‘Lamborghini Revuelto’ รถยนต์ไฮบริดเครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรกของโลก!

เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 60 ปีทาง Automobili Lamborghini ได้เปิดตัว Revuelto รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) รุ่นแรกของแบรนด์ สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะ ภาพลักษณ์แนวสปอร์ต และประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ ด้วยสถาปัตยกรรมโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นวัตกรรมการออกแบบรถยนต์ ระบบอากาศพลศาสตร์ประสิทธิภาพสูง และคอนเซ็ปต์ใหม่ของการใช้โครงคาร์บอนไฟเบอร์ กำลังเครื่องยนต์รวมสูงสุดอยู่ที่ 1,015 CV  ที่ผสานพลังระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยทำงานร่วมกับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ดีไซน์ใหม่ ซึ่งถูกเปิดตัวในรถยนต์ลัมโบร์กินี 12 สูบรุ่นนี้เป็นครั้งแรก


Revuelto นำอนาคตแห่งการออกแบบรถยนต์ของลัมโบร์กินีสู่ท้องถนนในวันนี้ โดยยังคงยึดมั่นในดีไซน์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟของลัมโบร์กินีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง หากสื่อสารด้วยสไตล์การออกแบบแนวใหม่ในทุกรายละเอียด รวมถึงการยังเชื่อมโยงเครื่องยนต์ V12 ระดับตำนานอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ ตลอดจนการออกแบบสัดส่วนใหม่ เพื่อเปิดประตูสู่อนาคตอันสดใสของลัมโบร์กินี ในขณะที่ Revuelto นำเสนอความล้ำหน้าแบบก้าวกระโดดด้วยดีไซน์ใหม่หมดจดทั้งภายนอกและภายใน หากแรงบันดาลใจจากเครื่องยนต์ V12 ในตำนานยังคงอยู่อย่างชัดเจน ด้วยต้นแบบจากรุ่น Countach ในปี 1971 และสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบซึ่งได้รับการพัฒนามาเพื่อติดตั้งตามแนวยาว ทำให้รถยนต์รุ่นนี้มอบสไตล์ที่งดงามอย่างแท้จริง ชวนให้นึกถึงความล้ำหน้าของยุคอวกาศ ทั้งยังเป็นการสร้างนิยามใหม่ของแบบฉบับรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่น V12 ของลัมโบร์กินี และยังนำเสนอหนึ่งในองค์ประกอบอันโดดเด่นของรถยนต์เครื่อง V12 นั่นคือประตูปีกนกที่เปิดในแนวตั้ง (Scissor Doors) ซึ่งได้สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัวให้แก่ Revuelto อย่างน่าประทับใจ

อีกทั้ง Revuelto ยังได้มอบภาพลักษณ์ของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสนามแข่ง ผสานคาแรกเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ขับขี่ได้ทุกวันพร้อมความสามารถอันโดดเด่นมากมาย และยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษในขั้นตอนการออกแบบเพื่อสร้างห้องโดยสารที่กว้างขวางและใช้งานง่าย ไม่เพียงเท่านั้น รถคันนี้ยังได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์สุดเร้าใจและการควบคุมที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนนและโหมดการขับขี่ สร้างความรู้สึกที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ พร้อมยกระดับความมั่นใจที่ไม่มีนักขับคนไหนเคยสัมผัสมาก่อน นวัตกรรมที่ถูกนำมาติดตั้งใน Revuelto ล้วนเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละด้าน ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้างและดุลยภาพยานยนต์ ผ่านแนวทางที่ล้ำหน้าในการใช้โครงแชสซีและการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไปจนถึงระบบส่งกำลังแบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ช่วยเสริมกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถสร้างโหมดการขับขี่ใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ (Zero-emission 4WD) เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การเดินทางที่แตกต่างกันได้มากถึง 13 รูปแบบอีกด้วย

พาไปชมบรรยากาศ “LAMBORGHINI NIGHT 2022: HIP HOP NIGHT” เรนาสโซ มอเตอร์ เอาใจสาวกกระทิงดุสายฮิปฮอปกับปาร์ตี้อัพบีทเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี

เติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นทุกปีสำหรับ เรนาสโซ มอเตอร์ และ ลัมโบร์กินีคลับไทยแลนด์ เพราะนอกจากจะมียอดขายที่เพิ่มขึ้น จนส่งผลให้ยอดรวมการส่งมอบรถยนต์ทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของแบรนด์ บริษัทฯ ยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ที่ไม่หยุดนิ่งและความเป็นมืออาชีพแบบรอบด้าน ตั้งแต่ประสบการณ์การส่งมอบรถอันยอดเยี่ยม บริการหลังการขาย 
ไปจนถึงแอคทิวิตี้ที่ให้เหล่าสมาชิกคลับและแฟนพันธุ์แท้กระทิงดุชาวไทยได้สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับตลอดทั้งปี

เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จ อีกทั้งแสดงความขอบคุณและตอบแทนความไว้วางใจให้กับลูกค้าคนสำคัญที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลัมโบร์กินี อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ, ศักดิ์ นานา และ ม.ล.พลอยนภัส  ลีนุตพงษ์ กรรมการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย พร้อมด้วย ภานุเมศ จงกลรัตนาภรณ์ ประธาน LAMBORGHINI CLUB THAILAND (ลัมโบร์กินีคลับไทยแลนด์) ร่วมกันจัดกิจกรรมสุดพิเศษส่งท้ายปีกับ “LAMBORGHINI NIGHT 2022: HIP HOP NIGHT” ปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เชิญชวนเหล่าสาวกกระทิงดุ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี ภายใต้คอนเซปต์ GLAM HIP HOP พร้อมอัพบีทแบบจัดเต็มไปกับมินิคอนเสิร์ตจากแร็ปเปอร์ตัวพ่อแห่งวงการฮิปฮอปไทย อย่าง “โจอี้บอย” 

โดยมีเหล่าเซเลบริตี้และสมาชิกคลับร่วมงานคับคั่ง อาทิ นที มาเสถียรวงศ์, บพิธ ธุระชน, ภัคคณวัฒน์ เหมะธนานันท์, พลอยนภัส เชษฐกุลรัตน์, สราวุธ เสรีธรณกุล, กันธิชา ฉิมศิริ และ น.พ.นพรัตน์ รัตนวราห เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดจัดขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ

ร่วมสัมผัสความหรูหราโฉบเฉี่ยวของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111  

rhunrun เรียบเรียง fu ms pk

4 เซเลบริตี้ วางใจ BMW EUROPA MOTOR โชว์รูมรถหรูสัญชาติเยอรมันที่เปรียบเหมือนเพื่อนที่คอยดูแลกัน

BMW Europa Motor (บีเอ็มดับเบิลยู ยุโรปามอเตอร์) ผู้นำด้านการให้บริการรถยนต์ BMW และ BMW Premium Selection ในฐานะตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BMW Thailand เปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด Friends With Best support พร้อมเป็นเพื่อนที่ดูแลคุณในทุกเป้าหมายตลอดไป เพื่อทุกจุดหมายไปด้วยกัน โดยงานนี้ได้ 4 เซเลบริตี้ชื่อดังจาก 4 วงการร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ความประทับใจที่มีกับการใช้บริการที่ BMW Europa Motor เปรียบเหมือนเพื่อนสนิทที่คอยเคียงข้างทุกเส้นทาง พร้อมให้คำแนะนำ มอบประสบการณ์พิเศษและดูแลกัน ผ่านวีดีโอ 4 เรื่อง ได้แก่ จารุจิต ใบหยก , ณ ชนก รัตนทารส ,วรากฤธ วิวัฒนาเกษม, ศรันยารินท์ หิรัญโชคอนันต์ และ นพวิชญ์ ไทยแท้ 

เริ่มต้นที่สาวมั่น จารุจิต ใบหยก เซเลบริตี้สาวทายาทเจ้าของตึกใบหยกที่ตอนนี้มาเอาจริงเอาจังกับธุรกิจส่วนตัว Gemster Thailand แบรนด์เครื่องประดับจากพลอยสีเหมาะกับแฟชั่นนิสต้าสาวยุคใหม่ ซึ่งเจ้าตัวดีไซน์เองทุกขั้นตอน ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องไลฟ์สไตล์การขับรถหรือการเลือกซื้อรถซักคัน คุณบุ๋มเผยว่า “ปกติผู้หญิงเราๆจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องรถอะไรมาก เราก็จะมองดีไซน์กับไลฟ์สไตล์การใช้งานเป็นหลัก ซึ่งด้วยแบรนด์ BMW ก็ตอบโจทย์อยู่แล้ว บุ๋มเองเป็นคนที่เวลารถมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับรถเล็กๆน้อยๆก็จะต้องมีคนคอยดูแลให้ตลอด อย่างที่ BMW Europa Motor พนักงานดูแลดีมาก มีอะไรก็ปรึกษาและช่วยแก้ปัญหาให้เหมือนเป็น personal assistant เลยครบจบในที่เดียว และที่บุ๋มชอบคือเค้าเข้าใจลูกค้าว่าอย่างเราไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องยนต์เค้าก็จะใช้ศัพท์ ใช้คำที่พูดกับเราแล้วเราเข้าใจง่าย จริงเพื่อนๆก่อนหน้านี้ก็คุยกับเพื่อนหลายคนเค้าก็แนะนำที่นี่ และที่บ้านก็เป็นลูกค้าของที่นี่อยู่แล้วด้วยค่ะ เลยมั่นใจโชว์รูม “BMW Europa Motor”

ณ ชนก รัตนทารส CEO, G Enterprise & Co ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในแวดวงอาหาร เล่าถึงความประทับใจในโชว์รูม Europa Motor ว่า “ปกติเวลาผมเลือกรถก็จะศึกษารุ่น หรือสมรรถนะ ดูรีวิวมาระดับหนึ่ง มีเกณฑ์ในใจของตัวเอง นอกจากจะต้องสวยถูกใจเพราะรถคันนึงบ่งบอกคาแรคเตอร์ของคนขับชัดเจนมาก เรื่องคุณภาพของรถยนต์ต้องดี ไม่เสียบ่อยและที่สำคัญโชว์รูมที่เราซื้อรถก็ต้องเลือกโชว์รูมที่มั่นใจด้วย โดยเฉพาะเซลล์ที่ดูแลผมจะต้องมีความเชี่ยวชาญและทำงานที่นั่นมาหลายปีหน่อย เพราะเราซื้อรถคันนึงอยู่กับเราก็อย่างน้อย 3-5 ปี เราก็อยากมั่นใจว่าเซลล์ที่ดูแลเรายังเป็นคนเดิมในระหว่างที่เราใช้ อีกอย่างศูนย์ซ่อมของที่นี่ก็ได้มาตรฐานมาก ที่สำคัญซ่อมเร็ว มีโชว์รูมใกล้บ้าน และมีหลายที่ อีกอย่างที่สังเกตได้เลยว่าโชว์รูมที่ไหนดี ดูได้เลยถ้ารถที่จอดโชว์มีรุ่นพิเศษ เบาะพิเศษ สีพิเศษ หรือสเปคตัวท็อปโชว์อยู่แสดงว่าอย่างน้อยโชว์รูมนี้ขายดีมีลูกค้าไว้ใจเยอะ ทำให้ได้โควต้าตัวท็อปๆมาขาย ซึ่งที่นี่มีครบ”

วรากฤธ วิวัฒนาเกษม

จ๊ะจ๋า-ภูผา ศรันยารินท์ หิรัญโชคอนันต์ และ นพวิชญ์ ไทยแท้ สองคู่รักที่ชอบการเดินทางและหาประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตอยู่เสมอ ได้เล่าเรื่องราวความประทับใจกับโชว์รูม BMW Europa Motor ว่า “ผมกับจ๊ะจ๋าเรามีบ้านที่สุรินทร์ เพราะทำธุรกิจที่โน่นด้วย จะขับรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ เรียกได้ว่าใช้งานหนัก ขับทางไกลด้วย เวลาซื้อนอกจากรถจะต้องสมรรถนะดี ขับขี่ปลอดภัย ก็ต้องเลือกโชว์รูม หรือบริการศูนย์ซ่อมที่มั่นใจได้ แล้วด้วยความที่เราเป็นรถที่สลับกันขับ บางทีเราก็ต้องเลือกรถให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของทั้งสองคน ต้องมีที่เก็บของเยอะ ต่อไปวางแผนว่าจะวางแผนจะมีลูกก็ต้องวางคาร์ซีทได้ เลยเลือกเป็นรุ่นที่ใหญ่หน่อยแต่อาจจะไม่ถึงกับใหญ่มากเพราะผู้หญิงขับด้วย โชว์รูมนี้ก็ให้คำแนะนำค่อนข้างดี อีกอย่างที่ผมชอบเพราะมีถึง 4 สาขาทั่วกรุงเทพเลย แล้วที่ประทับใจมากๆ คือที่นี่ตรงต่อเวลา นัดซ่อมค่อนข้างไว ทำให้เราตัดปัญหาความยุ่งยากในการส่งเรื่อง ส่งซ่อม เช็คสภาพไปได้เลย เพียงแค่โทรหาเค้าก็จัดการให้หมด สุดท้ายผมว่าการเลือกซื้อรถซักคันต้องซื้อกับโชว์รูมที่ได้มาตรฐาน และไว้ใจได้เท่านั้น”

สัมผัสประสบการณ์การให้บริการด้านรถยนต์เหนือระดับ

เปรียบเสมือนเพื่อนที่ดูแลคุณในทุกเป้าหมายตลอดไป เพื่อ“ทุกจุดหมายไปด้วยกัน”

ที่ BMW Europa Motor ทุกสาขา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ

ยุโรปามอเตอร์ สาขา จรัญสนิทวงศ์    โทร.02-864-0077          ยุโรปามอเตอร์ สาขา พระราม 2            โทร.02-848-1111

ยุโรปามอเตอร์ เซอร์วิสเอาท์เลท       โทร. 02-408-2266        ยุโรปามอเตอร์ สาขาตลิ่งชัน     โทร. 02 458 2266

Line official : @BMWEuropaMotor

พาไปชมทุกดีเทลของซูเปอร์เอสยูวีระดับโลก กับ Lamborghini Urus Performante ความจัดจ้านและเร้าใจที่ท้าให้คุณมาพิสูจน์

ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) สุดยอดแบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์หรูระดับโลกสัญชาติอิตาลี เผยโฉม Urus Performante” ปรากฏการณ์ใหม่แห่งสุดยอดสมรรถนะและสัมผัสการขับขี่แนวสปอร์ตในแบบฉบับซูเปอร์เอสยูวี ที่พร้อมสะกดทุกสายตาทั้งบนท้องถนน สนามแข่งขัน หรือแม้แต่บนเส้นทางสุดทรหด 

ซึ่งก่อนเผยโฉมที่งาน Pebble Beach Concours d’Elegance ครั้งที่ 71 ซูเปอร์เอสยูวีคันนี้ได้สร้างสถิติใหม่ในหมวดยานยนต์เอสยูวีเป็นที่เรียบร้อย จากการทดสอบวิ่งบนทางลาดชันสุดหฤโหดของ Pikes Peak International Hill Climb Road ที่มีระดับความสูงกว่า 4,302 เมตร (14,115 ฟุต) โดยสามารถทำเวลาเพียง 10:32.064 นาที ทุบสถิติเดิมที่ Bentley Bentayga เคยทำไว้เมื่อปี 2018 ที่ 10:49.902 นาที ถึง 17.838 วินาที

และนี่คือดีเทลสุดจัดจ้านที่ท้าให้คุณมาพิสูจน์ความเร้าใจ กับ Urus Performante มาตรฐานใหม่แห่งสุดยอดงานดีไซน์อันเปี่ยมพลัง ที่ผสานระบบวิศวกรรมยานยนต์ระดับซูเปอร์สปอร์ตไว้อย่างลงตัว

  • สะกดทุกสายตาตั้งแต่แรกเห็นด้วยดีไซน์แนวอากาศยานในทุกมุมมอง โดดเด่นตั้งแต่รูปลักษณ์ด้านหน้า ด้วยงานออกแบบฝากระโปรงและแผงกันชนขนาดใหญ่โดยใช้รูปทรงที่เฉียบคม ที่นอกจากสื่อถึงดีเอ็นเอสายพันธุ์ซูเปอร์สปอร์ตของ Performante ได้อย่างเด่นชัดแล้ว ยังแฝงกลิ่นอายแห่งความหรูหรา
    ภูมิฐานของรถยนต์ Urus ไว้อย่างกลมกลืน ขณะที่การออกแบบฟินสปอยเลอร์หลังซึ่งช่วยเพิ่มแรงกดให้ตัวรถได้แรงบันดาลใจจากAventador SVJ 
  • เหนือระดับด้วยดีไซน์อากาศพลศาสตร์แบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นช่องดักอากาศด้านหน้าที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการระบายความร้อนเครื่องยนต์พร้อมเพิ่มความดุดันแนวซูเปอร์สปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์, ม่านดักลมที่ทำให้อากาศไหลเข้าทางล้อหน้าได้มากขึ้น ไปจนถึงการออกแบบอย่างเหนือชั้นตรงช่องระบายลมบนฝากระโปรง 
  • มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ V8 มอบสัมผัสแห่งการขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจด้วยกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 660 แรงม้า และด้วยน้ำหนักที่เบาลงถึง 47 กก. จึงทำให้ Urus Performante มีอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังเครื่องยนต์ดีที่สุดในคลาส สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.3 วินาที มีแรงบิด 850 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 2,300 – 2,400 รอบต่อนาที ซึ่งความสามารถที่เหนือกว่ารุ่นอื่น ๆ ในเซกเมนต์เดียวกันยังรวมถึงความเร็วสูงสุดที่ 306 กม./ชม.
  • ยาง Pirelli P Zero ที่ใช้เป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นเพื่อ Urus Performante รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตยาง Pirelli แบบกึ่งสลิคเพื่อให้สอดคล้องกับคาแรกเตอร์ของรถเอสยูวีซึ่งเกิดจากการร่วมมือพัฒนากับลัมโบร์กินี ผลลัพธ์ของความร่วมมือครั้งนี้ทำให้ได้ยางที่ใช้งานได้แบบอเนกประสงค์ดีขึ้น แต่ยังคงมอบประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมทั้งบนพื้นผิวแห้งที่มีอุณหภูมิสูง และบนพื้นผิวเปียกที่มีอุณหภูมิต่ำ
  • นอกจากโหมดการขับขี่มาตรฐานต่าง ๆ Urus Performante ยังมาพร้อมโหมดใหม่อย่าง RALLY เพื่อยกระดับการขับขี่แนวสปอร์ตที่สนุกสนานในแบบฉบับเอสยูวี และนำเสนออีกระดับของความตื่นเต้นเร้าใจในการวิ่งบนทางดิน

ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ล่าสุดได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

rhunrun เรียบเรียง

Mercedes-Benz: The Reinvention of Tomorrow ค่านิยมใหม่ของคำว่าพรีเซนเตอร์รถยนต์ ที่เป็นการแทนที่ภาพจำเดิมๆด้วยการให้ความสำคัญและคุณค่ากับความหลากหลาย

เทคโนโลยี ค่านิยม และความคิดของผู้คน คือสิ่งที่ถูกเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นตลอดเวลา “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ผู้นำของโลกยนตรกรรมสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย(diversity) และความเท่าเทียมอย่างต่อเนื่องเสมอมา จึงต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม โดยเริ่มจากการเปลี่ยน “ค่านิยม” ที่อยู่คู่กับงานจัดแสดงรถยนต์ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

นั่นก็คือวัฒนธรรมการใช้ “พรีเซนเตอร์” ที่ทุกคนรู้จักในนาม “พริตตี้” ที่ช่วยโปรโมทรถยนต์ในงานอีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย จนอาจส่งผลต่อมุมมองของคนไทยที่มีต่อ “พริตตี้” และหลาย ๆ ครั้งก็ส่งผลกระทบกับคุณค่าของผู้หญิงและอาจนำไปสู่การกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อพวกเธอ

เพราะคุณค่าของแต่ละบุคคล อยู่ที่หลากหลายองค์ประกอบ ไม่ใช่แค่เพศสภาพ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วยการสร้างนิยามใหม่ เพื่อให้พรีเซนเตอร์คนนี้ถูกให้เกียรติ และสร้างจุดยืนใหม่ ๆ ในวงการ ด้วยการนำเสนอ

พรีเซนเตอร์…ที่ไม่จำกัดเพศ สีผิว หรือรูปร่าง                                                                        

พรีเซนเตอร์…ที่ไม่จำเป็นต้องแต่งตัววาบหวิว

พรีเซนเตอร์…ที่ได้รับการอบรมเรื่องรถยนต์ และมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ให้ข้อมูลอย่างแม่นยำ

เราเรียกพวกเขาว่า “Digital Guide” (ดิจิทัล ไกด์) กลุ่มคนที่จะมาทำหน้าที่ในการให้ความรู้เรื่องรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น ในงานจัดแสดงรถยนต์ทุกงานในประเทศไทย โดยเป็นการแสดงจุดยืน ผ่านทางภาพยนตร์โฆษณาหนึ่งเรื่อง ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Reinvention of Tomorrow ว่านี่เป็นเพียงหนึ่งสิ่งที่เราเปลี่ยน เพื่อสร้างค่านิยมใหม่และแนวคิดใหม่ของงานแสดงรถยนต์

..และยังมีสิ่งใหม่ ๆ อีกมากมายจากเมอร์เซเดส-เบนซ์รอคุณอยู่

rhunrun เรียบเรียง

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว 3 KOLs

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว 3 KOLs เป็นตัวแทน 3 แนวคิดที่เผยจุดยืนของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ทั้งในเรื่องการออกแบบประสบการณ์ สมรรถนะและความหลงใหล และความยั่งยืน

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้ำจุดยืนในการนำเสนอการออกแบบประสบการณ์ สมรรถนะของรถยนต์ที่อัดแน่นไปด้วยความหลงใหล พร้อมความยั่งยืน ผ่านวิดีโอที่เล่าเรื่องของ 3 ผู้นำทางความคิด (Key Opinion Leaders: KOLs) ผู้เป็นตัวแทนของ 3 จุดยืนดังกล่าว ได้แก่ พล หุยประเสริฐ นักออกแบบประสบการณ์ผู้ผสมผสานดีไซน์และนวัตกรรม พลอย ปิ่นแสง นักกีฬาโปโลทีมชาติผู้มุ่งมั่นก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และต้น บดินทร์ พลางกูร สถาปนิกและนักออกแบบภายในที่ใช้ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน

มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จุดยืนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในเรื่องของการนำเสนอนวัตกรรมการออกแบบที่มีความโดดเด่น สมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ ควบคู่ไปกับความยั่งยืนนั้นเป็นสิ่งที่ชัดเจนในใจผู้บริโภคอยู่แล้ว และการเลือกบุคคลที่มีความโดดเด่นทั้ง 3 ท่านนี้มาเป็นตัวแทนของจุดยืนของเราก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมภายใต้ประสบการณ์การออกแบบที่น่าจดจำและน่าตื่นเต้น สามารถสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับผู้คน การตอบสนองความต้องการของลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ด้วยโซลูชันที่ผลักดันให้ทุกคนไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างราบรื่น และการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านจุดยืนด้านการมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมที่มีความยั่งยืน ทั้งหมดนี้คือการตอกย้ำความตั้งใจของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะให้ความสำคัญกับ 3 จุดยืนนี้ทั้งในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ KOL ทั้ง 3 ท่านและหวังว่าแคมเปญนี้จะช่วยประกายและเติมเต็มแรงบันดาลใจให้กับลูกค้า พร้อมทั้งช่วยให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเป็นแบรนด์ลักชัวรีอันดับ 1 ที่ตอบสนองความต้องการของทุกท่านได้”

พล หุยประเสริฐ นักออกแบบประสบการณ์ผู้ทำงานออกแบบหลากหลายรูปแบบโดยเฉพาะคอนเสิร์ตที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้ชม บอกว่า “งานของผมคืองานออกแบบประสบการณ์ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสให้คนได้รู้สึก มีส่วนร่วม และได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น ๆ ได้มาสัมผัสบรรยากาศไม่ว่าจะเป็นความสุข เศร้า ตื่นเต้น และความสนุก เมื่อผมได้ฟังเรื่องราวของรถยนต์รุ่น The new C-Class ที่ออกแบบมาจากแนวคิดเกี่ยวกับประสบการณ์ พฤติกรรมของผู้ขับขี่ และการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการนำเสนอ ดึงดูดความสนใจ และเข้าถึงความรู้สึกและความต้องการ ไม่ว่าปลายทางจะเป็นการออกแบบคอนเสิร์ตหรือดีไซน์รถยนต์ สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญคือการสร้างประสบการณ์ทีดีให้กับผู้ใช้ ผมดีใจที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เปิดโอกาสให้ผมเป็นตัวแทนการนำเสนอแนวคิดจากการทำความเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการของมนุษย์ ซึ่งตอนนี้ผมกำลังร่วมทำโปรเจกต์ออกแบบประสบการณ์พิเศษใหม่ร่วมกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ อยากให้ติดตามกันครับ”

พลอย ปิ่นแสง นักกีฬาโปโลทีมชาติผู้มุ่งมั่นก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง กล่าวว่า “พลอยบอกตัวเองเสมอว่า ถ้าเราเชื่อและเรามี passion กับสิ่งไหนแล้ว เราจะทำสิ่ง ๆ นั้นได้ดี ดังนั้นพลอยจะตั้งใจมาก ๆ ทุ่มเทและเต็มที่กับสิ่งที่ทำ ทำให้สุด ใส่ให้เต็มร้อย เรียกว่า Go Hard or Go Home เราจะทำได้ดี ทำได้มาก หรือไปได้แค่ไหน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราทั้หงมด นี่คือพลังผลักดันและขับเคลื่อนตัวเราให้มุ่งมั่นก้าวไปข้างหน้าถึงจุดมุ่งหมาย สำหรับพลอย รถยนต์ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe Special EDITION ที่พลอยได้เห็นครั้งแรก แค่ดีไซน์ก็คงไม่ต้องบรรยายแล้ว พอได้ฟังและได้สัมผัสถึงพลังของเครื่องยนต์ แค่เสียงและฟีเจอร์แบบเข้ม ๆ นี้ passion ของพลอยก็มาเต็มเลยค่ะ อยากจะลองขับและพุ่งไปข้างหน้าเพื่อไปยังจุดหมายด้วยกัน รถยนต์คันนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาที่พลอยได้ขี่ม้า ได้สัมผัสถีงพลังของรถ เหมือนต้องการคนขับที่พร้อมจะใส่พลังแล้วออกไปสุดด้วยกัน อยากให้ทุกคนมาลองประสบการณ์กับรถยนต์คันนี้ ได้ลองขับ แล้วก็จะเข้าใจความหมายเกี่ยวกับ Performance ที่พลอยพูดถึงค่ะ”

ต้น บดินทร์ พลางกูร สถาปนิกและนักออกแบบภายในหนุ่มผู้ใช้ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานออกแบบ พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาผสมผสานเพื่อสร้างผลงานที่มีความยั่งยืน เล่าว่า “ส่วนตัวผมเชื่อในพลังของธรรมชาติที่เป็นทั้งแหล่งสร้างแรงบันดาลใจและเป็นพื้นที่ที่ช่วยฟื้นพลังให้กับตัวเอง แนวคิดในการทำงานออกแบบของผมส่วนใหญ่มาจากการนำสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งต่าง ๆ ตามธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานดีไซน์ ส่วนเรื่องเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปัจจุบัน ซึ่งในการออกแบบ เทคโนโลยีก็ช่วยอำนวยความสะดวกและทำให้เกิดประสิทธิภาพ ผมคิดว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจความสำคัญของธรรมชาติ พร้อมไปกับการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีเพื่อให้ธรรมชาติสามารถอยู่กับเราได้อย่างยืนยาวต่อไปในอนาคต เหมือนกับวิวัฒนาการของรถยนต์ ที่ปัจจุบันมีรถยนต์ที่ใช้ได้ทั้งน้ำมันและมีเทคโนโลยีไฟฟ้าให้เลือกใช้ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องความยั่งยืนมาตลอด ไม่ว่าจะผ่านงานดีไซน์ แนวคิด หรือการใช้ชีวิตประจำวัน รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปลั๊กอินไฮบริด สำหรับผม คือส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความยั่งยืน ซึ่งเราสามารถเริ่มต้นได้จากตัวเราและสิ่งที่เราเลือก นี่คือจุดเริ่มต้นของวันพรุ่งนี้ และผมคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีให้กับหลาย ๆ คนเลยครับ ผมกำลังมีโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับความยั่งยืนที่ผมจะทำร่วมกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ด้วย ฝากติดตามด้วยครับ”

การทำงานร่วมกับ KOL ทั้งสามท่านคือเครื่องยืนยันว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่มีวันหยุดนิ่งที่จะจินตนาการถึงวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งกว่าด้วยการสร้างสรรค์รถยนต์และนำเสนอนวัตกรรมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่เป็นที่ปรารถนาและทำให้ลูกค้ามีความภาคภูมิใจทุกครั้งที่ได้เป็นเจ้าของออกมาอย่างต่อเนื่อง

เกี่ยวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 170,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านยานยนต์ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์รถยนต์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค เมอร์เซเดส-อีคิว จี-คลาส และแบรนด์สมาร์ท โดยแบรนด์เมอร์เซเดส มีนำเสนอการเข้าถึงบริการด้านดิจิทัลจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับพรีเมียมรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2563 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราว 2.1 ล้านคัน และรถตู้เกือบ 375,000 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตราว 35 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งทั้งต่อกลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์และต่อบริษัท สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเดมเลอร์ ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม

4 เหตุผลที่ทำให้ Aventador ยานยนตร์สุดไอคอนิกจาก Lamborghini เป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่น่าจับตาและหลายคนใฝ่ฟันจะครอบครองมาตลอด 10 ปี

อะไรคือความลับที่ส่งให้ซูเปอร์สปอร์ตคาร์อย่าง Aventador (อะเวนทาดอร์) กลายเป็นไอคอนนิคความแรงที่เป็นกระแสชั่วพริบตา ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์น่าจดจำให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วันนี้ลัมโบร์กินีพามาย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์ของ Aventador กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ V12 รุ่นนี้

1. อะเวนทาดอร์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้กับแบรนด์ลัมโบร์กินีได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน ในเวลาเพียง 9 ปี โดยอะเวนทาดอร์ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็มียอดจองมากกว่าจำนวนรถยนต์ V12 ที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตรวมกันทั้งหมดเสียอีก และนี่คือ Aventador คันไฮไลต์ในรอบทศวรรษที่คุณไม่ควรพลาด

  • ปี 2011 Aventador LP 700-4 ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค๊อกที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด เครื่องยนต์ V12 เจเนเรชั่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับอะเวนทาดอร์โดยเฉพาะด้วยกำลัง 700 แรงม้า และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญอย่างประตูแบบเปิดปีกนก
  • ปี 2012 ลัมโบร์กินีได้เปิดตัว Aventador Roadster ซึ่งเป็นอะเวนทาดอร์เปิดประทุนรุ่นแรก โดยที่หลังคารถแต่ละฝั่งถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาน้อยกว่า 6 กก. ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อการถอดเข้าออกที่สะดวก และในปีเดียวกันนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความโดดเด่นของอะเวนทาดอร์ ลัมโบร์กินีได้รังสรรค์อะเวนทาดอร์รุ่นพิเศษอย่าง Aventador J อะเวนทาดอร์ที่ถูกผลิตมาคันเดียวในโลก ถูกออกแบบตกแต่งภายนอกและภายในให้เข้ากัน โดยเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ลัมโบร์กินีเชี่ยวชาญ และสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่ารวมความเป็นที่สุดแห่งประสบการณ์ไว้ในรถคันนี้
  • ปี 2016 Aventador Miura Homage ซีรีส์พิเศษที่ผลิตเพื่อเป็นเกียรติให้กับซูเปอร์สปอร์ตคาร์ในตำนานอย่าง Miura ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี โดยสะท้อนจิตวิญญาณของ Miura ต้นแบบ ทั้งในแง่สีสันและฟีเจอร์ไว้อย่างครบครัน ผลิตจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ ลัมโบร์กินีได้ทำการปรับโฉมให้กับอะเวนทาดอร์ โดยใช้ชื่อ Aventador S ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สมรรถนะการขับขี่ และความสะดวกสบายในการใช้งานทุกวัน
  • ปี 2018 Aventador SVJ กับตำแหน่งราชันแห่ง Nürburgring – ถือเป็นสถิติใหม่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ SVJ ในฐานะรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดในสนามแข่งระดับโลกด้วยเวลาเพียง 6:44.97 นาที โดยผลิตออกมาเพียง 900 คัน ขณะที่สเปเชี่ยล อิดิชั่น อย่าง SVJ 63 ผลิตจำกัดเพียง 63 คันเท่านั้น เพื่อระลึกถึงการก่อตั้ง Lamborghini ในปี 1963 นั่นเอง โดยทั้ง 2 รุ่น ถูกออกแบบให้ใช้หลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงอย่าง ระบบ ALA  ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Lamborghini อีกด้วย
  • ปี 2019 Aventador S by Skyler Grey ถือเป็น one-off ที่สร้างสีสันให้กับงาน Monterey Car Week เลยก็ว่าได้ ผลงานคอลลาบอเรชั่นกับศิลปินดาวรุ่ง Skyler Grey ที่หลอมรวมศิลปะแห่งโลกยนตรกรรมและศิลปะแนวสตรีทอาร์ต ภายใต้คอนเซปต์ “splash-effect” ไว้ได้อย่างมีสไตล์ ที่สำคัญยังเป็น Lamborghini คันแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการรับรองและปกป้องในฐานะงานศิลปะอีกด้วย 

2. Lamborghini Aventador กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์อันยอดเยี่ยมในโลกแห่งจินตนาการ จะเห็นได้ว่าเป็นรถที่มาพร้อมกับฮีโร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์ฮอลลีวูด รถเครื่องยนต์ V12 นี้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ระดับโลกหลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งคู่หูของอัศวินรัตติกาล อย่าง Aventador ที่เป็น BatMobile ให้กับ Bruce Wayne ในภาพยนตร์ “The Dark Knight Rises” (2012) โดยรถที่นำมาเข้าฉากคือ Aventador LP 700-4 ที่มาพร้อมป้ายทะเบียนเมืองสุดเท่ห์อย่าง “Gotham – 649 8227″ อีกด้วย

3. Aventador ถือเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันแรกของ Lamborghini ที่ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีให้เลือกถึง 4 แบบ – STRADA, SPORT, CORSA และ EGO ซึ่งในโหมด EGO นี้เองที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าโปรไฟล์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ ณ ขณะนั้นมากที่สุด อาทิ ระบบส่งกำลัง (เครื่องยนต์, 4WD), การบังคับเลี้ยว และชุดควบคุมระบบช่วงล่าง Magneride adaptive ที่สามารถปรับระดับตามโหมดการขับขี่ในทุกสถานการณ์

4. แม้จะเดินทางมาถึงรหัสสุดท้ายของ Aventador แต่เชื่อเถอะว่า LP 780-4 Ultimae (แอลพี 780-4 อูลติเม) คือ Aventador ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถของ Lamborghini โดยคอนเซปต์หลักของรุ่นนี้คือการหลอมรวมสุดยอดสมรรถนะของ Aventador SVJ กับสไตล์ที่สง่างามเหนือกาลเวลาของ Aventador S ไว้ในหนึ่งเดียว

ร่วมสัมผัสความหรูหราโฉบเฉี่ยวของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

เรื่องเรียบเรียง rhunrun

Maserati เปิดตัว Ghibli Hybrid ยนตรกรรม ผสานมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นแรกในประวัติศาสตร์เทพตรีศูลที่หรูหราและปราดเปรียวตามสไตล์รถสัญชาติอิตาลี

มาเซราติ ประเทศไทย เปิดตัว ‘กิบลี ไฮบริด’ (Ghibli Hybrid) ใหม่ เป็นยนตรกรรมที่ใช้การขับเคลื่อนแบบผสมผสาน ระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายตรีศูล

ปิยะเทพ ศิวากาศ, ผู้จัดการทั่วไป มาเซราติ ประเทศไทย เผยว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจ ที่ได้นำเสนอยนตรกรรมแห่งอนาคต ที่ได้นำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้เป็นครั้งแรก ให้กับลูกค้าในประเทศไทย ได้สัมผัสกับความล้ำสมัย ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์นทรงพลัง และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้สมรรถนะอันเหนือชั้น พร้อมความประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น”

มาเซราติ กิบลี ไฮบริด ใหม่ นับเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์สุดท้าทายของค่ายตรีศูล ซึ่งเป็นเสมือนการก้าวสู่ยุคอนาคตอย่างเต็มตัว

สิ่งที่นับเป็นความท้าทายของโปรเจ็กต์นี้ก็คือ ผลิตรถไฮบริดอย่างไร ไม่ให้ส่งผลกระทบกับตัวตนของแบรนด์ ทำให้ กิบลี ไฮบริด ใหม่ เป็นหนึ่งในรถไฮบริดที่ดีสุดในโลก อีกทั้งยังคงเอกลักษณ์เสียงคำรามนดุดันไว้ได้อย่างครบถ้วน

การเปิดตัว กิบลี ไฮบริด ใหม่ ช่วยขยายไลน์อัพของ มาเซราติ ให้กว้างขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของรูปลักษณ์

กิบลี ไฮบริด ผ่านการออกแบบใหม่โดย Centro Stile Maserati ทั้งภายนอกและห้องโดยสารดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โดยสิ่งที่แสดงถึงความเป็นรุ่นไฮบริดก็คือ การนำสีน้ำเงินมาใช้เพื่อสื่อถึงเทคโนโลยีไฮบริดและโลกแห่งอนาคต

สีน้ำเงินถูกนำมาตกแต่งช่องระบายอากาศด้านข้าง 3 ช่อง, คาลิเปอร์เบรก และสัญลักษณ์สายฟ้าของโลโก้ตรีศูลบริเวณเสาซี ขณะที่เบาะในห้องโดยสาร ก็ผ่านการเย็บด้วยตะเข็บสีน้ำเงิน ส่วนกระจังหน้าก็ผ่านการออกแบบใหม่ ซี่กระจังมีลักษณะคล้าย ‘ส้อมเสียง’ (Tuning Fork) เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีเสียงใสชัด

ด้านของขุมพลัง Mild Hybrid

มาเซราติ นำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสมรรถนะ ลดการใช้เชื้อเพลิงและลดมลพิษ ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับดีเอ็นเอของแบรนด์อย่างลงตัว

เทคโนโลยีไฮบริด สะสมพลังงานกลขณะลดความเร็วหรือเบรก เพื่อนำมาแปลงเป็นไฟฟ้า และชาร์จเข้าแบตเตอรี่ พร้อมติดตั้งท่อไอเสียที่ผ่านการปรับแต่งให้สามารถเปล่งเสียงคำรามตามแบบฉบับของยนตรกรรม มาเซราติ

นวัตกรรมขุมพลังไฮบริดสุดล้ำ เป็นผลลัพธ์จากมันสมองของทีมวิศวกรและฝ่ายเทคนิคของ มาเซราติ Innovation Lab ที่เมืองโมเดนา โดยผสานเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตรเข้ากับอัลเทอร์เนเตอร์ 48 โวลต์ และอิเล็กทรอนิกส์ซูเปอร์ชาร์จ (e-Booster) พร้อมแบตเตอรี่

รองรับ มีกำลังสูงถึง 330 แรงม้า (hp ) แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.
ใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 255 กม./ชม. นับเป็นเครื่องยนต์ไฮบริดโดดเด่น และเป็นผลงานแรกของเครื่องยนต์ยุคอนาคต ที่จัดผสมผสานสมรรถนะ, ความประหยัด และความเพลิดเพลินในการขับได้อย่างลงตัว ติดตั้งแบตเตอร์รี่บริเวณท้ายรถเพื่อความสมดุล และมีน้ำหนักโดยรวมเบากว่า กิบลี ดีเซล 80 กิโลกรัม

เชื่อมต่อโลกดิจิทัลครบวงจร ผ่านโปรแกรม Maserati Connect และ Maserati Intelligent Assistant โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานจาก Android Automotive ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับพร้อมอัปเดตฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ โดยอัตโนมัติ

มาเซราติ กิบลี ไฮบริด ใหม่ นับเป็นก้าวแรกสู่การทำทคโนโลยีไฮบริดมาใช้กับรถรุ่นอื่นๆ ในอนาคต วันนี้เราจะพาไปชมดีเทลและ test drive รถที่ปราดเปรียวและน่าหลงใหลคันนี้กันครับไปชมกันเลย

The New Mercedes-Maybach GLS and The new EQS.

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้ำความพร้อมในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวในประเทศไทย ส่ง 2 รุ่นหรู “Mercedes-Maybach GLS” และ “The new EQS” ลุยตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมยกระดับบริการหลังการขายต่อเนื่อง และจัดเต็มแคมเปญ StarFest ให้ลูกค้าถึง 30 กันยายนนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ย้ำความพร้อมในการมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวในประเทศไทยหนุนด้วยกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการขายใหม่ด้วยบริการที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้ำความพร้อมในการก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวในประเทศไทยภายในทศวรรษนี้ตามนโยบายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ทั้งการเตรียมความพร้อมในสายการผลิตของโรงงานประกอบรถยนต์และโรงงานแบตเตอรี่ ต่อยอดจากการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรีด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีหลากหลายที่สุด หนุนด้วยกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการขายใหม่ (New Retail Optimization Strategy) ด้วยบริการที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้นและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจให้กับแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในระยะยาว พร้อมเตรียมส่ง 2 รถยนต์หรู “Mercedes-Maybach GLS” อีกระดับของรถยนต์เอสยูวีระดับลักชัวรีที่มอบความหรูหราและความสะดวกสบายสูงสุดในทุกรายละเอียด และ “The new EQS” ยานยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกที่ผลิตในประเทศไทยที่ช่วยตอกย้ำการเดินหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ลุยตลาดรถยนต์ไทยครึ่งปีหลัง เสริมทัพด้วยการยกระดับบริการหลังการขายต่อเนื่อง ทั้งโปรแกรมบำรุงรักษาและการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ MBSP, อะไหล่ StarParts และ REMAN Part พร้อมย้ำแคมเปญ “StarFest 2021: Season of the ultimate offers” มอบสิทธิประโยชน์มากมายให้กับผู้ซื้อรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ถึง 30 กันยายนนี้

มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตามที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจีได้มีการประกาศออกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวทั่วโลกภายในทศวรรษนี้ โดยเริ่มจากการเปิดตัวโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 แบบในปี 2568 ได้แก่ MB.EA, AMG.EA และ VAN.EA ซึ่งในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในสายการผลิตให้สอดคล้องกับกลยุทธ์นี้ไว้ก่อนแล้ว ทั้งการเตรียมความพร้อมในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานประกอบรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย และการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) และการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2562 ต่อยอดจากการที่เราเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรีด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในแต่ละเซกเมนต์ที่สุด โดยก่อนหน้านี้ เรายังมีการประกาศกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพในการขายใหม่ โดยใช้ศูนย์บริการเป็น “พื้นที่สร้างประสบการณ์” เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการสร้างแพลตฟอร์มการสื่อสารเพื่อสื่อภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ลักชัวรีด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ตอบรับความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจของเราในระยะยาว ทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่พร้อมก้าวไปข้างหน้าทั้งในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป”

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้เตรียมสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยการแนะนำ 2 รถยนต์ลักชัวรีรุ่นใหม่ที่จะสะกดทุกสายตาด้วยรายละเอียดที่เป้นที่สุดของความหรูหราและความทันสมัย ได้แก่ Mercedes-Maybach GLS ยนตรกรรมที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกระดับของความเป็นรถยนต์เอสยูวีระดับลักชัวรี ที่มอบความหรูหราและความสะดวกสบายสูงสุดในทุกรายละเอียด และ The new EQS รถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกที่ผลิตในประเทศไทยโดยพัฒนาขึ้นมาจากแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าระดับ Executive Class ที่หลอมรวมทั้งเทคโนโลยี ดีไซน์ ฟังก์ชันการใช้งาน และการเชื่อมต่อที่มอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังเตรียมผลิตและจำหน่ายรถยนต์รุ่น S-Class ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในเวอร์ชัน PHEV ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน The IAA MOBILITY 2021 ในวันที่ 5 กันยายนนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์จะอัปเดตอีกครั้งว่ารถยนต์แต่ละรุ่นจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในช่วงเวลาใด

ขณะเดียวกัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมีแผนการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายรถยนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็น sub-brand ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั้ง Mercedes-EQ และ Mercedes-Maybach โดยล่าสุดได้มีการแต่งตั้งผู้จำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Maybach อย่างเป็นทางการแล้ว 4 แห่ง ได้แก่ ทีทีซี, สตาร์แฟลกไพรมัส และ บีเคเค

นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังพร้อมยกระดับบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยสูงสุดสำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ และพนักงานเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกคนด้วยมาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มงวดภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยในส่วนของบริการหลังการขาย เมอร์เซเดส-เบนซ์ย้ำความพิเศษของโปรแกรมบำรุงรักษาและการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ MBSP ที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจไม่รู้จบให้กับลูกค้าโดยเฉพาะ ด้วยแพ็คเกจที่หลากหลายให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ Compact, Advance, Extra และ Excellent พร้อมทั้งมอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ใช้บริการ ทั้งในเรื่องการบำรุงรักษา การเปลี่ยนอะไหล่ที่สึกหรอ และการขยายการรับประกันคุณภาพโดยไม่จำกัดระยะทาง พร้อมทั้งขยายความคุ้มครองได้สูงสุดถึง 8 ปี

ในด้านความหลากหลายของอะไหล่ เมอร์เซเดส-เบนซ์มีทั้ง StarParts อะไหล่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น พร้อมช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้สูงสุด 55% เพื่อการบำรุงรักษารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อายุ 5 ปีขึ้นไป ครอบคลุมทั้งรถยนต์คอมแพ็ค รถยนต์นั่งระดับกลาง รถยนต์เอสยูวี และรถยนต์สปอร์ต และ REMAN part ซึ่งเป็นอะไหล่แท้ที่ผ่านกระบวนการ Remanufacturing ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์คิดค้นขึ้นเพื่อลดการใช้ทรัพยากรและแรงงานในขั้นตอนการผลิตอะไหล่แท้ชิ้นใหม่ โดยมีการฟื้นฟูสภาพ ตรวจสอบ และทดสอบคุณภาพตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำให้อะไหล่ในกลุ่มนี้มีราคาย่อมเยาขึ้น ช่วยให้ลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี โดยอะไหล่ REMAN จะมีทั้งในชุดอุปกรณ์หลัก ชิ้นส่วนสำหรับกลไก ระบบหัวฉีดและการบำบัดไอเสีย ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบขับเคลื่อน โดยลูกค้าผู้ใช้เมอร์เซเดส-เบนซ์หลายรุ่นสามารถเข้ารับบริการและเลือกใช้อะไหล่ REMAN ได้ที่ศูนย์บริการรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังจัดแคมเปญ StarFest 2021: Season of the ultimate offers เพื่อมอบข้อเสนอสุดเร้าใจของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั้งในกลุ่ม Compact car, Contemporary Luxury, Dream Cars รวมถึงแบรนด์รถสปอร์ตสมรรถนะสูงอย่าง “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” ให้ลูกค้ารับข้อเสนอไปแบบเต็มพิกัด ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายนนี้

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ทุกรุ่น แคมเปญต่าง ๆ และรายละเอียดเกี่ยวกับบริการหลังการขายได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

ฉลองครบรอบ 50 ปียานยนต์ระดับตำนาน Lamborghini Countach เผยโฉมโมเดลใหม่ LPI 800-4 เป็นครั้งแรกของโลกที่งาน The Quail: A Motorsports Gathering

แม้ว่าจะล่วงเลยมากว่า 50 ปีแล้วก็ตาม นับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกของ Lamborghini Countach ในงาน Geneva International Motor Show แต่ดูเหมือนว่าตำนานที่ไม่เคยหลับใหลคันนี้ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจหลักในการออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่ผลิตในโรงงาน Sant’Agata Bolognese มาจนถึงปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็น Aventador, Huracán, Sián, หรือแม้แต่ Urus ก็ล้วนหยิบเอาดีเอ็นเอคาแรคเตอร์บางอย่างของ Countach มาผสมผสานได้อย่างแยบยล

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 ยุคที่ขึ้นชื่อว่าเฟื่องฟูที่สุดสำหรับการออกแบบ – กระทิงดุอย่าง Countach ได้เผยโฉมอย่างสง่างามในดีไซน์ที่ล้ำสมัยแบบสุดขั้ว ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า ‘Countach’ ยังเป็นคำอุทานของภาษา Piedmontese หนึ่งในภาษาพื้นเมืองอิตาลี ที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจและความชื่นชมในบางสิ่งบางอย่างอีกด้วย

โดยในช่วงปีไล่เลี่ยกันนี้ ยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของหลากหลายเหตุการณ์ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบและครีเอทีฟทั่วโลก รวมถึงมีอิทธิพลต่อแนวคิดการออกแบบ Countach ของ Marcello Gandini อีกด้วย อาทิ การแข่งขันทางอวกาศเพื่อมวลมนุษยชาติ, การถือกำเนิดของเทคโนโลยีขั้นสูงที่กลายมาเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย, เทรนด์แฟชั่นที่เชื่อมโยงกับลวดลายเรขาคณิตและสีสันที่สดใส, การเข้าสู่ยุคเครื่องบินเจ็ต ที่สำคัญ Countach ยังเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง อย่าง Ferruccio Lamborghini ที่เชื่อมั่นตั้งแต่แรกเริ่มว่า การปฏิวัติวงการยานยนต์ ณ เวลานั้น ย่อมส่งอิทธิพลถึงสไตล์ของโมเดล Lamborghini ในอนาคต โดยเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Countach ที่ถ่ายทอดดีเอ็นเอมายังกระทิงดุรุ่นหลัง ๆ อาทิ ประตูแบบ Scissor Doors ซึ่งเป็น  ซิกเนเจอร์ของรถยนต์เครื่องยนต์ V12 ของค่ายลัมโบร์กินี และ Countach เป็นรถรุ่นแรกที่ใช้ประตูรูปแบบนี้ของแบรนด์อีกด้วย

เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีให้กับ Countach ในฐานะยนตรกรรมแห่งขบถที่ฉีกกรอบการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างไร้ที่ติ – Lamborghini ได้เผยโฉม Countach LPI 800-4 เป็นครั้งแรกของโลกที่งาน The Quail: A Motorsports Gathering โดยไอคอนนิคความแรงล่าสุดแห่งศตวรรษที่ 21 นี้ มาพร้อมตัวถังในโทนสีขาว Bianco Siderale ที่ซ่อนดีเทลสีฟ้ามุกไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญยังชวนให้นึกถึง Countach LP 400 S คันโปรดของ Ferruccio Lamborghini อีกด้วย ภายในตกแต่งด้วยเฉดสีแดง-ดำ ซึ่งแม้จะถูกปรับดีเทลให้ทันสมัยและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันมากขึ้น แต่แบรนด์กลับคงกลิ่นอายของ Countach ต้นแบบไว้ได้อย่างครบครัน อาทิ Square Motif บนเบาะที่นั่งสไตล์สปอร์ต โดย Countach LPI 800-4  มาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดด้วยเครื่องยนต์ V12 ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์ไฟฟ้า 48V และระบบซูเปอร์คาปาซิเตอร์ที่ช่วยมอบพละกำลังสูงสุด 780 แรงม้าจากเครื่องยนต์ และ 34 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า

ซึ่งนอกจากสีที่เปิดตัวแล้ว เจ้าของ Countach LPI 800-4 รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น ยังสามารถปรับแต่งสีของรถตามสไตล์ของตนเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นสีที่สะท้อนความเป็น Heritage Style ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีแบบ Solid เช่น สีที่โดดเด่นอย่าง สีขาว Impact White และสีเขียว Verde Medio หรือหากเจ้าของรถต้องการสีที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น ก็ยังมีสีแบบเมทัลลิกให้เลือกตามชอบ เช่นสียอดนิยมอย่าง สีม่วง Viola Pasifae หรือ สีฟ้า Blu Uranus

โดยรุ่นพิเศษนี้ผลิตจำกัดเพียง 112 คันเท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อโปรเจกต์ ‘LP 112’ ที่ตั้งขึ้นในช่วงการพัฒนา Countach ตัวต้นแบบนั่นเอง

ร่วมสัมผัสความหรูหราโฉบเฉี่ยวของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

เรื่องเรียบเรียง  rhunrun