The Reflection of Japan คอนเซปต์ของ ‘ALBA’ ได้ถูกตอกย้ำในคอลเลกชั่นใหม่

ALBA: MAKUSHITA THAILAND CREATION


Author: Sethapong Pawwattana
Photography: Courtesy of ALBA

ALBA (อัลบา) ยังคงคอนเซปต์หลักของแบรนด์เอาไว้ได้อย่างชัดเจน กับ The Reflection of Japan และตอกย้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยการหยิบยกความเป็นญี่ปุ่นจากแก่นแท้ของกีฬาประจำชาติ นั่นก็คือกีฬาซูโม่ มาเป็นแรงบันดาลใจของคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุด 2 เรือนแรกของปีนี้ กับ ALBA Makushita Thailand Creation ‘กีฬาซูโม่’ ถือเป็นกีฬาประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นกันมาอย่างยาวนาน โดยถือกำเนิดขึ้นมากว่า 300 ปี จากการเป็นพิธีกรรมทางเกษตรกรรมเพื่อบูชาต่อเทพเจ้า สู่การเป็นกีฬามวยปล้ำอย่างเป็นทางการในศตวรรษที่ 17

กีฬาซูโม่สามารถแบ่งลำดับขั้นออกเป็น 6 ลำดับด้วยกัน โดย Makushita (มากูชิตะ) นั้นถือเป็นซูโม่ลำดับขั้นสุดท้ายของการเป็นซูโม่สมัครเล่น ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นนักซูโม่ชั้นสูงต่อไป และหากเปรียบกับนาฬิกาแบรนด์ผู้น้องอย่าง ALBA ที่กำลังทะยานขึ้นไปสู่จุดสูงสุด เพื่อรอให้เทียบเท่าได้กับแบรนด์รุ่นพี่อย่าง Seiko นั่นเอง

ALBA คอลเลกชั่นซูโม่นี้ นำแรงบันดาลใจจากการนำรูปทรงของสนามประลองซูโม่ หรือที่เรียกว่า โดะเฮียว (dohy) สนามประลองที่มีฐานสนามจากดินยกสูงขึ้นมา และกำหนดพื้นที่การแข่งขันให้เป็นวงกลมอยู่ด้านใน เหมือนกับหน้าปัดของ ALBA Makushita Thailand Creation ที่ขอบตัวเรือนทรงกลมที่เหมือนกับด้านในของสนามประลองนั่นเอง มาพร้อมระบบการทำงานแบบกลไกอัตโนมัติ ออกแบบมาให้เลือกภายใต้ 2 สียอดนิยม รหัส AL4433X หน้าปัดสี silver ขอบหน้าปัดสลับแดงน้ำเงิน รับกับขอบตัวเรือนสีซิลเวอร์-น้ำเงิน และรหัส AL4435X หน้าปัดสีน้ำเงิน รับกับขอบตัวเรือนสีซิลเวอร์-น้ำเงิน โดยขอบตัวเรือนของทั้งสองเรือนนี้สามารถหมุนได้ทั้งสองทิศทาง ตัวเรือนขนาด 45 มิลลิเมตร มาพร้อมหน้าปัดเล่นแสงแบบ sunray ช่วยสร้างมิติให้กับนาฬิกา มาพร้อมกับอินเด็กซ์และเข็มบอกเวลาเคลือบสารเรืองแสง แสดงวันและวันที่ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา วางเม็ดมะยมไว้ที่ 4 นาฬิกา ขนาดตัวเรือน 45 มิลลิเมตร ตัวเรือนทรงซูโม่ สายนาฬิกาสเตนเลสสตีลคุณภาพ กันน้ำเทียบเท่า 100 เมตร สายมาพร้อมบานพับแบบปลดล็อคด้วยปุ่มกดเพื่อให้ง่ายแก่การสวมใส่อีกด้วย

Presage ร่วมยกย่อง 110 ปีการผลิตนาฬิกาของ Seiko ผ่านคอลเลกชัน Craftmanship สุดยอดงานฝีมือระดับปรมาจารย์ของญี่ปุ่น

ประวัติศาสตร์ของ Seiko เริ่มต้นขึ้นในปี 1881 เมื่อ Kintaro Hattori (คินทาโร ฮัตโตริ) เปิดร้านซ่อมและขายนาฬิกาในกินซ่า และในปี 1913 บริษัทของเขาก็ได้ผลิตนาฬิกาข้อมือเรือนแรกของญี่ปุ่นขึ้นคือรุ่น Laurel (ลอเรล) และได้พัฒนาศิลปะการผลิตนาฬิกาอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ มา ทั้งในด้านเทคโนโลยีและงานฝีมือ

วันนี้ นาฬิการุ่นพิเศษ 4 เรือนเข้าร่วมกับครอบครัว Presage Craftsmanship Series (พรีสาจ คราฟส์แมนชิพ ซีรีส์) และร่วมฉลองวาระครบรอบ 110 ปีการผลิตนาฬิกาของ Seiko แต่ละเรือนสะท้อนถึงงานฝีมือดั้งเดิมของญี่ปุ่นผสมผสานกับทักษะความเชี่ยวชาญด้านกลไกจักรกลของ Seiko รังสรรค์ความสมดุลแห่งความงามและความเที่ยงตรงอันเปี่ยมเอกลักษณ์

Presage Craftsmanship Series ฉายความงามแห่งงานฝีมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นผ่านหน้าปัดนาฬิกาสีสันสดใส ด้วยงานฝีมือที่แตกต่างแต่ละอย่างจากทั้งหมด 4 อย่าง โดยช่างระดับปรมาจารย์และทีมของเขาได้แสดงให้เห็นถึงทักษะความอุตสาหะที่จำเป็นต่อการฝึกฝนเทคนิคของพวกเขาลงบนพื้นหน้าปัดขนาดเล็กของ Seiko Presage สำหรับผลงานชุดพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครั้งนี้ Seiko ได้นำเสนอนาฬิกา Presage ผลิตจำนวนจำกัด โดยแต่ละรุ่นแตกต่างกันใน 4 วัสดุและเทคนิคอันประกอบด้วย: อีนาเมล (Enamel) การเคลือบสีลงยา, การเคลือบแลกเกอร์แบบอุรุชิ (Urushi lacquer), หน้าปัดกระเบื้องเคลือบจากเทคนิค อะริตะ พอร์ชเลน (Arita porcelain) และ งานเคลือบอีนาเมลแบบชิปโป (Shippo enamel)

รูปลักษณ์ใหม่สำหรับ Presage Craftsmanship Series

นาฬิการุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ใช้ตัวเรือนรูปทรงใหม่ที่มาพร้อมขอบมุมที่ประณีตและสัดส่วนที่งามสง่า โครงสร้างตัวเรือนนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเน้นหน้าปัดที่ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยงานฝีมืออันยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็ยังมีความบางกว่าเมื่ออยู่บนข้อมือ หน้าปัดแต่ละแบบได้รับการออกแบบใหม่โดยใช้ตัวเลขโรมันสลับกับอินเด็กซ์ มอบรูปลักษณ์ใหม่ให้กับซีรีส์นาฬิกาในสไตล์เดรสวอชท์ที่คุ้นเคย ต้องขอบคุณกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทรงโค้งคู่ที่ผนึกด้านบน ทำให้หน้าปัดจึงดูใกล้ขึ้นและอ่านค่าง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังนำเสนอลักษณะที่โดดเด่นอย่างแท้จริงให้กับงานฝีมือที่รังสรรค์บนหน้าปัดเหล่านี้

หน้าปัดลงยาอีนาเมลสีขาวที่คงความสวยงามได้อย่างยาวนานเหนือกาลเวลา

เครื่องเชินอุรุชิ เป็นศิลปะการตกแต่งที่มีอายุยาวนานหลายศตวรรษ ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับงานฝีมือของญี่ปุ่น โดยทั่วไปจะพบได้บนวัตถุประณีตที่มีคุณภาพสูง เช่น ชามซุปหรือเฟอร์นิเจอร์ อุรุชิมีชีวิตขึ้นอีกครั้งบนหน้าปัดนี้ ด้วยวิธีการใหม่ที่ใช้ได้บนพื้นผิวที่เรียบ สีน้ำตาลทองแดงได้แรงบันดาลใจจากทิวทัศน์ของถนนคานาซาว่า เมืองที่มีชื่อชวนฟังซึ่งแปลว่า “บึงทอง” ตั้งอยู่ในจังหวัดอิชิกาวะ (Ishikawa) ที่นั่น Isshu Tamura (อิสชู ทามูระ) ปรมาจารย์ด้านอุรุชิ และทีมงานของเขาได้ใช้เทคนิคต่างๆ ในการสร้างเครื่องเขินด้วยเทคนิคเคลือบแลกเกอร์คแบบอุรุชิที่โดดเด่นที่สุดในญี่ปุ่น เช่นเดียวกับนาฬิกาหน้าปัดลงยาสีขาว การสร้างสรรค์หน้าปัดด้วยเทคนิคอุรุชิแลกเกอร์มาพร้อมการขับเคลื่อนของกลไกจักรกล คาลิเบอร์ 6R24 และประกอบกับสายหนังสีน้ำตาลเข้ม

ภาพถนนดั้งเดิมของคานาซาว่า (Kanazawa) มีชีวิตชีวาด้วยเทคนิค Urushi lacquer

หน้าปัดสีงาช้างใหม่นี้นำพาผู้สวมใส่ไปยังทุ่งหินเซรามิกอิซุมิยามะ (Izumiyama Ceramic Stone Field) ในอะริตะ เมืองเล็กๆ ในเขตจังหวัดซากะ (Saga) ที่ที่เครื่องลายครามของญี่ปุ่นเป็นเสมือนวิถีชีวิตของชาวเมือง หลังจากผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 400 ปี Hiroyuki Hashiguchi (ฮิโรยูกิ ฮาชิกูชิ) ช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ และทีมของเขาได้สร้างสรรค์หน้าปัดด้วยกระบวนการแบบหลายขั้นตอนที่ต้องใช้ทักษะและความอดทนอย่างสูง กับการเผาในเตาเผาที่ร้อนระอุหลายครั้งเพื่อรักษาสีสันสดใส พื้นผิวและความลึก ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน

กลไกที่ใช้กับนาฬิการุ่นนี้คือกลไกทรงประสิทธิภาพของ Seiko คาลิเบอร์ 6R27 ที่มาพร้อมหน้าปัดย่อยแสดงวันที่ที่ 6 นาฬิกา และมาตรวัดพลังงานสำรองที่ 9 นาฬิกา ประกอบสายหนังสีน้ำตาลเข้ม

ผสมผสานขนบธรรมเนียมดั้งเดิมและเทคนิคผ่านเครื่องลายครามอะริตะ (Arita porcelain)

หน้าปัดสีน้ำเงินเข้มของหน้าปัดนี้ชวนให้นึกถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จึงดูเหมาะสมแล้วที่ศิลปะของ Owari Shippo (อาวาริ ชิปโป) จึงดูเหมาะสมที่ศิลปะของ Owari Shippo (โอวาริ ชิปโป) ซึ่งได้รับการจุดประกายบนแผ่นจานสีน้ำเงินจากประเทศเนเธอร์แลนด์ส่งมาถึงญี่ปุ่นเมื่อร้อยกว่าปีก่อนโดยทางทะเล นับจากนั้นงานฝีมือนี้ก็พัฒนาขึ้นในแบบของญี่ปุ่น

สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับชุดอีนาเมลชิปโปก็คือวิธีการขัดเงาหลังจากการเผา กระบวนการนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากหน้าปัดนาฬิกาแต่ละชิ้นมีความหนาเพียง 1 มิลลิเมตร ช่างฝีมือระดับปรมาจารย์  Wataru Totani (วาตารุ โททานิ) และทีมงานของเขา ทำกระบวนการหลายขั้นตอนซ้ำหลายครั้งในการเคลือบพื้นผิวหน้าปัดด้วยมือ นำไปเผาและนำมาขัดเงาพื้นผิว เพื่อสร้างรูปคลื่นที่โดดเด่นออกมา แม้หน้าปัดจะบางแต่ก็มีความลึกที่มองเห็นได้ง่าย เหมือนกับมหาสมุทรที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ

ทะเลสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นด้วยเทคนิค Shippo enamel

นาฬิกาทั้ง 4 รุ่นจะวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 เป็นต้นไป ที่บูติก Seiko และตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือกทั่วโลก Seiko Presage Craftsmanship Series Enamel Dial Limited Edition รหัส SPB393, Seiko Presage Craftsmanship Series Urushi Lacquer Dial Limited Edition รหัส SPB395 และ Seiko Presage Craftsmanship Series Arita Porcelain Dial Limited Edition รหัส SPB397 ผลิตจำนวนจำกัดเพียงคอลเลกชันละ 1,500 เรือนทั่วโลก ส่วน Seiko Presage Craftsmanship Series Shippo Enamel Dial Limited Edition รหัส SPB399 ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 800 เรือนทั่วโลก

rhunrun เรียบเรียง

Longines จัดงาน ‘Longines Press Meeting 2023’ นำเสนอเรือนเวลาแห่งความสง่างามดีไซน์รุ่นใหม่ประจำปี 2023

Longines (ลองจินส์) แบรนด์นาฬิการะดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ จัดงาน “Longines Press Meeting 2023”   (ลองจินส์ เพรส มีตติ้ง 2023) ในโอกาสเฉลิมฉลองเรือนเวลาลองจินส์ที่มีมายาวนานกว่า 190 ปี และยังคงมุ่งมั่นสานต่อเจตนารมย์อันแน่วแน่ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สู่นาฬิการุ่นใหม่ประจำปี 2023 ที่นำมาจัดแสดงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเมืองไทย โดยมี เฟรนด์ ออฟ ลองจินส์ของประเทศไทย “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “เก้า-สุภัสสรา ธนชาต” ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยสไตล์คลาสสิกที่สะท้อนความสง่างามตามแบบฉบับของลองจินส์มาร่วมงาน ณ โรงแรม Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya River

งานนี้ยังได้รับเกียรติจาก แมทธิอาส เบรสชัน (Matthias Breschan) ประธานกรรมการบริหารของลองจินส์ บินตรงมาร่วมงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมพาชมพื้นที่การจัดแสดงนาฬิการุ่นใหม่ประจำปี 2023 ของลองจินส์ ที่แบ่งออกเป็นห้องต่างๆ เพื่อสื่อสารมุมมองและเรื่องราวของเรือนเวลาลองจินส์ให้สื่อมวลชนในประเทศไทยได้สัมผัสนาฬิกาแบบเอ็กซ์คลูซีฟก่อนใคร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Horizons to Conquer” ผ่านคอลเลกชั่นนาฬิการุ่นใหม่อย่าง Longines Pilot Majetek และอีกหลากหลายดีไซน์ที่ล้วนสะท้อนบุคลิกอันหรูหรา ไร้กาลเวลา และเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์การออกแบบ รวมทั้งมีกลไกล้ำยุคที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์สง่างามดังสโลแกนที่ว่า “Elegance is an attitude”

“งานลองจินส์ เพรส มีตติ้ง 2023 จัดขึ้นเพื่อนำเสนอนาฬิการุ่นใหม่ประจำปี อันเปี่ยมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยหลากหลายรุ่นเพื่อตอบโจทย์ทุกความชื่นชอบของสาวกนาฬิกา อย่าง Longines Pilot Majetek ที่ได้แรงบันดาลใจจากการผสมผสานจิตวิญญาณของนักบุกเบิกที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ ที่นำมาให้สื่อมวลชนได้สัมผัสครั้งแรกก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการตลอดปีนี้

โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศหลักที่สำนักงานใหญ่ของลองจินส์ให้ความสำคัญ โดยเล็งเห็นในศักยภาพของการเติบโตภายในประเทศ และในปีนี้ตั้งใจที่จะนำเสนอประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตนาฬิกามานานนับร้อยปี และยังคงสานต่อเจตนารมย์อันแน่วแน่ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และสร้างสรรค์นาฬิกาสำหรับสุภาพสตรีมากขึ้น ล่าสุดเรายังได้รับเกียรติจาก เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์ มาเป็นผู้นำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำของโลกที่เพิ่งฉลองวาระครบรอบ 190 ปี ซึ่งสะท้อนถึงความสนุกสนานของนักแสดงหญิงและยังคงความ                 สง่างามเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” แมทธิอาส เบรสชัน ประธานกรรมการบริหารของลองจินส์ กล่าว

นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก มาริโอ้ เมาเร่อ และ เก้า-สุภัสสรา ธนชาต เฟรนด์ ออฟ ลองจินส์ ของประเทศไทย มาร่วมเป็นตัวแทนถ่ายทอดความสง่างามของนาฬิกาจากลองจินส์ และร่วมดินเนอร์หรูท่ามกลางบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ตบเท้าด้วยเซเลบริตี้สาวกนาฬิกาอย่าง ม.ล. อรรถดิศ ดิศกุล, ภูริ หิรัญพฤกษ์, กฤษดา ภควัตสุนทร, นวดี โมกขะเวส และ สายลับ เลิศรัตนชัย มาร่วมงานด้วย 

rhunrun เรียบเรียง

DANIEL ARSHAM, New HUBLOT Brand Ambassador.

เปิดตัวการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ HUBLOTอย่างสมศักดิ์ศรีของศิลปินร่วมสมัย DANIEL ARSHAM (แดเนียล อาร์แชม) เพื่อเป็นการฉลองจุดเริ่มต้นแห่งความร่วมงานกัน เขาได้สร้างสรรค์งานศิลปะจัดวาง หรืออินสตอลเลชันอาร์ตในรูปแบบนาฬิกาแดด ขนาด 20 เมตร ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Hublot (อูโบลท์) โดยติดตั้งอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ของผืนหิมะแห่ง Zermatt (เซอร์แมท) ใน Schwarzsee (ชวาร์ซี) ณ ระดับความสูง 2583เมตร

Hublot loves Daniel Arsham! ผู้ผลิตนาฬิกาสวิสอย่างอูโบลท์ ยังคงเดินหน้าแสวงหาซึ่งความเป็นที่หนึ่งและแตกต่าง โดยการประกาศต้อนรับศิลปินร่วมสมัยชาวอเมริกัน Daniel Arsham ผู้ทำงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานอันเปี่ยมด้วยพลังของเขา ซึ่งครอบคลุมทั้งสาขาจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะจัดวางหรืออินสตอลเลชัน (installation) และภาพยนตร์ โดยเขามักสำรวจถึงแนวคิดของเวลาผ่านผลงานทางศิลปะของเขาเองเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านซีรีส์ผลงานอันโด่งดัง อย่าง Connecting Time (คอนเน็คติ้ง ไทม์) และ Hourglass (อาวร์กลาส) ที่เป็นไอคอนิกของเขา

เพื่อเริ่มต้นความร่วมมือครั้งใหม่และเพื่อเฉลิมฉลองความเชื่อมโยงอันเป็นนิรันดร์ระหว่างการประดิษฐ์นาฬิกา ศิลปะ และงานหัตถศิลป์ Daniel ได้เผยโฉมนาฬิกาแดด ขนาด 20 เมตร ขึ้นท่ามกลางภูมิทัศน์แห่งผืนหิมะของรีสอร์ทแห่งเทือกเขาสวิสอย่าง Zermatt และภายใต้เงาแสงของ Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) ยอดเขาอันเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีแห่ง Swiss Alps (สวิสแอลป์) โดยศิลปะจัดวางแบบชั่วคราวนี้มีชื่อว่า Light & Time (ไลท์ แอนด์ ไทม์) โดยใช้องค์ประกอบทางธรรมชาติเพื่อหลอมรวมรากเหง้าต่างๆ ของการแสดงเวลามาผสมผสานเข้ากับงานฝีมือภายใต้ศิลปะแห่งพรมแดน โดยศิลปะจัดวางที่มีฟังก์ชันของการวัดเวลากลางแจ้งนี้มีพื้นฐานมาจากแสงเงาที่ทอดผ่านอนุสาวรีย์แท่งหินสูงรูปทรงผลึกควอตซ์ ซึ่งเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนโคจรในหนึ่งวัน แสงเงาที่ทอดผ่านโดยตัวชี้กลางจะทำหน้าที่แสดงเวลาบนหิมะซึ่งคราดรอยไว้ Arsham ยังได้ผสมผสานระหว่างรูปทรงและฟังก์ชันในการสร้างสรรค์นาฬิกาแดดจากองค์ประกอบทางธรรมชาติของ Swiss Alps โดยวิธีการนี้ หิมะและแสงได้หล่อหลอมเข้าด้วยกันเพื่อเชื่อมโยงจักรวาลแห่งผลึกและแสงของเขาเข้ากับมรดกและประวัติศาสตร์แห่งงานหัตถศิลป์การประดิษฐ์นาฬิกาของ Hublot นาฬิกาแดดนี้ยังได้ร่วมสะท้อนถึงภาษาการออกแบบของ Hublot และการผสมผสานสัญลักษณ์ต่างๆ ที่คุ้นเคย อาทิ สกรูอันโด่งดังซึ่งทำหน้าที่ยึดขอบตัวเรือนของนาฬิกา Big Bang (บิ๊ก แบง) โดยศิลปะอินสตอลเลชันนี้ยังมาพร้อมกับความพิเศษเหนือความคาดหมาย จากการที่จะสามารถมองเห็นได้เพียงเฉพาะจากยอดเขาเท่านั้น และเพื่อให้สามารถมองเห็นได้ ผู้ที่หลงใหลในศิลปะจะต้องใช้ลิฟต์สกีของ Zermatt เพื่อร่วมชื่นชมศิลปะชิ้นนี้


“ผมได้เฝ้าดู Hublot และโปรเจกต์ต่างๆ ที่แบรนด์ให้การสนับสนุนโลกแห่งศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา และชื่นชมในในความกล้าหาญแห่งการประดิษฐ์สร้างสรรค์นาฬิกา การออกแบบ และงานฝีมือ The Art of Fusion (ศิลปะแห่งการผสมผสาน) ถือเป็นหนึ่งในโปรเจกต์อันชาญฉลาดที่สุดของการประดิษฐ์นาฬิกา ผมรักในแนวคิดการรังสรรค์ของ Hublot รวมถึงอิทธิพลและวัสดุที่นำมาใช้ร่วมกันในการสร้างรูปทรงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียว แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาพิเศษที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Hublot Family (ครอบครัวอูโบลท์) และผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับโปรเจกต์นาฬิกาแดด Hublot x Daniel Arsham ใน Zermatt นี้ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ศิลปะอินสตอลเลชันร่วมสมัยนี้จะจับซึ่งบางสิ่งของชั่วขณะเวลาที่ผ่านไปที่เราเองสามารถรู้สึกและรับรู้ได้ แต่มันก็ยังคงอยู่อย่างเหนือกาลเวลา และสร้างซึ่งความทรงจำที่ส่งทอดผ่านการเดินทางของวินาที นาที ชั่วโมง และวันต่างๆ สำหรับผู้คนทึ่เดินหน้าขึ้นสู่ขุนเขาเพื่อชื่นชมมัน”

ออกไปใกล้ชิดธรรมชาติแบบมีสไตล์กับ SEIKO 5 SPORTS คอลเล็กชั่น “Outdoorsy Style”

คอลเลกชั่นใหม่จาก SEIKO 5 SPORTS ที่มาพร้อมไอเดียมิกซ์แอนด์ แมตช์กับ Camping outfits ให้ออกไปใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติแบบมีสไตล์

หลังจากที่ไซโก ไฟว์ สปอร์ต ได้เปิดตัว Field/Military Collection ไปเมื่อปี 2021นาฬิกาสำหรับนิวเจน​ ที่ชื่นชอบและหลงไหลการออกไปผจญภัย ไม่ว่าจะ Camping, Hiking หรือ Trekking โดยแน่นอนว่านอกจากความสนุกสนานของกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือสไตล์การแต่งตัวแบบคูลๆ เก๋ๆ และแมตช์กับ Accessories ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นได้อย่างลงตัว โดยในปี 2023 นี้ เราอยากแนะนำไอเท็มรุ่นใหม่ติดข้อมือจากSeiko 5 sports มาให้มิกซ์ แอนด์ แมตช์กันให้เป็นลุค แคมป์เปอร์ สุดคูลไปเลย

SEIKO 5 SPORTS Field Mid-Size “Outdoorsy Style” รุ่นใหม่ปี 2023 ยังคงกลิ่นอายคอนเซปต์ของความเป็นสายแคมป์ปิ้งเอาไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือลุคที่ตอบโจทย์หนุ่มๆ สาย Chillaxing (มาจาก Chill และ Relax) ที่ทั้งรักในกิจกรรมแนวแคมป์ปิ้ง เอาท์ดอร์ แต่ก็ยังอยากได้ Total look ที่ยังคีปคูลได้แบบเท่ๆและดูดีมีสไตล์ ด้วยคู่สีแนวเอิร์ธโทน ที่สามารถแต่งตัวได้ง่าย เหมาะกับสายมินิมอลเอาท์ดอร์กว่าใคร เปิดตัวมาพร้อมกัน 5 เรือน โดยมีทั้งแบบดีไซน์ที่มาพร้อมเรือนเวลาและสายสเตนเลสสตีล หรือสายผ้านาโต้ และ แบบสายหนังลูกวัวสุดคลาสสิก

SEIKO 5 SPORTS Field Mid-Size “Outdoorsy Style”

นาฬิกาทั้ง 3 เรือนนี้ ถูกออกแบบให้หลักชั่วโมงแสดงเป็นตัวเลขอาราบิก (Full-Arabic Design) กับขนาดหน้าปัดใหม่ 36 มม. ที่สามารถใส่ได้แบบ unisex ที่ใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ระบบออโตเมติกที่สามารถขึ้นลานผ่านเม็ดมะยมได้ หลักชั่วโมงและเข็มบอกเวลาเคลือบสารเรืองแสงรูมิไบร์ท แสดงหน้าต่างวันและวันที่ ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา พร้อมประสิทธิภาพการกันน้ำ 10 บาร์ ฝาหลังเปลือยเผยให้เห็นกลไกการทำงาน

– SRPJ81K เป็นเพียงหนึ่งในห้าเรือนใหม่ที่มาในรูปแบบของตัวเรือนและสายสเตนเลสสตีล พร้อมหน้าปัดสีดำสนิท พร้อมหลักบอกเวลาตัวเลขอาราบิกสีขาวที่ดูชัดเจน

– SRPJ83K หน้าปัดสีเบจ ตัดกับหลักบอกเวลาตัวเลขอาราบิกสีดำ พร้อมสายผ้าไนลอนนาโต้สีกากี

– SRPJ85K หน้าปัดสีเขียวเข้ม หลักบอกเวลาตัวเลขอาราบิกสีเบจ พร้อมสายผ้าไนลอนนาโต้สีเขียวขี้ม้า

อีกสองเรือน ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสไตล์ Chillaxing นาฬิการะบบออโตเมติกที่แฝงความคลาสสิกแบบนาฬิกานักบิน ที่มาพร้อมหน้าปัดสีแชมเปญโกลว์และสีเขียวเข้ม ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องจับคู่มากับสายหนังลูกวัว ที่นิ่มแต่ทนทาน อีกทั้งยังดูแลรักษาความสะอาดได้ง่าย หน้าปัดยังมีหน้าต่างแสดงวันและวันที่​ ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ขนาดหน้าปัด 36 มม. หลักชั่วโมงและเข็มบอกเวลาเคลือบสารเรืองแสงรูมิไบร์ท พร้อมประสิทธิภาพการกันน้ำ 10 บาร์ และฝาหลังที่เผยให้เห็นกลไกการทำงาน

  • SRPJ87K หน้าปัดสีแชมเปญโกลว์ และสายหนังลูกวัว
  • SRPJ89K หน้าปัดสีเขียวเข้มมรกต และสายหนังลูกวัว

SEIKO 5 SPORTS Field Mid-Size “Outdoorsy Style” วางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศผ่านตัวแทนจำหน่าย เคาน์เตอร์ไซโก ณ สรรพสินค้าชั้นนำ และเว็บไซต์หลัก Seiko Boutique Thailand สนนราคาเรือนละ 13,300 บาท

rhunrun เรียบเรียง

New Design of Rolex and the Oscars® Greenroom

ในแต่ละปี Rolex ได้พัฒนาประสบการณ์อันน่าดื่มด่ำที่ไม่เหมือนใครและการตกแต่งห้อง Greenroom ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ในปีนี้ห้องกรีนรูมจะรวบรวมบรรยากาศของป่าเขตร้อน ไม่เพียงแค่การสดุดีต่อธรรมชาติ Rolex แสดงความเคารพต่อนักสำรวจและนักวิทยาศาสตร์ที่ลงมือปฏิบัติจริงในทุกวันเพื่อปกป้องโลก การแสดงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ระบบนิเวศน์ของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Perpetual Planet Initiative

เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ Rolex ได้ร่วมมือกับศิลปินที่มีความสามารถมากที่สุดในโลกและสถาบันทางวัฒนธรรมชั้นนำเพื่อเฉลิมฉลองความเป็นเลิศและมีส่วนร่วมในการสืบสานมรดกทางศิลปะ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ด้วย Rolex Perpetual Arts Initiative ซึ่งเป็นผลงานศิลปะอันกว้างขวางที่ขยายไปถึงดนตรี สถาปัตยกรรม ภาพยนตร์ และโปรแกรมให้คำปรึกษาของ Rolex แบรนด์ดังกล่าวยืนยันความมุ่งมั่นระยะยาวที่มีต่อวัฒนธรรมโลก
ในความพยายามทั้งหมดเหล่านี้ Rolex สนับสนุนความเป็นเลิศทางศิลปะและการถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นหลัง สร้างคุณูปการที่ยั่งยืนต่อวัฒนธรรมทั่วโลก

Rolex รักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับโลกแห่งภาพยนตร์มาโดยตลอด นาฬิกาได้แสดงบทบาทของตัวเองบนข้อมือของตัวละครในตำนานในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงผลงานชิ้นเอกที่ได้รับรางวัลออสการ์หลายเรื่องเช่นกัน และในวันนี้ ด้วยการสนับสนุนความเป็นเลิศทางศิลปะและเทคนิคในการสร้างภาพยนตร์ Rolex เองได้กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในนามของตนเอง

Rolex สนับสนุนการอนุรักษ์และถ่ายทอดศิลปะภาพยนตร์ ส่งเสริมความเป็นเลิศ และเฉลิมฉลองความก้าวหน้าด้วยการร่วมแสดงกับตำนานที่มีชีวิตและพรสวรรค์รุ่นเยาว์ผ่าน Testimoneses (Martin Scorsese และ James Cameron) ความร่วมมือกับ Academy of Motion Picture Arts and Sciences (สถาบัน รางวัลและ Academy Museum ในลอสแองเจลิส) และ Rolex Mentor and Protégé Arts Initiative
ROLEX และ CINEMA: การเคลื่อนไหวที่คิดค้นขึ้นใหม่ตลอดเวลา

ภาพยนตร์คือการเคลื่อนไหวที่ไม่สิ้นสุด มีอำนาจในการทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตและสำรวจทุกอนาคตที่เป็นไปได้ ทั้งส่วนรวมและส่วนบุคคล เช่นเดียวกับนาฬิกา Rolex โรงภาพยนตร์ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำและแรงบันดาลใจของเรา เป็นพยานถึงความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นของเราที่จะเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ที่เราอาจพบระหว่างทาง มากกว่าแค่ 24 เฟรมต่อวินาทีหรือ 24 ชั่วโมงภายในหนึ่งวัน มันรวบรวมแก่นแท้ของอารมณ์ของเรา

ROLEX และ CINEMA เขียนประวัติศาสตร์เคียงข้างกัน
ในปี 1926 Hans Wilsdorf ผู้ก่อตั้ง Rolex ได้คิดค้นนาฬิกาข้อมือกันน้ำที่ปฏิวัติวงการจนเป็นข่าวพาดหัว นั่นคือ Oyster เพียงไม่กี่เดือนต่อมา ผู้ชมต่างประหลาดใจกับ The Jazz Singer ซึ่งเป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรก ช่วงเวลาทั้งสองเหตุการณ์นี้ส่งสัญญาณถึงการมาถึงของการสร้างภาพยนตร์สมัยใหม่และการผลิตนาฬิกาสมัยใหม่ด้วยเช่่นกัน ในปี 1921 Rolex ได้เปิดตัว Oyster Perpetual ที่ล้ำหน้าไปอีกขั้น นาฬิกาข้อมือไขลานอัตโนมัติแบบกันน้ำเรือนแรกที่มีโรเตอร์ Perpetual ในขณะเดียวกัน โรงภาพยนตร์ที่ฉายหนังสีก็เปิดตัวบนเป็นจอใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Rolex และโรงภาพยนตร์มักจะเป็นส่วนหนึ่งของการนำยุคสมัยเสมอ จนถึงทุกวันนี้ พวกเขายังคงแบ่งปันการแสวงหาความเป็นเลิศ นวัตกรรม และความก้าวหน้า ซึ่งส่งเสริมแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า เหล่าคนดังจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะสวมใส่ Rolex บนจอภาพยนตร์ แต่หลังจากเป็นดารารับเชิญบนข้อมือของพวกเขาทั้งต่อหน้าและหลังกล้อง Rolex ก็จะสวมบทบาทเป็นนักแสดงนำในไม่ช้า


ในปี 2017 เหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์จะช่วยประสานความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง Rolex และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ประการแรก ผู้กำกับ Martin Scorsese ร่วมงานกับ James Cameron ในฐานะ Rolex Testimonee และในปีเดียวกันนั้น ทางแบรนด์ก็ได้ผนึกความร่วมมือกับ Academy of Motion Picture Arts and Sciences ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ Rolex กลายเป็น Exclusive Watch ของ Academy of Motion Picture Arts and Sciences, Proud Sponsor of the Oscars® และ Exclusive Sponsor of the Governors Awards Rolex ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนผู้ก่อตั้ง Academy Museum of Motion Pictures ซึ่งเปิดทำการในลอสแองเจลิสในเดือนกันยายน 2021
Rolex ส่งเสริมความเป็นเลิศ ทั้งด้านความรู้ การอนุรักษ์ศิลปะ และผู้ที่มีความสามารถ พันธกิจของ Academy คือการรักษาความเป็นเลิศด้านภาพยนตร์และรักษามรดกนี้ไว้ให้คนรุ่นหลัง เพื่อจุดประกายจินตนาการและเฉลิมฉลองคุณค่าสากลของภาพยนตร์ ดังนั้นจึงเป็นการบรรจบกันของคุณค่าระหว่าง Rolex และ Academy ที่เน้นผ่านความร่วมมืออันยาวนานนี้

นักแสดงรับเชิญเป็นคำที่ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เพื่ออธิบายลักษณะการปรากฏตัวของของบุคลิกที่มีชื่อเสียงในภาพยนตร์ในชั่วขณะหนึ่ง เป็นเวลาเกือบศตวรรษที่ Rolex ปรากฏตัวบนข้อมือของนักแสดงฮอลลีวูดระดับตำนาน นาฬิกา Rolex เสริมสร้างเอกลักษณ์ของตัวละครที่สวมใส่ด้วยสัญลักษณ์อันทรงพลัง ที่พวกเขาได้ปรากฏในภาพยนตร์หลายเรื่องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เมื่อตัวละครสวมนาฬิกา Rolex นี่เป็นทางเลือกทางศิลปะที่นักแสดงและผู้กำกับเป็นผู้เลือก ด้วยนาฬิกาเหล่านี้และการมีอยู่ของหน้าจอ Rolex เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งภาพยนตร์อย่างแยกไม่ออก เมื่อนักแสดงเลือกสวมนาฬิกา Rolex การมีนาฬิกาบนข้อมือจะเพิ่มมิติให้กับโครงเรื่องและเอฟเฟ็กต์ส่วนตัวที่จะช่วยให้ตัวละครมีประวัติศาสตร์ อดีต และโชคชะตาที่เป็นไปได้ เผยให้เห็นถึงนิสัยใจคอ รสนิยม ค่านิยม แรงบันดาลใจ และความคิดของผู้สวมใส่ นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่นาฬิกาหรือเครื่องประดับสำหรับการสวมใส่ให้ครบสำหรับชุดของนักแสดงเท่านั้น แต่ยังมีความหมายมากกว่านั้นดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

Mido ประกาศการกลับมาของ Ocean Star Decompression Worldtimer Special Edition

“มิโด” (MIDO) ประกาศการกลับมาของเรือนเวลาที่เหล่านักสะสมทั่วโลกต่างถวิลหา! ในคอลเลกชั่น “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น เวิลด์ไทม์เมอร์ สเปเชียล อิดิชั่น” เรือนเวลาสไตล์เรโทรรุ่นไอคอนิกจากยุค 60s ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น GMT สุดล้ำ!

หากเอ่ยถึงนาฬิกาที่เหล่านักสะสมตัวจริงต้องมีเก็บไว้ในครอบครอง จะต้องมีเรือนเวลาหรูจากแบรนด์ “มิโด” (MIDO) อยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะรุ่นไอคอนิกอย่างนาฬิกาดำน้ำ “โอเชียน สตาร์ สกิน ไดเวอร์” (Ocean Star Skin Diver) ที่มีต้นกำเนิดในปี 1960 ตำนานหน้าปัดสายรุ้งที่มีตารางดีคอมเพรสชั่น สเกล (Decompression Scale)  เพื่อให้นักดำน้ำทราบถึงเวลาการพักขึ้นสู่ผิวน้ำได้อย่างปลอดภัย

โดยล่าสุด “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ได้ประกาศการกลับมาของเรือนเวลาระดับตำนานภายใต้ชื่อ “โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น เวิลด์ไทม์เมอร์ สเปเชียล อิดิชั่น” (Ocean Star Decompression Worldtimer Special Edition) ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เด่นของหน้าปัดแบบดั้งเดิม ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น GMT และขอบหน้าปัดที่แสดงเวลาจากทั่วโลกผ่าน 2 ดีไซน์ประสิทธิภาพสูง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเดินทางให้มุ่งหน้าสู่ความสำเร็จ เฉกเช่นเดียวกันกับเรือนเวลาจากยุค 60s ของ “มิโด” (MIDO) ที่ยังคงสร้างตำนานให้กับแบรนด์ได้ในทุกยุคสมัย

โดยเรือนเวลาหรูคอลเลกชั่นนี้ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อทุกสภาวะด้วยตัวเรือนสแตนเลสสตีลขัดเงาที่แข็งแรงทนทานและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 40.5 มม. บนหน้าปัดพื้นหลังสีน้ำเงินเข้ม สลักโลโก้ ‘Mido’แบบดั้งเดิมที่ผ่านการขัดเงามาอย่างพิถีพิถัน โดยนาฬิกาเรือนนี้จะแสดงเวลาการบีบอัดของน้ำที่ระดับความลึก 6 เมตร ซึ่งบ่งบอกจากมาตรวัดวงกลมสีเหลือง สีเขียว สีชมพู และสีน้ำเงิน ที่อยู่บนหน้าปัด พร้อมขอบหน้าปัดแบบหมุนได้จากวงแหวนอะลูมิเนียมสีน้ำเงิน และมีลูกศรสีแดงเพื่อระบุเขตเวลาในการเดินทาง รวมถึงเข็มชั่วโมง นาที และวินาที ที่ได้รับการเจียระไนเป็นทรงเหลี่ยมเพชร พร้อมเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova® โดยมีการอ่านค่าวันที่อยู่ตรงตำแหน่ง 3 นาฬิกา ครอบด้วยคริสตัลแซฟไฟร์ในรูปทรงกล่องแก้ว พร้อมสายถักสแตนเลสสตีลและสายสีน้ำเงิน ที่ผลิตจากยางสำหรับเปลี่ยน โดยได้แรงบันดาลใจจากแฟชั่นในยุค 1960 พร้อมระบบการทำงานอัจฉริยะที่สามารถทำให้เปลี่ยนสายได้อย่างสะดวกสบาย 

โดย “มิโด” (MIDO) ยังได้แนะนำเคล็ดลับการเลือกสะสมนาฬิกาเพื่อเพิ่มมูลค่าในอนาคต โดยควรเริ่มจากการอัพเดทข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอว่ามีแบรนด์ไหนกำลังจะเปิดตัวคอลเลกชั่นพิเศษอะไรบ้าง เพื่อนำมาศึกษาข้อมูลเชิงลึกว่าควรจะลงทุนกับเรือนนั้นหรือไม่ ซึ่งนาฬิกาที่จะสามารถเพิ่มมูลค่าในอนาคตได้นั้น ควรเป็นนาฬิกาจากแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ รวมถึงเป็นคอลเลกชั่นที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี โดยอาจจะเลือกจากนาฬิกาที่มีความวินเทจ ผสมผสานฟังก์ชั่นการใช้งานประสิทธิภาพสูง ทนทานกับทุกสภาพการใช้งาน จึงจะทำให้นาฬิกาเรือนนั้นมีคุณสมบัติที่ควรค่าแก่การสะสม

พบกับ โอเชียน สตาร์ ดีคอมเพรสชั่น เวิลด์ไทม์เมอร์ สเปเชียล อิดิชั่น” (Ocean Star Decompression Worldtimer Special Edition) เรือนเวลาหรู คุณภาพมาตรฐานตามแบบฉบับ Swiss made ได้แล้ววันนี้ โดยสามารถสั่งจองได้ทางเคาน์เตอร์ “มิโด” (MIDO) ทุกสาขาที่เซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่ LINE Official Account: @midothailand หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 02-610-0200

rhunrun เรียบเรียง

เอาใจคนรักนาฬิกา! Tissot เปิดตัวเรือนเวลาหรูจากคอลเลกชั่นระดับตำนาน Chemin des Tourelles

เติมเต็มลุคให้สมบูรณ์แบบด้วยนาฬิกาเรือนโปรดที่สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส เมื่อแบรนด์นาฬิกาชื่อดังระดับโลกอย่าง “ทิสโซต์” (Tissot) ประกาศเปิดตัวแคมเปญ เชอร์แมง เดอ ทูเรลล์” (Chemin des Tourelles) สุดยิ่งใหญ่ กับการกลับมาอีกครั้งของนาฬิกาดีไซน์คลาสสิกจากคอลเลกชั่นระดับตำนาน “เชอร์แมง เดอ ทูเรลล์” (Chemin des Tourelles) ในรูปโฉมใหม่ประจำปี 2023 ที่ออกแบบให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามคลาสสิกเหนือกาลเวลา สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ 

“ทิสโซต์” (Tissot) แบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาคุณภาพมาตรฐานตามแบบฉบับ Swiss made ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1853 โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 170 ปี ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย)ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นาฬิกาประสิทธิภาพสูงในดีไซน์ที่ความทันสมัยอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ได้การยอมรับในแวดวงกีฬา ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาที่มีเทคโนโลยีระบบจับเวลาด้านความเที่ยงตรงแม่นยำสูงสุด

สำหรับ “เชอร์แมง เดอ ทูเรลล์” (Chemin des Tourelles) รูปโฉมใหม่ประจำปี 2023 นั้นมาพร้อมขนาดใหม่ 39 มม. และ 34 มม. โดยทางแบรนด์ยังคงให้ความสำคัญกับงานดีไซน์ที่เหนือกาลเวลา และความประณีตในทุกรายละเอียดของการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการขัดเงาตัวเรือนเคลือบซาติน การออกแบบกระจกครอบคริสตัลแซพไฟร์ทรงโดมขนาดใหญ่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์วินเทจ วางอยู่บนหน้าปัดซันเรย์ที่ช่างฝีมือได้ใช้เทคนิคการพ่นทรายและขัดเงาอย่างประณีตเพื่อสร้างพื้นผิวที่สามารถช่วยให้การอ่านค่าเวลาเป็นเรื่องง่าย รวมถึงตำแหน่งบอกชั่วโมงที่ได้รับการออกแบบให้มีความบางโค้งมนและเจียระไนออกมาอย่างพิถีพิถัน

โดยเรือนไฮไลท์ของคอลเลกชั่นนี้คือเรือนเวลาสำหรับสุภาพบุรุษขนาด 39 มม. ที่มาพร้อมหน้าปัดสีดำ และขนาด 34 มม. ในหน้าปัดสีเงินสำหรับสุภาพสตรี บนตัวเรือนสแตนเลสสตีล ที่สามารถคอมพลีททุกลุคให้ดูดีได้อย่างสมบูรณ์แบบ

บกับคอลเลกชั่น “เชอร์แมง เดอ ทูเรลล์” (Chemin des Tourelles) ได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์ ทิสโซต์” (Tissot) ทุกสาขาทั่วประเทศไทย หรือช็อปออนไลน์ทาง Official Website: https://www.tissotwatches.com/th-th,

rhunrun เรียบเรียง

Seiko 5 Sports 55th Anniversary Customize Campaign II Limited Edition

ฉลองครบรอบ​​ 55​ ปี​ ไซโก​ ไฟว์​สปอร์ต​ กับนาฬิกา 4 รุ่นพิเศษ ที่ได้รับการกด Like มากที่สุดจากการแข่งขันออกแบบนาฬิกา Seiko 5 sports ในปี 2022  ภายใต้แคมเปญ “Show Your Love for Seiko 5 Sports Customize your watch” 

แคมเปญเชิงสร้างสรรค์ที่ได้เปิดโอกาสให้เหล่าแฟนๆ Seiko 5 Sports ได้ปลุกพลังความครีเอทีฟภายในตัวเองให้ระเบิดออกมา โดยการนำเอานาฬิกาไซโกไฟว์ สปอร์ตรุ่นดั้งเดิมของตนเอง มาปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ให้เข้ากับองค์ประกอบต่างๆ จนส่งผ่านออกมาเป็นนาฬิกา Customize สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ให้ได้รับชมกันบนเว็บไซต์

Seiko 5 Sports : SRPK03K (Japan)

นาฬิกาถูกออกแบบมาในสไตล์สีโมโนโครม สีเงินล้วนทั้งเรือน ประดับมาด้วยเข็มวินาทีสีแดงเป็นจุดเด่น โดยเรือนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก 5 Sports รุ่นดั้งเดิมที่ผลิตขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 

Seiko 5 sports : SRPK05K (Americas)

สำหรับนาฬิกาเรือนถัดมาในคอลเลกชันนี้ ถูกหยิบเอาขอบตัวเรือนสไตล์ดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของ 5 Sports มาเป็นจุดขาย โดยเข็มชั่วโมง เข็มนาทีและอินเด็กซ์บอกเวลา โดดเด่นด้วยสีทองสุดคลาสสสิก ตัดกับเข็มวินาทีสีส้มเพื่อเพิ่มลูกเล่นของความสนุก สไตล์ไฟว์สปอร์ต

Seiko 5 sports : SRPK07K (Europe)
เรือนสีส้มที่มีความโดดเด่นนี้ ถูกเลือกหยิบเอาการออกแบบขอบตัวเรือนจากรุ่นดั้งเดิมมาผสมผสาน และเพิ่มลูกเล่นมาจากหลักสเกลดำน้ำ พื้นหน้าปัดโดดเด่นด้วยสีส้ม และเข็มวินาทีสีแดง เป็นการโคจรมาพบกันที่ลงตัวในทุกมิติและถือเป็นอีกหนึ่งเรือนที่ให้ลุคสนุกสนาน และมีความมันส์ไม่เหมือนใคร

Seiko 5 sports : SRPK08K (Asia)

และเรือนสุดท้ายจากคอลเลกชันนี้ ดูให้ความแตกต่างและโดดเด่นด้วยสีของตัวเรือน หน้าปัด และสายนาฬิกาในโทนสีทองชมพู (โรส-โกลด์) ตัดกับขอบตัวเรือนสีแดงเข้ม ที่ช่วย pop-up ให้ความโดดเด่นกับหน้าปัดอย่างมากที่สุด มั่นใจได้เลยว่าเรือนนี้จะต้องสะกดทุกสายตาเมื่อได้อยู่บนข้อมือของคุณอย่างแน่นอน

ฝาหลัง

เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 55 ปีของ Seiko 5 Sports ฝาหลังของนาฬิกาแต่ละเรือนจะได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ โดยสลักคำว่า “55th ANNIVERSARY SEIKO 5 SPORTS”พร้อมกับหมายเลขประจำตัวเรือน ที่มีจำนวนจำกัดเพียงแบบละ 1,968 เรือนทั่วโลกเท่านั้น และเปิดจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟ เฉพาะช่องทางออนไลน์ ผ่าน Seiko Boutique Thailand หรือ https://www.seikoboutiquethailand.com/ เพียงช่องทางเดียว

สามารถดูรายละเอียดสินค้าได้ที่

Website : https://www.seikoboutiquethailand.com/

FB : Seiko Club by Seiko Thailand

IG : Seiko_Thailand

LINE OA : @Seiko_Thailand หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-255-1245 ต่อ 888

rhunrun เรียบเรียง

The Seiko Museum Ginza

Photography: Courtesy of seiko

Author: Rhun Na Ranong

พาไปชม The Seiko Museum Ginza กับโลเคชั่นใหม่ ณ ถนนนามิกิโดริ ย่านกินซ่า สถานที่กำเนิดของแบรนด์ Seiko และเรื่องราวการเดินทางกว่า 160 ปีของเครื่องบอกเวลาที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมฉลองวันเกิดปีที่ 160 ของคินทาโร ฮัตโตริ ผู้ก่อตั้ง Seiko ในวันที่ 19 สิงหาคม 2020 บริษัท ไซโก โฮลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น จึงได้ย้ายสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑ์เวลา Seiko จากสุมิดะกุ ไปยังกินซ่า อันเป็นถิ่นกำเนิดของ Seiko โดยจะเปิดทำการใหม่ในฐานะพิพิธภัณฑ์ขององค์กรซึ่งมีพื้นที่ถึง 6 ชั้นด้วยกัน ตั้งแต่ชั้นใต้ดินชั้นที่ 1 ไปจนถึงชั้น 5 และมีการติดตั้งไฮไลต์อย่างนาฬิกาลูกตุ้มขนาดใหญ่ Rondeau La Tour (รองโด ลา ตูร์) ที่มีความสูงถึง 5.8 เมตร ที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ด้วย

แต่ละชั้นภายในพิพิธภัณฑ์นั้นมีธีมเฉพาะตัวโดยมีการจัดแสดงและการนำเสนอเกี่ยวกับเวลาและนาฬิกาอยู่ถึงราว 500 รายการ บนชั้น 2 จะเป็นห้องของคินทาโร ฮัตโตริ ที่ผู้เข้าชมสามารถติดตามความท้าทายและความพยายามของคินทาโร ฮัตโตริ ผู้เป็นที่รู้จักกันในนามราชานาฬิกาแห่งตะวันออก ซึ่งเป็นผู้นำในการพาอุตสาหกรรมนาฬิกาในญี่ปุ่นสู่ความทันสมัย

โดยการจัดแสดงนี้จะนำเสนอปรัชญาของผู้ก่อตั้งของเราที่ว่า “ก้าวล้ำหน้าผู้อื่นไปหนึ่งก้าวอยู่เสมอ” สำหรับการจัดแสดงอื่นๆ ผู้เข้าชมจะได้รับประสบการณ์ในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจับเวลาสำหรับกีฬาซึ่งเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของนาฬิกา Seiko อย่างแยกไม่ออก และเทคโนโลยีในนาฬิกาสปอร์ตของ Seiko ที่สนับสนุนเหล่านักผจญภัยในการรับมือกับความท้าทายสุดขั้ว

นอกจากบรรดาผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญของ Seiko แล้ว พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังให้ผู้เข้าชมได้เห็นภาพในมุมกว้างของประวัติศาสตร์เครื่องบอกเวลาของโลกด้วย เริ่มตั้งแต่นาฬิกาแดดโบราณ และคอลเลกชั่น Wadokei (วาโดเค) ซึ่งรวบรวมนาฬิกาญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่พัฒนาขึ้นในสมัยเอโดะเอาไว้อย่างครอบคลุม

หากคุณผู้อ่านสนใจเข้าชมสามารถติดต่อได้ที่อาคาร Seiko Namikidori (ไซโก นามิกิโดริ), 4-3-13 กินซ่า, ชูโอกุ, โตเกียว 104-0061 โดยมีขนส่งสาธารณะใกล้เคียงคือ สถานีรถไฟ โตเกียว เมโทร กินซ่า : เดิน 1 นาทีจากทางออก B4 และสถานีเจอาร์ ยูระกุโช : เดิน 4 นาทีจากทางออกกลางหรือทางออกกินซ่า

* ต้องทำการจองล่วงหน้าจากหนึ่งในสามช่วงเวลาของแต่ละวัน (เข้าฟรี) ช่วงเวลาเยี่ยมชม : (1) 10:30-12:30, (2) 13:00-15:00, (3) 15:30-17:30