The Chase for Carrera

ครั้งแรกของโลก! กับภาพยนตร์สั้นแนวแอ็คชั่น-คอมเมดี้ของ Ryan Gosling เพื่อร่วมฉลองวาระครบรอบ 60 ปี Carrera (คาร์เรรา) นาฬิกาเรือนไอคอนิกของ TAG Heuer

เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีของ TAG Heuer Carrera แบรนด์นาฬิกาชั้นสูงของสวิตเซอร์แลนด์ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่กล้าหาญและไม่เคยมีใครทำมาก่อน เช่นเดียวกับการออกแบบนาฬิกาของพวกเขา นั่นก็คือ การเปิดตัวภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นคอมเมดี้ของฮอลลีวูด นำแสดงโดย Ryan Gosling แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ TAG Heuer (นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง Drive และ The Gray Man) และ Vanessa Bayer (วาเนสซ่า เบเยอร์) (จากภาพยนตร์เรื่อง I Love That For you และ Saturday Night Live) หนังระทึกขวัญไล่ล่าสุดแหวกแนวกับเรื่องราวการหนีของ Gosling จาก Prop Master หรือผู้ออกแบบและจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉากที่นำแสดงโดย Bayer ซึ่งพยายามที่จะถอดนาฬิกา TAG Heuer Carrera เรือนอันเป็นที่รักของเขาออกจากข้อมือ และเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้วางแผนที่จะให้เธอทำเช่นนั้น

อำนวยการสร้างโดย 87 North ของ David Leitch ผู้รับผิดชอบภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นที่โด่งดังที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่ John Wick (จอห์น วิค) จนถึง Deadpool 2 (เดดพูล 2) และเมื่อปีที่แล้วกับเรื่อง Bullet Train (บูลเล็ท เทรน) ซึ่งกำกับโดย Nash Edgerton (แนช เอ็ดเกอร์ตัน) (ภาพยนตร์เรื่อง Mr. Inbetween) Gosling ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Chase for Carrera ในขณะที่ร่วมงานกับ Leitch ในภาพยนตร์เรื่อง The Fall Guy ในประเทศออสเตรเลีย ทั้ง Gosling และ Leitch ต่างมีส่วนร่วมในผลงานสร้างสรรค์ของ The Chase for Carrera และผลลัพธ์ที่ได้คือภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างแท้จริง

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะได้เห็น Gosling และ Bayer ดวลกันในรูปแบบไฮ-ออกเทน เมื่อทุกอย่างตั้งแต่รถสปอร์ตรุ่นดังไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ และรถบั๊กกี้ไฟฟ้าที่ใช้ในกองถ่ายวิ่งผ่านฉากภาพยนตร์ต่างๆ ในมุมมองของสัดส่วนหนังระดับบล็อกบัสเตอร์หรือหนังที่ประสบความสำเร็จสูง ด้วยความรอบรู้ในการจัดฉากภาพยนตร์ในภาพยนตร์ที่ Leitch รับบทเป็นผู้กำกับในหนังด้วย

การเฉลิมฉลองที่เป็นเกียรติสำหรับนาฬิกาเรือนไอคอนิกที่ถือกำเนิดจากสนามแข่ง เมื่อได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในปี 1963 โดย Jack Heuer (แจ็ค ฮอยเออร์) อดีต CEO ในตำนานของ TAG Heuer ตั้งชื่อตามการแข่งขัน Carrera Panamericana (คาร์เรรา แพนอเมริกานา) ที่โด่งดังและอันตราย ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเรียบง่ายและการอ่านค่าได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งจำเป็นสำหรับผู้ขับขี่ในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลงานระดับไอคอน ที่สง่างามและสวมใส่สะดวกสบาย ในดีไซน์ที่สะท้อนความกล้าและความเป็นสปอร์ตสุดเท่ สื่อถึงความรักของ Heuer ที่มีต่อการออกแบบในช่วงกลางศตวรรษซึ่งยังคงความเป็นอมตะตลอด 60 ปีที่ผ่านมา

@TAGHeuer
#TAGHeuerCarrera60

‘Lamborghini Revuelto’ รถยนต์ไฮบริดเครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรกของโลก!

เนื่องในโอกาสการฉลองครบรอบ 60 ปีทาง Automobili Lamborghini ได้เปิดตัว Revuelto รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) รุ่นแรกของแบรนด์ สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะ ภาพลักษณ์แนวสปอร์ต และประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ ด้วยสถาปัตยกรรมโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นวัตกรรมการออกแบบรถยนต์ ระบบอากาศพลศาสตร์ประสิทธิภาพสูง และคอนเซ็ปต์ใหม่ของการใช้โครงคาร์บอนไฟเบอร์ กำลังเครื่องยนต์รวมสูงสุดอยู่ที่ 1,015 CV  ที่ผสานพลังระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยทำงานร่วมกับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ดีไซน์ใหม่ ซึ่งถูกเปิดตัวในรถยนต์ลัมโบร์กินี 12 สูบรุ่นนี้เป็นครั้งแรก


Revuelto นำอนาคตแห่งการออกแบบรถยนต์ของลัมโบร์กินีสู่ท้องถนนในวันนี้ โดยยังคงยึดมั่นในดีไซน์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟของลัมโบร์กินีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง หากสื่อสารด้วยสไตล์การออกแบบแนวใหม่ในทุกรายละเอียด รวมถึงการยังเชื่อมโยงเครื่องยนต์ V12 ระดับตำนานอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ ตลอดจนการออกแบบสัดส่วนใหม่ เพื่อเปิดประตูสู่อนาคตอันสดใสของลัมโบร์กินี ในขณะที่ Revuelto นำเสนอความล้ำหน้าแบบก้าวกระโดดด้วยดีไซน์ใหม่หมดจดทั้งภายนอกและภายใน หากแรงบันดาลใจจากเครื่องยนต์ V12 ในตำนานยังคงอยู่อย่างชัดเจน ด้วยต้นแบบจากรุ่น Countach ในปี 1971 และสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบซึ่งได้รับการพัฒนามาเพื่อติดตั้งตามแนวยาว ทำให้รถยนต์รุ่นนี้มอบสไตล์ที่งดงามอย่างแท้จริง ชวนให้นึกถึงความล้ำหน้าของยุคอวกาศ ทั้งยังเป็นการสร้างนิยามใหม่ของแบบฉบับรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่น V12 ของลัมโบร์กินี และยังนำเสนอหนึ่งในองค์ประกอบอันโดดเด่นของรถยนต์เครื่อง V12 นั่นคือประตูปีกนกที่เปิดในแนวตั้ง (Scissor Doors) ซึ่งได้สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัวให้แก่ Revuelto อย่างน่าประทับใจ

อีกทั้ง Revuelto ยังได้มอบภาพลักษณ์ของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสนามแข่ง ผสานคาแรกเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ขับขี่ได้ทุกวันพร้อมความสามารถอันโดดเด่นมากมาย และยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษในขั้นตอนการออกแบบเพื่อสร้างห้องโดยสารที่กว้างขวางและใช้งานง่าย ไม่เพียงเท่านั้น รถคันนี้ยังได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์สุดเร้าใจและการควบคุมที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนนและโหมดการขับขี่ สร้างความรู้สึกที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ พร้อมยกระดับความมั่นใจที่ไม่มีนักขับคนไหนเคยสัมผัสมาก่อน นวัตกรรมที่ถูกนำมาติดตั้งใน Revuelto ล้วนเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละด้าน ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้างและดุลยภาพยานยนต์ ผ่านแนวทางที่ล้ำหน้าในการใช้โครงแชสซีและการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไปจนถึงระบบส่งกำลังแบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ช่วยเสริมกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถสร้างโหมดการขับขี่ใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ (Zero-emission 4WD) เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การเดินทางที่แตกต่างกันได้มากถึง 13 รูปแบบอีกด้วย

อีกระดับของความหรูหรา BMW Excellence Club เอกสิทธิ์สุดพิเศษสำหรับเจ้าของรถบีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่ม Luxury Class

BMW Excellence Club โปรแกรมสุดพิเศษที่รังสรรค์โดยบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย สำหรับเจ้าของรถในกลุ่ม Luxury Class ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู X7, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู i7, บีเอ็มดับเบิลยู 
ซีรี่ส์ 8 และบีเอ็มดับเบิลยู XM เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสนิยามของความเหนือระดับตามแบบฉบับของ BMW Luxury Class อย่างแท้จริงทั้งในด้านประสบการณ์การขับขี่สุดหรูหรา และในด้านการใช้ชีวิตที่เหนือระดับอย่างรอบด้าน โดยลูกค้าที่ซื้อรถบีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่ม Luxury Class จะได้รับสิทธิในการร่วมเป็นสมาชิก BMW Excellence Club นาน 3 ปี และเลือกรับสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับความต้องการ พร้อมด้วยเอกสิทธิ์ในการเข้าร่วมหลากหลายกิจกรรมสุดพิเศษกับบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ว่าจะเป็น รายการแข่งขันวิ่งเบอร์ลิน มาราธอน การเข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย

สมาชิก BMW Excellence Club สามารถเลือกแพ็คเกจสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์จากทั้งหมด 6 แพ็คเกจ ซึ่งมาพร้อมกับเอกสิทธิ์และเครดิตสำหรับเลือกเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแพ็คเกจ Business Travel แพ็จเกจสำหรับลูกค้าคนพิเศษที่ต้องการเติมเต็มสุนทรียภาพแห่งการเดินทาง ด้วยเอกสิทธิ์พิเศษที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าตั้งแต่ก้าวแรกของการเดินทาง แพ็คเกจ Dining Experience แพ็คเกจสำหรับนักชิมด้วยประสบการณ์มื้ออาหารสุดพิเศษที่ภัตตาคารระดับมิชลินสตาร์ แพ็คเกจ Wellness Experience แพ็คเกจสำหรับชาร์จพลังให้กับร่ายกายและจิตใจด้วยที่พัก
สุดหรูพร้อมคอร์สสปา แพ็คเกจ Sports Experience แพ็จเกจสำหรับสายแอคทีฟ

รวมกิจกรรมเติมสีสันความสนุกให้แก่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การล่องเรือยอชต์ การนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมทะเล คลาสล่องเรือใบ ตีกอล์ฟที่สนามชั้นนำ แพ็คเกจ Family Experience แพ็คเกจเพื่อสร้างความทรงจำกับคนพิเศษหรือครอบครัวด้วยการทำกิจกรรมสนุก ๆ ร่วมกัน เช่น การล่องเรือยอชต์สุดหรู หรือสนุกเต็มอิ่มที่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ แพ็คเกจ Long Trip แพ็คเกจเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริงด้วยอภินันทนาการที่พัก 4 วัน 3 คืน พร้อมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง

สิทธิ์เป็นสมาชิก Club Marriott ระยะเวลา 1 ปี การรับรอง จาก BMW Excellence Club Concierge ที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจัดแผนการท่องเที่ยวหรือ
การนัดหมายต่าง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง สิทธิพิเศษในการเข้าร่วมกิจกรรมการเฉลิมฉลองสุดพิเศษในบรรยากาศอันน่าจดจำสำหรับเทศกาลและโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ ลอยกระทง และวันคริสต์มาส พร้อมสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อย่างชั้นเรียนและเวิร์คช็อปต่าง ๆ กิจกรรมและการแสดงสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีประจำทุกเดือน นอกจากนี้ สมาชิก Excellence Club ยังจะได้รับเชิญเข้าร่วมงานเปิดตัวรถยนต์ต่าง ๆ ของบีเอ็มดับเบิลยูแบบเอ็กซ์คลูซีฟอีกด้วย

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและตรวจสอบเงื่อนไขได้ที่ https://www.bmw.co.th/th/discover/bmw-excellence-club.html

สัมผัสสุดยอดประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับบน Lamborghini LB744

ลัมโบร์กินี (Lamborghini) เผยข้อมูลเชิงลึกด้านไดนามิกการขับขี่ก่อนการเปิดตัวรอบปฐมฤกษ์ของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตระบบไฮบริด ซึ่งเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) โดยนวัตกรรมยานยนต์ซึ่งใช้ชื่อรหัส LB744 ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์สุดเร้าใจและการควบคุมที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนนและโหมดการขับขี่ สร้างความรู้สึกที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ พร้อมยกระดับความมั่นใจที่ไม่มีนักขับคนไหนเคยสัมผัสมาก่อน ตามไฮไลต์ด้านล่าง

  • รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรกจากลัมโบร์กินี มอบสุดยอดแห่งประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างถึง 13 รูปแบบ
  • เปิดตัวระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าและระบบ LDVI 2.0 (ระบบคาดการณ์การขับขี่ล่วงหน้า)
  • มอบสัมผัสการขับขี่ที่เต็มอารมณ์ การควบคุมที่สมบูรณ์แบบ และการตอบสนองฉับไวทั้งในสนามแข่งและบนท้องถนน

นวัตกรรมที่ถูกนำมาติดตั้งใน LB744 ล้วนเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละด้าน ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้างและดุลยภาพยานยนต์ ผ่านแนวทางที่ล้ำหน้าในการใช้โครงแชสซีและการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไปจนถึงระบบส่งกำลังแบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ช่วยเสริมกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถสร้างโหมดการขับขี่ใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ (Zero-emission 4WD) เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การเดินทางที่แตกต่างกันได้มากถึง 13 รูปแบบ 

LB744 ใช้เลย์เอาต์การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 6.5 ลิตร บริเวณกลางตัวรถและมีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรก จะอยู่ที่เพลาขับคู่หน้า และอีก 1 ตัว จะถูกติดตั้งอยู่กับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีดรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชุดเกียร์ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ โดยเป็นการติดตั้งแนวขวางอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์สันดาป V12 เป็นครั้งแรก ส่วนพื้นที่ของอุโมงค์เกียร์ที่มีมาตั้งแต่รุ่น Countach นั้นถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนพลังสูงเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า

ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าช่วยเพิ่มความฉับไวให้กับตัวรถเมื่อต้องเข้าโค้งที่แคบ รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงโดยช่วยกระจายแรงบิดในแต่ละล้อได้อย่างดีเยี่ยมและยังทำงานสอดคล้องกับระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ นอกจากนี้ ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ารุ่นใหม่ยังแตกต่างจากแบบเดิม โดยระบบจะเข้ามาช่วยเบรกเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและเสริมการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติตลอดจนสมรรถนะที่สูงขึ้น โดยเมื่อทำการเบรก เพลาไฟฟ้า (e-axle) และมอเตอร์ไฟฟ้าตัวท้ายจะช่วยชะลอความเร็ว ลดแรงกดบนเบรกไปพร้อม ๆ กับการชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน โครงแชสซีที่เลือกใช้ยังช่วยยกระดับพลศาสตร์ของตัวรถได้อย่างมาก

โดย LB744 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของลัมโบร์กินีที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวถังแบบ Monocoque ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากอุตสาหกรรมการบินโดยผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด (เบากว่าโครงแชสซีรุ่น Aventadorถึง 10%) ผสานกับระบบขับเคลื่อนพลังงานประสิทธิภาพสูงเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานต่อแรงบิด (+25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador) ทำให้ LB744 มีความเสถียรเป็นเลิศ พร้อมช่วยเสริมความคล่องแคล่วและการตอบสนองที่ฉับไวให้กับตัวรถในภาพรวม

สิ่งที่เปิดตัวพร้อมกับระบบไฮบริดก็คือ 3 โหมดการขับขี่รูปแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดเดิมอย่าง Città (City), Strada, Sportและ Corsa ซึ่งสามารถเลือกปรับได้ด้วยการใช้โรเตอร์ 2 ตัวบนพวงมาลัยที่ออกแบบใหม่ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดจะสามารถตั้งค่าไดนามิกได้

ถึง 13 รูปแบบ เพื่อให้ LB744 แสดงบุคลิกและศักยภาพที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และสภาพพื้นถนน หรือแม้แต่บนสนามแข่งขันที่รถยนต์กำลังพุ่งทะยานอยู่  

ยกตัวอย่างเช่น โหมด Città ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ประจำวันในย่านกลางเมืองด้วยอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่คอยให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้าจำเป็นต้องได้รับการชาร์จไฟแต่พื้นที่แถบนั้นไม่มีสถานีชาร์จ เครื่องยนต์ V12 จะเข้ามาทำงานเพื่อชาร์จไฟจนเต็ม (เข้าสู่โหมด Recharge) ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งทำให้รถยนต์รุ่นนี้สามารถแล่นเข้าไปในพื้นที่ที่มีกฎระเบียบควบคุมการปล่อยก๊าซมลพิษได้ด้วยการใช้โหมดไฟฟ้า โดยที่ระบบกันสะเทือน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และชุดเกียร์ จะมอบความสบายสูงสุดในการขับขี่ ซึ่งแรงต้านอากาศที่น้อยลงยังทำให้โหมด Città มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีที่สุดโดยจำกัดกำลังเครื่องสูงสุดที่ 180 แรงม้า

โหมด Strada เหมาะที่สุดสำหรับการขับขี่ประจำวันที่เน้นสัมผัสแบบไดนามิกและการวิ่งทางไกล ซึ่งผสานการขับขี่แบบสบาย ๆ เข้ากับสัมผัสแนวสปอร์ตด้วยกำลังเครื่องสูงสุดที่ 886 CV โดยเครื่องยนต์ V12 จะทำงานตลอดเวลาเพื่อทำการชาร์จไฟแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะไปช่วยเสริมการขับขี่ในโหมด Recharge ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนเพลาไฟฟ้าด้านหน้า (e-axle) ด้านหน้ารองรับระบบกระจายแรงบิดและการทำงานของระบบอากาศพลศาสตร์แบบ active เพื่อมอบเสถียรภาพสูงสุดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง เช่น บนทางหลวง 

เมื่อเลือกโหมด Sport จะทำให้ LB744 เปลี่ยนสมรรถนะไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถจะถูกปรับค่าเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจให้คุณโลดแล่นไปอย่างสนุกสนาน พร้อมกำหนดรูปแบบการตอบสนองในแต่ละโหมดการขับขี่ 3 แบบที่ทำงานร่วมกันคือ Recharge, Hybrid และPerformance โดยเครื่องยนต์สันดาปซึ่งควบคุมโดยระบบไฮบริดจะทำงานกับทั้ง 3 สถานการณ์การขับขี่และมอบกำลังเครื่องสูงสุดที่ 907 CV พร้อมเสียงคำรามอันกึกก้องของเครื่องยนต์ V12 อันน่าหลงใหล ส่วนชุดเกียร์จะตอบสนองการทำงานในระดับสูงสุด ในขณะที่ระบบกันสะเทือนและระบบอากาศพลศาสตร์จะช่วยยกระดับความคล่องตัวที่ฉับไว ให้คุณเข้าโค้งได้อย่างสนุกเร้าใจมากขึ้น

หากต้องการสุดยอดแห่งประสบการณ์ไดนามิกและพลังที่เต็มเปี่ยม ทั้งในแง่ประสิทธิภาพการขับขี่และพลังเสียง ต้องเลือกโหมด Corsa ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นย้ำถึงศักยภาพด้านสุดยอดไดนามิกบนสนามแข่งขันของ LB744 โดยในโหมด Performance ระบบส่งกำลังจะแสดงพลังสูงสุดด้วยกำลังเครื่องถึง 1,015 แรงม้า และการควบคุมระบบไฮบริดจะถูกปรับให้รีดศักยภาพของเพลาไฟฟ้า (e-axle) ออกมาทั้งหมด ทั้งในด้านเวกเตอร์แรงบิดและการขับเคลื่อนในทุกล้อ เพื่อสร้างประสบการณ์ขับขี่ระดับ Ultra-sport ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้  โดยในโหมด Corsa Recharge นักขับสามารถเน้นการชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้มากที่สุด สำหรับนักขับที่เชี่ยวชาญก็สามารถเลือกปิด ESC เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งพลังได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีระบบช่วยขับและเร้าใจได้ตั้งแต่ออกสตาร์ทด้วยกำลังเครื่องสูงสุดผ่านฟังก์ชั่น “Launch Control” ซึ่งเปิดทำงานได้ด้วยการกดค้างปุ่มตรงกลางโรเตอร์ตัวซ้าย

rhunurn เรียบเรียง

Horizon Light Up รุ่นที่สามจาก Louis Vuitton กับหูฟังไร้สายระดับไฮเอนด์ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์และมิติของย่านเสียงเหนือระดับ

หลุยส์ วิตตองพาเดินทางสู่จังหวะแห่งเสียงเพลง กับการเปิดตัวหูฟัง Horizon Light Up รุ่นที่สาม ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มนวัตกรรมผลงานแห่งการเชื่อมต่อระดับไฮเอนด์ของเมซง รังสรรค์เพื่อที่สุดแห่งงานดีไซน์อันประณีต พร้อมการผสมผสานประสิทธิภาพแห่งพลังเสียง

ชมทุกดีไซน์ทั้ง 5 แบบได้ด้านล่างเลยครับ

rhunrun เรียบเรียง

Lamborghini LB744 นวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ โดดเด่นด้วยความเบาที่ได้แรงบันดาลใจจากอุตสาหกรรมการบิน

Lamborghini LB744

นวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ โดดเด่นด้วยความเบา

  • นวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ล่าสุด “Monofuselage” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวถัง Monocoque ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน โดยผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด
  • รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นแรกที่มีโครงสร้างด้านหน้าเป็น Forged Composites 100% (กรรมวิธีการผลิตคาร์บอนรูปแบบหนึ่ง)
  • เพิ่มความแข็งแรงและทนต่อแรงบิดได้มากขึ้น พร้อมน้ำหนักที่เบาลงอย่างมีนัยสำคัญ

ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) คือสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมที่ล้ำสมัย โดยช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) แบรนด์รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตแห่ง Sant’Agata Bolognese ก็ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านเทคนิคอันโดดเด่นซึ่งสร้างกระแสฮือฮาในวงการยานยนต์ระดับโลก

โดยรถยนต์ซึ่งใช้ชื่อรหัส LB744 ได้นำเสนอนวัตกรรมโครงสร้างแบบใหม่ล่าสุด “Monofuselage” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวถัง Monocoque ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน โดยถูกผลิตด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด ซึ่ง Monofuselage มีโครงสร้างส่วนหน้าเป็น Forged Composites ซึ่งเป็นวัสดุพิเศษที่ผลิตจากชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดเล็ก ชุบด้วยเรซิ่น โดยลัมโบร์กินีได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีนี้และเริ่มใช้ในการผลิตโครงสร้างเป็นครั้งแรกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008

โครงสร้าง Monofuselage แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญต่อจากรุ่น Aventador ทั้งในด้านประสิทธิภาพความแข็งแรงและทนต่อแรงบิด คุณสมบัติน้ำหนักเบา และพลศาสตร์การขับขี่ นอกจากนี้ LB744 ยังเป็นรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นแรกที่ใช้โครงสร้างส่วนหน้าเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ 100% โดยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ยังใช้กับโครงรูปโคนส่วนหน้าเพื่อยกระดับการดูดซับพลังงาน ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างโลหะแบบดั้งเดิม และมากกว่าเป็นสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงส่วนหน้าแบบอลูมิเนียมของรุ่น Aventador บวกกับคุณสมบัติน้ำหนักที่เบาลงอย่างมาก

ข้อเท็จจริงคือโครงสร้าง Monofuselage ของ LB744 มีน้ำหนักเบากว่าโครงแชสซีของรุ่น Aventador ถึง 10% และโครงส่วนหน้าเบากว่าโครงอลูมิเนียมของรุ่นก่อนหน้าถึง 20% นอกจากนี้ ความแข็งแรงและทนต่อแรงบิดยังเพิ่มขึ้นไปที่ 40,000 Nm/° ซึ่งสูงขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นAventador ซึ่งการันตีสมรรถนะที่เป็นเลิศด้านพลศาสตร์ที่ดีที่สุดในคลาสอีกด้วย

การผลิตชิ้นส่วน Forged Composites ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมความยั่งยืนในกระบวนการผลิต ผ่านการลดอัตราการใช้พลังงานของอุปกรณ์หล่อเย็นและลดปริมาณของเศษขยะวัสดุต่าง ๆ ให้น้อยลง

ในส่วนการผลิตโครงหลังคา ยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตจากเครื่อง autoclave ซึ่งไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของความแข็งแกร่งลดลง โดยเทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกผสานเข้ากับมาตรฐานด้านเทคนิค ความงาม และคุณภาพระดับสูง เสริมด้วยงานฝีมือในกระบวนการขึ้นรูปที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูงซึ่งสั่งสมจากประสบการณ์นานนับปีในการผลิตชิ้นส่วนคอมโพสิตของบริษัทที่มุ่งเน้นที่คุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ถือเป็นแนวทางการผลิตที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแบบหลังคาได้หลากหลายและตรงใจมากที่สุด

LB744 ยังเป็นเสมือนการนับ “ปีที่ศูนย์” เพื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตรถยนต์ซึ่งใช้ตัวย่อว่า AIM (Automation, Integration, Modularity) โดย “Automation” หมายถึงการใช้กระบวนการผลิตอัตโนมัติระบบดิจิทัลในการแปรรูปวัสดุ พร้อมกับการอนุรักษ์การผลิตแบบดั้งเดิมของลัมโบร์กินี อาทิ ศาสตร์การใช้วัสดุคอมโพสิต เป็นต้น 

“Integration” คือการผสานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มารวมอยู่ในชิ้นส่วนเดียวผ่านการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปแบบบีบอัด (Compression Moulding) กระบวนการนี้ใช้โพลิเมอร์ที่ถูกให้ความร้อนก่อน (Preheated Polymers) เพื่อให้สามารถผลิตชิ้นส่วนที่มีความยาว ความหนา และความซับซ้อนที่แตกต่างกันได้ ทั้งยังช่วยรับประกันการผสานเข้ากันของชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเพื่อสร้างความแข็งแกร่งต่อแรงบิดในระดับสูง และสุดท้าย “Modularity” หมายถึงการสร้างเทคโนโลยีประยุกต์แบบโมดูลาร์ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมรองรับข้อกำหนดและลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ได้ทุกรูปแบบ

rhunrun เรียบเรียง

พาย้อนชมทุกเรื่องราวก่อนปิดฉากตำนานเครื่องยนต์ V12 จิตวิญญาณอันเร้าใจของยานยนต์คาแรคเตอร์เท่ ลัมโบร์กินี 


เตรียมโบกมือลาสาวกกระทิงดุอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศผลงานการผลิตขุมพลังเบนซินอันยอดเยี่ยมที่ขับเคลื่อน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) มายาวนานกว่า 60 ปี ก่อนได้เวลาเดินทางเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มตัวกับการเปิดตัวรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ไฮบริดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ซึ่งก่อนที่เราจะไปเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ร่วมกัน จึงถือโอกาสนี้รวบรวมทุกเรื่องราวน่าจดจำเพื่อเป็นเกียรติส่งท้ายให้กับตำนานเครื่องยนต์สุดยิ่งใหญ่แห่งยนตรกรรมโลก

เครื่องยนต์ V12 ถือเป็นหัวใจสำคัญของลัมโบร์กินีมาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งจวบจนปัจจุบันมีการผลิตเครื่องยนต์ V12 เพียงแค่ 2 รุ่นที่ถูกวางอยู่ในรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ โดยรุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์พื้นฐานสำหรับรถแข่งที่ “ถูกปรับแต่ง” สำหรับใช้วิ่งบนท้องถนนซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของจิอ็อตโต้ บิซซารินี เปิดตัวครั้งแรกในรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นแรกอย่าง 350 GT ส่วนเครื่องรุ่นที่สองถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดแต่ยังคงยึดแนวคิดเชิงเทคนิคแบบเดิม ติดตั้งครั้งแรกในรถยนต์ตระกูล Aventador เปิดตัวในปี 2011 ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของบริษัท ตลอดจนการสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านกำลังเครื่องและประสิทธิภาพที่มั่นใจได้

เดิมทีบิซซารินีรังสรรค์เครื่องยนต์ V12 เพียงเพื่อสร้างโอกาสให้บริษัทสามารถก้าวเข้าสู่โลกของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทว่า เฟอร์รุชโช ลัมโบร์กินี กลับนำมาทำเป็นเครื่องยนต์สำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ จนกลายเป็นเรื่องราวแห่งยนตรกรรมอันน่าหลงใหลที่สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยหลังจากใช้ในรถยนต์ 350 GT และรุ่นต่อยอดอื่นๆ เครื่องยนต์ V12 ได้ถูกนำมาวางไว้ในรถยนต์Miura ในปี 1966, Countach ในปี 1971, Diablo ในปี 1990 รวมถึงรุ่น Murciélago

เมื่อเครื่องยนต์ถูกพัฒนาให้มีความจุมากขึ้นจาก 3.5 ลิตรในรุ่น 350 GT เป็น 6.5 ลิตรในรุ่นMurciélago จึงยิ่งจำเป็นต้องลดน้ำหนักลง ด้วยเหตุนี้ลัมโบร์กินีจึงริเริ่มใช้วัสดุและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดน้ำหนักของเครื่องยนต์บนโครงแชสซี

เมาริซิโอ เรจจิอานี อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าวไว้ว่า “ด้วยความจุที่เพิ่มขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ยาวขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราต้องย้ายจุดศูนย์ถ่วงไปที่ส่วนท้ายของตัวรถ ซึ่งการทำเช่นนี้ทำให้เกิดความลำบากในการขับขี่และคุณต้องประสบกับอาการท้ายปัดมากขึ้น เราจึงต้องปรับรูปแบบการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด โดยใช้เครื่องยนต์เป็นตัวเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของรถ” 

จึงเป็นที่มาของแนวคิดและการคิดค้นเพลาลูกเบี้ยวคู่ ซึ่งเป็นการออกแบบเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์เป็นครั้งแรก ที่ช่วยเพิ่มมุมองศารูปตัว “V” ของเครื่องและทำให้ได้จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง โดยเลือกติดตั้งเครื่องยนต์แนวขวางบริเวณกลางส่วนท้ายของรถยนต์ Miura เพื่อให้มีการกระจายน้ำหนักที่ดีขึ้นและทำให้ระยะช่วงล้อสั้นลง โครงของกระปุกเกียร์และเฟืองท้ายยังถูกผสานเป็นหนึ่งเดียวกับระบบส่งกำลัง ในขณะที่รุ่น Countach ที่มุ่งมั่นยกระดับประสิทธิภาพการกระจายน้ำหนัก ทีมนักออกแบบได้เลือกใช้เครื่องยนต์แบบเดิมแต่เปลี่ยนตำแหน่งติดตั้งมาเป็นบริเวณกลางท้ายตัวถังและหมุนมุมเพิ่มอีก 90 องศา ซึ่งถือว่าเป็นการปรับมุมจากครั้งแรกในรุ่น 350 GT ไปถึง 180 องศาเลยทีเดียว

ความท้าทายครั้งใหม่ เริ่มต้นขึ้นเมื่ออาวดี้ (Audi) ซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในลัมโบร์กินี ซึ่งเจ้าของรายใหม่ตระหนักดีว่า
ลัมโบร์กินีต้องการรักษาอัตลักษณ์และความโดดเด่นระดับเอ็กซ์คลูซีฟเอาไว้ “นับตั้งแต่วันแรก อาวดี้เข้าใจดีว่าสิ่งใดที่สามารถร้องขอจากลัมโบร์กินีได้และสิ่งใดที่ขอไม่ได้ ซึ่งการเคารพความต้องการของกันและกันช่วยสร้างสมดุลให้ทั้งสองบริษัทสามารถพัฒนาผ่านการส่งเสริมจุดเด่นที่แตกต่างกันของทั้งคู่” เรจจิอานี กล่าว

จึงมีการใช้แนวทางที่แตกต่างเพื่อพัฒนาต่อยอดเครื่องยนต์ V12 จากเดิมที่พยายามเพิ่มกำลังเครื่องให้ได้สูงสุด ก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญในด้านประสิทธิภาพเชิงปริมาณเพื่อให้สอดคล้องตามกฎข้อบังคับที่เริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในรถยนต์ Murciélago ซึ่งเผยโฉมในปี 2001 ด้วยเครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.2 ลิตร ที่ให้กำลังเครื่อง 580 แรงม้า ต่อมาได้รับการอัพเดตในปี 2007 เป็นเครื่องยนต์ความจุ 6.5 ลิตร และมอบกำลังเครื่องได้อย่างน่าประทับใจถึง 670 แรงม้า นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ตัวรถเบางลงได้ถึง 100 กก. รวมถึงมีการอัพเกรดเครื่องยนต์
ในหลายๆ ด้าน อาทิ ดรายปั๊ม ซึ่งช่วยให้ลัมโบร์กินีสามารถลดระยะระหว่างเพลาข้อเหวี่ยงและด้านล่างของตัวรถ ช่วยปรับปรุงการบังคับรถให้ดียิ่งขึ้น 

โดยต้องยอมรับว่าการพัฒนาเครื่องยนต์ V12 ในรถยนต์ Murciélago ทำให้ลัมโบร์กินีค้นพบตำแหน่งที่ชัดเจนของตัวเองภายในอาณาจักรของอาวดี้ และยิ่งไปกว่านั้นการตัดสินใจออกแบบเครื่อง V12 ใหม่ทั้งหมด ทำให้ทีมนักออกแบบของลัมโบร์กินีสามารถตั้งเป้าหมายใหม่และสร้างประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  

Aventador จัดเป็นรถยนต์ที่ผลิตด้วยเครื่องยนต์รูปแบบใหม่ครั้งแรกภายใต้ร่มเงาของอาวดี้ ซึ่งคือรุ่นสุดท้ายของ
ลัมโบร์กินีที่มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ก่อนที่แบรนด์จะก้าวเข้าสู่ยุคเครื่องยนต์ไฮบริดในอีกไม่ช้า

เรจจิอานี กล่าวว่า สำหรับลัมโบร์กินี รถยนต์ Aventador เปรียบเสมือนการพิสูจน์ว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านกำลังเครื่อง น้ำหนัก ประสิทธิภาพ รวมถึงความทนทานที่ทางกลุ่มบริษัทต้องการจากเรา ซึ่งผลลัพธ์ก็เห็นได้ชัดเจน เพราะเราสามารถจำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้ได้มากเป็นสองเท่าจากที่คาดการณ์ในช่วงแรก และสิ่งนี้ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีถึงความสำเร็จของ Aventador

โดยเขายังกล่าวอีกว่า “เราตระหนักได้ว่าตลอดอายุของรถยนต์ Aventador จำเป็นต้องเพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างน้อย 10% ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก” จะเห็นได้จากเครื่องยนต์ของAventador ซึ่งเปิดตัวมาในปี 2011 มอบกำลังเครื่องยนต์ 690 แรงม้าที่ 8,250 รอบต่อนาที ด้วยความจุ 6.5 ลิตร ต่อมาได้ถูกปรับแต่งสำหรับใช้กับรถยนต์รุ่น LP 700-4 ในปี 2013, รุ่น LP 750-4 ในปี 2015, รุ่น Superveloce ในปี 2016 โดยในรุ่น SVJ ปี 2019 ได้เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ขึ้นเป็น 759 แรงม้า และในปี 2021 กับรุ่น Ultimae รถยนต์สำหรับท้องถนนรุ่นสุดท้ายในตระกูล Aventadorที่มาพร้อมกำลังเครื่องถึง 780 แรงม้า

ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุด
ในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

rhunrun เรียบเรียง

การฟังเพลงจะสนุกขึ้นเพียงใดหากหูฟัง ‘AirPods Max’ ของเรา มีดีไซน์สุดเท่ที่ไม่เหมือนใคร

เมื่อ ‘หูฟัง’ คือหนึ่งในสิ่งของติดตัว ที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว แม้กระทั่งอยู่ในบ้าน เราก็ต้องหยิบไอเท็มหูฟังนี้ขึ้นมา เพื่อสร้างโลกอีกใบให้เราได้เข้าไปสนุกกับมัน และไอเท็ม ‘AirPods Max’ ก็นับว่าคือหนึ่งในไอเท็มของใครหลายๆ คนในยุคนี้ไปแล้ว แต่จะดีแค่ไหนหากเราหยิบหูฟังขึ้นมาจากกระเป๋า ไอเท็มของเรามีดีไซน์สุดเท่ไม่เหมือนใคร และยังสามารถดึงดูดสายตาคนรอบข้างให้หันมามองได้อีกด้วย เราได้ไปพบแอคเคาต์สุดเท่ นามว่า @yalocaloffgod นักออกแบบชาวญี่ปุ่น ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานเคสครอบหูฟังสุดเก๋ ที่มีดีไซน์ไม่เหมือนใคร หลากหลายดีไซน์ที่หนุ่มคนนี้ได้สร้างขึ้นมาและสวมใส่ให้เราได้เห็นภาพ บอกได้เลยว่าแต่ละชิ้น หากทำออกมาขายต้องมีกลุ่มคนเท่ๆ ต่อคิวซื้ออย่างแน่นอน เราได้นำผลงาน AirPods Max ในดีไซน์ต่างๆ มาฝากแฟนๆ ลอฟฟิเซียล ออมส์ กันแล้วครับ จะมีชิ้นไหนโดนใจเพื่อนๆ กันบ้าง เราไปชมกันเลยครับ!

10 ศิลปินไทย สร้างสรรค์ผลงานสุดครีเอตบนเคสโทรศัพท์ในงาน Bangkok Design Week 2023

CASETiFY แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมระดับโลก ร่วมกับผู้จัดงาน Bangkok Design Week 2023 จับมือ 10 ศิลปินไทย ดึงเอกลักษณ์ย่านที่มีเสน่ห์ของกรุงเทพฯ สู่งานดีไซน์บนเคสโทรศัพท์มือถือ เตรียมจัดแสดงผลงาน CASETiFY Masterpieces ณ ชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่วันที่ 6 – 28 กุมภาพันธ์ 2566 นี้

เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2566 หรือ Bangkok Design Week 2023 ดำเนินการโดยสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) : สศส. หรือ Creative Economy Agency (Public Organization) : CEA โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 4 – 12 กุมภาพันธ์ 2566 ภายใต้ธีม ‘urban‘NICE’zation เมือง-มิตร-ดี’ ซึ่งเป็นพื้นที่สําหรับนักสร้างสรรค์จากสาขาต่าง ๆ ในการนําเสนอแนวคิดที่มีเป้าหมายในการ ‘ทําเมืองให้ดีขึ้น’ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันพัฒนาให้กรุงเทพฯ ดีขึ้นสําหรับวันข้างหน้า นอกจากนั้น กิจกรรมนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการผลักดันให้กรุงเทพฯ ได้รับคัดเลือกเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก (UNESCO Creative City Network) ในสาขาด้านการออกแบบ (Bangkok City of Design) ร่วมกับผู้ร่วมจัดงานทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศกว่า 60 หน่วยงาน รวมถึงนักออกแบบและธุรกิจ สร้างสรรค์กว่า 2,000 ราย โดยมียอดผู้เข้าชมงานทั้งไทยและต่างประเทศรวมแล้วมากกว่า 400,000 คนในแต่ละปี

ความร่วมมือระหว่าง CASETiFY กับงาน BKKDW 2023 และ 10 ศิลปินไทยนั้น เป็นโปรเจกต์การออกแบบงานอาร์ตลงบนเคสโทรศัพท์มือถือของ CASETiFY ภายใต้ธีม ‘urban‘NICE’zation เมือง-มิตร-ดี’ โดยใช้แรงบันดาลใจจากเอกลักษณ์ของย่านที่โดดเด่นของกรุงเทพฯ แสดงฉากสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวาตามมุมมองของศิลปินที่มีรูปแบบศิลปะที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้คอลเล็กชั่นนี้มีความชีวิตชีวาเหมือนกับเมืองกรุงเทพฯ โดย 1 ศิลปินได้ออกแบบคนละ 1 ย่าน อาทิ ย่านปากคลองตลาด, ตลาดน้อย เจริญกรุง, เยาวราช, สยาม เป็นต้น ศิลปินที่เข้าร่วมโปรเจกต์นี้เป็นศิลปินรุ่นใหม่ รวมถึงดีไซเนอร์ นักออกแบบ นักวาดภาพประกอบ ได้แก่ BDK, Jiranarong, Nakrob Moonmanas, Phayanchana, Eaowen, NATTHAPHORN, Kanith, Prang Vipaluk, faan.peeti และ Pnk.ff

แม้ว่าคอลเล็กชั่นนี้จะเป็นธีมเกี่ยวกับกรุงเทพฯ และงานออกแบบในกรุงเทพฯ แต่จะวางจำหน่ายที่ CASETiFY.com ทั่วโลก (มีจำหน่ายเฉพาะรุ่น iPhone 11-iPhone 14, Samsung S21 และ S22 series และ ZFlip 3 และ 4) ซึ่งจะเป็นเวทีระดับโลกในการแสดงออกถึงตัวตนของศิลปินไทย รวมถึงมีจำหน่ายที่ Pop Up Store Bangkok และจะจัดแสดงผลงานการออกแบบจากคอลเล็กชั่น CASETiFY Masterpieces ที่ชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ ใกล้ประตูทางเข้า โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม ตั้งแต่วันที่ 6 – 28 กุมภาพันธ์ 2566

พาไปชมบรรยากาศ Lamborghini Bangkok Family Day ส่งมอบความสุขพร้อมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ลัมโบร์กินีให้เด็ก ๆ

เชื่อว่าวัยเด็กของทุกคนต้องมีไอเท็มชิ้นสำคัญที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและคุณค่าทางใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องมีรถยนต์ในฝันอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน เพื่อเปิดโลกแห่งจินตนาการอย่างไร้ขอบเขตและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมค้นหาแรงบันดาลใจให้แก่เด็กและเยาวชนที่ชื่นชอบและหลงใหลในยนตรกรรม 

บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย นำโดย อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ,ศักดิ์ นานา และ ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์ กรรมการ จัดงาน LAMBORGHINI BANGKOK FAMILY DAY ในชื่อ ‘GIORNO DELLA FAMIGLIA’ ซึ่งนอกจากจะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อร่วมฉลองเทศกาลวันเด็กแห่งชาติแล้ว มิชชั่นสำคัญในครั้งนี้คือการส่งมอบความสุข พร้อมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์ลัมโบร์กินีให้เหล่าเด็ก ๆ ได้สัมผัสแบบเอ็กซ์คลูซีฟอีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่านับเป็นแบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์แบรนด์แรก ๆ ที่เล็งเห็นความสำคัญและพร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เหล่าเด็ก ๆ 

ภายในงานอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมสนุก ๆ ที่เสริมสร้างหลากทักษะมากมายที่เหล่าผู้บริหารมีความตั้งใจและคัดสรรมาให้    เด็ก ๆ  อาทิ สนุกสุดมันส์ไปกับกิจกรรมการจำลองวันส่งมอบรถลัมโบร์กินี, กิจกรรมเยี่ยมชมศูนย์บริการโดยผู้เชี่ยวชาญ  ที่ไม่เคยเปิดให้ใครเข้าชมมาก่อน, กิจกรรมออกแบบรถลัมโบร์กินีในฝันผ่านโปรแกรมพิเศษ Ad Personam, กิจกรรมสวมบทบาทเป็นนักแข่งรถรุ่นจิ๋วที่ให้เด็ก ๆ เรียนรู้การขับขี่อย่างสนุกสนานและปลอดภัย,  กิจกรรมขี่วัวกระทิงพยศ, กิจกรรมบ้านลมสุดหรรษา, กิจกรรมเพนต์หน้าแฟนซี และเพลิดเพลินไปกับเมนูอาหารคาวรสเลิศและขนมหวานแสนอร่อยตลอดทั้งงาน

ซึ่งความพิเศษในครั้งนี้นอกจากเจตนารมณ์ในการส่งมอบความสุขให้แก่ท่านเจ้าของรถลัมโบร์กินีและครอบครัวแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เหล่าเด็กและเยาวชนในพื้นที่เขตบางบอนและสายไหมร่วมงานด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการตอบแทนสังคมและสานฝันให้กับน้อง ๆ ได้มีโอกาสสัมผัสรถลัมโบร์กินี พร้อมเปิดประสบการณ์การเรียนรู้โลกแห่งซูเปอร์สปอร์ตคาร์  ซึ่งทั้งหมดจัดขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันโรคและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 ณ   โชว์รูม ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ ถ.วิภาวดีรังสิตโดยมีเหล่าเซเลบริตี้ ครอบครัวแฟนพันธุ์แท้กระทิงดุ รวมถึงเด็กและเยาวชนทั่วไป ร่วมงานกว่า 300 ท่าน

ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ล่าสุดได้ที่ “ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ” โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

rhunrun เรียบเรียง