Mr. Ewan Gunn – Diageo’s Global Whisky Brand Ambassador
/in Uncategorized /by Sethapong PawwattanaMr. Ewan Gunn (ยวน กันน์) ดำรงตำแหน่งวิสกี้แบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของดิอาจิโอ ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม รวมถึง Johnnie Walker Blue Label ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมากขึ้น เขาอยู่ในวงการสก็อตช์วิสกี้มานานถึง 24 ปี หลังจากเรียนจบด้านภาษาจากมหาวิทยาลัย ก็ผันตัวมาทำงานกับบริษัทวิสกี้เล็กๆ ที่ทำให้เขาได้ทดลองทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย การตลาด และประชาสัมพันธ์ จากการที่ยวนหลงใหลในสก็อตช์วิสกี้ เขาจึงมีความสุขมากที่ได้แบ่งปันความรู้ ส่วนผสมและเรื่องราวที่พิเศษเกี่ยวกับสก็อตช์วิสกี้ และประเทศสกอตแลนด์ให้ผู้คนได้รับรู้ โดยปัจจุบันได้มาร่วมงานกับดิอาจิโอเป็นเวลา 12 ปีแล้ว
สก็อตช์วิสกี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและอาชีพของคนในสกอตแลนด์ เนื่องจากสกอตแลนด์เป็นอันดับหนึ่งของโลกในแง่ของสก็อตช์วิสกี้ แน่นอนว่าสก็อตช์วิสกี้ ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของชาวสกอตแลนด์ที่มีอยู่ราวๆ 5 ล้านคน บางหมู่บ้านที่มีคนอยู่ 50-100 คน เขาก็สร้างโรงกลั่นกันขึ้นมา โดยมีโรงกลั่นในสกอตแลนด์ทั้งหมดประมาณ 145 โรงกลั่น ขนาดเล็กใหญ่คละกันไป เรื่องขนาดของโรงกลั่นและการจ้างงานนั้น ยังขึ้นกับเกษตรกรที่ปลูกข้าวบาเลย์เพราะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสก็อตช์วิสกี้ ตลอดจนคู่ค้าในด้านอื่นๆ อย่างคนผลิต ทำขวด หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่มีหน้าที่ในการผสมสก็อตช์วิสกี้ ถือได้ว่าโรงกลั่นสก็อตช์วิสกี้ ครอบคลุมการจ้างงานในหลากหลายทักษะ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยการทำโรงกลั่น สก็อตช์วิสกี้ถือเป็นหนึ่งในอาชีพหลักที่เป็นอัตลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของสกอตแลนด์

การสืบทอดมรดกทางด้านวัฒนธรรม ทักษะจากรุ่นสู่รุ่น บางโรงกลั่นมีการสืบทอดกันมายาวนานถึง 240 ปี สำหรับโรงกลั่นที่เก่าที่สุด เพราะเหมือนเป็นธรรมเนียมในตระกูลที่สืบทอดต่อๆ กันมา โดยกระบวนการหลักในการผลิต ยังคงไว้ตามเดิม แต่วิธีในการเข้าไปจัดการ จะแตกต่างออกไป เช่น อาจจะมีเป็นแผงควบคุมเพื่อดูแลในเรื่องของสายการผลิต หรืออาจจะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนโรงกลั่น หรือการใช้ของเสียที่ได้จากโรงงาน เป็นพลังงานชีวภาพของโรงกลั่นนั้นๆ ถือเป็นการสนับสนุนให้โรงกลั่นอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสาน จะช่วยในแง่ของความยั่งยืนมากขึ้น โดยยังคงรสชาติดั้งเดิมและมรดกทางวัฒธรรมที่สืบทอดต่อๆ กันมา
Johnnie Walker เป็นแบรนด์ที่อยู่มายาวนานกว่า 200 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1820 ส่วน Johnnie Walker Blue Label เข้ามาร่วมพอร์ตโฟลิโอในปีค.ศ. 1992 และวางจำหน่ายในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย โดย Johnnie Walker Blue Label นั้นมีความพิเศษ เริ่มตั้งแต่การคัดสรรส่วนผสมที่ประณีต โดยในถังบ่มจำนวน 10,000 ถัง มีเพียง 1 ถังเท่านั้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจนสามารถนำมาบรรจุลงในขวด Johnnie Walker Blue Label ได้ ซึ่งในสกอตแลนด์มีถังบ่มสก็อตช์วิสกี้รวมถึง 11 ล้านถังเพื่อคัดสรรนำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้
น้ำที่นำมาผลิตสก็อตช์วิสกี้มาจากหลายลุ่มแม่น้ำจากทั้งสี่มุมเมืองของสกอตแลนด์ เป็นอีกหนึ่งความลงตัวของรสชาติสก็อตช์วิสกี้ของ Johnnie Walker Blue Label โดยส่วนผสมที่มาจากสเปย์ไซด์จะมีกลิ่นผลไม้ จากไฮแลนด์จะมีความหอมหวาน ส่วนเวสต์แลนด์มีจะกลิ่นควัน
สำหรับเทรนด์ทั่วโลกในปัจจุบัน ผู้คนนิยมดื่มสก็อตช์วิสกี้กับอาหาร เคล็ดลับคือ สามารถจับคู่เครื่องดื่มกับอาหารอย่างเหมาะสม เช่น อาหารรสชาติเผ็ด ก็ทานคู่กับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นควัน ส่วนอาหารรสชาติหวานหรือขนมหวาน ทานกับสก็อตช์วิสกี้ที่มีกลิ่นวนิลา โดยรสนิยมการดื่มของผู้คนมีพัฒนาการ โดยช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา ผู้คนชอบที่จะดื่มอะไรที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดิอาจิโอจึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติที่สูงกว่ามาตรฐาน มีความละมุน นุ่มลึก
อีกสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ของ Johnnie Walker Blue Label นอกจากกลิ่นแล้วคือ texture ที่มีความ smooth และ creamy มากๆ แตกต่างจากสก็อตช์วิสกี้ตัวอื่นๆ โดยใน 1 แก้ว รสชาติที่สัมผัสจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ดื่มด่ำ สำหรับนักสะสม Johnnie Walker Blue Label มีหลากหลายรุ่นที่อยากจะแนะนำ เช่น รุ่น Ghost and Rare ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่หายากมากๆ เพราะนำส่วนผสมมาจากโรงกลั่นที่ปิดตัวลงไปแล้ว โดยมีบางที่ปิดไปแล้วถึง 30-40 ปี อย่าง Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Dundas ก็เป็นรุ่นแนะนำที่นักสะสมควรมีไว้ครอบครอง ความพิเศษคือเราไม่สามารถหารสชาติแบบนั้นได้อีกแล้ว เพราะเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปแล้วมาผลิต ทำให้ความรู้สึกตอนที่กำลังดื่มด่ำมันล้ำค่ามากๆ เป็นความรู้สึกที่มีได้แค่ครั้งเดียว ยังมี Johnnie Walker Blue Label อีกรุ่นหนึ่งคือ Johnnie Walker Blue Label Ghost and Rare Port Ellen ซึ่งเป็นการนำเอาสก็อตช์วิสกี้จากถังไม้โอ๊คของโรงกลั่นที่ปิดตัวไปตั้งแต่ปี 1980 หรือประมาณ 40 ปี มาทำเป็นสก็อตช์วิสกี้ ถือเป็นอีกหนึ่งคอลเลคชั่นที่ทรงคุณค่ามากๆ และมีรสชาติที่ยอดเยี่ยม


เรื่องหนึ่งที่คนชอบเรื่องขนบในการรับประทานอาหารยุคใหม่นิยมจะจับคู่อาหารกับเครื่องดื่ม (Food Pairing) แต่เดิมมักจะเข้าใจว่าวิสกี้ไม่สามารถนำมาจับคู่กับอาหารได้ แต่แท้จริงแล้วสก็อตช์วิสกี้อย่าง Johnnie Walker Blue Label สามารถเข้าได้กับอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสชาติหนักๆ อย่างเช่น สเต็ก บาร์บีคิว หรือรสชาติอาหารเบาๆ ที่มีรสตรงข้ามกันอย่าง แซลมอน หรือแม้แต่ขนมหวาน ได้แก่ ช็อกโกแลต เป็นต้น อีกทั้งสก็อตช์วิสกี้ยังช่วยดึงรสชาติในอาหารออกมา ทำให้เกิดรสชาติใหม่ๆ หรือแม้แต่อาหารก็สามารถไปเสริมรสชาติสก็อตช์วิสกี้ได้เช่นกัน
เมื่อพูดถึงวิธีการดื่มสก็อตช์วิสกี้ ให้ลองวางแก้วน้ำเย็นไว้ข้างๆ แก้วสก็อตช์วิสกี้ เริ่มจากการใช้น้ำเย็นดื่มล้างพาเลตต์ต่างๆ แล้วจึงค่อยดื่มสก็อตช์วิสกี้ตาม เพื่อเพิ่มความสดชื่น และการสัมผัสรสชาติที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น หรือบางคนเลือกที่จะหยดน้ำ 3-4 หยด ลงไปในแก้วสก็อตช์วิสกี้ เพื่อจะให้แอลกอฮอล์มีความเข้มข้นลดลง ทั้งยังช่วยดึงกลิ่นผลไม้ และมอบรสชาติใหม่ๆ ออกมา
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้สก็อตช์วิสกี้มีความพิเศษ คือไม่ใช่แค่น้ำที่นำมาผลิตเป็นสก็อตช์วิสกี้ต้องมีคุณภาพเท่านั้น แต่รสชาติและกลิ่นต้องมีความยอดเยี่ยม ลึกล้ำและซับซ้อน รวมถึงมีรสชาติหนักและเบาผสมผสานอย่างสมดุลกัน มีความลงตัวอย่างหาใครเทียบได้ยาก นอกเหนือจากนี้ ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา ดังนั้นกว่าจะมาเป็นสก็อตช์วิสกี้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่อยู่แค่ตัวสก็อตช์วิสกี้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกันด้วย
ในฐานะ Global Whisky Brand Ambassador ยวนเห็นด้วยและชื่นชมกับการที่ผู้คนนำ ผลิตภัณฑ์สก็อตช์วิสกี้ไปผสมเป็นเครื่องดื่มแบบค็อกเทล เพราะกว่าจะรังสรรค์ ให้เกิดรสชาติใหม่หรือเกิดเป็นเครื่องดื่มแก้วใหม่ ต้องใช้เวลาและทำให้เกิดความพิเศษมากจริงๆ อีกทั้งกลิ่นหรือรสที่เกิดเป็นค็อกเทลแก้วใหม่ ย่อมต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยเช่นกัน รวมถึงยวนอยากให้เห็นคุณค่าของบาร์เทนเดอร์ โดยสามารถมองผ่านเลนส์แบบเชฟที่มี ความสามารถอย่างเชฟระดับมิชลินสตาร์ เพราะอยากส่งเสริมวงการบาร์เทนเดอร์ ให้ยิ่งใหญ่เหมือนเชฟระดับโลกด้วยเช่นกัน
The original pizza from Naples.
/in Uncategorized /by Sethapong Pawwattanaหลายคงอยากจะรู้ว่าพิซซ่าต้นตำรับจากเมืองเนเปิลส์เป็นเช่นไร เพราะเราได้ยินเสียงร่ำลือนักหนาว่าต้นกำเนิดพิซซ่านั้นมาจากเมืองเนเปิลส์ เราจะไม่ลงลึกว่าแท้จริงพิซซ่ามีต้นกำเนิดมาจากไหน แต่ว่าพิซซ่าสไตล์เนเปิลส์คือหนึ่งในพิซซ่าที่คนทั่วโลกยอมรับว่าอร่อยที่สุดชนิดหนึ่ง แต่วันนี้เราจะหาพิซว่าตามแบบเนเปิลส์จริงๆ ได้ที่ Starita (สตาริต้า) ซึ่งมีความเป็นมายาวนานกว่า 122 ปีและมาเปิดที่เมืองไทยเป็นที่แรกนอกเหนือจากในอิตาลี
แน่นอนว่าหลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเมืองไทย ซึ่ง Don Antonio Starita ผู้ดำเนินกิจการพิซซ่านี้ได้บอกกับเราว่า เขาเห็นว่าคนไทยกับคนเนเปิลส์มีนิสัยคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นความมีชีวิตชีวา รักในเรื่องอาหาร และรูปแบบของการปรุงอาหารมีเอกลักษณ์ แน่นอนว่าเขาทราบว่าคนไทยชื่นชอบอาหารอิตาเลียนโดยเฉพาะพิซซ่า ดันั้นเขาจึงเลือกที่จะมาเปิดร้านพิซซ่า Starita (สตาริต้า) สาขาแรกนอกอิตาลีที่กรุงเทพฯ ด้วยความพิถีพิถันในทุกส่วนผสม และความใส่ใจทุกขั้นตอนของการทำอาหาร เพื่อให้ทุกคนได้ลิ้มรสความอร่อยแบบต้นฉบับได้อย่างสมบูรณ์


หลายคนอาจจะเคยได้ชิมพิซซ่า Starita ถ้าได้เดินทางไปเที่ยวเนเปิลส์หรืออิตาลีไม่ว่าจะเป็นมิลานเปิดสาขาในปี 2016 เมืองตูริน(ปี 2018) และเมืองฟลอเรนซ์ในปี 2021 โดยร้านแรกดั้งเดิมตั้งอยู่ที่ Materdei ในเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งในปี 1901 ในฐานะโรงกลั่นเหล้าองุ่น ซึ่งในช่วงปลายยุค 40 ได้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่สำหรับการชิมไวน์และอาหารแบบดั้งเดิมต่างๆ จนกลายเป็นร้านพิซซ่านับเแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในปีต่อๆ มา ร้านอาหารแห่งนี้ก็มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นในฐานะของร้านพิซซ่าที่มุ่งเน้นความเป็นพิซซ่าเนเปิลส์แบบดั้งเดิมที่ดีที่สุด อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากสำนักวาติกัน โดยสมเด็จพระสันตะปาปาจิโอวานนี เปาโลที่ 2 ในปี 2000 และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Don Antonio Starita (ดอน อันโตนิโอ สตาริต้า) ผู้บริหารแบรนด์ Starita ได้เข้ามาดูแลอย่างทุ่มเท และให้ความใส่ใจในทุกขั้นตอนของการทำพิซซ่า






ล่าสุด ในปี 2023 Starita เลือกเปิดสาขานอกประเทศอิตาลีเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานคร ด้วยการมองการณ์ไกลของดอน อันโตนิโอ ร่วมมือกับ คุณเทพฤทธิ์ มัลโฮตรา และ คุณปรมินทร์ ศรีชวาลา กรรมการผู้จัดการบริษัท พีแอนด์ดี กูร์เมต์ จำกัด จนกลายเป็น Starita Bangkok พร้อมได้เชฟผู้เชี่ยวชาญจาก Starita Academy อย่าง Reberto Barone (รีเบอร์โต้ บารอนเน่) และ Diego Pagona (ดิเอโก้ บาโกน่า) มาประจำอยู่ที่สาขาในกรุงเทพฯ เพื่อยืนยันว่าคนไทยจะได้ชิมรสชาติของพิซซ่าที่เหมือนกับที่เนเปิลส์อย่างแนนอน เ
เราได้มีโอกาสชิมเมนูขึ้นชื่ออย่างพิซซ่า Montanara Starita ที่เกิดขึ้นในยุค 80 โดย ดอน อันโตนิโอ สตาริต้าด้วยการเลือกใช้มะเขือเทศท้องถิ่น เพิ่มด้วยชีส Foir Di Latte โดย texture ของพิซซ่านั้นมีความกรอบนอกนุ่มในเพราะเราเริ่มด้วยการทอดแล้วนำเข้าเตาอบเพื่อสร้างขอบพิซซ่าแบบเฉพาะของ Starita ที่ยากจะต้านทาน สิ่งที่ทำให้ Montanara Pizza นี้ไม่ซ้ำใครคือซอสสูตรลับสุดหวงแหน
พิซซ่า Marinara Starita ที่ใช้ซอสมะเขือเทศเชอร์รี่ Datterini จากซิซิลี พร้อมกับรสชาติที่มีชีวิตชีวาของกระเทียมที่วางตรงกลางของจานและรสชาติเข้มข้นของชีสเปโคริโน พริกไทยดำ และออริกาโน ทำให้นึกถึงซอสของคุณยายสไตล์อิตาลี ด้วยมะเขือเทศสับที่ค่อยๆ กลายเป็นซอสที่เข้มข้นและนุ่มนวล นี่คืออาหารจานเด่นที่แท้จริง ซึ่งเป็นจานของสตาริตาที่เป็นที่รู้จักไปทั่วอิตาลีและถูกกล่าวขานไปทั่วโลก
พิซซ่า Margherita Starita เป็นการทำพิซซ่าแบบคลาสสิค ด้วยการใช้ซอสมะเขือเทศสูตรพิเศษและดั้งเดิมของ Starita เพิ่มเติมด้วยชีส Foir Di Latte เพื่อให้รสชาตินุ่มละมุน เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์



พิซซ่า Burrata ได้นำเสนอความเป็นเนเปิ้ลส์แท้ๆด้วยการนำเข้า Burrata cheese จากอิตาลีและการเลือกใช้ Grape tomato เพื่อทำให้มีความหวานพิเศษ เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และจบด้วยน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์
พิซซ่า Versuvio Mix เราเลือกใช้มะเขือเทศเชอรี่สีเหลืองและสีแดง เพราะทำให้ได้รสชาติหวานอมเปรี้ยว เติมความละมุนด้วยมอสซาเรลลาชีส อีกทั้งยังเติมความเข้มข้นด้วยชีสเปโคริโนโรมาโน เพิ่มความหอมด้วยใบโหระพาอิตาเลียน และจบด้วยน้ำมันมะกอกที่ส่งตรงจากเนเปิลส์
พิซซ่า Tartufo ทุกคำจะได้กลิ่นหอมที่เข้มข้นจากเห็ดทรัฟเฟิล เพิ่มชีส Foir Di Latte จากอิตาลีเพื่อให้รสชาตินุ่มละมุน ปิดท้ายด้วยความหอมจากใบโหระพาอิตาเลียน
Starita มีเมนูพิซซ่ามากกว่า 20 เมนู รวมทั้งแป้งพิซซ่าไร้กลูเตน โดยส่วนสำคัญที่สุดในการทำ พิซซ่าคือ แป้งพิซซ่า (Pizza Dough) ที่ต้องปรับระดับค่าของน้ำสำหรับแป้งพิซซ่าให้ได้มาตรฐานเท่ากันกับน้ำในเมืองเนเปิลส์ เพื่อให้รสชาติของพิซซ่านั้นถูกต้องตามสูตรของ Starita และยังมี Burrata แบบโฮมเมดสำหรับสลัดและอาหารทานเล่น พาสต้าที่เป็นสูตรต้นตำรับ โดยเฉพาะพาสต้าคาโบนาร่าที่มีรสชาติเหมือนกับในอิตาลีอย่างแท้จริง


Starita Bangkok มีการตกแต่งให้มีกลิ่นอายตามแบบฉบับของ Starita ในประเทศอิตาลี สร้างบรรยากาศให้เหมาะกับทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับพิซซ่าเนเปิ้ลส์ต้นตำรับได้อย่างรื่นรมย์ นอกเหนือจากอาหารแล้ว Starita Bangkok ยังมีไวน์ชั้นดี เบียร์สดจากอิตาลี และค็อกเทลโดยบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีคอยบริการอีกด้วย
ร่วมลิ้มลองความอร่อยของพิซซ่าเนเปิ้ลส์ระดับตำนานจากอิตาลีได้ที่ร้าน Starita Bangkok ชั้น G อาคาร Oakwood Residence ทองหล่อ ซอยอรรถพัฒน์ (ซอยทองหล่อ 13) ร้านเปิดวันอังคารถึงวันพฤหัสบดี เวลา 12.00 – 14.30 น. และ 17.00 – 22.30 น. , วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ เวลา 12.00 – 14.30 น. และ 17.00 -23.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 099-466-4461, Instagram: @staritabangkok
ROLEX PERPETUAL PLANET INITIATIVE
/in Uncategorized /by Sethapong PawwattanaRolex สนับสนุน Coral Gardeners กลุ่มนักอนุรักษ์มหาสมุทรรุ่นเยาว์ที่มาพร้อมกับภารกิจในการรักษาแนวปะการังผ่านการฟื้นฟู กิจกรรมเพื่อสร้างการตระหนักรู้ และนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างจริงจัง ผ่านโครงการแนวคิดริเริ่ม Perpetual Planet ของแบรนด์ ตั้งแต่ปี 2017 Titouan Bernicot ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Coral Gardeners ได้สร้างกฎการอนุรักษ์ขึ้นมาใหม่ โดยนำแนวทางการสร้างความตระหนักและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้เยาวชนได้เห็นถึงความแตกต่างที่พวกเขาสามารถทำได้ด้วยการฟื้นฟูแนวปะการัง ซึ่งจะทำให้ได้สภาพแวดล้อมที่กว้างขึ้นกลับคืนมา


ด้วยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิธีการฟื้นฟูแนวปะการัง Titouan และทีม Coral Gardeners ได้ตัดชิ้นส่วนของปะการังเพื่อเพาะเลี้ยงในเรือนเพาะชำเป็นเวลากว่า 12-18 เดือน ก่อนที่จะ “ยึดติด” ชิ้นส่วนเหล่านั้นกลับไปที่แนวปะการังที่อยู่ใกล้เคียงด้วยปูนทนน้ำทะเล และติดตามการเติบโตของแนวปะการังที่ได้ยึดติดไว้
Coral Gardeners ทำการปักชำปะการังประมาณ 10,000 กิ่งในเรือนเพาะชำปะการัง 6 แห่ง ที่กระจายอยู่ทั่วเฟรนช์โปลินีเซีย โดยทีมงานได้เล็งเห็นถึงผลสำเร็จของปฏิบัติการดังกล่าว เนื่องจากแนวปะการังกลับมามีชีวิตและสีสันสวยงามอีกครั้ง


ทุกวันนี้พวกเขาได้บรรลุเป้าหมายเริ่มต้นในการปลูกปะการัง 30,000 กิ่ง ซึ่งได้เพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของกลุ่ม Coral Gardeners ได้ขยายไปไกลกว่าแค่ในเฟรนช์โปลินีเซีย พวก เขาได้เข้าร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอนุรักษ์แนวปะการังต่าง ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของแนวปะการังทางออนไลน์โดยวิดีโอและรูปภาพของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเข้าถึงผู้คนกว่า 200 ล้านคน ในเวลาเพียงห้าปี และมีผู้ติดตามมากกว่าครึ่งล้านในบัญชี Instagram ของพวกเขา ภาพและวิดีโอที่ให้ข้อมูลอันน่าทึ่งเหล่าน้ี มุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความสนใจในการอนุรักษ์ และคาดหวังที่จะจุด ประกายเก่ียวกับการปกป้องผืนมหาสมุทร
ทีมนักเคลื่อนไหวกำลังสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีในการแบ่งปันและค้นหาข้อมูลให้กว้างมากขึ้น ผ่าน CG Labs โดยพวกเขากำลังพัฒนา ReefOS แพลตฟอร์มใหม่ที่ทำขึ้นเพื่อเชื่อมต่อแนวปะการังกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเฝ้าติดตามงานท่ีพวกเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นท้ังนี้วิศวกรของเหล่า Coral Gardeners กำลังทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับและขยายขอบเขตการอนุรักษ์แนวปะการังในแบบโอเพนซอร์สอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปรัชญาแห่งการ ยกระดับประสิทธิภาพอย่างต่อเน่ืองอันสอดคล้องกับแนวคิดของ Rolex


“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมกับผู้คนระดับตำนานจากโครงการ ROLEX PERPETUAL PLANET INITIATIVE
ตามรอยเส้นทางของนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่สร้างแรงบันดาลใจอย่าง SYLVIA EARLE สิ่งนี้ทำให้ผมอยากที่จะดำดิ่งลงไปในน้ำ และสร้างความเคลื่อนไหวให้มากยิ่งขึ้น”Titouan Bernicot ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Coral Gardeners
การเปิดตัวโครงการ Perpetual Planet อันเป็นแนวคิดริเริ่มในปี 2019 ได้ตอกย้ำถึงการมีส่วนร่วมดังกล่าว โดยแรกเริ่มโครงการได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่โครงการ Rolex Awards for Enterprise รวมถึงความร่วมมืออันยาวนานกับโครงการ Mission Blue และ National Geographic Society โครงการดังกล่าวยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีพันธมิตรมากกว่า 20 ราย รวมถึง Cristina Mittermeier และ Paul Nicklen ผู้ก่อตั้งองค์กร Sea Legacy, Rewilding Argentina และ Rewilding Chile องค์กรลูกของ Tompkins Conservation, โครงการ Under The Pole, โครงการ Monaco Blue และองค์กร Coral Gardeners


Volti Tascan Grill and Bar
/in Bars & Resturants, Uncategorized /by Sethapong Pawwattanaห้องอาหาร โวลติ เปิดให้บริการอีกครั้งภายใต้แนวคิดใหม่ “โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์” ที่สายเนื้อต้องไม่พลาดเพราะจุดเด่นหนึ่งก็คือสเต๊กเนื้อที่ย่างจากเตาถ่าน แต่ใครไม่สายเนื้อก็มีอาหารสไตล์ทัสคานีที่เป็นจุดเด่นจากการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาปรุงอาหาร ด้วยเมนูที่พร้อมพรั่งทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย พาสต้า รวมทั้งอาหารทะเลที่คัดมาสดๆ ปรุงในสไตล์ครัวในบ้านของชาวทัสคานีย์
เป็นการกลับมาอีกครั้งของห้องอาหารอิตาเลียน Volti ด้วยแนวคิดใหม่ “อาหารย่างในสไตล์ทัสคาน” ที่คุณพลาดไม่ได้ โดยห้องอาหาร โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ โฉมใหม่ นำเสนอความอร่อยจากเนื้อคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก นำมาปรุงในสไตล์ทัสคานีย์แท้ด้วยการรมควันและย่างด้วยเตาถ่าน เริ่มจากเนื้อชั้นเยี่ยมอย่างเนื้อวากิวสายพันธุ์เลือดแท้ 100% (A5) ซึ่งเป็นเนื้อวากิวเกรดสูงสุดที่หายากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเนื้อแองกัสออสเตรเลีย (MBS3+) ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของเนื้อแองกัสจากเมืองดาร์ลิงดาวน์ รัฐควีนส์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นเนื้อที่ได้รับรางวัลสเต็กเนื้อแองกัสที่ดีที่สุด โดยมีความโดดเด่นด้านเนื้อสัมผัสที่นุ่มและรสชาติเนื้อที่เข้มข้น อีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ได้แก่ F1 วากิว (MBS7+) ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดสำหรับเนื้อออสเตรเลียน F1 วากิว
เนื้อที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี พร้อมนำมาย่างบนเตาถ่านชาร์โคลที่ออกแบบโดยชาวออสเตรีย ราดด้วยไขมันวากิวหมักด้วยขิง และเสิร์ฟบนถาดเกลือหิมาลายัน เพื่อให้เนื้อสเต็กจะยังคงอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง


โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งพร้อมด้วย บรูโน เฟอร์รารี หัวหน้าพ่อครัว อิตาเลียนคนใหม่ เชฟบรูโนได้รับเลือกให้เป็น “เชฟและเจ้าของห้องอาหารรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศอิตาลี” โดยมิชลินไกด์ ประเทศอิตาลี และเขายังได้รับดาวมิชลินดวงแรกในปี พ.ศ. 2551 จากห้องอาหารเวียนตูริน (Wien Turin) ในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
“โวลติให้ความสำคัญกับการเป็นตัวจริง เราภูมิใจที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นเมนูของโวลติจึงประกอบไปด้วยเนื้อเกรดพรีเมียมไปจนถึงส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั้งในและต่างประเทศ ส่วนประกอบแต่ละอย่างของแต่ละเมนูล้วนทำขึ้นเอง ตั้งแต่เส้นพาสต้า ไปจนถึง ลิมอนเชลโลที่ผสมขึ้นเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มที่เสิร์ฟเมื่อจบมื้ออาหารที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในทุกองค์ประกอบที่ทีมเชฟของเราทุ่มเทให้กับอาหารทุกจานที่เสิร์ฟให้กับแขกของเรา” เชฟบรูโนกล่าว



เร่ิมจากอาหารเรียกน้ำย่อยที่หลายๆ คนที่ติดใจรสชาติหนวดหมึกทะเลต้องชอบกับการปรุงที่ไม่ซับซ้อนแต่ทว่าความอร่อยอยู่ที่การคัดเนื้อหมึกที่สดมากๆ มาย่างไฟแบบพอสะดุ้งแล้วปรุงรสด้วยสมุนไพรต่างๆ ชูรสเด่นด้วยความเปรี้ยวของมะนาวเลมอน ความเค็มจากเนื้อหมึกรวมทั้งผิวหมึกที่กรอบจากการย่างไฟช่างเป็นรสสัมผัสที่สดชื่นนึกถึงบรรยากาศริมทะเล ส่วนพาสต้าที่มาในรูปแบบแผ่นแป้งสอดไส้พอคำที่เพิ่มรสด้วยซอสสูตรพิเศษ แต่สายเนื้อที่ยังไม่ถึงจานหลักอย่างสเต็กลองสั่งการ์ปัชโช ที่ทำจากเนื้อสไลด์บางๆ เหยาะน้ำมันมะกอกและน้ำส้ม โรยหน้าด้วยเนยแข็งและผักอารูกูลา(ผักโขมอิตาเลียน)รสชาติดีมาก เมื่อจานหลักมาถึง เนื้อสเต็กไม่ทำให้ผิดหวังเลย ด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยมของเนื้อและความเข้าใจในคุณภาพของเนื้อของเชฟที่ปรุงสุกมาแบบถนอมรสชาติแท้ๆ ของเนื้อแต่ละชนิดได้เป็นอย่างดี อยากจะสัมผัสความจุ้ยซี่ ความนุ่มละมุน ความละลายในปากของเนื้อชนิดใดเชฟสามารถทำให้ได้โดยไม่เสียคุรภาพของเนื้อชนิดนั้นๆ
ปิดท้ายด้วยของหวานที่เชฟทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้อาหารจานหลักไม่ว่าจะเป็น Panna Cotta รสละเมียดหอมกลิ่นนม , Piedmont Hazelnut Gianduja แป้งทอดมากับซอสฮาเซลนัท และ Tartufo Nero ที่เป็นไอศกรีมรสทรัฟเฟิลบรรจุอยู่ภายในลูกบอลช็อกโกแลต ของหวานจานนี้คือพลาดไม่ได้จริงๆ
น
ทุกท่านสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศภายในห้องอาหารที่มีการตกแต่งในสไตล์อิตาเลียนร่วมสมัย สุดชิคในขณะชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยาและสระว่ายน้ำอันแสนร่มรื่นของโรงแรมฯ พร้อมจิบหลากหลายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ในบรรยากาศสบายๆ ของเลานจ์ และบาร์ที่ชั้น 1 และชั้น 3 ของห้องอาหาร
ตื่นตาไปกับทักษะการปรุงอาหารของทีมพ่อครัวมืออาชีพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลในรสชาติของอาหารทุกจานที่ทุกท่านสามารถรับชมได้จากครัวเปิดขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 ของห้องอาหาร ในขณะที่กำลัง อิ่มอร่อยไปกับอาหารจานโปรด


นอกจากนี้ โวลติ ยังนำเสนอรายการไวน์นานาชนิดให้ทุกท่านได้เลือกลิ้มลองโดยได้รวบรวมไวน์ที่ดีที่สุดของประเทศอิตาลี คราฟต์เบียร์ที่ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถัน และสำหรับท่านที่ยังไม่จุใจกับรสชาติอาหารรมควัน ต้องไม่พลาดที่จะชิมหลากหลายเมนูค็อกเทลรมควันรสเลิศของโวลติ



โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ เปิดให้บริการอาหารมื้อค่ำในทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ทีมเชฟของเรายังสามารถรังสรรค์เมนูพิเศษสำหรับรับรองแขกจำนวน 10 ถึง 100 ท่าน ทำให้โวลติเป็นห้องอาหารที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์ทางธุรกิจ งานเลี้ยงฉลองต่างๆ แบบส่วนตัว อาหารค่ำมื้อพิเศษภายในครอบครัว รวมถึงงานหมั้น และงานแต่งงานอีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ แผนกสำรองที่นั่งห้องอาหาร โทร. 0 2236 7777 หรือ อีเมล restaurants.slbk@shangri-la.com www.Shangri-La.com

Summer Journey at Sra Bua by Kin Kin
/in Uncategorized /by L'Officiel Hommes Thailand Clubห้องอาหารสระบัว บาย กิน กิน เจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์หนึ่งดาว เชิญท่านมาร่วมสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครกับคอนเซ็ปท์ใหม่ต้อนรับฤดูร้อนนี้กับ “ซัมเมอร์ เจอร์นีย์” (Summer Journey) ที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของเชฟเฮนริค อูล-แอนเดอร์เซน และหัวหน้าเชฟชยวีร์ สุจริตจันทร์ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย พร้อมให้บริการตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2566 เท่านั้น
s
s
s
หนึ่งในไฮไลท์ของ Summer Journey ก็คือ “เนื้อหมูอิเบริโค ซอสมิโซ บัตเตอร์” ที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนให้สุกอย่างช้าๆ ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง รับประทานคู่กับข้าวอบหมู ซึ่งใช้ข้าวหอมมะลิอันแสนโด่งดังจากจังหวัดยโสธรของประเทศไทย ถ้าเมนูครั้งก่อนไฮไลท์คือข้าวมันไก่ จานนี้ก็จะสร้างความฮือฮาไม่แพ้กัน เรารู้จักความเลอเลิศของรสชาติเนื้อหมูอิเบริดค กันดีอยู่แล้ว ยิ่งผ่านการปรุงอย่างยาวนานด้วยความร้อนน้อยๆ นี้จะยิ่งเก็บรักษารสชาติของหมูได้อย่างเต็มที่ ส่วนข้าวอบหมูนั้นทำออกมาอร่อยมาก แถมมีหนังหมูทอดเป็นแท่งยาวๆ (แคปหมูแบบโมเดิร์น) แนมมาให้ได้สัมผัสรสกรอบๆ อย่างที่คนไทยชอบ คือจานนี้จานเดียวมาครบทั้งรสสัมผัสต่างๆ เป็นจานเด็ดที่ควรมาชิมให้ได้
ด้วยความเป็นเลิศในการนำเสนออาหารไทยสไตล์โมเดิร์นกับรางวัลมิชลินสตาร์หนึ่งดาวติดต่อกันหกปีซ้อน เมนูซัมเมอร์ เจอร์นีย์ (Summer Journey) นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเดินทางของเชฟเฮนริค ผ่านภูมิภาคต่างๆของประเทศไทยและการใช้ชีวิตในประเทศสเปน ที่ได้รับการขนานนามให้เป็นแหล่งกำเนิดวัตถุดิบระดับโลกมากมาย เพื่อให้เมนูพิเศษนี้ออกมาน่าจดจำและประทับใจสำหรับทุกท่าน


เชฟเฮนริคและเชฟชยวีร์ร่วมกันนำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะผ่านเมนูพิเศษ 16 คอร์ส ที่จะเริ่มต้นด้วยแปดเมนูเรียกน้ำย่อย ผสมผสานแนวคิด “สตรีทฟู้ด” ที่มีชื่อเสียงของห้องอาหารสระบัว บาย กิน กิน ที่ทุกท่านจะได้เริ่มต้นเปิดรสสัมผัสกับเมนูท้องถิ่น ที่จะถูกสอดแทรกด้วยความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ที่ติ เช่น “เมอแร็งก์วาซาบิโยเกิร์ต”, “ถุงอวกาศข้าวพองรสต้มยำ”, “ไก่สะเต๊ะ” หนังไก่ทอดกรอบเสิร์ฟกับไอศกรีมรสสะเต๊ะ และ “แกงเขียวหวานคอร์นเนตโตไอศกรีม” เป็นต้น ซึ่งใครที่เคยมาสัมผัสเมนูในฤดูกาลต่างๆ ก็อาจจะคุ้นชินอาหารบางอย่างแล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนยังคิดถึงไส้อั่วที่เชฟสร้างสรรค์ขึ้นจากการได้ไปนั่งรถตุ๊กๆ ที่เชียงใหม่ ในการเดินทางครั้งนี้ของเราก็มีให้ชิมเช่นกัน

โดยจานหลักๆ จะเริ่มต้นคอร์สที่เก้ากับเมนู “สลัดกุ้งแดงคาร์ปาชิโอ” ที่ใช้เนื้อกุ้งแดงสดจากประเทศสเปน ราดด้วยเจลตะไคร้และเม็ดสาคูใบมะกรูดทอดกรอบ คอร์สที่สิบนำเสนอด้วย “ซุปเป็ดพะโล้น้ำใสและเป็ดสองสหาย” เสิร์ฟคู่กับไส้อั่วและลาบเป็ด ที่คุณจะต้องตื่นเต้นไปกับรูปลักษณ์และรสชาติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์แบบฉบับมิชลิน มาต่อกันที่คอร์สที่ 11 ที่จะยกระดับการรับประทานอาหารมื้อนี้ด้วยเมนู “หอยเชลล์ฮอกไกโดย่างและซุปโฟมข้าวโพด ผักโขม” และเพิ่มรสชาติด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดตำรับไทยที่เชฟเฮนริคกล่าวว่าเป็นเมนูยอดนิยมที่สามารถพบเห็นได้ตามแหล่งท่องเที่ยวชายหาดในประเทศไทย รับประทานกับพิวเรข้าวโพดและผักโขมเนื้อเนียนละเอียด ที่จะผสมผสานรสชาติได้อย่างน่ารื่นรมย์ เมนูที่ 12 นำเสนอท่านกับเมนู “ต้มข่าปูและไอศกรีมหน่อไม้ฝรั่งขาว” ที่จะเสิร์ฟกับซุปต้มข่าแบบโมเลกุลเย็น ใส่เนื้อปูอลาสก้าและไอศกรีมรสหน่อไม้ฝรั่งขาว


เมนูคอร์สที่ 13 พร้อมที่จะทำให้ท่านตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นกับเมนู “ไข่ตุ๋นแกงแดงกับเทมปูระกุ้งมังกร” เพิ่มมิติด้วยโฟมล็อบสเตอร์บิสก์แกงแดงที่เชฟเฮนริคและเชฟชยวีร์ต่างต้องการออกแบบให้จานนี้มีความคล้ายคลึงกับห่อหมก อันเป็นหนึ่งในเมนูที่เชฟเฮนริคชื่นชอบ และเดินทางมาถึงคอร์สที่ 14 อันเป็นเมนูไฮไลท์ ได้แก่ “เนื้อหมูอิเบริโค ซอสมิโซ บัตเตอร์” ที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนให้สุกอย่างช้าๆ ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง รับประทานคู่กับข้าวอบหมู ซึ่งใช้ข้าวหอมมะลิอันแสนโด่งดังจากจังหวัดยโสธรของประเทศไทย

สร้างสมดุลของรสชาติในการรับประทานอาหารที่ดีด้วยสองเมนูอาหารหวานปิดท้าย คอร์สที่ 15 มอบเมนู “ผลไม้ตามฤดูกาลและมูสมะนาว” ที่เน้นชูโรงผลไม้ไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง อาทิเช่น มะยงชิด ลิ้นจี่ และมังคุด รับประทานกับเจลรสดอกกุหลาบและมูสมะนาว เพื่อให้ได้ความรู้สึกที่สดชื่น นอกจากนี้ ท่านจะได้สนุกไปกับการใช้ช้อนทุบโดมโยเกิร์ต เพื่อค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้โดมน้ำแข็งนี้ เมนูสุดท้ายที่จะมาปิดท้ายประสบการณ์การรับประทานอาหารแสนทันสมัยนี้ ได้แก่ “ซุปรูบาร์บ ไอศกรีมใบเตย และฟิน็องซิเย” ที่เชฟเฮนริคตั้งใจที่จะให้ทุกท่านจดจำมื้ออาหารนี้ กับเมนูในวัยเด็ก ที่คุณยายของเชฟมักจะทำซุปรูบาร์บเป็นอาหารค่ำของทุกวันอาทิตย์ ที่ยังคงเป็นความทรงจำที่มีค่าของเชฟเฮนริคยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้


เมนูซัมเมอร์ เจอร์นีย์ (Summer Journey) ของห้องอาหารสระบัว บาย กิน กิน มีให้บริการตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2566 สำหรับมื้อกลางวันให้บริการแบบเมนู 8 คอร์ส ราคา 2,600++ บาทต่อท่าน และ เมนู 10 คอร์ส ราคา 3,200++ บาทต่อท่าน เวลา 12:00-15:00 น. (ออเดอร์สุดท้ายเวลา 13:00 น. สำหรับเมนู 10 คอร์ส และ 14:00 น. สำหรับเมนู 8 คอร์ส) และสำหรับมื้อค่ำให้บริการเมนู 16 คอร์ส ราคา 4,300++ บาทต่อท่าน เวลา 18:00-24:00 น. (ออเดอร์สุดท้ายสำหรับคอร์สเมนูเวลา 21:00 น.)
จับคู่มื้ออาหารด้วยไวน์ชั้นดีหลากหลายรายการ เลือกสรรโดยซอมเมอลิเยร์ของห้องอาหารฯ แพ็คเกจแพริ่งด้วยไวน์ (wine pairing) สำหรับเมนู 8 คอร์ส ราคา 1,800++ บาทต่อท่าน สำหรับเมนู 10 คอร์ส ราคา 2,700++ บาทต่อท่าน และสำหรับเมนู 16 คอร์ส ราคา 2,900++ บาทต่อท่าน หรือสามารถเลือกจับคู่กับเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จำนวนเจ็ดแก้ว ในราคา 990++ บาท ซึ่งรวมน้ำผลไม้สด ชา ม็อกเทล และะเครื่องดื่มประเภทโซดา หรือเลือกจับคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในราคา 1,800++ บาท ซึ่งรวมค็อกเทลสไตล์ไทย เบียร์ จินและโทนิก สาเก และวิสกี้
(ราคาดังกล่าวยังไม่รวมเครื่องดื่ม ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และค่าบริการ 10%)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่ง โทร 02 162 9000 หรือ อีเมล dining.siambangkok@kempinski.com
หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์ของโรงแรมได้ที่ https://www.kempinski.com/en/bangkok/siam-hotel/restaurants-and-bars/sra-bua-by-kiin-kiin/
bodyslam กับโครงการ ‘ก้าวเพื่อน้องปีที่ 3’
/in Uncategorized /by L'Officiel Hommesประมวลภาพความสนุกสุดเหวี่ยงกับคอนเสิร์ต ‘พูดในใจ The B Side Concert’ ของวงร็อคอายุ 21 ปีอย่าง bodyslam ที่เอาใจแฟนพันธุ์แท้กันสุดๆ เพราะขนเพลงหน้าบีที่ไม่ค่อยได้เล่นมาจัดแสดงกันแบบเต็มพิกัดถึง 5 รอบที่โรงละครอักษรา โดยบัตรทุกรอบ sold out ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังเปิดจอง งานนี้ขนเพลงหน้าบีจากทุกอัลบั้มไล่มาตั้งแต่ BODYSLAM, DRIVE, BELIEVE, SAVE MY LIFE, คราม, ดัม-มะ-ชา-ติ, วิชาตัวเบา ไปจนถึงเพลง ‘วันสิ้นปี’ จากอัลบั้มล่าสุด


















และในการนี้ รายได้จากการจำหน่ายบัตรทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย บวกยอดทำบุญจากผู้มีจิตศรัทธาจำนวนกว่าเจ็ดล้านบาทนำไปมอบให้ ‘กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา’ เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาให้น้องๆ ในโครงการ ‘ก้าวเพื่อน้องปีที่ 3’
KENZO Varsity Jungle
/in Uncategorized /by Sethapong Pawwattanaคอลเลกชั่นพิเศษสำหรับเอเชียจาก Kenzo ที่เปิดตัวในสิงคโปร์ “KENZO Varsity Jungle” ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2023 ที่ Nigo ผุ้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของเคนโซ่ สร้างสรรค์ขึ้นมาโดยได้แรงบันดาลใจมากจากเรื่องราวของเคนโซ่ โดยมีเหล่า friends of the House และแขกวีไอพีจากทั่วเอเชียตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียต่างมารวมตัวกันในสิงคโปร์



การเฉลิมฉลองครั้งนี้จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Art Scienceในสิงคโปร์ สถาปัตยกรรมท่ีได้แรงบันดาลใจจากดอกบัวบานกลายมาเป็นอาคารที่โดดเด่นสะดุดตา โดยจุดเด่นของคอลเลกชั่นนี้จะมีรายละเอียดของลวดลายกราฟิกรูปช้างและเสือ ช้างซึ่ง กล่าวกันว่าเป็นสัตว์ที่มีความจำดีท่ีสุดในบรรดาสัตวทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่ผู้ก่อตั้งแบรนดอ์ย่างเคนโซ ทากาดะ ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ โดยครั้งหนึ่งเขาถึงกับขี่ช้างออกมาเพื่อโค้งให้ผู้ที่เข้ามาชมแฟชั่นโชว์ของเขาเป็นฟินาเล่ที่เป็นที่กล่าวขานกันมาก นอกจากนี้คำว่า zo ในภาษาญี่ปุ่นยังหมายถึงช้างอีกด้วย ในขณะท่ีเสือนั้นเป็นสัญลักษณ์หลักของแบรนด์นับตั้งแต่เร่ิมออกคอลเลกชั่นแรก ๆ ในปี 1975 โดย ลวดลายสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์เหล่านี้จะแสดงให้เห็นถึงการตีความส่วนบุคคลของ Nigo เกี่ยวกับความ แข็งแกร่งและความกล้าหาญ พรอ้มกับแสดงความเคารพต่อดีไซเนอร์ของแบรนด์ผู้ล่วงลับไปด้วย








ท่ามกลางหลากภาพกราฟิกและเพลงของ DJ PRAV สะท้อนวิสัยทัศน์ของแบรนด์เกี่ยวกับความมีชีวิตชีวาและการแสดงออกถึงตัวตนจะฉายให้เห็นอย่างเด่นชัดผ่านจิตวิญญาณของความเป็นเสื้อผ้าสไตล์ นักศึกษามหาวิทยาลัย ที่เป็นการพบกันของตะวันตกและตะวันออก ซึ่งเราจะเห็นจากแจ็คเก็ตที่มีโลโก้หรือตักอักษรขนาดใหญ่ประดับบนตัวเสื้อตามสไตล์แฟชั่นของนักศึกษาคอลเลจของอเมริกา ในขณะที่ลายกราฟฟิกรูปช้างและเสือจะมีคามโดดเด่นมาก ส่วนคอปกเสื้อแบบกะลาสีนั้นจริงๆ แล้วเป็นการนำเอาคอปกเสื้อแบบนักเรียนญี่ปุ่นมาดัดแปลงซึ่งมีทั้งเสื้อแบบเชิ้ตรวมถึงเสื้อถักตัวหลวมและมีคอปกกะลาสีด้านหลัง นอกจากนี้ยังมีธงสามเหลี่ยมที่เราจะเห็นในงานกีฬาของมหาวิทยาลัยมาเป็ลวดลายที่ปะลงไปบนเสื้อหรือกางเกง ส่วนรองเท้านั้นความพิเศษยังมีที่หัวรองเท้าที่ข้างหนึ่งจะมีคำว่า KENZO อีกข้างหนึ่งจะมีคำว่า PARIS โดยใช้ฟ้อนต์ที่แตกต่างกันด้วย สำหรับสาวๆ รองเท้าจะเป็นสไตล์แมรีเจน(รองเท้านักเรียน)แต่พื้นรองเท้าสไตล์แพลตฟอร์มหนาพอประมาณ ส่วนของหนุ่มๆ จะเป็นรองเท้าสนีกเกอร์พื้นรองเท้าหนา มีรายละเอียดของดีไซน์ต่างกันไป ว่ากันว่าคอลเลกชั่นนี้เสมือนจดหมายรักถึงจุดเริ่มต้นในฐานะนักดนตรีก่อนประสบความสาเร็จอย่างสูงในวงการแฟชั่นของนิโกะ ถูกส่งผ่านเสียงเพลงฮิปฮอปและแร็พจากบูธดีเจ เผยให้เห็นจิตวิญญาณอันแน่วแน่แห่งการมองโลกในแง่ดีที่เปี่ยมด้วยอิสรภาพของ KENZO แต่แน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่งคอลเลกชั่นที่มีความชัดเจนของรูปแบบดีไซน์ และการนำเอาลายกราฟฟิกมาปรากฎอยุ่บนอาภรณ์อย่างลงตัวที่สุดคอลเลกชั่นหนึ่ง










ค่ำคืนนี้มีทั้งเซเลบริตี้และอินฟลูเอนเซอรจ์ากท่ัวเอเชียท่ีเข้ามาร่วมงานไม่ว่าจะเป็น Keung To จาก MIRROR วงบอยแบนด์ยอดนิยมของฮ่องกง, Austin Lin ศิลปินมากความสามารถจากไต้หวันท่ีเคยได้รับรางวัลสำคัญทั้งรางวัล Golden Horse และ Golden Bell Awards มาแล้ว, ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร นักแสดงมากความสามารถท่ีมีความสนใจด้านแฟชั่นจากประเทศไทย, Glenn Yong นักร้องและนักแสดงมากความสามารถชาวสิงคโปร์, Anh Tu นักร้องและนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ และ Quynh Anh Shyn แฟชั่นนิสต้าช่ือดังจากเวียดนาม, Laureen Uy อินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชั่นและการท่องเท่ียวท่ี ได้รับรางวัลมากมายจากฟิลิปปินส์, Ayla Dimitri, Anaz Siantar และ Nazla Alifa สามอินฟลูเอนเซอร์และบล็อกเกอร์แฟชั่น ชั้นนำจากอินโดนีเซีย รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ท่านอื่นๆ ๆ จากสิงคโปร์ อาทิ Yoyo Cao และ AisyahแAzizแยังมาร่วมงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย

ร้าน KENZO สาขามารินา เบย์ แซนด์ส สิงคโปร์และพิพิธภัณฑ์ Art Science นั้นตั้งอยู่ภายในพื้นท่ีของ โรงแรมมารินา เบย์ แซนด์ส ซึ่งเป็นทั้งรีสอรต์และแลนดม์ารก์ท่ีครบวงจรท่ีสุดในประเทศท่ีมากด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างสิงคโปร์ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมและสมบรูณแบบที่สุดในการสะท้อน วิสัยทัศน์แบบตะวันออกพบตะวันตกอันเป็นเอกลักษณ์ของนิโกะ และการมองโลกในแง่ดีอย่างไม่ประนีประนอมในแบบฉบับของ KENZO และพบกับคอลเลกชั่นนี้ได้ในบูติกของเคนโซ่ที่กรุงเทพฯ เช่นกัน
BULGARI จัดงานสุดยิ่งใหญ่ 75 ปีแห่ง ‘Serpenti’ พร้อมขนทัพเหล่าคนดังอย่างคับคั่ง ณ เอ็มโพเรียม
/in Fashion & Style, Uncategorized /by Kemmachart TearsawatBULGARI ประเทศไทย ได้จัดงานสุดยิ่งใหญ่ เผยโฉม ‘Bulgari Serpenti 75 Years Anniversary Pop-up’ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับ 75 ปี แห่ง ‘Serpenti’ และ แคมเปญ ‘Bulgari Serpenti 75 Years of Infinite Tales’ โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม จนถึง 25 เมษายน ค.ศ. 2023 ป๊อปอัพแห่งนี้ จะตั้งอยู่บนชั้น M ณ บริเวณด้านหน้าของ Bulgari Emporium Boutique ภายใต้การตกแต่งและนำเสนอด้วยคอนเซปต์แห่งการเฉลิมฉลองให้กับไอคอนสูงสุด อย่าง Serpenti ของ Bulgari พร้อมกันนี้ ยังได้จับมือร่วมกับ illy Caffè เพื่อเปิดตัวเครื่องดื่มที่รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและการเปลี่ยนรูปได้อย่างไม่มีสิ้นสุด

Celebrity
ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้เหล่าเซเลบริตี้ชั้นนำ ที่นำทีมโดยหนุ่ม ‘ไบร์ท วชิรวิชญ์’ ตามติดมาด้วย ‘ซี พฤกษ์’,‘นุนิว ชวรินทร์’,‘แจ๊คกี้ จักริน’,‘ปอร์เช่ ศิวกร’,‘ท้อปแท้ป จิรกิตติ์’,‘ต้าเหนิง กัญญาวีร์’ และ ‘ข้าวตู ต้นตะวัน’ ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ พร้อมสวมใส่เครื่องประดับสุดหรูอย่าง Serpenti จาก Bulgari อีกด้วย










Serpenti – Bulgari
เติมเต็มเรื่องราวแห่งตำนานไม่มีสิ้นสุดของ เซอร์เพนติ บุลการีเชื้อเชิญคุณให้ร่วมดื่มด่ำประสบการณ์แห่งการผสมผสานผลงานสร้างสรรค์อันเป็นไอคอนิกสูงสุด ด้วยงานออกแบบอันล้ำเลิศ และสไตล์แห่งอิตาเลียนอันแสนเปี่ยมเสน่ห์ได้ที่ ‘Bulgari Serpenti 75 Years Anniversary Pop-up’ ณ ชั้น M ศูนย์การค้า เอ็มโพเรียม นับจากวันที่ 29 มีนาคม ถึง 25 เมษายน นี้






ชมนาฬิกา TUDOR ที่เปิดตัวในงาน Watches and Wonders 2023
/in Uncategorized /by Sethapong Pawwattanag
TUDOR เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ในงาน WATCHES and WONDERS 2023 ด้วยนาฬิการุ่นต่างๆ ที่แน่นอนว่ารุ่นเด่นต้อง Black Bay ที่เป็นการปฏิวัติวงการไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันใหม่ๆ ไปจนถึงรูปโฉมภายนอก
BLACK BAY
TUDOR เปิดตัว Black Bay รุ่นใหม่ล่าสุด พบกับนาฬิกาดำน้ำอันเป็นเอกลักษณ์กับขอบตัวเรือนสีแดงเบอร์กันดี การปฏิวัติวงการครั้งใหม่ทั้งในด้านการใช้งานและความงดงาม นาฬิการุ่นนี้คือตัวแทนของ Black Bay รุ่นล่าสุด กับองค์ประกอบของการออกแบบที่มีการพัฒนามากขึ้นจากรุ่นเดิม อย่างเช่นตัวล็อกข้อมือ “T-fit” และการรับรองมาตรฐานมาสเตอร์โครโนมิเตอร์โดย METAS




Black Bay รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 2012 พร้อมขอบตัวเรือนสีแดงเบอร์กันดี และมาพร้อมคาลิเบอร์ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเองในปี 2015 วันนี้กลับมาในยุคที่สามของการพัฒนาซึ่งบ่งบอกถึงอนาคตแห่งความงดงามและพัฒนาการทางเทคนิคใหม่ๆ ที่นาฬิกาตระกูลนี้จะก้าวต่อไป ด้วยชื่อ Black Bay ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ในคอลเลกชันของ TUDOR นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างแห่งความเชี่ยวชาญของ TUDOR ที่เป็นหนึ่งในผู้สร้างมาตรฐานระดับสูงสุดของอุตสาหกรรมนี้ ในด้านการทำงานที่เที่ยงตรงและความต้านทานต่อสนามแม่เหล็ก
Black Bay ซึ่งผ่านการทดสอบโดยสถาบันมาตรวิทยาสวิสเซอร์แลนด์ (METAS) ได้นำเอาเทคโนโลยีการผลิตนาฬิกาสุดล้ำ มาผสานรวมเข้ากับองค์ประกอบดีไซน์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากมรดกที่สืบทอดมายาวนานเกือบเจ็ดทศวรรษของ TUDOR ในการผลิตนาฬิกาดำน้ำมืออาชีพที่ทนทาน
BLACK BAY 31/36/39/41
TUDOR ขอนำเสนอนาฬิกาในตระกูล Black Bay เวอร์ชันใหม่ ในวัสดุสตีล พร้อมขอบตัวเรือนแบบ fixed นาฬิกาทุกรุ่นติดตั้งคาลิเบอร์ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเอง โดยมาในสี่ขนาดพร้อมสายนาฬิกาแบบห้าข้อต่อ และตัวล็อกข้อมือที่มีกลไกปรับสายได้อย่างรวดเร็ว




Black Bay รุ่น 31/36/39/41 มอบสุนทรียภาพที่เป็นเอกลักษณ์ให้แก่นาฬิกาในตระกูล Black Bay ตัวเรือนที่โค้งมนมาพร้อมผิวสัมผัสที่หลากหลายซึ่งยกระดับนาฬิกาให้เข้ากับดีไซน์ยุคใหม่ และสื่อให้เห็นถึงความแตกต่างเล็กน้อย จากนาฬิกาที่เป็นเครื่องมือโดยมีความโดดเด่นซึ่งถือได้ว่าเป็นจิตวิญญาณของแบรนด์ เพื่อนำเสนอความทันสมัยในแบบยูนิเซ็กซ์ ที่งดงามประณีตและใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ติดตั้งมาพร้อมคาลิเบอร์ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเองซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีชั้นแนวหน้าของวงการการผลิตนาฬิกาในปัจจุบัน อีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญเพื่อความสบายสูงสุดในการสวมใส่คือ สายนาฬิกาแบบห้าข้อต่อที่มาพร้อมตัวล็อกข้อมือ “T-fit” ของ TUDOR ที่มีกลไกปรับสายได้อย่างรวดเร็วในนาฬิกาทุกขนาด สิ่งที่มาใหม่ในปีนี้คือ หน้าปัดซันเรย์หลากหลายรูปแบบที่ยกระดับนาฬิกาให้ดูดีมีระดับยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นหน้าปัดสีน้ำเงิน, สีเทาแอนทราไซต์ หรือสีแชมเปญอ่อน เส้นรางบอกนาทีจะมาในสีสันที่ตัดกันชัดเจนเพื่อเติมความอบอุ่นให้กับดีไซน์โดยรวม
BLACK BAY 54
TUDOR เสริมทัพให้กับตระกูล Black Bay ด้วยนาฬิการุ่นใหม่ที่บอกเล่าถึงนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกสุดของแบรนด์ ผ่านการตีความแบบโมเดิร์นอย่างแท้จริง ในปี 1954 ได้มีการเปิดตัวนาฬิกาหมายเลขอ้างอิง 7922 ขึ้น วันนี้ Black Bay ได้ทำให้หวนคิดถึงนาฬิการุ่นดังกล่าวผ่านตัวเรือน 37 มม. และคาลิเบอร์ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเอง




ในขณะที่ตระกูล Black Bay นั้นได้อ้างอิงถึงนาฬิกาดำน้ำยุคแรกๆ ของ TUDOR แต่ Black Bay 54 รุ่นใหม่ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างที่ตรงกันอย่างชัดเจนมากที่สุดกับนาฬิกาดำน้ำเรือนแรกของ TUDOR หมายเลขอ้างอิง 7922 ตัวเรือน 37 มม. ยังคงรักษาสัดส่วนสุดคลาสสิกของนาฬิการุ่นเมื่อวันวานเอาไว้ แต่อัดแน่นมาพร้อมคุณสมบัติทางเทคนิคของคาลิเบอร์ MT5400 ที่พัฒนาขึ้นเองโดยเฉพาะของ TUDOR ที่บอกเวลาเท่านั้น และการกันน้ำลึกถึง 200 ม. เฉกเช่นเดียวกับรุ่นต้นแบบ ขอบตัวเรือนแบบหมุนได้ทิศทางเดียวนั้นไร้ซึ่งเครื่องหมายเส้นขีดจับเวลา สะท้อนถึงช่วงเวลาในยุคทศวรรษที่ 1950 ที่การดำน้ำแบบสกูบานั้นยังเพิ่งเริ่มต้น และ TUDOR ก็ได้รังสรรค์นาฬิกาสำหรับผู้ที่กล้าบ้าบิ่นพอที่จะท้าทายตัวเองด้วยกีฬาที่เพิ่งเริ่มเป็นที่นิยมนี้ หากแต่รายละเอียดแห่งสุนทรียภาพนั้นไม่ได้อยู่ที่ขนาดของตัวเรือนและขอบตัวเรือนแต่เพียงอย่างเดียว เข็มวินาทีมาในดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกๆ ของแบรนด์ในแบบรูปอมยิ้ม
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาการออกแบบให้มีความปลอดภัย และสะดวกสบายต่อการใช้งาน สำหรับเม็ดมะยมและขอบตัวเรือนที่ออกแบบใหม่โดยทั้งสองมาในสัดส่วนเช่นเดียวกับนาฬิการุ่นดั้งเดิม
BLACK BAY GMT
TUDOR เสริมทัพนาฬิกาตระกูล Black Bay GMT ด้วยหน้าปัดที่ดูแปลกใหม่ในสีโอพาลีน เข้ากันกับขอบตัวเรือนสีแดงเบอร์กันดี และสีน้ำเงินอันโดดเด่น มาพร้อมกับคาลิเบอร์ที่พัฒนาขึ้นภายในโรงงานของตนเองอันเที่ยงตรงอีกด้วย



TUDOR Black Bay GMT รังสรรค์ขึ้นจากทุกองค์ประกอบที่ใช่ข้อแรกคือมาพร้อมฟังก์ชันแสดงเวลาหลายโซนที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง หรือที่เรียกว่าฟังก์ชัน GMT ซึ่งสามารถบอกเวลาในท้องถิ่น พร้อมทั้งสามารถบอกเวลาในอีกสองโซนเวลาได้อีกด้วยด้วยขอบตัวเรือนแบบหมุนได้อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีที่มาจากรูปแบบการใช้สีน้ำเงินเข้มและสีแดงเบอร์กันดีของนาฬิการุ่นอื่นๆ ในตระกูล Black Bay แต่มาในรูปแบบสีด้าน นับได้ว่า Black Bay GMT นั้นยังบ่งบอกถึงนาฬิกาที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคแรกๆ อีกด้วย วันนี้ TUDOR ได้เพิ่มตัวเลือกใหม่เอี่ยมกับหน้าปัดสีโอพาลีนที่ขับเน้นสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ของ Black Bay GMT ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว โอพาลีนไม่ได้เป็นสีขาวสนิท แต่ยังแต่งแต้มเฉดสีเงินจางๆ ให้กับหน้าปัด และยังตกแต่งผิวสัมผัสเทาขาวเนื้อด้านลงบนหน้าปัดด้วยการใช้กระบวนการกัลวาไนซ์ และเครื่องหมายบอกเวลารอบๆ ก็มีสีเข้มขึ้นเพื่อให้สีดูตัดกันชัดเจนยิ่งขึ้น นอกเหนือจากเป็นการหวนรำลึกถึงยุครุ่งเรืองของการบินเชิงพาณิชย์ช่วงกลางศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว หน้าปัดสีโอพาลีนอันเปี่ยมเสน่ห์นี้ยังสามารถอ่านได้ง่ายอีกด้วย


TUDOR ROYAL
ด้วยสายนาฬิกาเหล็กแบบเป็นชิ้นเดียวกับตัวเรือน ขอบตัวเรือนแบบสลักร่องหรือประดับเพชร และกลไกลานอัตโนมัติ ทำให้นาฬิกาตระกูล TUDOR Royal มีทั้งความสปอร์ตและทันสมัยในตัว จึงเหมาะสมกับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ พร้อมกับราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ และวันนี้ยังมาพร้อมตัวเลือกหน้าปัดที่น่าตื่นตาอีกสองแบบใหม่ นั่นคือ
สีน้ำตาลช็อกโกแลต และสีไลต์แซลมอน


TUDOR ได้เพิ่มตัวเลือกหน้าปัดของตระกูล Royal รุ่นยอดนิยม ได้แก่ หน้าปัดสีแซลมอน และสีน้ำตาลขัดเงาเรเดียล ซึ่งนำเสนอสุนทรียภาพอันลึกล้ำในสีสันที่แปลกใหม่เหนือความคาดหมาย นาฬิกาตระกูล Royal เสนอนาฬิกาที่มีความสปอร์ตและทันสมัย กับกลไกลานอัตโนมัติพร้อมสายนาฬิกาแบบเป็นชิ้นเดียวกับตัวเรือนในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ เช่นเดียวกับสุนทรียภาพอันพิถีพิถัน โดดเด่นด้วยสมรรถนะทางเทคนิคชั้นเลิศและสุนทรีภาพอันประณีต นาฬิกาในตระกูลนี้จึงรวมเอาทั้งความคลาสสิกและความสปอร์ตไว้ในตัว Royal เป็นชื่อที่ TUDOR นำมาใช้เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1950 เพื่อตอกย้ำถึงคุณภาพที่เหนือระดับของนาฬิกา มีให้เลือกในแบบสายสแตนเลสสตีล หรือทองคำและสตีล โดยมีให้เลือกสี่ขนาดและหน้าปัดรวมสิบสามแบบให้เลือกเพื่อตอบโจทย์ทุกบุคลิก
ที่สุดของเสื้อหนัง กับแจ๊กเก็ต JJ Dean Mathematical Jacket ราคาครึ่งล้านจาก Chrome HeartsApril 19, 2021 - 4:11 pm
‘Nussara’ Thailand Krug Ambassade.June 10, 2023 - 2:01 am
CELINE PLEIN SOLEIL POP-UP STORE นำเสนอ WOMEN SPRING-SUMMER 2023June 9, 2023 - 9:30 am
สาขาแรกในไทยเปิดแล้ววันนี้! กับแบรนด์สตรีตสุดเท่ Stüssy พร้อมไอเท็มที่มีเฉพาะประเทศไทยJune 8, 2023 - 2:59 pm
‘TAG Heuer’ จัดงานครบรอบการแข่งขันครั้งที่ 80 ของ F1 บนเรือ Jacques CartierJune 7, 2023 - 5:31 pm
เฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศผ่านผลงานศิลปะสุดยูนีค ณ โรงแรม The Standard, Hua HinJune 6, 2023 - 1:34 pm
‘Yang Yang’ ขึ้นแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุดของ ‘Valentino’ June 2, 2023 - 5:02 pm
Dior จับมือร่วมกับ ‘Parley for the Oceans’ องค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมJune 2, 2023 - 4:50 pm
หนุ่ม ‘Bright’ บอกเล่าความคิดถึงผ่านซิงเกิ้ลใหม่ ‘I THINK OF YOU’June 2, 2023 - 3:46 pm