การผลิตนี้จำเป็นต้องใช้เคลือบสีสามถึงสี่ชั้นและรอบการอบอย่างน้อยห้ารอบก่อนที่จะทาสีเคลือบโปร่งแสงชั้นสุดท้ายที่เรียกว่า “ฟองดอง” เลเยอร์นี้มีความสำคัญเนื่องจากผลลัพธ์ของกระบวนการขึ้นอยู่กับเลเยอร์นี้

Freak X Enamel Blue มาพร้อมกลไกอัตโนมัติ UN-230 การไขลานด้วยมือ และการตั้งเวลาผ่านเม็ดมะยม มาพร้อมกับดิสก์หมุนทุกๆ ชั่วโมงเพื่อระบุเวลา บาลานซ์วีลและเฟืองท้ายทำจากซิลิคอน ซึ่ง Ulysse Nardin เป็นผู้เชี่ยวชาญมาตั้งแต่ปี 2001 โดดเด่นด้วยตัวเรือนและฝาหลังไทเทเนียมสีเทา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 43 มม. สามารถสำรองพลังงานได้ 72 ชั่วโมง สนนราคา 1,435,000 บาท ตัวเรือนมาพร้อมสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน เย็บตะเข็บข้างด้วยด้ายสีขาว และตัวล็อคสายไทเทเนียมแบบบานพับ

Freak X Enamel Blue ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือนเท่านั้น เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 15 ปีของ PMT The Hour Glass ซึ่งเป็นพันธมิตรแต่เพียงผู้เดียวของ Ulysse Nardin ในประเทศไทย
“เราให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายนาฬิกาชั้นสูงซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศไทย” แพทริค พรูนีโอซ์ จาก Ulysse Nardin กล่าว “เราได้ปฏิวัติวงการนาฬิกาอีกครั้งในการผลิตนาฬิกาจักรกลโดยใช้ซิลิคอน ที่มาพร้อมเทคนิคการลงอีนาเมล (ลงยา) ซึ่งเป็นความรู้ของบรรพบุรุษมาผสมผสานกับเทคโนโลยีล้ำสมัยถือเป็นความท้าทาย ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตทำให้ Freak X Enamel Blue ดูน่าทึ่งมาก”

ผลงานนาฬิการุ่นนี้จะวางจำหน่ายผ่านทาง PMT The Hour Glass และเครือข่ายทั่วทั้งภูมิภาค

‘UNIVERSAL GENEVE’ POLEROUTER เรือนเวลาคลาสสิกที่ถูกลืม

สำหรับใครที่เริ่มเล่นนาฬิกาวินเทจคงจะต้องนึกถึงแบรนด์อย่าง Omega หรือ Rolex อย่างแน่นอน แต่ถ้าพูดถึงอีกแบรนด์ที่น่าสนใจแล้วสำหรับนักสะสมรุ่นเก๋าคงต้องมี Universal Geneve รุ่น Polerouter อยู่ในคอลเล็กชั่นอย่างแน่นอน เพราะเหตุใดทำไมแบรนด์นี้ถึงเป็นที่น่าสนใจวันนี้เราจะมาพูดคุยกันครับ

เมื่อเราพูดถึงนักออกแบบนาฬิกาชื่อดัง เชื่อเหลือเกินว่าคงจะไม่มีใครไม่รู้จัก Gerald Genta อย่างแน่นอน Genta หรือ Gerald Charles Genta เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1931 ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  เขาคนนี้ศึกษาและจบหลักสูตรเกี่ยวกับงานเครื่องทองและงานจิวเวลรี่ แต่เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศ และด้วยความที่เขามีความสนใจในนาฬิกาอยู่แล้วเขาจึงผันตัวเข้าสู่วงการออกแบบนาฬิกาแทน

ในตอนที่เขาเพิ่งเริ่มต้น Gerald Genta ได้ออกแบบนาฬิกาไว้มากมายแต่ด้วยความที่เขาเพิ่งเข้าสู่วงการทำให้เขายังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ผลงานต่างๆของเขาถูกตีมูลค่าไว้ต่ำมาก จนในปี 1954 ทางบริษัท Universal Geneve แบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาในสมัยนั้นได้ติดต่อ Genta เพื่อให้ออกแบบนาฬิกาเพื่อรำลึกถึงการบินข้ามขั้วโลกเป็นครั้งแรกของสายการบิน SAS  (Scandanavian Airlines Systems)  ซึ่งนาฬิกาเรือนนี้ได้ถูกตั้งชื่อว่า Polarouter 

แต่ภายในไม่กี่เดือนของการผลิตแบรนด์ก็ได้เปลี่ยนชื่อจาก Polarouter เป็น Polerouter ทำให้นาฬิกา Polarouter นั้นหาได้ยากมากๆเนื่องจากมีการผลิตในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นและส่วนใหญ่มักไม่อยุ่ในสภาพที่สมบูรณ์ เดิมทีนาฬิกาเรือนนี้ได้ถูกออกแบบให้เป็นนาฬิกา ที่สามารถป้องกันสนามแม่เหล็กได้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักบิน SAS เนื่องจากการบินข้ามขั้วโลกเหนือนั้นมีปัญหาเรื่องสนามแม่เหล็กกำลังสูงส่งผลต่ออุปกรณ์ของนักบินและนาฬิกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของนักบิน

ต้องบอกได้ว่านาฬิกา Polerouter นั้นถือเป็นตัวตนของ Gerald Genta เลยก็ว่าได้ด้วยวัยที่อายุเพียง 23 ปีและไม่ถูกแบรนด์มาตีกรอบในการออกแบบ ทำให้นาฬิกาเรือนนี้ถูกถ่ายทอดความเป็นตัวตนของเขาได้ชัดเจนที่สุดเลยก็ว่าได้ บทความนี้ถือว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ Universal Geneve Polerouter ก็ว่าได้เพราะยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่างเกี่ยวกับนาฬิกาเรือนนี้อยู่อีกมากมาย เช่นรุ่นของ Polerouter หรือเครื่อง Micro Rotor ที่โดดเด่นมากในสมัยนั้นและเป็นต้นแบบกลไกของนาฬิกาในปัจจุบันอย่างเช่น Patek Philippe หรือ Chopard L.U.C.  

Author : SARANYOO DEJRUKSAWATTANA

‘TAG Heuer Monaco’ ปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์เรื่อง ‘GRAN TURISMO’

นาฬิกา TAG Heuer Monaco ปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์เรื่อง ‘GRAN TURISMO’ สร้างขึ้นจากเรื่องจริง ในเครือ Sony Pictures พร้อมเตรียมฉายในโรงภาพยนต์ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้

โดยนาฬิกา เรือนนี้จะสวมใส่โดย Orlando Bloom ในบท “Danny Moore” ผู้บริหารมอเตอร์สปอร์ต มอบความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยคาริสม่า พร้อมสะท้อนความเป็นตัวตนในทุกแง่มุมผ่านดีไซน์อันทรงพลังของนาฬิการุ่น Monaco ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย

AIKON Skeleton Urban Tribe ณ จุดสูงสุดใหม่ ที่เหนือขึ้นไปอีกระดับ

ไอคอน สเกเลตัน เออร์เบิน ไทรบ (AIKON Skeleton Urban Tribe) ณ จุดสูงสุดใหม่ ที่เหนือขึ้นไปอีกระดับ

วันนี้ แบรนด์จาก Franches Montagnes อย่างนาฬิกา มอริส ลาครัวซ์ ไอคอน สเกเลตัน เออร์เบิน ไทรบ (Maurice Lacroix AIKON Skeleton Urban Tribe) ภูมิใจที่จะเผยโฉมผลงานอันกล้าหาญ ด้วยนิยามอันโดดเด่นของงานออกแบบแห่ง เออร์เบิน ไทรบ ในรูปแบบสเกเลตัน อันซับซ้อน และทันสมัย  โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานสถาปัตยกรรมชั้นสูงของเมืองที่โดดเด่นด้วยเส้นขอบฟ้าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านวัสดุอันหลากหลาย ไปสู่โครงสร้างคานต่างๆ ที่ดูเข้มแข็ง พาดผ่านทับซ้อนกันไปมาจนเกิดช่องว่างพื้นที่ภายใน เฉกเช่นเดียวกันกับหน้าปัดแซฟไฟร์ ที่เผยให้เห็นถึงโครงสร้างอันละเอียดอ่อนซับซ้อน ของกลไกจักรกลภายในของตัวเรือน

เมื่อปี ค.ศ. 2021 Maurice Lacroix ได้เปิดตัว AIKON Urban Tribe นาฬิกาที่สร้างขึ้นสำหรับไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมืองและหมดไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้ เมซง (Maison) ได้นำเอาความสำเร็จนี้กลับมาอีกครั้ง ด้วยเรือนเวลาธีมเมืองรุ่นใหม่ อย่าง AIKON Skeleton Urban Tribe  โดยได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญด้านกลไก อย่าง เซลลิตา (Sellita) เพื่อผลิตกลไกชุดเอ็กซ์คลูซีฟ ออโตเมติก เอ็มแอล135 (Automatic ML135) (จากฐานกลไก เอสดับบลิว200 (SW200))

ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ดึงดูดใจทั่วโลก ซึ่งกลไกเหล่านี้ได้เล่นกับความโปร่งใส ด้วยการปล่อยให้แสงทะลุผ่านช่องอันเกิดจากการผสมผสานของชิ้นส่วนต่างๆ ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ขณะที่โรเตอร์ขึ้นลานยังออกแบบขึ้นมาเฉพาะ และเปี่ยมด้วยสไตล์สปอร์ตจากการตกแต่งแบบแซนด์บลาสต์ (sandblasted) และซันบรัช (sunbrushed) มากไปกว่านั้น กลไกชุดนี้ยังถ่ายทอดความประณีตของการตกแต่งด้วยลายเกรนวงกลม และโคลิเมซง (colimaçon) 

ในแง่ของสไตล์ เข็มชี้เวลาชั่วโมงและนาทียังผ่านการตัดเหลี่ยมด้าน และเดินเส้นสายด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova®) ขณะที่หน้าปัดล้อมกรอบด้วยเครื่องหมายอินเด็กซ์ (indexes) เรืองแสง พร้อมทั้งขอบข้างสีเทาเข้ม บรรจุภายใน

ตัวเรือนสเตนเลสสตีล ขนาด 39 มม. ส่วนภายนอกของ AIKON Skeleton Urban Tribe แกะสลักเลเซอร์ด้วยลวดลายอันซับซ้อนละเอียดอ่อน ซึ่งลวดลายอันหลากหลายเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโครงสร้างคอนกรีต กระจก และสตีล อันโดดเด่นของท้องถนน ในย่านอันโด่งดังของเมืองต่างๆ ที่ดูมีชีวิตชีวาที่สุดของโลก จนกลายมาเป็นนิยามของการออกแบบตัวเรือน ที่ผสานกับสายนาฬิกาข้อมือในที่สุด

เฉกเช่นเดียวกับนาฬิกา ไอคอน (AIKON) รุ่นอื่นๆ ทั้งหมด นาฬิการุ่นนี้ได้นำเสนอความสะดวกสบายสูงสุดอย่างไร้ที่ติสำหรับผู้สวมใส่ โดยการติดตั้งระบบ อีซีย์ สแตรป เอ็กซ์เชนจ์ ซิสเต็ม (Easy Strap Exchange System) ของแบรนด์ ซึ่งเป็นวิธีการอันง่ายดายและสะดวกต่อผู้ใช้งานในการถอดเปลี่ยนสลับสายแบบต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หรือเครืองมือช่วยใดๆ    

สเตเฟน วาเซอร์ (Stéphane Waser) ผู้อำนวยการบริหารของ Maurice Lacroix กล่าวย้ำว่า “ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2021 เมื่อเราเปิดตัว AIKON Urban Tribe นาฬิการุ่นนี้ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก และหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว นับจากนั้นมา เราก็ได้รับเสียงเรียกร้องจำนวนมากสำหรับการสร้างสรรค์นาฬิกา Urban Tribe รุ่นใหม่ โดยที่นาฬิกา AIKON Skeleton Urban Tribe รุ่นใหม่นี้ได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการใช้หน้าปัดแซฟไฟร์ที่เผยให้เห็นกลไกสเกเลตันรูปแบบพิเศษอันซับซ้อนละเอียดอ่อน และนี่คือ นาฬิกาที่สร้างขึ้นสำหรับวิถีชีวิตคนเมืองผู้ซึ่งรักในความตื่นเต้น และทัศนียภาพของเมืองใหญ่ โดยถอดต้นแบบโครงสร้างมาจากสิ่งก่อสร้างขนาดสูงผ่านชิ้นส่วนโครงสร้างต่างๆ มากมาย และเป็นจุดบรรจบกันระหว่างความเข้มแข็งกับความโปร่งใส ที่ให้ความรู้สึกบางเบาดุจอากาศ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะอันน่าประทับใจ และยังยกระดับชื่อเสียงของเราในการส่งมอบคุณค่าระดับสูงที่คุณจะรับรู้ได้อย่างแท้จริง โดยนาฬิกา AIKON Skeleton Urban Tribe ใหม่ ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือน เท่านั้น