Gucci เปิดตัวPop-Up Store ใหม่ล่าสุด Gucci 100 ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีกับแรงบันดาลใจมาจากหลากหลายบทเพลงที่มีการกล่าวถึงชื่อแบรนด์ พร้อมด้วยโปรเจ็กต์ดิจิทัลพิเศษกับ L’Officiel Hommes

Gucci เปิดตัว ซีรี่ส์ Pop-Up Store ใหม่ล่าสุด ที่จัดแสดงคอลเลคชั่น Gucci 100 เพื่อเป็นการยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งและสร้างสรรค์ขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของแบรนด์โดยเฉพาะ ประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 100 ปีของแบรนด์ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านคอลเลคชั่นนี้ เพื่อสื่อถึงพลังแห่งการยืนหยัดของ Gucci ในรูปแบบร่วมสมัย และแสดงให้เห็นว่าแบรนด์มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมหรือป๊อปคัลเจอร์ (Pop Culture) มากน้อยเพียงใด

ธีมหลักของคอลเลคชั่น Gucci 100 นี้นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลากหลายบทเพลงที่มีการกล่าวถึงชื่อแบรนด์อยู่ในเนื้อเพลง โดยนำเอาเนื้อเพลงเหล่านั้นมาประดับตกแต่งบนเสื้อผ้าเรดี้ทูแวร์และแอ็คเซสเซอรี่ ร่วมกับโลโก้ “Gucci 100” ที่รังสรรค์ขึ้นสำหรับคอลเลคชั่นนี้โดยเฉพาะ เป็นการนำอดีตและปัจจุบันมาผสมผสานเคียงข้างกัน

และเพื่อร่วมเฉลิมฉลองคอลเล็กชั่นสำคัญในรอบศตวรรษนี้ L’Officiel Hommes ก็ขอดึงเอากลุ่มนักแสดงมากความสามารถ F4 Thailand ทั้งห้าอย่าง ไบร์ท-ชิรวิชญ์ ชีวอารี, วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร, ดิว-จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์, นานิ : หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ และปิดท้ายด้วยสาว ตู-ต้นตะวัน ตันติเวชกุล มาร่วมโปรเจ็กต์ดิจิทัลพิเศษกับเราครับ

ภายในGucci 100 Pop-Up นำเสนอสินค้าจากคอลเลคชั่นนี้ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยประสบประสบการณ์
การช้อปปิ้งสุดพิเศษ และยังสื่อถึงความแปลกใหม่ในแนวคิดของ อเลสซานโดร มิเคเล (Alessandro Michele) ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ และมุมมองที่เขามีต่อแฟชั่นระดับสูง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเชื่อมโยงและเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกและชุมชนโดยรอบ โดยจะเปิดตัวในประเทศไทยที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน

ในวันเปิดตัว Gucci 100 Pop-Up อย่างเป็นทางการ ได้รับเกียรติจาก Friend of House นำโดยดาวิกา โฮร์เน่ ร่วมด้วย ปริญ สุภารัตน์, คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์, ธนภพ ลีรัตนขจร, ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ และโทนี่ รากแก่น มาร่วมสัมผัสคอลเลคชั่นพิเศษ Gucci 100 ก่อนใคร 

และไม่ใช่แค่หน้าร้านเท่านั้น Gucci ถือเป็นแบรนด์แถวหน้าที่ผสมผสานมิติของแฟชั่นกับเทคโนโลยีโลกเสมือน (Virtual Reality) เข้าด้วยกัน คอนเซ็ปต์ของPop-Up นี้จึงมีให้สัมผัสในโลกออนไลน์ด้วยเช่นกัน โดยสามารถชม Gucci 100 Digital Pop-Up ได้ผ่านทางแพลตฟอร์มที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษที่ gucci.com หรือ Gucci App ซึ่งเมื่อเข้ามาบนแพลตฟอร์มดังกล่าวแล้ว ผู้ชมจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของ Gucci 100 Pop-Up  ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดในรูปแบบสามมิติ พร้อมทั้งเลือกชมและทำความรู้จักกับสินค้า พร้อมเพลิดเพลินไปกับดนตรีได้อย่างเต็มอิ่มครับ!

อย่าลืมไปเยี่ยมชมคอลเล็กชั่น #Gucci100 ได้ที่ Gucci Pop-Up ชั้น M, Hall of Fame, Siam Paragon ตั้งแต่วันนี้ – 24 ตุลาคมนี้ และ ร้าน Gucci สาขา Siam Paragon

เรื่องเรียบเรียง rhunrun

Fashion Manual: The Absolute Guide to Men’s Fashion Week

 

ประวัติ ข้อมูลและความเปลี่ยนแปลงให้คุณทำความเข้าใจแฟชั่นวีคผู้ชาย ก่อนที่จะตามติดลอฟฟิเซียลออมส์ไปร่วมเปิดฤดูกาลแฟชั่นผู้ชาย Fall/Winter ประจำปี 2018 ที่จะจัดขึ้นเร็วนี้ ๆ

 

The 1st Fashion Show

แถวหน้าของแฟชั่นโชว์ Dior ในปี ค.ศ. 1965 (Photo by Philip Townsend)

แนวคิดการจัดแฟชั่นโชว์เริ่มต้นขึ้น ณ กรุงปารีสในช่วงปี ค.ศ. 1700 สมัยนั้นห้องเสื้อจะจ้างนางแบบมาสวมใส่เสื้อผ้าของตน และเดินเป็นขบวนในห้องเสื้อหรือสถานที่ที่จัดไว้ ในปัจจุบัน ฝรั่งเศสยังคงเรียกแฟชั่นโชว์ว่า “défilés de mode” หรือแปลเป็นไทยว่า “ขบวนแฟชั่น”

 

Fashion Season

ซ้าย: เสื้อผ้าจากฤดูกาล Fall/Winter ขวา: เสื้อผ้าจากฤดูกาล Spring/Summer

หากสรุปสั้น ๆ จะกล่าวได้ว่า ในหนึ่งปีแบรนด์จะจัดแสดงเสื้อผ้า 2 ครั้ง สำหรับ 2 ฤดูกาล แบ่งออกเป็น Fall/Winter (ฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว) และ Spring/Summer (ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน) เสื้อผ้าในแต่ละฤดูกาลจะตัดเย็บด้วยวัสดุที่เหมาะกับสภาพอากาศ เช่น ในช่วง Fall/Winter เป็นผ้าขนสัตว์กันความหนาวเย็นได้ดี ส่วนในช่วง Spring/Summer เป็นผ้าลินินที่ระบายอากาศได้เหมาะสม เป็นต้น โดยเสื้อผ้าแต่ละฤดูกาลจะเดินล่วงหน้าประมาณ 6-8 เดือนก่อนฤดูกาลจริง เพื่อให้เวลาในการผลิตและจัดซื้อ เช่น คอลเลกชั่น Fall/Winter จะเดินแฟชั่นช่วงมกราคม และวางจำหน่ายจริงในเดือนกันยายน

 

Fashion Week

โมเดลบอร์ดหลังเวทีแฟชั่นโชว์ ณ กรุงปารีส

เดิมที่ห้องเสื้อต่าง ๆ จะจัดแสดงเสื้อผ้าของตนตามซีซั่นในวันที่สะดวก แต่เมื่ออุตสาหกรรมแฟชั่นเติบโตขึ้น จึงเริ่มมีการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานเพื่อจัดระบบแฟชั่นโชว์เหล่านี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้บายเยอร์และลูกค้า และวิธีที่ง่ายที่สุดคือการรวบรวมโชว์ไว้ในสัปดาห์เดียวกัน นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า Fashion Week

 

Meet the Big 4

แนวคิดการจัดแฟชั่นวีคกระจายไปทั่วโลก แต่มีเพียงแฟชั่นโชว์ใน 4 เมืองจาก 4 ประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่คนจับตามอง

1943 – New York

สภานักออกแบบเสื้อผ้าแห่งอเมริกา (CFDA) จัดแฟชั่นวีคขึ้นครั้งแรกในมหานครนิวยอร์กเมื่อปี ค.ศ. 1943 ยุคแรกใช้ชื่อว่า Press Week หรือสัปดาห์สื่อมวลชน เพราะจุดประสงค์ของโชว์หลักคือเพื่อแสดงศักยภาพของนักออกแบบชาวอเมริกันให้บรรดานักข่าวสายแฟชั่นเห็น ถือเป็นการชิงตลาดเสื้อผ้าจากฝั่งยุโรปที่ตกต่ำลงเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับนิวยอร์ก แฟชั่นวีคเพื่อเสื้อผ้าผู้ชายจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2015 โดยใช้ชื่อว่า “New York Fashion Week: Men’s” ส่วนปีนี้จะจัดขึ้นวันที่ 5-8 กุมภาพันธ์ ที่กำลังมาถึง

1958 – Milan

แฟชั่นวีคจัดขึ้น ณ เมืองมิลานในปี ค.ศ. 1958 โดยหอการค้าแห่งชาติเพื่อแฟชั่นอิตาเลียน (Camera Moda) โดยใช้ชื่อว่า Settimana della Moda สำหรับแฟชั่นวีคผู้ชายนั้นใช้ชื่อ Milano Moda Uomo ปีนี้งานจัดขึ้นในวันที่ 12-15 มกราคม 2561

1973 – Paris

แม้ฝรั่งเศสจะมีการแสดงแฟชั่นโชว์มาหลายร้อยปี แต่รูปแบบที่รวบรวมหลากแบรนด์ไว้ในสัปดาห์เดียวกันเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1973 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ ใต้การนำของสหพันธ์แฟชั่นฝรั่งเศส ที่รวบรวมเอาทั้งแฟชั่นโชว์ของโอต์ กูตูร์ (แฟชั่นชั้นสูง) เสื้อผ้าผู้หญิงและเสื้อผ้าผู้ชายไว้ในสัปดาห์ต่อเนื่องกัน แฟชั่นวีคผู้ชายปีนี้จัดขึ้นวันที่ 17-21 มกราคม 2561

1983 – London

สภาแฟชั่นแห่งสหราชอาณาจักร (BFC) จัดแฟชั่นวีคครั้งแรกในปี ค.ศ. 1983 โดยสภาเปิดสถานที่แสดงโชว์ให้แบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ ต่อมาในปี 2012 จึงจัด London Collections: Men เพื่อแฟชั่นผู้ชายขึ้นเป็นครั้งแรก โดยที่ในปีนี้จะจัดขึ้นวันที่ 6-8 มกราคม 2561

 

The Future of Fashion Week

ซ้าย: Christopher Bailey ขวา: Tom Ford ทั้งคู่ทดลองใช้โมเดล See Now, Buy Now ในคอลเลกชั่นของตน

แต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคย่อมส่งผลต่อแนวทางการจัดแฟชั่นวีคแบบดั้งเดิม ซึ่งแบ่งออกเป็นสองปัจจัย ดังนี้

1. ตลาดเอเชียที่กลายเป็นกำลังซื้อสำคัญมีฤดูกาลแตกต่างจากฝั่งตะวันตก การจัดแฟชั่นวีคตามฤดูกาล Fall/Winter และ Spring/Summer จึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป หลายแบรนด์เริ่มหันมาจัดแฟชั่นวีคตามวันเวลาที่เป็นอิสระมากขึ้น

2. การเดินแฟชั่นโชว์ล่วงหน้า 6-8 เดือนอาจใช้เวลามากไป ไม่ทันความต้องการของลูกค้า และช้าไปสำหรับโลกออนไลน์ หลายแบรนด์จึงหันมาใช้แนวคิด See Now, Buy Now คือหลังจากโชว์จบก็สามารถซื้อสินค้าได้เลย เช่น แบรนด์ดังอย่าง Burberry  และ Tom Ford เป็นต้น

ด้วยปัจจัยที่ยกตัวอย่างเหล่านี้จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปกำลังเปลี่ยนแนวทาง (หรือลดทอนความสำคัญ) ของแฟชั่นวีคทั่วโลก ซึ่งต่อจากนี้เราต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าในปี 2018 แฟชั่นวีคจะเบนเข็มไปอย่างไร หรือยังคงเป็นแฟชั่นวีคที่เรารู้จักเหมือนเช่นเคย

นิทรรศการศิลปกรรม “ร.๙ ในหลวงในดวงใจนิรันดร”

สมาคมศิลปินทัศนศิลป์นานาชาติ แห่งประเทศไทย จับมือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี จัดนิทรรศการศิลปกรรม “ร.๙ ในหลวงในดวงใจนิรันดร” แสดงผลงานศิลปะอันทรงคุณค่า พระบรมสาทิสลักษณ์ และผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากพระราชจริยวัตร และพระราชกรณียกิจ รวมถึงภาพเชิงสัญลักษณ์ มากกว่า 50 ผลงาน โดย 50 ศิลปินแห่งชาติและศิลปินชั้นแนวหน้าของไทยที่จรดปลายพู่กันสร้างสรรค์ด้วยหัวใจแห่งความจงรักภักดี แสนอาลัย ภายในงานนั้นสามารถบริจาคเพื่อรับสูจิบัตรที่ระลึกรวมภาพผลงาน เพื่อนำรายได้สมทบมูลนิธิชัยพัฒนา สามารถเข้าชมได้ ณ ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ตั้งแต่วันนี้ถึง 5 พฤศจิกายน 2560 เวลา 10:00-22:00 น. ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม

เรียนรู้กับธุรกิจการโรงแรมพร้อมการปรับตัวเข้าสู่ Thailand 4.0

Learning from World Class Experience

เรียนรู้เรื่องธุรกิจการโรงแรมพร้อมการปรับตัวเข้าสู่ Thailand 4.0 จากมืออาชีพในวงการโรงแรมพร้อมรับแนวโน้มตลาดการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่กำลังโตขึ้นแบบฉุดไม่อยู่

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวและโรงแรมมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่โรงแรมมีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีห้องจำนวนมาก กลายมาสู่โรงแรมที่มีขนาดเล็ก หรือเล็กมาก และยังมีตลาดใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายทั้งบูติกโฮเต็ลและโฮสเต็ลที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย บ้างก็ดัดแปลงจากอาคารเก่าที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มาสู่ที่พักที่ขายประสบการณ์ ยิ่งมีประสบการณ์ดั้งเดิมขนานแท้ (Original Experience) มากเท่าไร ก็ยิ่งขายห้องได้แพงขึ้นมากเท่านั้น ในส่วนของโฮสเต็ลที่เคยเป็นที่พักราคาประหยัด ก็เกิดวิวัฒนาการในด้านคอนเซ็ปต์ขึ้นมาอย่างมากมายไม่น่าเชื่อตั้งแต่ Bar Hostel, Bicycle Hostel, Cycling Hostel, Reading –  Cooking Hostel ไปจนถึงการลงทุนสร้างโฮสเต็ลขนาดเกือบพันเตียงไปทั่วโลก แต่ไม่ว่าธุรกิจที่พักรูปแบบใหม่ๆจะเกิดขึ้นมากมายแค่ไหนก็ตาม ทุกแนวโน้มการลงทุนต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ธุรกิจที่พักแบบลักชัวรี ดูจะอนาคตสดใสมากที่สุด เพราะสามารถตอบสนองวิถีชีวิตแบบใหม่ของคนปัจจุบันได้ สามารถกระทั่งสร้างความยั่งยืนได้ และแน่นอนว่าธุรกิจนี้ให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด ลอปติมัมพร้อมเสนอมุมมองธุรกิจจากสามหัวเรือใหญ่ในวงการโรงแรมทั้ง Henri Giscard d’Estaing (อองรี จิสการ์ เดสแต็ง) หัวเรือใหญ่แห่ง Club Med ที่กำลังจะรีแบรนด์จากโรงแรมสำหรับครอบครัวมาจับกลุ่มตลาดลักชัวรี วรพันธุ์ คล้ามไพบูลย์ กูรูด้านบูติกโฮเต็ลที่ถนัดการนำตึกและบ้านเก่ามาดัดแปลงให้กลายเป็นบูติกโฮเต็ลสุดหรูทางเลือกสำหรับกลุ่มลูกค้าลักชัวรีที่ต้องการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ของตัวเอง และ Edward E. Snoeks (เอ็ดเวิร์ด อี สนุ๊ก) แห่ง The Okura Prestige Bangkok โรงแรมลักชัวรีระดับบนของโลกให้คุณได้นำมุมมองทางธุรกิจไปปรับใช้ได้อย่างอิสระตามที่คุณถนัด

Henri Giscard d’Estaing:Chairman & CEO of Club Mediterranee

เล่าเรื่อง Club Med ให้เราฟังหน่อย

เราทำธุรกิจในประเทศไทยมาได้สามสิบปีแล้ว ซึ่งก็ไปได้สวยทีเดียว เราพยายามดึงลูกค้าจากทั้งยุโรปและเอเชียมา โดยเฉพาะลูกค้าจากประเทศจีนซึ่งคือตลาดใหญ่อันดับสองของเราในตอนนี้ รองจากฝรั่งเศสนะครับ ในส่วนของกลุ่มลูกค้าชาวไทย เราอยากให้สกีรีสอร์ทของเรา ที่กำลังจะเปิดสองแห่งที่เมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น และอีกสองแห่งที่ประเทศจีนให้กลายมาเป็นหมุดหมายของครอบครัวไทยให้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆครับ เราตั้งใจจะมอบประสบการณ์ครั้งแรกให้กับลูกค้าของเราด้วยนโยบาย ‘All Inclusive’ ดั้งเดิมของเราครับ นั่นเป็นเรื่องทั่วๆไปของ Club Med ครับ มีคำถามเจาะจงไหมครับ

ทำไมคุณถึงเลือกรีแบรนด์ไปสู่แบรนด์ลักชัวรีในตอนนี้

สำหรับตลาดท่องเที่ยวระดับบน รัฐบาลไทยผลักดันเรื่อง Thailand 4.0 ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนในประเทศไทย ผมคิดว่าเรากำลังพยายามจะสร้าง Tourism 4.0 ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ดีๆระหว่างการท่องเที่ยว ซึ่งการพักผ่อนคือการตัดขาดจากชีวิตตามปกติของคุณ เพื่อไปต่อติดเข้ากับคนที่คุณรัก ครอบครัว และเพื่อนสนิท เป็นการแชร์ประสบการณ์ดีๆร่วมกัน ดังนั้นผมต้องการให้แขกของผมได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด เพื่อให้นำไปแชร์ต่อกับคนอื่นในวงที่กว้างขึ้นครับ นอกจากนั้น เรื่องของวัฒนธรรมประเพณีพื้นถิ่นก็สำคัญด้วยนะครับ พนักงานของเรา
เป็นคนหนุ่มสาวที่มอบประสบการณ์ของตัวเองให้กับแขกผู้มาเข้าพัก พวกเขามาจากหลากหลายประเทศทำให้แขกรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นเมื่อเข้าพักกับเรา นอกจากนั้นเรายังทุ่มเทพัฒนาเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มีการสร้าง Club Med Foundation คอยดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่เราดำเนินการอยู่อีกด้วย ดังนั้น คุณจะเห็นได้ว่า เราก้าวข้ามภาพลักษณ์ของโลกแห่งลักชัวรีไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

ประเทศไทยพยายามจะยกระดับการท่องเที่ยวไปสู่

ลักชัวรีเช่นกัน คงคล้ายกับนโยบายของ Club Med คุณคิดว่าปัจจัยอะไรจะช่วยเกื้อหนุนในส่วนนั้นความสวยงามของธรรมชาติ นิสัยของผู้คนที่ให้บริการได้อย่างยอดเยี่ยม วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่มีพร้อมอยู่แล้ว เหลือแค่อาศัยแรงผลักดันจากภาครัฐเพิ่มขึ้น เพื่อให้สินค้าที่มีอยู่แล้วโดดเด่นขึ้นเท่านั้นครับ

ความแตกต่างระหว่างตลาดในยุโรปและเอเชีย

ลูกค้าที่มาประเทศไทยคงอยากสัมผัสบรรยากาศไทยๆนะครับ เราจึงมีนโยบายในการสอดแทรกบรรยากาศพื้นบ้านลงไปในโรงแรม นี่ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ แต่เป็นการหยิบจับความเป็นไทยเข้ามาผสมกับความทันสมัยและคาแร็กเตอร์ของเราครับ และต้องไม่ลืมเรื่องอาหารไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก ให้ลูกค้าของเราได้สัมผัสประสบการณ์แบบนี้ด้วยตัวเอง

สถานการณ์ต่างๆในประเทศส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนบ้างไหมครับ

ทุกประเทศมีอุปสรรคและความยากลำบากต่างกันครับ ประเทศไทยเป็นจุดหมายที่น่าสนใจ เราจึงตัดสินใจที่จะเปิด Club Med เพิ่มขึ้นอีกสองแห่งครับ มีเรื่องเกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่ภัยธรรมชาติ สถานการณ์ทางการเมือง และการก่อการร้าย ดังนั้น เราต้องมั่นใจว่าลูกค้าของเราจะปลอดภัยที่สุดเมื่อเข้าพักกับเรา นี่เป็นปัจจัยที่เราต้องเตรียมพร้อม ในส่วนของการเป็นแบรนด์ระดับโลก เราสามารถบริหารจัดการได้ทั่วโลกพร้อมกัน แม้ว่าบางที่จะประสบปัญหาก็ตาม นอกจากนั้น ความท้าทายอยู่ที่ความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆในโลกดิจิตอล ข้อมูลทุกอย่างต้องพร้อมให้ลูกค้าเข้าจองได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาเข้าพัก มอบประสบการณ์ดีๆให้กับเขา เพื่อให้เขานำประสบการณ์เหล่านั้นกลับไปบอกเล่าต่อไปครับ

วรพันธุ์ คล้ามไพบูลย์:กูรูบูติกโฮเต็ล ผู้ก่อตั้งเปลี่ยนบ้านเก่าเป็นบูติกโฮเต็ล และแอพพลิเคชั่น Homemade Stay

ทิศทางของตลาดบูติกโฮเต็ลในประเทศไทย

ตอนนี้แนวโน้มของตลาดบูติกโฮเต็ลถือว่าดีมาก มีปัจจัยบวกสามข้อ ข้อแรกได้แก่การลงทุนของสายการบิน มีโลว์คอสต์เปิดเส้นทางเยอะมากโดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ข้อสองก็คือมีกฎหมายรองรับโรงแรมขนาดเล็กออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 เป็นกฎกระทรวงว่าด้วยการเปลี่ยนอาคารประเภทอื่นเป็นโรงแรม สาระคือเรื่องความต้องการพื้นที่ที่ต่ำลงในการทำโรงแรม ล่าสุด นโยบาย Thailand 4.0 ธุรกิจบูติกโฮเต็ลกับโฮสเต็ล เป็นธุรกิจ SME ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมากจริงๆ ข้อสุดท้ายคือ  เทรนด์การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ทุกคนอยากไปนอนโรงแรมเก๋ๆ และคนรุ่นใหม่อยากเป็นเจ้าของกิจการมากขึ้น คือ ถ้ากลับไปบ้านตัวเอง เปิดบ้านเป็นโรงแรม ใช้เทคโนโลยีช่วย มีออนไลน์เอเจนซี่ ทำให้เปิดที่บ้านได้เลย ทำให้มีศักยภาพสูงมากทั้งในระดับรัฐบาลและปัจเจก อนาคตดีมากครับ

ปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการขยายขึ้นไปสู่ตลาดลักชัวรี

คุณต้องมองก่อนว่าจุดแข็งของโรงแรมขนาดเล็กคือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (Human Touch) และประสบการณ์ดั้งเดิม (Original Experience) ถ้าคุณขายเรื่องแบบนี้ได้เท่าไร จะเป็นสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจ่ายมากขึ้น ในขณะที่โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยี แต่บางสิ่งต้องเข้าถึงด้วยมนุษย์เท่านั้น ทำให้สิ่งนั้นมีคุณค่าขึ้นมา คุณต้องจับเอกลักษณ์ของตัวเองให้ได้ว่าในพื้นที่ของตัวเองมีความพิเศษอะไร และดันออกมาให้ได้ นำเสนอมุมมองที่แปลกและแตกต่างจากโรงแรมขนาดใหญ่อื่นๆ

ความท้าทายในการทำการตลาดสู้กับโรงแรมระดับห้าดาว

เราจะเน้นเรื่องการเข้าถึงได้น้อย เหมือนกับเวลาเราไปรับประทานอาหารร้านประเภท Chef’s Table นั่นล่ะครับ ในส่วนของบูติกโฮเต็ล คือการได้ประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป ได้สัมผัสอะไรแปลกๆ ยกตัวอย่างที่เชียงราย มีที่พักเป็นกระต๊อบชาวเขา ขายราคาคืนละ 5,000 บาท ทำเนี้ยบมาก ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีมุ้งลวด ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น เหมือนไปอยู่ในบ้านชาวบ้านที่ดูแลดีมากๆ มีไกด์เป็นชาวเขาที่พาคุณเดินชมบริเวณนั้น หรือถ้าหากว่าคุณเป็นชาวนา มีโรงสีขาวเป็นของตัวเอง คุณสามารถทำที่พักที่ขายประสบการณ์ในการเป็นชาวนา ได้กินข้าวพันธุ์ที่ดีที่สุดที่ไม่มีขายในท้องตลาด เป็นการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ของคุณ ได้ทำงานที่บ้านตัวเอง ลดความเสี่ยงไปได้เยอะนะครับ

ลูกค้าของโรงแรมบูติกโฮเต็ลระดับบนคือใคร

กลุ่มลูกค้าที่ชอบสไตล์ Barefoot Luxury คือกลุ่มคนที่มีความรู้มีประสบการณ์ ผ่านการท่องเที่ยวมาหมดแล้ว ต้องการประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต พวกเขามีกำลังซื้อสูงมาก การศึกษาสูง และพฤติกรรมดี คนกลุ่มนี้มาจากทั่วโลก จากยุโรปอาจจะเยอะหน่อย แต่จีนก็กำลังตามมาติดๆครับ

คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจนี้

คุณต้องรักการบริการ เข้าใจเพื่อนมนุษย์ให้มาก เพราะนี่เป็นธุรกิจบริการ และต้องมีทำเลที่เหมาะสม ซึ่งไม่ได้แปลว่าติดรถไฟฟ้า หรือกลางเมืองนะครับ แต่แปลว่าเป็นทำเลที่มีปัจจัยเสริมสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว เช่น ถ้าทำเลอยู่ไกล คุณจะได้ความเงียบสงบ แต่ถ้าอยู่ใกล้ตลาด คุณอาจจะได้ประสบการณ์พื้นบ้าน ต้องตีโจทย์จุดแข็งของพื้นที่ให้ออก และกล้าทำตามนั้น กล้าทำสิ่งที่แตกต่าง และสุดท้าย คุณจะทำโรงแรมได้ดี ถ้าคุณผ่านการท่องเที่ยวมาเยอะ เยอะจนกระทั่งมองออกว่าเทรนด์การท่องเที่ยวแบบไหนกำลังไป แบบไหนกำลังมาครับ

Edward E. Snoeks:Regional General Manager – Thailand & General Manager of The Okura Prestige Bangkok

มีนโยบายรองรับ Thailand 4.0 อย่างไรบ้าง

โรงแรมได้ใช้ช่องทางออนไลน์หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นระบบการบริหารโรงแรม การบริหารห้องพัก การสำรองห้องพัก การจัดซื้อ ไปจนถึงเรื่องทรัพยากรบุคคล การติดต่อกับลูกค้า การทำการตลาดให้ลูกค้ารู้จักกับโรงแรมก็ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลักมาตั้งแต่เปิดให้บริการ อย่างไรก็ตาม เราไม่เคยหยุดนิ่ง และมองหาเครื่องมือออนไลน์ใหม่ๆเพื่ออำนวยความสะดวก และพัฒนาการบริการแก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายตั้งแต่ก่อนเข้าพัก ระหว่างที่เข้าพัก ไปจนถึงวันเช็กเอาต์ ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อกับไวไฟของโรงแรมฟรี เพื่อใช้บริการอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลาที่ใช้บริการ โทรทัศน์ในห้องพักเป็น IPTV ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต เลือกดูหนังฟังเพลงแบบออนไลน์ได้จากสถานีทั่วโลก โรงแรมมีบริการ Pressreader ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารทั่วโลก เป็นบริการฟรีที่มอบให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการของโรงแรมทุกคน

ประเทศไทยปรับตัวสู่ตลาดท่องเที่ยวลักชัวรี โรงแรมมีความเห็นอย่างไร

เรารู้สึกดีใจมากและเห็นด้วยกับนโยบายนี้ เพราะถือเป็นการตลาดที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มเป้าหมายหลักของโรงแรมฯ ซึ่งเราเองก็ได้การตอบรับที่ดีจากลูกค้าในกลุ่มลักชัวรีด้วยดีเสมอมา นโยบายการเจาะตลาดลูกค้าลักชัวรีให้มากขึ้นก็ย่อมส่งผลดีต่อเราอย่างแน่นอน และจุดเด่นของเราคือการบริการ เราใส่ใจในรายละเอียด และมีนโยบายการบริการเพื่อมอบความประทับใจให้แก่ลูกค้าทุกคน โดยนำเอาความอ่อนโยนในการให้บริการแบบไทย ผสานเข้ากับการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพตามแบบฉบับของชาวญี่ปุ่น ห้องพักที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่ใส่ใจในรายละเอียดเน้นการใช้งานที่สะดวกสบาย การดูแลความสะอาดของห้องพักและจุดบริการต่างๆ การบริการอาหารที่สดใหม่และปรุงโดยเชฟมืออาชีพรสชาติแบบต้นตำหรับ และอาหารเช้าหลากหลายประเภทให้เลือกตามชอบนั้นล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า

ตอนนี้กลุ่มลูกค้าชาวจีนมีกำลังซื้อในระดับสูงสำหรับการท่องเที่ยวตลาดบน คุณมีนโยบายรองรับอย่างไร

เรามีส่วนแบ่งลูกค้าชาวจีนในระดับที่เราพึงพอใจ เรามีพนักงานต้อนรับที่มีความสามารถสื่อสารเป็นภาษาจีน อีกทั้งเว็บไซต์ของโรงแรมก็มีข้อมูลเป็นภาษาจีน ทั้ง Simplified Chinese และ Traditional Chinese

มีแผนการให้บริการทางออนไลน์เพิ่มเติมบ้างไหม

สำหรับแผนการให้บริการทางออนไลน์ของเราคือการมุ่งมั่นพัฒนาในส่วนนี้เริ่มตั้งแต่การใช้สื่อออนไลน์ในการพัฒนาการบริการซึ่งเป็นการอบรมพนักงานผ่านสื่อออนไลน์จากสำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อให้การบริการได้มาตรฐานตามจุดมุ่งหมายของแบรนด์ นอกจากนั้นเรายังมีแผนการพัฒนาระบบการสำรองห้องพัก ให้มีประสิทธิภาพและให้ข้อมูลการบริการของโรงแรมตั้งแต่ก่อนที่จะเดินทางมาถึงที่โรงแรมด้วยการยืนยันการสำรองห้องพักแบบอัตโนมัติ จนกระทั้งถึงการสำรวจความคิดเห็นและรับคำติชมผ่านช่องทางออนไลน์

คุณคิดว่าลูกค้าเลือกคุณเพราะเหตุใด  

ในความคิดของผม ลูกค้าเลือกเข้าพักที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ จากตำแหน่งที่ตั้งของโรงแรมฯ ที่ทำให้เดินทางไปยังแหล่งช็อปปิ้งและย่านธุรกิจใกล้เคียงได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังมีการบริการที่ครบวงจร นอกจากนั้น ความเห็นและคำแนะนำให้มาใช้บริการตามสื่อออนไลน์ที่สำรวจความคิดเห็นและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการท่องเที่ยวระดับโลก อาทิ TripAdvisor ก็มีส่วนทำให้ลูกค้าเลือกมาใช้บริการกับเราเช่นกันครับ

ดวงฤทธิ์ บุนนาค จากอยากเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ กลายมาเป็นสถาปนิกแถวหน้าของเมืองไทย

ดวงฤทธิ์ บุนนาค – สถาปนิกและผู้ก่อตั้งบริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค จำกัด

“ผมเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ทุกคนที่มีเท่ากัน แต่คุณเองที่ไม่เคยเชื่อว่าคุณทำได้ ทุกคนจะพูดประมาณว่าถ้าไม่ใช่ดวงฤทธิ์ทำไม่ได้หรอก ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่จริงเลย”

อะไรคือแรงผลักดันให้คุณมายืนจุดนี้

เงินครับ (หัวเราะ) โอเค … ถือเป็นคำถามที่ตอบยากพอสมควร เพราะถ้าต้องการแค่เงิน ผมก็ทำได้หลายอย่างไม่จำเป็นต้องทำอาชีพนี้ ตอบได้ว่าผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่ เพราะตอนแรกสุด ผมอยากเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ครับ ไม่เคยคิดจะเป็นสถาปนิกเลย เรื่องเริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ประถมหก ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเย็น ที่ทุกคนชู่กันว่าจะยิงระเบิดนิวเคลียร์ใส่กันตลอดเวลา ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบง่ายๆ พออ่านจบ ผมก็เพ้อฝันไปว่า ถ้าผมสามารถหยุดปฏิกิริยานิวเคลียร์นี้ได้ ประเทศไทยคงจะเป็นเจ้าโลกแน่ๆ และสงครามเย็นก็จะจบลง พอคุยกับคุณพ่อที่เป็นวิศวกร ท่านก็ยุส่งเลยว่า ทำเลย ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ จึงเป็นวินาทีแรกที่ได้แรงบันดาลใจว่า จะเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ให้ได้ จะทำให้โลกมีแต่สันติภาพ เป็นความคิดที่บ้ามาก และเชื่อมั่นแบบนั้นมาจนถึงมัธยมหก

แล้วเกิดอะไรขึ้นถึงมาเลือกเป็นสถาปนิก

เพราะรู้ตัวว่าไม่น่าจะไปรอด เพราะเรียนวิชาเคมีไม่รุ่งเลย เก่งแต่เรื่องฟิสิกส์และกลศาสตร์เท่านั้น เลยสำนึกว่าคงจะเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนั้นต้องเลือกอันดับเอนทรานซ์ อันดับแรกเลือกวิศวกรรมศาสตร์ ที่เหลือเลือกสถาปัตยกรรมหมดเลย อาจารย์เลยถามว่า ตกลงอยากเรียนอะไรกันแน่ ผมจึงมาตั้งคำถามกับตัวเอง และพบว่าผมเป็นคนชอบงานสร้างสรรค์ ชอบเล่น ชอบสร้าง ชอบต่อเลโก้ และชอบประดิษฐ์ต่างๆ เลยคิดว่า สถาปัตยกรรมน่าจะใช่นะ เลยเบนเข็มทันที แต่นั่นมันหลังจากเลือกอันดับแล้วไง เลยต้องตั้งใจสอบวิชาเคมีให้ตก เพื่อให้คะแนนน้อยมากพอที่จะติดอันดับสอง นั่นคือ สถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ พอเข้าไปเรียนแล้วปรากฏว่าชอบมาก จึงมุ่งมั่นว่าจะเป็นสถาปนิกระดับโลกให้ได้ ต้องบอกว่าตอนนั้นคนไทยเป็นสถาปนิกกันเยอะนะ แต่ไม่ค่อยมีใครที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผมเลยบอกเพื่อนในวันเรียนจบว่า ผมจะเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกให้ได้ เพื่อนก็หัวเราะเยาะ แล้วถามว่านี่สติดีหรือเปล่า ยี่สิบห้าปีผ่านไป ผมก็มายืนจุดนี้ล่ะครับ

คงมีคนว่าโชคช่วยบ้างใช่ไหม

ในชีวิตผมนี่ไม่เคยมีโชคช่วยหรอกครับ คือความดื้อล้วนๆ ดื้อสู้กับทุกอย่าง ผมเริ่มต้นอาชีพด้วยการออกแบบห้องน้ำ ออกแบบอะไรเล็กๆน้อยๆไปเรื่อย และก็มีสิ่งเร้าจากภายนอกที่จะทำให้เราเบนเข็มออกจากอาชีพนี้หลายครั้ง อย่างช่วงยุคทองของแกรมมี่ พี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) แกเคยมาชวนไปเป็นนักแต่งเพลง ซึ่งเราก็ดื้อไม่ไป ตั้งใจมากว่าจะเป็นสถาปนิกให้ได้ เรียกว่าดื้อด้านจนมาถึงจุดนี้ล่ะครับ

เคยรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวมากๆบ้างไหม

ทุกวันเลยครับ ตอนนี้ก็ยังล้มเหลวอยู่ แต่อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า เวลาที่เราบอกว่าเรา ‘ล้มเหลว’ น่ะ นั่นคือวิธีที่เราให้ความหมายสถานการณ์นั้นๆนะ จริงๆแล้วมันก็คือมีบางอย่างที่ไม่ได้เป็นตามความคาดหวังของเราเกิดขึ้นเท่านั้น นั่นไม่ใช่ความล้มเหลว เราแค่คาดหวังให้มันไปทางนั้น พอไม่ได้ดั่งใจ เราก็ไปนิยามว่ามันคือความล้มเหลว มันก็แค่บางอย่างไม่ได้เกิดขึ้นในแบบที่เราคาดหวังเท่านั้น มันไม่ใช่ความล้มเหลวในความหมายที่ว่า ‘ฉันไร้ความสามารถ’ หรือ ‘ฉันไม่ดีพอ’ เสียหน่อย ผมล้มเหลวตลอดเวลานะ เพราะทุกครั้งที่ผมล้มเหลว แปลว่าผมกำลังพยายามผลักตัวเองไปอีกจุดหนึ่งอยู่ คนที่ไม่เคยล้มเหลวเลยคือคนที่ไม่ได้พยายามทำอะไร มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เป็นอะไรได้ก็เป็นแค่นั้น คนแบบนี้ไม่มีวันล้มเหลว แต่เขาก็จะไม่ไปไหน ฉะนั้น ทุกครั้งที่ล้มเหลว คุณต้องตื่นเต้นสิ เพราะคุณกำลังเล่นเกมชีวิตที่ใหญ่ขึ้น กำลังเป็นมากกว่าที่คุณเคยเป็น ทำได้มากกว่าที่เคยทำ ซึ่งแน่นอนว่าพอไปถึงตรงนั้น มันมีอะไรมากกว่าที่เราคาดหวังไป นั่นทำให้เราล้มเหลว สิ่งที่ผมทำนี่ง่ายมากครับ ก็ทำใหม่อีกครั้ง ไปเรื่อยๆครับ เหมือนผมดื้อในการทำอาชีพสถาปนิกนี่ล่ะ

แล้วตอนประสบความสำเร็จรู้สึกอย่างไร

ผมไม่มีจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จครับ เพราะพอผมไปถึงจุดใกล้ๆนั้น ผมก็จะตั้งเป้าหมายใหม่ไปแล้ว มีเป้าหมายใหม่รอข้างหน้าแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ผมจะมีโปรเจ็กต์ต่างๆซ้อนกัน ผมมีบริษัทต้องดูแลทั้งหมด 16 บริษัท งานทับกันไปหมด หลายคนถามผมว่า ทำอะไรเยอะแยะนัก ทำได้จริงๆเหรอ ผมบอกเลยว่าผมเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ทุกคนที่มีเท่ากัน แต่คุณเองที่ไม่เคยเชื่อว่าคุณทำได้ ทุกคนจะพูดประมาณว่าถ้าไม่ใช่ดวงฤทธิ์ทำไม่ได้หรอก ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่จริงเลย คุณก็ทำได้ครับ

โปรเจ็กต์เยอะขนาดนี้ คุณมีวิธีการให้กำลังใจลูกน้องอย่างไร

ผมไม่เคยกระตุ้นพวกเขาครับ ผมลงมือทำให้พวกเขาเห็น เพราะผมเชื่อว่าความเป็นผู้นำไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราพยายามปลุกใจให้พวกเขาลงมือทำ แต่เกิดขึ้นเพราะเราทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็น บางครั้งที่เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ แต่เราพิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามันเป็นไปได้โดยการลงมือทำ ความเป็นผู้นำมันจะออกมาเอง นั่นคือวิธีที่ผมแสดงความรับผิดชอบต่องานที่ผมสั่ง เป็นวิธีการสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา เพราะผมไม่เก่งเรื่องการปลุกใจเลย ผมแค่ทำสิ่งที่ผมเก่งมาตลอดชีวิต นั่นคือ ผมจะสู้จนสุดทาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผมก็จะชนะ

คุณมีความสุขกับอะไร

กับการทำงาน การทำงานคือเกมของผม เวลาที่ผมทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน เหมือนผมกำลังเล่นเกม มันคือความท้าทายของผม ผมไม่เหนื่อยนะ ผมชอบ ผมสนุกกับมัน ความสุขของผมอยู่ตอนที่ผมทำงาน เวลาที่ผมเดินเข้าไปในตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จเป็นครั้งแรก ตึกนี้มาจากสมองผมไง มันคือภาพในหัวผมที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพจริงที่เหมือนเป๊ะ ผมมีความสุขมาก เดินมีความสุขอยู่ยี่สิบนาทีก็เบื่อแล้ว ไปคิดว่าจะทำโปรเจ็กต์อะไรต่อไปดี

แปลว่าอยู่นิ่งๆไม่ได้เลยใช่ไหม

ได้สิ เวลาผมอยู่เฉยๆ ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปต่างจังหวัด นั่นคือการอยู่เฉยๆ คือการพักผ่อนของผม สำหรับผมแล้ว การขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนการนั่งสมาธิ เพราะเวลาคุณอยู่บนนั้น คุณจะไม่คิดเรื่องอื่นเลย คุณจะจดจ่ออยู่กับการขี่มอเตอร์ไซค์ตรหน้า นั่นคือการนั่งสมาธิ ดังนั้น นั่นคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะสมองผมไม่คิดเรื่องอื่นเลยจริงๆ ปล่อยวางได้หมดจริงๆ เพราะถ้านั่งพักผ่อนนิ่งๆ เดี๋ยวผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้อีกครับ

บอกเราเรื่องโปรเจ็กต์ในฝันของคุณหน่อย

ผมไม่มีอะไรแบบนั้นครับ เพราะความคิดผมไม่ได้อยู่ในอุดมคติ เพราะคนที่มีชีวิตอยู่ในอุดมคติเขาจะคิดว่าเขาอยากทำอะไรบางอย่างที่เป็นอุดมคติ แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมเป็นคนที่ทำอะไรตามบริบท คือ ถ้าทุกอย่างลงตัวในบริบทที่ผมทำได้ ผมก็ลงมือทำ เท่านั้นเอง ผมไม่ใช่คนประเภทที่พูดว่า “วันหนึ่งฉันจะมีออฟฟิศริมแม่น้ำ อยู่ในโกดังเก่า” แต่มันเกิดจากที่เจ้าของที่ชวนมาดู เราเห็นว่าทำได้ เราจึงทำ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ไม่ได้เกิดจากการที่ผมฝันว่าจะทำหรอก แต่เกิดจากการที่ผมอนุญาตให้ตัวเองเป็นที่ว่างที่พร้อมจะให้อะไรเกิดขึ้นได้ ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปได้ แต่ถ้าเกิดว่าผมตั้งใจว่าจะ ‘ลงมือทำ’ อะไรสักอย่าง แต่อะไรก็ไม่ลงตัวเสียที เราก็จะไม่ได้ทำ ดังนั้น ผมจึงไม่มีความฝันครับ มีแต่บริบทที่เป็นจริงเท่านั้น

ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี กับความเชื่อว่า “ถ้าเราจะเกิดมาเป็นศิลปิน เราก็จะเป็นศิลปิน”

ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี-ศิลปินวาดภาพและประติมากร

“อาชีพศิลปินของผมไม่ได้เป็นแบบตามสูตร ดังนั้น เวลาใครถาม ผมจะตอบว่า ผมเชื่อเรื่อง ‘เกิดมาเป็น’ ถ้าเราจะเกิดมาเป็นศิลปิน เราก็จะเป็นศิลปิน”

นิยามคำว่าแบบศักดิ์วุฒิหน่อย

ผมชอบงานศิลปะแบบย้อนยุค ผมอยากให้ศิลปะหยุดที่ยุค ’20s – ’40s ผมชอบทุกอย่างในยุคนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพลง ศิลปะ เนื้อหา เสื้อผ้า เสน่ห์อยู่ที่ความสวยงาม ผมประหลาดใจมากที่ยุคนั้นดีทุกอย่าง รวมไปถึงงานประติมากรรมด้วยนะ ผมชอบมากจริงๆ

เริ่มต้นเป็นศิลปินเมื่อไร

อาชีพศิลปินของผมไม่ได้เป็นแบบตามสูตร ดังนั้น เวลาใครถาม ผมจะตอบว่า ผมเชื่อเรื่อง ‘เกิดมาเป็น’ ถ้าเราจะเกิดมาเป็นศิลปิน เราก็จะเป็นศิลปิน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ

รู้ตัวตอนไหนว่าอยากเข้าคณะจิตกรรม

สมัยที่ผมเรียนมัธยมที่โรงเรียนบดินเดชา ผมจะแปลกกว่าคนอื่นนิดหน่อย คือผมชอบมองหน้าคน ชอบสังเกตว่าหน้าของเขาเป็นอย่างไร มีลักษณะแบบไหน จนเพื่อนถามว่าเป็นบ้าอะไรหรือเปล่า ตอนนั้นผมไม่ได้รู้จักคณะจิตรกรรม ของมหาวิทยาลัยศิลปากรเสียด้วยซ้ำ ผมเรียนสายวิทย์มาตลอด จนกระทั่งมีญาติรุ่นพี่มาพักที่บ้านเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะนี้ ผมเลยได้รู้จักคณะ รู้ว่ามีการสอบเอนทรานซ์โดยการวาดรูปด้วย เลยมาศึกษาดูว่าคณะนี้เป็นอย่างไร ทำให้รู้ว่ามีคณะที่สอบเข้าและสอบจบด้วยการเขียนรูปอยู่บนโลกนี้ด้วย

เข้าไปแล้วเป็นแบบที่คิดไหม

เรียนยากมากเลยครับ เพราะผมไม่มีพื้นฐานเหมือนคนอื่นๆ เคยคิดจะย้ายคณะเสียด้วยซ้ำ ปัจจุบันยังคิดอยู่เลยว่าถ้าตอนนั้นสอบย้ายคณะผ่านจริงๆ ประเทศไทยคงไม่มีศิลปินชื่อ ‘ศักดิ์วุฒิ’ แน่ๆ ผมเลยยิ่งมั่นใจในความเชื่อของผมว่า ถ้าคนเราจะเกิดมา ‘เป็น’ อะไร มันก็ต้องได้เป็น ในที่สุด ผมก็กระเสือกกระสนเรียนจนจบมาได้ โชคดีหน่อยที่ผมเป็นคนวาดเส้นได้ดีโดยธรรมชาติ ครั้งแรกที่ผมเขียนฟิเกอร์ ผมก็ได้ A เลย สำหรับคนอื่นนี่อาจจะยากเย็นสาหัส แต่สำหรับผม นี่คือความชอบ และเป็นเรื่องเดียวที่ผมทำได้ดีจริงๆ

เคยทำงานอย่างอื่นมาก่อนบ้างไหม

ผมโชคดีว่าตอนเรียนจบ งานแสดงธีสิสของผมไปถูกใจฝรั่งคนหนึ่งเข้า บวกกับตัวผมเองที่เคยได้รับรางวัลศิลปินรุ่นเยาวศิลป์ พีระศรี ทำให้ผมจบออกมาพร้อมดีกรีที่ได้เปรียบคนอื่นนิดหน่อย ฝรั่งคนนั้นเลยชวนผมไปทำงานที่บริษัทโฆษณาอยู่สักพักหนึ่ง จนกระทั่งเขากลับประเทศไป ผมจึงตัดสินใจออกจากงานตรงนั้น กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ ตอนนั้นเครียดนิดหน่อยว่าจะทำมาหากินอะไร เลยกลับมานั่งเขียนรูป รู้อยู่แก่ใจนะว่าการเขียนรูปมันทำมาหากินยาก แต่ก็ยังจะเขียน และก็เป็นดังคาด อดมื้อกินมื้อไปครับ ตอนนั้นรับจ้างวาดภาพประกอบด้วยนะครับ แต่ละเดือนที่ต้องรอเงินพันกว่าบาทเข้ามานี่ทรมานพอสมควรทีเดียว

จำได้ไหมว่าขายภาพครั้งแรกคือภาพไหน

เป็นภาพที่รับจ้างมาจากคุณปีเตอร์ บุนนาค เขียนรูปภรรยากับลูกของเขา นับได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยครับที่ได้รับการว่าจ้างอย่างจริงจัง และผลงานชิ้นนี้ก็ทำให้มีคนรู้จักผมมากขึ้น และได้รับการว่าจ้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ

คุณผันตัวจากจิตรกรรับงานว่าจ้างมาเป็นศิลปินได้อย่างไร

ผมทำคู่กันครับ รับงานจ้างวาดพร้อมทำงานตัวเองควบคู่กันไป มีการแสดงงานนิทรรศการบ้างเป็นครั้งคราว รับงานว่าจ้างมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที ผมกลายเป็นศิลปินไปเรียบร้อยแล้วครับ

จำได้ไหมว่าเริ่มเขียนในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนไหน

เขียนส่งประกวดงานฉลองครบรอบ 60 พรรษามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เขียนภาพท่าน สมัยนั้นงานของเราไม่เนี้ยบมาก เป็นงานตามใจฉัน มีความดิบอยู่มาก หยุดไปบ้างสักพัก ก่อนจะกลับมาเขียนช่วงที่บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะการเขียนภาพท่านเป็นการเยียวยาและปลอบประโลมใจที่ดี

การกลับมาครั้งนั้น ฝีมือเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไร

เรียกได้ว่าเรากลับไปสู่การวาดเส้นพื้นฐานเลยดีกว่า กลับไปเริ่มต้นที่กระดาษเปล่าๆ มีแค่เส้นและน้ำหนัก เหมือนเริ่มเรียนวาดภาพใหม่ เคยมีคนวิจารณ์นะว่า งานของศักดิ์วุฒินี่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ฝีมือ อ้าว … แต่แปลกนะที่คนดูและนักวิจารณ์กลับชอบ อาจจะเพราะว่างานผมธรรมดาจนกระทั่งพิเศษ ในปัจจุบัน หลายคนลืมไปแล้วว่าการวาดเส้นคือพื้นฐานของการวาดรูป แต่ทุกคนพยายามหันไปหางานศิลปะสมัยใหม่กันหมด

เริ่มทำงานประติมากรรมได้อย่างไร

เกิดจากการที่ผมชอบสะสมรูปปั้น มีเต็มบ้านเลย แต่วันหนึ่งเกิดเห็นว่า รูปปั้นในแบบที่เราอยากได้ และเราชอบจริงๆ นั้นยังไม่มีใครทำ พอมารู้จักรุ่นน้องที่ปั้นได้ เลยชวนมาช่วยกันปั้นดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร พอได้เริ่มปั้นแล้วสนุกกับการปั้นเสียแล้วตอนนี้ เพราะบางทีก็เบื่อกับการวาดเส้น การวาดภาพสีน้ำมันบ้างน่ะ ทำซ้ำๆ การปั้นก็เหมือนกับกรจุดไฟใหม่ๆให้เราบ้าง

แฟนคลับมีอิทธิพลต่อการออกผลงานแต่ละชิ้นไหม

มีครับ เพราะเวลาไปไหนมาไหนแล้วได้ยินใครบอกว่าเป็นแฟนคลับผม หรือชอบงานผม ผมก็รู้สึกไม่กล้าที่จะทำงานไม่ดีออกมา เพราะทุกคนคาดหวังกับตัวเรา นั่นคือแรงกดดันในทางบวกครับ

เวลาทำงานมีผลต่อจิตใจในลักษณะไหน

ตอน ‘ทำงาน’ จะเครียดกว่าปกติ อันนี้เป็นเรื่องปกติ ตอนเขียนเล่นๆ หรือวาดเล่นนี่ภาพจะออกมาสวย ดังนั้น ต้องคิดว่าทำอย่างไรงานจึงออกมาสวยเหมือนงานสเก็ตช์แบบนั้น บางครั้งต้องอาศัยการปล่อยวางความคาดหวัง และการปล่อยวางหรือรู้จักพอเมื่องานมาถึงจุดที่สวยแล้ว เพราะบางครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่างานฟลุ้คๆมักจะออกมาดี หลังๆ มานี่ผมดีขึ้นเยอะแล้วนะ เพราะอายุมากขึ้น เรียนรู้แล้วว่าอะไรคืองาม นอกจากนั้นรสนิยมก็เปลี่ยนไปด้วย ตอนเด็กๆงานจะแรงกว่านี้ ไม่รู้เลยว่าสิ่งวาดไปคือผิด ตอนนี้เรียกได้ว่าสุขุมมากขึ้นตามกาลเวลา แต่ข้อดีของความไม่รู้ในตอนนั้นก็คือ ทำให้งานเราออกมาเป็นลักษณะนั้น

ถ้าวันหนึ่ง เวลาของคุณหมดลง คุณอยากให้ผู้คนจดจำคุณในฐานะอะไร

ในฐานะศิลปินครับ เป็นศิลปินคนหนึ่งที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน ผลิตผลงานที่ทุกคนชื่นชอบ ซื่อสัตย์กับอาชีพตัวเอง บางครั้งผมอาจจะเห็นอะไรบางอย่างที่ผมคิดว่าไม่ถูกต้องในวงการศิลปะ และผมก็พูดเยอะ หวังว่าให้วงการศิลปะตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่บางครั้งความหวังดีของเราอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นต้องการได้ ดังนั้น ผมจึงทำหน้าที่ศิลปินของผมให้ดีที่สุด สร้างมาตรฐานในการสร้างงานในแบบของผม เพื่อที่วันหนึ่งผมจากไปแล้ว โลกจะจดจำผมได้จากผลงานของผม

คุยกับณรงค์ชัย คุณปลื้ม – ‘นายกแซ่บ’ แห่งเมืองแสนสุข

ณรงค์ชัย คุณปลื้ม-นายกเทศมนตรีเมืองแสนสุข

“ถึงเราจะอยู่ตำแหน่งนี้ แต่เราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ดังนั้น เราต้องหามืออาชีพในด้านต่างๆในแต่ละหน่วยหรือองค์กรมาร่วมงานกับเรา เพื่อให้โครงการที่เราคิดดำเนินต่อไปได้อย่างลุล่วง”

ชีวิตลูกชายเจ้าพ่อ

ที่บ้านผมเลี้ยงดูแบบอิสระครับ คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยมีเวลามายุ่งสักเท่าไหร่ ท่านเวลาน้อยมาก เพราะวันๆ ท่านมัวแต่ช่วยเหลือคนอื่นรอบตัว ตอนเด็กๆ นี่ผมแอบคิดเลยนะว่าผมขาดความอบอุ่น และไม่อยากจะเป็นนักการเมืองเลย เพราะดูคนอื่นในครอบครัวที่เป็นนักการเมืองชีวิตวุ่นวายตลอดเวลา ท่านไม่ได้มาดูแลใกล้ชิด แต่ท่านก็พูดอะไรเป็นปรัชญา ให้เรากลับไปคิดเอง เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน ท่านก็ไม่ห้ามนะ อย่าทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อนเท่านั้นพอ ด้วยพื้นฐานผมอาจจะเป็นคนเฟรนด์ลี่อยู่แล้ว แต่เพราะผมโตมากับคุณพ่อไง คุณพ่อเป็นคนเฟรนด์ลี่มาก คนข้างนอกมักจะมองภาพว่าคุณพ่อเป็นเจ้าพ่อ น่ากลัว จะต้องมีคนติดตามเยอะๆ เวลาไปไหนมาไหนแน่ๆ และภาพลักษณ์แบบนั้นก็เผื่อแผ่มาถึงตัวผมด้วย แต่ในความเป็นจริงนะครับ ผมไปเรียนกรุงเทพฯ อยู่ตั้งนาน แทบจะไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร ผมนั่งรถเมล์สายแปดไปเรียนที่สวนกุหลาบ เวลากลับบ้านที่ชลบุรีนี่หนักเลย นั่งรถเมล์มาลงที่เอกมัย ต่อรถทัวร์ไปลงบางแสน ต่อรถสองแถวไปที่วงเวียนบางแสน แล้วเดินกลับบ้านระยะทางไม่ใกล้นะครับ นั่นคือวิถีลูกเศรษฐีบางแสนครับ ที่จินตนาการกันว่าผมต้องมีรถติดฟิล์มดำ พร้อมคนขับใส่สูทผูกไท มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนในหนังนี่คนละเรื่องเลยครับ ชีวิตจริงนี่ออกแนวธรรมดามากครับ

แปลว่าเลี้ยงกันมาด้วยวิถีชาวบ้านทีเดียว

คุณพ่อคุณแม่ผมเป็นชาวบ้านเลยนะครับ ท่านไม่ได้เป็นลูกท่านหลานเธอ คุณแม่เป็นลูกชาวประมง คุณพ่อเป็นลูกพ่อค้า เรียกได้ว่าเป็นชาวบ้านฐานะปานกลางเกือบดี ต้องทำมาหาเลี้ยงตัวเอง พวกท่านเลี้ยงลูกโดยเน้นให้การศึกษาเป็นหลัก ใจนักเลงมาก แต่ลูกชายสี่คนนี่ไม่มีความเป็นลูกเจ้าพ่อในแบบอุดมคติเลย อาจจะเพราะว่าพวกเราได้มาจากคุณแม่ ท่านเป็นคนใจดี ช่วยเหลือคนอื่นทุกคน ผมยังมีแอบกัดท่านนิดหน่อยว่าท่านเป็นนางฟ้า เพราะท่านช่วยเหลือคนไม่เลือกหน้าจริงๆ

นั่นคือวิถีของความเป็นนักการเมืองที่คุณได้รับถ่ายทอดมาใช่ไหม

เรียกว่าอยู่ในสายเลือดดีกว่าครับ บอกเลยว่าผมไม่เคยคิดจะยุ่งเรื่องการเมืองเลย ทั้งๆ ที่คนในบ้านเป็นนักการเมืองกันเยอะมาก ผมเลือกเรียน Hospitality Administration หลังจากจบจากคณะบัญชีที่จุฬาลงกรณ์เพื่อที่จะได้กลับมาทำกิจการโรงแรมของครอบครัว พอจบมาก็ได้มาทำงานที่โรงแรม Oriental อยู่ได้สักพัก ตอนนั้นโรงแรม The Tide ที่บางแสนกำลังสร้าง พอโรงแรมใกล้เสร็จ ก็ย้ายมาดูกิจการของครอบครัวดีกว่า แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าเหตุการณ์ในครอบครัวผันผวนเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เสาหลักของครอบครัวหายไปคนหนึ่ง พี่ๆ สามคนโตก็มีตำแหน่งทางการเมืองหมดแล้ว หันซ้ายหันขวาก็มาเจอผมซึ่งเป็นลูกชายคนเล็ก ผมก็เปิดตัวในฐานะนักการเมืองเลย ไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไร ตอนเปิดตัวใหม่ๆ นี่ถึงขั้นมีคนถามเลยนะว่าผมเป็นลูกภรรยาคนไหน

ถือว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย กับการเข้ามาแบบไม่มีใครรู้จักอย่างนั้น

มีทั้งดีและเสีย ข้อดีคือเราสดมาก เข้ามาทำงานในฐานะคนเลือดใหม่จริงๆ เมื่อสิบสองปีที่แล้วนี่ นักการเมืองท้องถิ่นไม่มีใครที่เป็นรุ่นเด็กๆ เลย ถือเป็นข้อดีที่เป็นข้อเสียในตัว นั่นคือ เราไม่มีประสบการณ์ รู้จักคนไม่เยอะมาก ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้การทำงานยากขึ้นหน่อย แต่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังเป็นตัวเองอยู่นะ คือผมไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ทำหน้าที่ในสภาให้ดีที่สุด ทำงานด้วยกันให้เกิดผลงานโดยรวม สนิทกันในเนื้องาน ผมวางพื้นที่ส่วนตัวของผมไว้แบบนี้ อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นผมก็ไม่แตะ เพราะผมก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผมเหมือนกัน

เป็นแบบนี้นี่ทำให้การทำงานยากขึ้นไหม

ไม่ขนาดนั้น แต่การทำงานกับคนหมู่มากน่ะยากแน่นอน ส่วนตัวผมเป็นคนขี้อาย ตอนมาทำงานใหม่ๆ ช่วงเก้าเดือนแรกนี่ทรมานมาก ระดับกลับบ้านมาร้องไห้ เพราะผมไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องไปงานศพ งานบวช และงานแต่งงานของคนที่ผมไม่รู้จัก และผมเป็นคนขี้อาย ไม่ใช่คนเข้ากับคนง่าย ไปถึงก็เก้ๆกังๆ อึดอัดมาก รู้สึกชีวิตช่วงนั้นเป็นด้านลบไปหมด ถามตัวเองว่าทำไมผมต้องทำแบบนี้ด้วย จนกระทั่งผมได้ไปเจอหนังสือของท่านพุทธทาส ภิกขุมาเล่มหนึ่ง มีประโยคหนึ่งที่ปลดล็อกผมจากความทรมานทั้งหมด นั่นคือ ‘ทำให้ดีที่สุด และทำเอาเท่าที่ได้’ ทำให้ผมมานั่งคิดว่า ผมรู้อยู่แก่ใจว่าผมทำอะไรอยู่ ผมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่น วันรุ่งขึ้น ความคิดผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ผมทำงานทุกอย่างให้ดีที่สุดในสไตล์ของผม ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นเลยนะ เพราะผมไม่ค่อยห่วงคะแนนเสียงเท่าไหร่ บางคนเรียกผมว่า ‘นายกแซ่บ’ คือถ้าผมมีเหตุผลและความถูกต้องในการตัดสินใจอะไรบางอย่างนี่ผมลุยเลยนะ ผมไม่ยอม ยึดหลักความถูกต้องอย่างเดียวเลย แต่ความถูกต้องนั้นอาจจะไม่ใช่เส้นทางตรง มันเลี้ยวซ้ายขวา หันหน้าหันหลังได้ พอเราคิดแบบนี้ได้ เมืองของเราก็เลยไม่ค่อยเหมือนคนอื่น

แปลว่าร่วมงานกับใครก็ได้

ผมเป็นพ่อเมืองแสนสุข ถึงเราจะอยู่ตำแหน่งนี้ แต่เราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ดังนั้น เราต้องหามืออาชีพในด้านต่างๆในแต่ละหน่วยหรือองค์กรมาร่วมงานกับเรา เพื่อให้โครงการที่เราคิดดำเนินต่อไปได้อย่างลุล่วง เอาอย่างเรื่อง Smart City ที่โด่งดังจนกระทั่งได้เสนอชื่อไปรับรางวัล 2016 Smart City Asia Pacific Awards (SCAPA) จากประเทศญี่ปุ่น เรื่องเกิดจากที่ผมลงพื้นที่เยี่ยมคนชราแบบผู้ป่วยติดเตียง และต้องอยู่คนเดียว เพราะลูกหลานไปทำงาน หรือบางคนโสด ครอบครัวแตกแยก ต้องอยู่บ้านคนเดียว ถ้าเกิดอุบัติเหตุล้มเบาๆ แล้วพาไปส่งโรงพยาบาลทัน ก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่พอไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ก็กลายเป็นอาการหนัก ลูกหลานต้องลาออกมาดูแล กลายเป็นปัญหาลูกโซ่ เราก็เลยคิดวิธีแก้ปัญหาโดยการไปร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นรีโมทควบคุมทุกอย่างในบ้าน ลดการเคลื่อนไหวที่เสี่ยงต่อการล้ม และพัฒนาต่อยอดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเทคโนโลยีริสแบนด์อัจฉริยะที่จะแจ้งเตือนคนนอกเวลาเกิดเหตุขึ้นกับผู้สวมริสแบนด์ ซึ่งพอจะทำจริงๆ ก็มีกฎระเบียบราชการแปลกๆ ห้ามไม่ให้เราทำ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเทศบาล ผมก็ไม่ยอมแพ้ กระจายข่าวออกไปเพื่อหาพันธมิตรมาร่วมมือทันที ในที่สุดนอกเหนือไปจากมหาวิทยาลัยบูรพาแล้ว เราก็ได้สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย), Intel, Se-Ed Book, CAT Telecom และ Dell มาช่วยทำให้โครงการนี้เป็นรูปเป็นร่าง ได้มาเป็นริสแบนด์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เวลามีใครล้ม จะส่งสัญญาณเข้าสมาร์ทโฟนหรือเมนคอมพิวเตอร์เพื่อแจ้งข่าวให้ส่งคนมาดูแล กลายเป็นว่าโครงการนี้โด่งดัง มีคนมาดูงานเยอะแยะเลย

มีโครงการอะไรถัดไปไหม

จะพัฒนาให้แสนสุขเป็นเมืองท่องเที่ยวน่าอยู่ ซึ่งก็ทำได้สำเร็จโดยไม่ได้คาดหวังอะไร เมื่อสองปีที่ผ่านมา เราได้รับการโหวตให้เป็นเมืองน่าอยู่ลำดับที่เจ็ดในประเทศไทยที่จัดโดยสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ซึ่งเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายไปอย่างมาก และผมก็พยายามจัดระเบียบเมืองให้ความสำคัญกับสถาปนิกผังเมือง ยกระดับมาตรฐานในการดำรงชีวิตของเมืองให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ แต่ยังคงรักษาความเป็นท้องถิ่นไว้ นอกจากนั้น ผมยังสนับสนุน Sport Tourism อย่างเข้มข้น เมื่อสองปีที่แล้ว บางแสนได้จัดงานวิ่ง Half Marathon เป็นครั้งแรก และได้รับการโหวตจากนักวิ่งว่าเป็นงานวิ่งที่ดีที่สุดในประเทศไทยครับ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาท่านได้สนับสนุนเรื่องนี้อยู่แล้ว และสนใจเมืองที่มีความสามารถในการจัดงานกีฬาระดับมาตรฐานสากล มีนักกีฬาดีกรีระดับนานาชาติเข้าร่วมงาน ท่านได้ให้เกียรติลงมาสังเกตการณ์ด้วยตนเองเลยครับ ผมเป็นคนบางแสน ผมอยากจะโชว์บางแสนบ้านเกิดผมในช่วงที่สุด ได้แก่ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดังนั้นผมจึงเอาจุดเด่นของบ้านเกิดตัวเองมาทำให้พื้นที่ท้องถิ่นของเราดังไกลระดับโลกให้ได้ครับ

พูดคุยกับกีกี้ ศักดิ์ นานา อดีตนักแข่งรถชื่อดังระดับโลกที่ใครๆ ก็รู้จัก

ศักดิ์ นานา-อดีตนักแข่งรถแชมป์โลกรายการ Nürburgring 24 Hours

“ทุกครั้งที่ผมลงแข่ง ผมรู้สึกว่าผมจะตาย แต่ความต้องการชนะมากกว่าความกลัวตาย ผมกลัวแพ้มากกว่า ตอนเข้าโค้ง ผมรู้สึกเสมอว่า ถ้ารอด ผมก็ชนะ เท่านั้นเองจริงๆ”

ชอบความเร็วมาตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหม

ใช่เลยครับ ผมขี่จักรยานเป็นตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ควรจะขี่เป็นนั่นล่ะครับ ได้มีโอกาสเช่ามอเตอร์ไซค์จากพัทยาไปขี่เที่ยวเล่นในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ครอบครัวไปอยู่บ้านที่นั่น ตอนนั้นก็ประมาณประถมห้า ไม่มีใครสอนขี่ด้วยนะ เกริ่นก่อนครับว่าพ่อแม่ของผมเลี้ยงลูกมาให้รู้จักความลำบาก ท่านมีกฎเหล็กว่าท่านจะไม่ให้เงินและยานพาหนะกับลูกๆ เพราะของสองสิ่งนี้จะทำให้ลูกเสียคน ผมจึงต้องทำงานหาเงินเองตั้งแต่เด็กๆ พับถุงกระดาษขายอะไรแบบนั้น จนกระทั่งผมอายุได้สักสิบสองปี ผมก็เกิดความคิดคือ ไปเช่ามอเตอร์ไซค์จากพัทยามาครั้งละสิบห้าถึงยี่สิบวัน ขี่กลับมาที่บ้าน และไปเช่าเสื้อวินแถวนั้นมา ใช้เวลาหลังเลิกเรียนตั้งแต่ห้าโมงจนถึงประมาณสี่ทุ่มขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในซอยแถวบ้าน ได้เงินมาคืนละประมาณ 500 บาท ซึ่งตอนนั้นน่ะ เงินจำนวนเท่านี้นี่รวยเลยนะ ใช้ชีวิตหรูหราได้เลย เก็บเงินแป๊บเดียวก็ 5,000 บาทแล้ว ก็เอาเงินไปดาวน์มอเตอร์ไซค์ ให้แม่บ้านและคนขับรถเป็นผู้ค้ำประกันให้ ไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่นะครับ ยังจำได้เลยว่ารถมอเตอร์ไซค์คันแรกในชีวิตที่ซื้อด้วยเงินตัวเองคือ Honda Nova S สีเปลือกมังคุด ซึ่งในปัจจุบัน คันนี้ยังอยู่ที่บ้านเลยครับ

แล้วพัฒนามาจนเป็นอาชีพได้อย่างไร

พ่อแม่ผมเป็นนักธุรกิจที่ยุ่งมาก บินไปต่างประเทศตลอดเวลา ตอนแรกๆท่านเอาผมไปฝากไว้ที่บ้านน้าที่เยาวราช แต่คุณน้าดุมาก ผมเลยขอให้ท่านทิ้งผมไว้ที่บ้านตัวเองเถอะ พอท่านทิ้งไว้จริงๆ นี่ผมเป็นอิสระมาก ทั้งขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ดาวน์มอเตอร์ไซค์สารพัดรุ่นมานั่งโมเองในห้องว่างหลังบ้าน เรียนรู้การโมมอเตอร์ไซค์จากความรู้สึกล้วนๆ สมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีใดๆ แต่การที่ผมโมมอเตอร์ไซค์ขนาด 110 ซีซี ให้ขี่ชนะมอเตอร์ไซค์ขนาด 150 ซีซีนั้นทำให้ผมรู้ว่าอะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์ค ศึกษาอะไรไร้สาระแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็สนุกของผมนะ

ไร้สาระแต่แชมป์โลกเลยนะ

ผมเชื่อว่าทุกคนใช้ชีวิตบนโลกใบนี้แบบไร้สาระด้วยกันหมด เราใช้ชีวิตบนโลกนี้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ตายแล้ว เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ด้วย สิ่งสำคัญคือ คุณอย่าทำร้ายใคร อย่าเอาเปรียบใคร และมีความสุขในสิ่งที่คุณทำเท่านั้นเอง

ในวันที่ได้แตะแชมป์โลก รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแค่ไหน

ไม่เลย ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเลยตั้งแต่อายุสิบห้า สิ่งที่ผมโตขึ้นมีเรื่องเดียวคือความรับผิดชอบ มีลูกน้อง มีครอบครัวต้องดูแล ตอนเด็กๆ ผมไม่ได้คิดแบบนี้นะ ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง แต่หลังจากที่ผมล้มละลายครั้งใหญ่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปีค.ศ. 1997 เพราะไว้ใจคนคนหนึ่งมากเกินไป ทุกอย่างในชีวิตโดนยึดหมด เหลือแค่ Honda Civic สามประตูอยู่หนึ่งคัน ผมต้องเอาแจกันและข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่โดนยึดจับใส่รถ และกินนอนในรถอยู่ได้สักสองอาทิตย์ จนมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งบอกให้ผมไปนอนในห้องรับแขกบ้านเขาได้ ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ได้สองเดือนจนหาบ้านใหม่ได้ ตอนนั้นเครียดพอสมควรเลยทีเดียว

นานไหม กว่าจะลุกขึ้นมาใหม่ได้

ผมไม่มีทางเลือกน่ะคุณ ในท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ต้องหายใจต่อไป ผมมีคำพูดหนึ่งในหัวตลอดเวลา ไม่แน่ใจว่าใครสอนมานะ แต่มันก้องอยู่ในหัวผมว่า ‘มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะล้มสักกี่ครั้ง แต่คุณต้องลุกให้เร็ว” ผมก็เลยกัดฟันลุกให้ได้ ตอนลุกขึ้นมานี่รู้สึกเหมือนมีหินถ่วงอยู่บนหลังเรา หนักเหลือเกิน ดันตัวเองขึ้นมาแทบไม่ไหว แต่ยังไงก็ต้องลุก จะลุกวันนี้หรือจะลุกปีหน้า ก็ต้องลุกอยู่ดี ลุกตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่า เสียเวลา และผมเป็นคนที่เตรียมพร้อมตายตลอดเวลามาตั้งแต่เด็กแล้ว ก่อนจะเข้านอน ผมจะคิดว่าผมเหลืออะไรค้างคาใจไหม ถ้าผมพูดไม่ดีกับคุณ ผมจะรีบโทรหรือส่งข้อความไปขอโทษคุณ ขอเคลียร์ทุกอย่างในสมองก่อนนอน เพราะผมไม่รู้ว่าผมจะตื่นหรือเปล่า ความตายเป็นความจริงที่อยู่กับตัวเราครับ คุณต้องยอมรับมันให้ได้

มีความคิดแบบนี้มาตั้งแต่ตอนไหน

(นิ่งคิด) ผมว่าผมมาเป็นแบบนี้หนักๆ ตั้งแต่ตอนที่มีโอกาสได้ไปแข่งที่ประเทศเยอรมนีครับ ตอนขับรถแข่งแถวๆ นี้ ผมรู้สึกว่าผมทำได้ง่ายๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอไปตรงนั้น นักแข่งคนอื่นๆ เป็นแชมป์ระดับโลกด้วยกันหมดทุกคน วินัยการดูแลตัวเองนี่ซีเรียสมาก คำนวณการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ วิเคราะห์ Data Log ของแต่ละคนแบบเปิดเผย ทำให้เราเห็นเลยว่า บางโค้งที่เราคิดว่าเราเข้าที่ 150 KM/H นี่เราก็ใกล้ตายแล้ว แต่คนนั้นเขาเข้าที่ 180 KM/H เฮ้ย … จะบ้าเหรอ พ่อแม่ไม่รักเหรอ ไม่มีใครรักแล้วหรือไง ถึงต้องขับขนาดนี้ แล้วผมก็ค้นพบว่า นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณเป็นแชมป์นะ คือคุณต้องเชื่อว่าคุณจะเป็นแชมป์ให้ได้ และทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เป็นแชมป์ วิธีที่จะเอาชนะคนอื่นได้คือ คุณต้องขับให้เร็วกว่าเขา ถ้าสมมติว่าผมคิดว่าผมวิ่งที่ 100% คุณจะชนะผมได้ คุณก็ต้องวิ่งที่ 100.1% หรือมากกว่านั้น ถ้าจะขับแบบสบายๆ เพราะกลัวว่าเย็นนี้ลูกจะไม่มีเพื่อนกินข้าว คุณอย่ามาแข่งเลยดีกว่า เสียเวลา งานแข่งนี้เป็นงานแข่งระดับโลกนะ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรอก คุณต้องแลกกับอะไรบางอย่าง นี่เป็นที่ที่แชมป์โลกมารวมตัวกัน คุณต้องขับให้เลยขีดจำกัดที่คุณทำได้ เพื่อที่จะชนะพวกเขา

ฟังดูบ้าบิ่นมากทีเดียว

บอกแบบนี้ดีกว่า ทุกครั้งที่ผมลงแข่ง ผมรู้สึกว่าผมจะตาย แต่ความต้องการชนะมากกว่าความกลัวตาย ผมกลัวแพ้มากกว่า ตอนเข้าโค้ง ผมรู้สึกเสมอว่า ถ้ารอด ผมก็ชนะ เท่านั้นเองจริงๆ การชนะครั้งนี้ไม่ใช่การชนะระดับท้องถิ่น แต่คือการเป็นแชมป์โลก มากที่สุดก็ตายเท่านั้นเอง ถ้าไม่ตายวันนี้ วันหลังก็ตายอยู่ดี ผมหนีไม่พ้นหรอก แต่อย่างน้อยในตอนนี้ถ้าผมไม่ตาย ผมก็เป็นแชมป์นะ แล้วผมก็ได้แชมป์โลกมาจริงๆ ในปี 2013 ( แข่งรุ่น GT4 ) และ 2015 ( แข่งรุ่น M2 Cup ) บวกกับชนะสนามเล็กอีกห้าสนามในปี 2016 ( Porsche GT3 Carrera Cup ) ซึ่งถามผมว่าคุ้มไหม ผมว่าโคตรคุ้มเลยครับ ตอนนี้ผมก็รีไทร์ตัวเองแล้ว เพราะผมไปสูงสุดได้เท่านี้แล้ว นี่ถือว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดที่อาชีพของผมจะไปได้แล้วครับ

แล้ววางแผนจะทำอะไรต่อ

ผมเป็นคนประเภทที่ เวลาผมทำอะไร ผมจะตั้งใจทำมาก จนกระทั่งประสบความสำเร็จสูงสุด และผมก็จะไม่มองย้อนกลับไปแล้วนะ มีคนถามผมว่า ‘ไม่คันเหรอ’ ไม่อยากกลับไปอีกแล้วเหรอ ตอบตรงๆ เลยว่าผมไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์อะไรอีกแล้ว ได้ใช้ชีวิตแบบมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไปรับลูกที่โรงเรียน ทำงานออฟฟิศ ขี่มอเตอร์ไซค์เล่น ผมอายุ 42 แล้วนะครับ ร่างกายของผมสู้นักแข่งเด็กๆ ไม่ได้แล้ว และผมเชื่อว่าแชมป์โลกทุกถ้วยที่ผมได้มา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบุญที่ผมทำมา หลังจากที่ผมล้มละลายครั้งใหญ่ ผมสัญญากับตัวเองว่า ผมจะไม่นินทาใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ทำร้ายใคร ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ตัวเองช่วยได้ และเสียสละเท่าที่ตัวเองไม่ลำบาก และเมื่อผมตั้งใจเช่นนั้น ก็ดูเหมือนว่าผมจะได้รับโอกาสดีๆ มาตลอดเวลา ตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้เลยว่า จู่ๆ ผมได้เข้าไปแข่ง Nürburgring ให้กับทีม BMW ได้อย่างไร แล้วจู่ๆ ทีม Porsche ก็มาซื้อตัวไปอีก ทั้งๆ ที่ผมก็อายุสี่สิบแล้วนะ ผมได้ไปร่วมทีมระดับท็อปของโลก ได้สัมผัสตำแหน่งแชมป์โลกมาแล้วนะครับ ดังนั้น ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในขีวิตปัจจุบันถือเป็นที่สุดของผมแล้วในตอนนี้

ภาพในอดีตที่คุณอาจไม่เคยเห็นของเหล่าตัวละครจาก Game Of Thrones

1 Cersei Lannister จากเรื่อง Waterland (1994)

2 Ser Jorah Mormont จากเรื่อง Gorillas in the Mist (1988)

3 Euron Greyjoy จากเรื่อง To verdener (2008)

4 Yara Greyjoy จากเรื่อง The Wolfman (2010)

5 Jaqen H’gar จากเรื่อง Spoons (2008)

6 Qyburn จากเรื่อง Twelfth Night (1988)

7 Bronn จากเรื่อง Soldier Soldier (1991)

8 Walder Frey จากเรื่อง A Family at War (1971)

9 Ellaria Sand จากเรื่อง Jinnah (2008)

10 Torment Giantsbane จากเรื่อง Fox Grønland (2001)

11 Ser Davos จากเรื่อง First Knight (1995)

12 Gilly จากเรื่อง Skins (2007)

13 Tyrion Lannister จากเรื่อง The Station Agent (2003)

14 Hodor จากโปรไฟล์ MySpace ส่วนตัวของเขาเอง

15 Thoros of Myr จากเรื่อง Anyone for Pennis? (1995)

16 Allier Thorne จากเรื่อง Doctor Who (1985)

17 Petyr Baelish จากเรื่อง The Low Down (2000)

18 Sandor Clegane หรือ The Hound จากเรื่อง The Book Group (2002)

19 Jaime Lannister จากเรื่อง Nightwatch (1997)

20 Glenna Tyrrel จากเรื่อง The Avengers (1961)

21 Grey Worm จากเรื่อง 4.3.2.1 (2010)

22 Archmaester Ebrose จากเรื่อง Superman IV: The Quest for Peace (1987)

23 Ned Stark จากเรื่อง The Bill (1984)

24 Melisandre จากเรื่อง Suzy Q (1999)

25 Lord Varys จากเรื่อง Blue Heaven (1994) 

อ้างอิง: https://9gag.com/gag/aZgrGN0?ref=fbp

พบกับเหล่านักธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งรุ่นเก๋าและรุ่นใหม่ในวงการ

Up with  A Great Start

ทำความรู้จักกับเหล่านักธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งรุ่นเก๋า และรุ่นใหม่ในวงการสตาร์ทอัพ
ในประเทศไทยต้อนรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ด้วยความมีสไตล์แบบลอปติมัม

what is startup

Startup’ คือการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่มีโมเดลการสร้างรายได้แบบก้าวกระโดดในลักษณะการหาเงินแบบที่ทำซ้ำได้ง่าย และขยายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นธุรกิจสตาร์ทอัพส่วนใหญ่จึงเกิดจากความคิดเพื่อแก้ปัญหาอะไรบางอย่างในชีวิตประจำวัน และเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นสำคัญ

Startup VS SME

ข้อแตกต่างคือสตาร์ทอัพสามารถขยายฐานรายได้ขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนทางกายภาพมากเท่ากับการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอี ถ้าคุณทำแอพพลิเคชั่นช่วยหาที่จอดรถที่มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นจากหลักร้อยคนเป็นหลักล้านคนภายในสามเดือน คุณยังสามารถจ้างพนักงานเท่าเดิมได้ ในขณะที่คุณจำเป็นต้องจ้าง
คนเพิ่ม หากธุรกิจขายน้ำเต้าหู้ของคุณรุ่งเรือง

Funding Source

ข้อได้เปรียบอีกประการของธุรกิจสตาร์ทอัพคือ คุณไม่จำเป็นต้องหาสินเชื่อหรือลงทุนเองเหมือนกับการทำธุรกิจเอสเอ็มอี แต่สามารถเสนอไอเดียต่างๆผ่านกองทุนสตาร์ทอัพ หรือนักลงทุนให้มาร่วมลงทุนได้ มีแพลตฟอร์มทำนองนี้สำหรับสตาร์ทอัพเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก

มณฑล จิรา (39 ปี)

asiola.co.th

เกิดไอเดียนี้ขึ้นมาได้อย่างไร

พาร์ตเนอร์ชาวสวีเดนเคยทำงานกับแพลตฟอร์ม Pledgemusic ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ให้นักดนตรีได้ทำงานร่วมกับแฟนๆโดยการระดมทุนผ่านแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นไอเดียที่เจ๋งและกำลังมาแรง มีแคมเปญที่ประสบความสำเร็จเยอะมาก เลยอยากจะเอาเข้ามาในภูมิภาคนี้ แต่เขายัง
ไม่พร้อม ผมเลยบอกว่า งั้นลุยกันเลย ก็เลยเริ่มเป็น Asiola นี่ล่ะครับ

กลไกของ Asiola เป็นอย่างไร

ถ้าเน้นเฉพาะดนตรีอาจจะยาก เพราะศิลปินไม่ได้เยอะขนาดนั้น ดังนั้น เราจึงให้คอนเซ็ปต์โปรเจ็กต์ต่างๆครอบคลุม ทั้งดนตรี ศิลปะ อาหาร และแฟชั่น
ซึ่งเรามองว่าในส่วนของงานศิลปะต่างๆน่าจะมีฐานแฟนๆของศิลปินมาสนับสนุน นั่นคือไอเดียตอนแรกนะครับ แต่พอเรามาลงมือทำจริง
ก็มีจุดให้เรียนรู้หลายจุดเลยครับ

แคมเปญที่ประสบความสำเร็จ

เราเคยคิดว่าจะเป็นแคมเปญของคนที่มีฐานแฟนเยอะมาก แต่จริงๆแล้ว แคมเปญที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วกลับเป็นแคมเปญของกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในเรื่องเดียวกันที่พวกเขารู้จักกันอยู่แล้ว ระดมทุนในระยะเวลาสั้นๆก็ประสบความสำเร็จแล้ว ผลตอบแทนไว หรือไม่ก็เป็นแคมเปญเพื่อสังคมที่คนอยากจะสนับสนุนอยู่แล้ว ทำนองนี้ครับ

ทิศทางและแนวโน้มในอนาคต

เรากำลังจะออกสตาร์ทอัพอีกตัวที่ช่วยเหลือสตาร์ทอัพที่ต้องการทุนจากคราวด์ฟันดิ้ง เงื่อนไขคือต้องเป็นบริษัทที่มีกิจกรรมอยู่แล้ว
และเราก็กำลังพัฒนาแอพพลิเคชั่น Personal Crowdfunding เช่นกลุ่มเรานัดกันจะมีงานเลี้ยงวันเสาร์ จะต้องแบ่งจ่ายกันคนละเท่าไหร่ ทุกคนก็เข้ามาในแอพนี้ จ่ายมาล่วงหน้าเพื่อให้กิจกรรมไปได้ครับ

ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ (38 ปี)

500.co/500tuktuks-fund/

กลไกของธุรกิจสตาร์ทอัพ

สตาร์ทอัพต่างจากธุรกิจทั่วไปตรงที่สามารถทำซ้ำได้ในสเกลเร็วๆ โตเร็วๆ เรามีการลงทุน แต่ไม่ได้ต้องลงทุนเป็นเส้นตรงหรืออัตราเดียวกับคนใช้ แม้ว่าจะมีคนเข้ามาใช้แอพเราเป็นล้านคน บริษัทเราก็ยังมีพนักงานเท่าเดิม แต่ถ้าเป็นธุรกิจแบบเดิมๆ การลงทุนจะต้องเพิ่มตามไปด้วย ยกตัวอย่างธุรกิจร้านอาหาร ถ้าคนมาทานเยอะขึ้นก็ต้องขยายสาขา เพิ่มพนักงาน

500 Tuk Tuks คืออะไร

เป็นกองทุนร่วมเสี่ยง (Venture Capital Fund) คือเงินลงทุนให้กับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ๆ โดย 500 Tuk Tuks จะเข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพ
ที่ดูน่าสนใจโดยถือหุ้นเล็กๆ ไม่เกินสิบเปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างการลงทุนของกองทุนเราที่โดดเด่นก็ได้แก่แบรนด์เสื้อผ้า Pomelo และ Grab Taxi ตอนนี้เปิดมาได้สองปีครับ กองทุนประมาณ 550 ล้านบาท ลงทุนไปสัก 40 บริษัทได้

ฝากอะไรถึงผู้อยากทำสตาร์ทอัพ

ด้วยเงื่อนไขโลกปัจจุบัน เราสามารถจำกัดความล้มเหลวของตัวเองให้อยู่ในระดับเล็กได้ การลงมือทำถือเป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่างเวลาเราอยากขายอะไรนี่ไม่ได้ยากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว คุณก็แค่ถ่ายรูปของชิ้นนั้น บรรยายราคา สรรพคุณ โพสต์ลงไอจีหรือเฟซบุค ซื้อบูสต์โพสต์ไปในราคาห้าร้อยบาท ที่สามารถกำหนดเพศ อายุ และความสนใจของคนที่จะเห็นโพสต์ได้ทันที คุณไม่ต้องเสียเวลาทำวิจัยตลาด ไม่ต้องอะไรมาก คุณก็พอมองทิศทางออกแล้วว่าคุณจะขายของได้ไหม ถ้าเกิดของชิ้นนี้ขายไม่ได้ คุณก็จะเสียเงินห้าร้อยบาทบวกค่าของและค่าเสียเวลาของคุณนิดหน่อย คือคุณจะล้มเร็ว และเริ่มต้นใหม่ได้เร็ว
ไม่เดือดร้อนมาก ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินอะไรมากมาย ดังนั้น เริ่มต้นลงมือทำเลยครับ ถ้าคุณมีไอเดียอะไรอยู่ในหัว

นพ. คณพล ภูมิรัตนประพิณ (34 ปี)

healthathome.in.th

Health at Home คืออะไร

บริการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุที่บ้าน เพราะบ้านคือที่พักฟื้นที่ดีที่สุด มีงานวิจัยต่างๆมากมายที่ยืนยันว่าผู้ป่วยที่อยู่บ้านจะมีความพึงพอใจมากกว่า เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า และมีค่าใช้จ่ายที่แท้จริงถูกกว่า นอกจากนั้น เรื่องเทรนด์ของการดูแลผู้ป่วยในโลกปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไป ในอนาคตอันใกล้นี้ วงการสุขภาพจะใช้บ้านของคนไข้เป็นฐานในการดูแลเป็นหลักครับ

เริ่มต้นไอเดียนี้ได้อย่างไร

ผมไปเรียนที่นิวยอร์กครับ เห็นว่ามีโฮมแคร์เกิดขึ้นแล้วเพราะใครๆก็อยากอยู่บ้านกันทั้งนั้น พอกลับมาเมืองไทย ผมก็อยากให้เซอร์วิสนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยมีปัญหาหลักๆอยู่สามประการ ประการแรกคือ ยังไม่มีมาตรฐานผู้ดูแลในประเทศไทยอย่างชัดเจน ประการที่สองคือการเฝ้าระวังอาการคนไข้ที่บ้าน ส่วนประการสุดท้ายได้แก่เรื่องของประกัน

การดำเนินการในปัจจุบัน

เราทำมาตรฐานสำหรับผู้ดูแล โดยให้พวกเขามาสอบปฏิบัติ มีอาจารย์พยาบาลมาตรวจสอบการดูแล ปัจจุบันเรามีผู้ดูแลที่ผ่านมาตรฐานอยู่ทั้งหมด 315 คน ต่อมาเราก็มีแอพพลิเคชั่นสำหรับให้ผู้ดูแลจดบันทึกอาการของคนไข้อย่างละเอียด ในส่วนของประกัน กำลังอยู่ในการดำเนินการเจรจาครับ

แนวโน้มการดำเนินงานในอนาคต

ปัจจุบันนี้เราได้ขยายบริการอื่นๆ เช่น กายภาพบำบัด ทำแผล ตรวจเลือด ให้ยาตามใบสั่งแพทย์ ซึ่งยังเน้นการให้บริการในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลก่อนครับ ในอนาคตอาจจะขยายไปให้บริการที่ต่างจังหวัดให้เร็วที่สุด หลังจากการให้บริการในกรุงเทพฯ นิ่งแล้วครับ จุดหมายของเราคือเราอยากเป็น One Stop Service สำหรับการให้บริการดูแลสุขภาพที่บ้าน

จิรายุ พิริยะเมธา (30 ปี) 

udrinkidrive.co.th

ไอเดียนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีสถิติคนตายเพราะเมาแล้วขับมากเป็นอันดับสามของโลก เพื่อนผมเลยคิดโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา ทำส่งอาจารย์จบปริญญาโทเสร็จเรียบร้อย ก็อยากจะเอามาทำจริงๆ เขาเลยมาเสนอผมที่ช่วยธุรกิจรถลีมูซีนที่บ้านอยู่ในตอนนั้น ผมรู้สึกว่านี่ใช่เลย เพราะส่วนตัวอย่างทำธุรกิจอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับโลกใบนี้อยู่แล้ว เลยเข้ามาร่วมด้วยตั้งแต่แรกเลยครับ

ความยากลำบากตอนเริ่มต้น

การคัดคนขับเป็นเรื่องที่เราใส่ใจมาก เราต้องการันตีความปลอดภัยให้กับลูกค้า มีการทดสอบหลายด่าน ทั้งทดสอบเส้นทาง การสัมภาษณ์ เพราะเราต้องการคนขับที่จิตใจและมารยาทดีด้วย หลังจากนั้นก็จะมี
การเทรนนิ่งอย่างเข้มข้นครับ

ผลตอบรับเป็นอย่างไร

ในเดือนแรกมีคนใช้บริการอยู่สิบเที่ยว ซึ่งฟังดูน้อยมากสำหรับอัตราการให้บริการอยู่ที่ห้าพันกว่าเที่ยวต่อเดือนในตอนนี้ แต่สำหรับผมแล้ว สิบเที่ยวนั้นน่าภูมิใจมาก เพราะเราไม่ได้มีงบโฆษณา เปิดให้บริการไป พอคนใช้สิบเที่ยวแรก เขากลับมาใช้อีก และบอกต่อเพื่อนๆของเขา จนเราประสบความสำเร็จขนาดนี้ในวันนี้ครับ

คิดจะขยายไปในทิศทางไหน

เมื่อก่อนเราเปิดให้บริการช่วงสามทุ่มถึงตีห้า แต่ขยายไปเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว เพราะลูกค้าอยากใช้บริการตอนไม่เมาบ้าง อยากมีธุระให้จัดการให้
เอารถไปส่งที่ศูนย์ รับรถให้หน่อย หรือเขาขับรถไปสนามบิน ให้เราไปรอ และขับรถกลับไปเก็บที่บ้านให้หน่อย อะไรแบบนี้ครับ อ้อ เคยมีเคสลูกค้าทำศัลยกรรมหน้าอก แล้วไม่สามารถขับรถกลับได้ ก็เรียกด้วยครับ ก็ถือเป็นการขยายไลน์ธุรกิจการให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้นครับ

พงศธร ธนบดีภัทร (23 ปี)

refinn.com

อธิบายกลไกของบริษัทหน่อย

เราเป็นเว็บไซต์ให้คนมารีไฟแนนซ์บ้านออนไลน์เพื่อลดภาระหนี้สิน เราพบว่า เรื่องการบริหารจัดการการเงินไกลตัวคนไทยกว่าที่คิด ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก สถิติง่ายๆคือ
คนไทยกว่า 80% เป็นหนี้ แต่มีจำนวนน้อยมากที่รู้จักวิธีบริหารหนี้สิน คือ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องจ่ายหนี้แพงขนาดนี้ก็ได้ และเราได้หนึ่งในผู้ร่วม
ก่อตั้งที่เป็นนักบริหารการเงินมืออาชีพก่อตั้งบริษัทจากไอเดียนั้นครับ

Refinn เข้ามามีบทบาทอย่างไร

คุณมีหนี้สามล้านกู้ธนาคารมา ผ่อนเดือนละสองหมื่นห้าเป็นเวลายี่สิบห้าปี ถ้าคุณตัดสินใจรีไฟแนนซ์ หนี้อาจจะลดลงเหลือเดือนละสองหมื่น Refinn จึงเป็นตัวกลาง คำนวณทุกอย่างรอบด้านให้ดูว่าคุณควรจะรีไฟแนนซ์ไปที่ไหน เราเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้คำนวณไม่ง่าย จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดครับ

ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับ Refinn
ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ เหมือนเราเป็นตัวแทนจากหลายๆธนาคาร ถ้าเราส่งคุณไปธนาคารไหน แล้วธนาคารนั้นอนุมัติ เราก็จะได้ค่าตอบแทนจากธนาคารครับ เป็นค่าคอมมิชชั่นที่ธนาคารจ่ายให้เซลส์อยู่แล้ว เหมือนว่าเว็บเราเป็นหนึ่งในเซลส์ของธนาคาร

โอกาสต่อยอดจากธุรกิจปัจจุบัน

ตอนนี้เรารับรีไฟแนนซ์บ้านเป็นหลัก แต่กำลังอยู่ในกระบวนการเจรจากับหลายๆธนาคารเรื่องการเปิดตัว
สินเชื่อใหม่ อาจจะออกมาเป็นแคมเปญลดภาระหนี้บัตรเครดิต ในรูปแบบที่คุณมีบ้านที่อาจจะผ่อนหมดแล้ว หรือยังผ่อนไม่หมดก็ตาม นำบ้านมาให้ธนาคารประเมินเพื่อนำเงินก้อนไปปิดหนี้บัตรเครดิต แล้วผ่อนต่อกับธนาคาร ทำให้ดอกเบี้ยลดลงจาก 28% เหลือไม่เกิน 10% แน่นอนครับ อะไรแบบนี้

ชิตพล มั่งพร้อม (30 ปี)

zanroo.com

บริการของแสนรู้

เราเป็น Insights Discover
มีการให้บริการสามส่วน สองส่วนแรกคือการให้บริการซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์
อย่าง Social Listening และ Social Engagement เป็นเครื่องมือใน
การเก็บข้อมูลในโลกออนไลน์ที่เป็นข้อมูลสาธารณะ ในส่วนสุดท้ายคือ การให้บริการ Consultant Service คือการส่งบทวิเคราะห์ รายงาน และอินไซด์ให้กับลูกค้าที่เป็นองค์กรครับ

เป็นการให้บริการวิเคราะห์ตลาด

บริษัทผมอยู่ในหมวด MarTech (Marketing Technology) ครับ เมื่อมีข้อมูลที่ได้จากซอฟต์แวร์ จะถูกนำมาวิเคราะห์เชิงลึก เป็นบริการให้กับลูกค้าถึงอินไซด์ของแบรนด์ ลูกค้าเป็นรายใหญ่ทั้งนั้นเลยครับ มีทั้ง
คอนซูเมอร์โปรดักส์ โทรคมนาคม ยานยนต์ และการธนาคาร

เริ่มไอเดียนี้มาได้อย่างไร

ไอเดียนี้เริ่มต้นตั้งแต่ค.ศ. 2013 ครับ ทีมผมอยากรู้ว่าคนไทยคุย
อะไรกัน เลยเขียนซอฟต์แวร์ขึ้นมาเก็บข้อมูลบนโลกออนไลน์ ตอนแรกก็เก็บมาดูกันเล่นๆครับ แต่พอดูไปก็เห็นประโยชน์จากข้อมูลสาธารณะเหล่านี้ จึงพัฒนาเป็นไอเดียธุรกิจนี้ ตั้งใจจะสร้าง World Class Software ให้ได้

วางแผนใหญ่มาตั้งแต่แรกเลยไหม

เราคุยใหญ่กันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คุยกันว่ารายได้ต้องเข้ามาหลักพันล้านนะ เพียงแต่ไม่ได้กำหนดปี พอสำเร็จตามที่ตั้งใจได้ค่อนข้างเร็ว ผมว่าการทำธุรกิจนั้นเหนื่อยทุกขั้นตอนเลยครับ ตอนแรกๆก็ทำเองหมดทุกอย่าง เป็นแมสเซนเจอร์เองด้วย พอเริ่มขยายก็ เหนื่อยขยายบริษัท เหนื่อยบริหารคนจำนวนกว่า 150 คนอีก ตั้งใจว่าจะทำงานต่อไปเพราะมีความสุขที่ไม่ได้เกิดจากตัวเองแล้ว แต่เกิดจากคนในบริษัทที่ประสบความสำเร็จไปด้วย และผมเห็นเขาเหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้นครับ

อมฤต เจริญพันธ์ (31 ปี)

hubbathailand.com

ธุรกิจสตาร์ทอัพช่วยสตาร์ทอัพ

เริ่มทำ Co-working Space เมื่อห้าปีที่แล้ว ผมคิดว่าทุกคนคงกำลังหาพื้นที่แบบนี้อยู่ แต่ไม่มีใครเริ่มต้นสักที เห็นเพื่อนๆที่เป็นฟรีแลนซ์ หรือเพิ่งเริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพต้องไปนั่งทำงานร้านกาแฟ ไม่สะดวกเลย แต่จะให้เปิดออฟฟิศของตัวเอง ก็ยังไม่แน่ใจว่าธุรกิจจะไปในทิศทางไหน ดูเหมือนคนกลุ่มนี้จะไม่มีตัวเลือกเลย ดังนั้นผมเลยคิดว่า ถ้าไม่มีใครทำ งั้นผมลองทำดูสักตั้งก็ได้ จึงเกิดขึ้นมานี่ล่ะครับ

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น

สิ่งที่เราค้นพบคือ โคเวิร์กกิงสเปซ  ไม่จำเป็นต้องหรูมากมาย ส่วนใหญ่  ที่ทำให้คนกลับมาจนเป็นกิจวัตร
คือเขาอยู่เพราะคนอื่น อยู่เพื่อเรียนรู้ จากกันและกัน อยู่เพื่อมิตรภาพ    อยู่เพราะได้ต่อยอดงานต่างๆจากคนที่มาร่วมแชร์ในเวิร์กกิงสเปซนี้ ได้ทำงานสร้างสรรค์มากขึ้น ทุกคน    มีความสุข ดังนั้น เราจึงค้นพบว่า แก่นของธุรกิจนี้คือกิจกรรม คน และบรรยากาศที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งหมด

จึงดำเนินธุรกิจไปในทิศทางนั้น

HUBBA เป็นโคเวิร์กกิงสเปซที่จัดกิจกรรมบ่อย เรามีกิจกรรมต่างๆราว 20-30 ครั้งต่อเดือน เคยจัดงานตั้งแต่ปาร์ตี้ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb ที่มีคนเข้าร่วมประมาณ 200 คน    ไปจนถึงงานประชุมระดับ 6,000 คนมาแล้วครับ และยังมีจัดคอร์สสัมมนาประมาณ 5-10 ครั้งต่อเดือนครับ

แผนการขยายในอนาคต

ตอนนี้เรามีสามสาขาที่ใช้ชื่อ HUBBA ถ้ามีพื้นที่น่าสนใจก็ยินดีจะเปิดเพิ่ม แต่คงไม่มีแผนที่จะไปทำธุรกิจประเภทอื่นครับ เพราะผมเชื่อว่าปัจจัยที่จะทำให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จคือการจดจ่ออยู่กับธุรกิจที่ตนเองถนัด ผมเคยเปิดบริษัทเยอะมาแล้ว แต่ในที่สุดก็รู้ว่า ควรจดจ่อทำ
เรื่องเดียวมากกว่าครับ