เกิดอะไรขึ้นกับ ‘Lewis Capaldi’ กับอาการของนักร้องเสียงพราวเสน่ห์ ที่เป็นไวรัลใน Tiktok

เชื่อเหลือเกินว่าหากพูดชื่อเพลง ‘Wish You The Best’ ขึ้นมาแล้ว คงมีหลายๆ คนที่ยกมือและบอกว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในใจของใครหลายๆ คนไปแล้ว เพราะหลังจากที่ปล่อยออกมาได้ไม่นาน เพลงนี้ก็ได้มียอดวิวพุ่งทยานไปแตะ 11 ล้านวิวแล้วครับ บทเพลงสุดซึ้งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นบทเพลงของ Lewis Capaldi นักร้อง, นักแต่งเพลงหนุ่มชาวสกอตแลนด์นั่นเอง และหากใครที่เล่น Tiktok บอกได้เลยว่าเพลงนี้ ต้องถูกเข้ามาอยู่ในฟีดของใครหลายๆ คนแน่นอน

และหนึ่งในคลิปที่เป็นไวรัลอยู่ใน TikTok ขณะนี้ กับเหล่าแฟนคลับที่ช่วยกันร้องเพลง Someone You Loved จนจบเพลง ในขณะที่ Lewis Capaldi มีอาการผิดปกติ หลายคนที่มาพบเจอคลิปนี้โดยบังเอิญอาจจะสงสัย ว่าเพราะเหตุใดกันหนุ่ม Lewis Capaldi ถึงมีอาการไม่ปกติบนเวทีคอนเสิร์ต เราขอมาไขข้อข้องใจของหลายๆ คนให้ทราบกันอีกครั้ง หนุ่มเสียงพราวเสน่ห์คนนี้มีอาการป่วย ผิดปกติทางร่างกายกับโรคที่มีชื่อว่า Tourette Syndrome (ทูเร็ตต์ ซินโดรม) โดยโรคนี้จะมีความผิดปกติทางระบบประสาท ทำให้มีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ หรือเปล่งเสียงซ้ำๆ จึงทำให้ช่วงที่ร้องเพลง Someone You Loved เกิดเป็นโมเมนต์สุดประทับใจ ทุกคนต่างเปร่งเสียงช่วยร้อง และทำให้หลายๆ คนได้น้ำตาซึมได้เป็นแถว

@leyla.uzz Magical🥺. #lewiscapaldi #foryou #foryoupage #viralvideo #trending #antwerpen #belgium #lewiscapalditour ♬ origineel geluid – leyla
@mimsconcerts His Tourette wouldn’t let him finish this song but we will always support you @Lewis Capaldi 🫶🏽 #someoneyouloved ♬ original sound – mims

อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคมนี้ เขาก็จะเตรียมปล่อยอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Broken By Desire To Be Heavenly Sent’ ออกมาให้เราได้ฟังกันแล้ว เราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ส่งไปให้หนุ่มคนนี้ได้มีสุขภาพที่หายเป็นปกติในเร็ววัน และอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะออกมา เราเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีแฟนคลับรักและหลงไหลในเสียงอันพราวเสน่ห์นี้อย่างแน่นอนครับ

“Jackson Wang” ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ “Cheetah” พร้อมความ

กับการแสดงสุดปังบนเวทีโคเชลลา “แจ็คสัน หวัง” ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ “Cheetah” เพลงดนตรีเข้มข้น พร้อมมิวสิควิดีโอจินตนาการสุดบรรเจิด ให้ได้ฟังได้ชมกันแล้ว

หลังขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรีโคเชลลา 2023 สองสัปดาห์ซ้อน ที่สร้างความประทับใจให้ทั้งผู้ชมและสื่อหลากหลายสำนัก แจ็คสัน หวัง (Jackson Wang) ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่มาให้แฟน ๆ ได้ปลื้มกันแบบไม่ขาดตอน ด้วยเพลง “Cheetah” เพลงที่ตัวดนตรีมีเสน่ห์ชวนหูเหลือเกิน

เมื่อ แจ็คสัน หวัง และสองโปรดิวเซอร์ Jacob Ray (เจค็อบ เรย์) ที่อยู่เบื้องหลังเพลงดัง ๆ ขอNiki, Rich Brian และ Alison Wonderland กับ Max ที่ทำงานกับ Katy Perry, Taylor Swift และ The Weeknd นำจังหวะและสำเนียงของดนตรีแจซใส่เข้ามาใน “Cheetah” ได้อย่างลงตัว ทำให้เพลงนี้ฟังแปลกหู มีความน่าสนใจตั้งแต่เสียงแรกของดนตรี และยังแสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการทำงานเพลงของ “แจ็คสัน หวัง” ที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ รวมถึงสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงได้ทุกครั้ง เมื่อปล่อยผลงานออกมา

ไม่ต่างไปจากการแสดงสดในเทศกาลดนตรีโคเชลลา ที่ “แจ็คสัน หวัง” เซอร์ไพรส์แฟน ๆ ด้วยการดึงสาวเก่ง Ciara มาร่วมโชว์ในเพลง “Slow” ก่อนที่เขาจะไปเป็นแจมกับเธอบ้างในเพลง “1, 2, Step” บนเวทีของฝ่ายหญิง ซึ่งสื่อใหญ่อย่าง Rolling Stoneถึงกับบอกว่า “นี่คือคู่สุดเซอร์ไพรส์ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า อยากให้ทั้งคู่ร่วมงานกันขนาดไหน”

โดยการแสดงในเทศกาลดนตรีโคเชลลาในปีนี้ของ “แจ็คสัน หวัง” ยังทำให้เขากลายเป็นศิลปินเดี่ยวชาวจีนคนแรก ที่ได้ขึ้นแสดงโชว์ของตัวเองในงานนี้ถึง 2 ครั้ง หลังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นศิลปินเดี่ยวชาวจีนคนแรก ที่ได้เล่นบนเวทีหลักของโคเชลลา จากการแสดงครั้งแรกเมื่อปี 2022

นอกจากจะปล่อยเพลงใหม่ “Cheetah” ให้ฟังแล้ว “แจ็คสัน หวัง” ยังส่งมิวสิกวิดีโอ ที่ทำออกมาได้อย่างแปลกตา ให้ได้ชมกันอีกด้วย ด้วยการจัดจินตนาการสุดบรรเจิด โดดเด่นทั้งบรรยากาศ และสไตล์การนำเสนอ ที่กลมกลืนกับซาวนด์และจังหวะจะโคนของดนตรีแจซในเพลงได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้กำกับก็ไม่ใช่ใครอื่น ตัวเขาที่ทำหน้าที่นี้ร่วมกับ ฌอน ลีว (Sean Lew) นั่นเอง

ชมมิวสิควิดีโอ “Cheetah” และเพลงอื่น ๆ รวมถึงคลิปต่าง ๆ ของ “แจ็คสัน หวัง” กันได้จาก ยูทูบ: Jackson Wang

และฟัง “Cheetah” กับทุกเพลงจากอัลบั้มล่าสุดของหนุ่มเก่งรายนี้ ‘Magic Man’ ได้แล้วจากทุกบริการสตรีมมิง  : https://wmth.lnk.to/Cheetah โดยวอร์นเนอร์ มิวสิค

บทสัมภาษณ์และการเติบโตขึ้นทุกวันกับ ‘Three Man Down’

Photographer: Napat Gunkham

Stylist: Teeratat Somudomsup

หลังจากที่ปล่อยเพลง ‘ปล่อยให้เวลา’ ‘น้อง’ และ ‘ไหนว่าเลิกแล้ว’ ออกมาให้แฟนๆ เห็นทิศทางการเติบโตของวงไปเรียบร้อยแล้ว ลอฟฟีเซียล ออมส์ ก็ชวนกิต – กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์, ตูน – พีรพล เอี่ยมจำรัส, เส็ง – วิศรุต ปฐมสิริไพศาล และเต – เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค มาคุยกันถึงเรื่องการเติบโต เปลี่ยนแปลง และบางสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางการเป็น Three Man Down 

ทิศทางเดิม การตีความใหม่

“เป็นทิศทางเดิมนะครับ” กิตรับบทตัวเปิดเมื่อเราตั้งข้อสังเกตว่า เพลง ‘ปล่อยให้เวลา’ นั้น วงดูเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเนื้อหาเอ็มวี และดนตรี “แต่เป็นอีกมุมมองหนึ่งมากกว่า จริงๆ แล้วพวกเราก็เคยทำเพลงแบบนี้อยู่แล้วนะ แต่ช่วงก่อนๆ พวกเรายังสนุกกับสิ่งอื่นอยู่ พอมาตอนนี้ เราอยากทำสิ่งนี้ มันก็ยังเป็นตัวพวกเราเหมือนเดิมน่ะครับ” 

เตรีบเสริมว่าพาร์ทดนตรีที่เราเห็นว่าเปลี่ยนไปนั้น มันคือ DNA เดิมๆ ของวง “มันอยู่ในสายเลือดครับ” เสียงเขาหนักแน่น “เพราะเราใช้สกิลล์เก่าๆ ของเรามาประยุกต์ใช้ให้เพลงมันฟังดูโมเดิร์นเฉยๆ อัลบั้มแรกอาจจะฟังไม่ใช่แบบนี้ เพราะเราอาจจะทำทุกอย่างไปตามความเชื่อของเราในยุคนั้น แต่กับความเชื่อในยุคนี้ มันเหมือนย้อนกลับไปเอาวัยเด็กของเราคืนมา ผมเลยรู้สึกเหมือนเราย้อนกลับไปเล่นดนตรีเหมือนวัยรุ่นอีกครั้งน่ะครับ” ซึ่งเส็งก็รีบต่อทันทีว่า “พวกเราชอบเพลงร็อคอยู่แล้วครับ” ตูนสำทับว่า “ตอนนี้ก็ทำเพลง ทำดนตรีตามใจตัวเอง เอาวัยเด็กของพวกเรากลับมาอีกครั้ง” 

Three Man Down เรียกได้ว่าเป็นวงร็อคที่ยืนระยะมาได้สักพักแล้ว พวกเขาคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้วงยังเป็นวงอยู่ในทุกวันนี้กันนะ “ผมว่าพวกเรามีคาแรกเตอร์ที่คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ทุกคนมีความฝันใกล้ๆ กัน แต่มีความชอบ และความถนัดไม่เหมือนกัน มันเลยทำให้วงเราเป็นส่วนผสมที่มีหลายรสชาติ คนหนึ่งก็ชดเชยอีกรสชาติที่อีกคนหนึ่งหายไป ทั้งเรื่องดนตรีที่ทำให้เราสามารถช่วยแทนกันได้ในแต่ละท่อน ถือเป็นข้อดีนะครับ เพราะถ้าเราเหมือนกันหมด คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจเราก็ได้นะครับ” เตตั้งข้อสังเกต “และ DNA ของวงมันค่อนข้างมีความเป็นเพื่อนสูงอยู่แล้วนะครับ มันเลยรู้สึกว่าคุยกันได้ ชดเชยกันได้ ช่วยเหลือกันได้ทั้งในเรื่องการทำงาน และการอยู่ร่วมกันนะครับ” นี่คือคำตอบจากเต 

“จริงๆ แล้ว Three Man Down เป็นวงที่วางแผนล่วงหน้าไม่ไกลมากนะครับ ปีต่อปีเท่านั้นเอง” ตูนตอบคำถามที่ว่าด้วยความพึงพอใจของสมาชิกที่มีต่อภาพลักษณ์ของวงในปัจจุบัน “พวกเราค่อยๆ ขยับไปทีละอัลบั้ม อัลบั้มแรกก็มองว่าจะทำเพลงป็อปร็อค ซาวด์เฉียบๆ ก็ทำตามแผนนั้นที่วางไว้ ส่วนตอนนี้ เราเปลี่ยนแผนใหม่ ลองใส่ส่วนผสมใหม่ๆ เข้าไป ฉะนั้น ถ้าจะถามว่าวงเราเป็นวงประเภทไหน ผมไม่อยากจะไปจำกัดความหรอกครับ เพราะแนวดนตรีมันเปลี่ยนไปได้ตลอด วงดนตรีวงหนึ่งสามารถขยับไปในทิศทางใหม่ๆ ได้ ไม่ว่ามันจะได้รับผลตอบรับที่ดี หรือแย่ มันก็ควรจะขยับนะครับ” 

“ส่วนตัวผมรู้สึกว่าพวกเราพอใจกับการเดินทางของ Three Man Down มาเรื่อยๆ อยู่แล้วนะครับ” เส็งเสริม “เพราะมันเกิดจากตัวเราจริงๆ ทุกแผนที่เราคิด เราได้เช็คพ้อยท์กันมาเรื่อยๆ เราไม่เคยไม่รู้สึกไม่โอเคกับวง เพราะสิ่งที่เราเคยคุยกัน มันยังคงเป็นแนวทางนี้อยู่ครับ” ซึ่งเตก็รีบสำทับว่า “ถ้าวันหนึ่งเราไปไม่ถึงจุดเช็คพ้อยท์ที่เราคุยกันไว้ เราอาจจะหาวิธีการที่มันสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อไปถึงจุดเช็คพ้อยท์ให้ได้น่ะครับ” และเส็งก็ไม่ยอมน้อยหน้า “หรือหาทางเดินแยกออกไป เพื่อให้มันต่อไปให้ได้ และถ้าเราไปถึงจุดใหม่ พวกเราก็จะพอใจอยู่ดีครับ เพราะมันคือการตัดสินใจของวงน่ะครับ” 

“ผมมองว่าสุดท้ายแล้ว DNA ของ Three Man Down คือทุกคนอยากเล่นดนตรีน่ะครับ” กิตสรุปจบ “ทุกคนอยากทำงานเกี่ยวกับดนตรี เวลาคนเรามันอยากจะไปในทิศทางไหน มันก็จะหาลู่ทางไปให้ได้ล่ะครับ มันคือความตะเกียกตะกายอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ ผลลัพธ์มันก็จะดร็อปลงเป็นเรื่องปกติ แต่การเลือกทำอะไรที่หลากหลาย ผลลัพธ์อาจจะดีขึ้นบ้าง แย่ลงบ้าง แต่มันก็จะเปิดหนทางอื่นๆ ให้เราก้าวต่อไปได้น่ะครับ” 

ตัวตนเดิม กับความเสี่ยงที่มากับการเปลี่ยนแปล

งอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เราเห็นจากการทำเพลงของวงที่ยืนระยะมานาน คือการที่วง ‘ต้องเลือก’ ระหว่างการทำเพลงในแบบที่เป็นตัวเอง 100% แบบที่แฟนคลับชอบและเดาทางได้อยู่แล้ว หรือลองแหวกแนวใหม่ๆ ไปเลย วงคิดว่าวงจะเลือกอะไร 

“จริงๆ ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็เป็นตัวเอง 100% เลยนะ” ตูนตอบทันที “ตั้งแต่อัลบั้มแรกเลยแหละ” กิตสำทับ ซึ่งตูนก็ต่อทันที “จริงๆ พวกเราเลิกคิดทำเพลงเพื่อคนอื่นตั้งแต่เพลง ‘ฝนตกไหม’ แล้วนะ เพลงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงเลยนะ ก่อนหน้านี้พวกเราเคยคิดว่า เพลงต้องแต่งขึ้นมาเพื่อคนอื่น พวกเราเคยคิดว่าจะแต่งเพลงที่เหมาะกับทุกคน แต่เพลงพวกนั้นไม่เคยประสบความสำเร็จเลย พอเพลง ‘ฝนตกไหม’ มันประสบความสำเร็จ พวกเราเลยใช้ความรู้สึกนี้ในการทำเพลงมาตลอด คือทำเพลงที่มีด้านที่คนฟังชอบ และมีอีกด้านที่เป็นตัวเรา เป็นสิ่งที่เราชอบไปด้วย พวกเราเลยคิดว่าตอนนี้พวกเราทำตามใจตัวเองตั้งแต่แรกน่ะครับ” 

“ผมอยากให้คนมองในมุมนี้มากกว่านะ” เส็งขัดขึ้นมา “คนเรามักจะคิดว่า ถ้าทำอะไรแปลกไปจากเดิมๆ มันจะไม่ใช่ตัวเราใช่ไหมครับแต่ผมกลับมองว่าความเป็นตัวเราคือสิ่งที่ออกมาจากตัวเรา ท้ายสุดแล้วสิ่งที่เราทำ มันก็คือความเป็นตัวเราในมุมใดมุมหนึ่งอยู่นั่นล่ะครับ” ซึ่งตูนก็รีบเสริมทันที “อย่างที่บอกไปล่ะครับ เราอยากให้คนได้ลองสัมผัสอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ไม่อยากทำซ้ำแบบเดิม เพราะรู้สึกว่าการทำอะไรซ้ำๆ เหมือนเดิมมันคือการทำอะไรแย่ๆ แต่การก้าวไปข้างหน้า มันมีผลสองอย่างไม่ดีขึ้นก็แย่ลง แต่ทำเหมือนเดิม มันก็ผลลัพธ์เดิมจริงๆ น่ะครับ” 

“การทำเหมือนเดิม ผลลัพธ์มักจะไม่ได้ดีขึ้น” กิตยอมรับ ซึ่งตูนก็สนับสนุนเขา “ผมว่ามันไม่ท้าทายด้วยล่ะครับ กับการทำอะไรซ้ำๆ” กิตเพิ่มเติม “จริงๆ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอในทุกๆ วัน แต่เราอาจจะอยู่ในสังคมที่ไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นะ เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงคือความเสี่ยง” 

เสน่ห์ของการแสดงสด และเสน่ห์ของ Three Man Down

“ผมคิดว่าคอนเสิร์ตมันคือ magical moment นะครับ” เตยิ้มเมื่อเราตั้งข้อสังเกตว่าทุกการขึ้นคอนเสิร์ตของ Three Man Down นั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันเสมอ “อย่าว่าแต่คอนเสิร์ตเลย” กิตเสริม “หนังเรื่องเดิม คุณดูอีกครั้ง คุณก็รู้สึกไม่เหมือนเดิม ถูกปะล่ะ มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอกครับ 

“พวกเราอาจจะเล่นเหมือนเดิมก็ได้นะ แต่วันหนึ่งคุณมาดูเต อีกวันคุณมาดูเส็ง คุณก็รู้สึกไม่เหมือนเดิมละ” กิตพูดต่อเนิบๆ “มุมที่คุณยืน เสียงที่คุณได้ยิน สิ่งนั้นแหละคืองานศิลปะ งานศิลปะมันอยู่ที่การตีความผ่านความรู้สึก ณ โมเมนต์นั้นๆ เพราะฉะนั้น องค์ประกอบทุกอย่างส่งผลต่อความรู้สึกของคุณ

หมดล่ะครับ” 

แล้วเสน่ห์ของวงคืออะไรล่ะ ในความเห็นของสมาชิกวง “เพราะเราไม่เหมือนกัน” เตตอบทันที “มันเป็นส่วนผสม เป็นฟันเฟืองที่มีคาแรกเตอร์ให้มองได้หลายมุม ทุกคนแตกต่างกัน แต่พอมองภาพรวมเป็นคำว่า Three Man Down มันคือสิ่งเดียวกัน” 

“ถ้าเปรียบพวกเราเป็นฟันเฟืองอย่างที่เตว่านะ” กิตเสริม “มันก็คือหลักการเดียวกับเครื่องจักร เรื่องการทดแรง คือถ้าเฟืองทุกตัวใหญ่หมด เครื่องจักรอาจจะหมุนไม่ไหว วงเราอาจจะเหนื่อย เพราะทุกคนใหญ่ไปหมด ความคิดมันล้น ก็เหนื่อยกันไปเอง” ซึ่งเตก็แย้งทันที “ผมมองว่ามันขึ้นอยู่กับ material ของฟันเฟืองนะ กิตอาจจะเป็นฟันเฟืองเงิน ผมเป็นฟันเฟืองไม้ เส็งเป็นฟันเฟืองทอง ส่วนตูนเป็นฟันเฟืองอะคริลิก แต่ทั้งหมดมันหมุนให้นาฬิกาเรือนนี้ไปในทิศทางเดียวกัน สุดท้ายแล้ว นาฬิกาจะเดินได้หรือไม่ได้ มันคือพวกเราว่าเราแสดงประสิทธิภาพของฟันเฟืองแต่ละตัวที่แตกต่างกันไปตาม material ได้มากแค่ไหนมากกว่านะ” 

ในท้ายที่สุดแล้ว เสน่ห์ของวงก็ขึ้นอยู่กับคนที่มองมาอยู่ดีนั่นแหละ “จริงๆ แล้วผมพูดเองไม่ได้หรอกนะ” เตว่า “เรื่องเสน่ห์ต้องให้คนอื่นพูด เพราะแต่ละคนก็มอง Three Man Down ไม่เหมือนกัน ให้คนอื่นเป็นคนตอบแล้วกันครับ” 

อนาคตที่ไม่มีใครมองเห็น

“การได้เล่นดนตรีไปเรื่อยๆ ในแบบที่เราอยากจะเล่น การได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำไปเรื่อยๆ กับบรรยากาศรอบตัวที่รู้สึกว่าวงเรายังเป็นที่ต้องการอยู่ครับ” นั่นคือภาพอนาคตของวงที่กิตเห็น “ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็อยากทำแบบนี้ในบั้นปลายชีวิตล่ะครับ ได้ทำงานที่รักกับคนที่รัก เพื่อให้เราและคนที่เรารักมีความสุขล่ะครับ” 

“ในอนาคตมันอาจจะมีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้นในวงการดนตรีไทยก็ได้นะ” เตเสริม “เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ถ้าวันนั้นมันมีโอกาส และมีพวกเราอยู่ตรงนั้น ผมเชื่อว่าThree Man Down จะพร้อมประโจนเข้าไปสู่ความท้าทายใหม่ๆ เหล่านั้นแน่นอน พวกเราอาจจะพังก็ได้ ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปนะครับ” 

โอเค… อนาคตอาจจะมองไม่ชัดนัก แต่แฟนคลับตรงหน้าล่ะ “ก็เหมือนเดิมเลยครับกับแฟนคลับ” น้ำเสียงของกิตอบอุ่น “เราให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ ส่วนหนึ่งของวงนี้เหมือนเดิมครับ อยากจะขอบคุณเสมอมาที่เข้าใจพวกเรา บางคนอาจจะหมุนเวียนมาชั่วคราว บางคนอาจจะอยู่มานานตั้งแต่เพลงแรก บางคนอาจจะเพิ่งเข้ามา แต่ผมขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าพวกเราจะแยกกันวันไหน วงจะแยกกันไปก่อน หรือแฟนคลับแยกจากเราไปก่อน ไม่ว่าใครจะแยกไปก่อน ผมอยากให้ความรู้สึกตอนนี้เป็นพลังบวกเวลาย้อนกลับมานึกถึงเสมอ ในวันที่คุณอายุ 60 ปีแล้ว ลูกหลานมาเปิดเพลงนี้ให้คุณฟัง คุณจะได้พูดเต็มปากว่าปู่เคยไปดูคอนเสิร์ตของวงนี้ช่วงวัยรุ่นมานะ อยากให้ความรู้สึกด้านบวกแบบนี้ยังอยู่เสมอไปเมื่อนึกถึงโมเมนต์ที่ได้มาคอนเสิร์ตเราครับ” 

“ย้อนกลับไปคำตอบเดิมของผมครับ” เตสรุปจบ “Three Man Down คือฟันเฟืองครับ ผมรู้สึกว่าแฟนคลับคือฟันเฟืองจำนวนมหาศาลที่หมุนไปตามวงล้อหลัก คือพวกเราสมาชิกวง บางคนอาจจะออกไปพัก หรือออกไปเลย แต่ก็จะมีฟันเฟืองที่ทำให้วงล้อนี้สามารถหมุนไปเรื่อยๆ ด้วยแรงที่คงที่ หรือเร็วขึ้นได้เสมอ ผมขอบคุณทุกคนที่เสียแรง เสียเวลา และเสียสละอะไรส่วนตัวบางอย่างมาเพื่อสนับสนุนวง ผมขอบคุณเสมอครับ”

– Author: Pacharee Klinchoo –

สตรีมเพลง ‘ปล่อยให้เวลา’ ‘น้อง’ และ ‘ไหนว่าเลิกแล้ว’ ของ Three Man Down ได้แล้วทุกช่องทางออนไลน์

Make Up: Thotsapol Wongbanchang

Hair: Jatupong Chumjam

ประมวลภาพความสนุกสุดเหวี่ยงของคอนเสิร์ต WATERBOMB ครั้งแรกในประเทศไทย!!!

ผ่านพ้นกันไปแล้วกับงาน WATERBOMB BANGKOK 2023 Presented by Heineken® Silver ที่ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกกับมิวสิคเฟสติวัลเชนดังจากประเทศเกาหลีอย่าง WATERBOMB ที่ในครั้งนี้ได้มีการซื้อลิขสิทธิ์การจัดงานมาเสิร์ฟแฟนๆ ชาวไทยแบบถึงที่ถึงถิ่น โดยในงานนี้ ไลน์อัพทั้งดีเจและศิลปินมีเพียบ มาประมวลภาพความสนุกไปด้วยกันเลยครับ

La Brace รสเลิศจากไฟ

เราทราบกันดีว่าอาหารจะอร่อยเพียงใดต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบและเครื่องปรุงด้วย จึงไม่แปลกใจเมื่อ คุณจ้อ – พัชรินทร์ เหมอังกูร เจ้าของบริษัท กูร์เมท์ วัน ฟู้ดส์ เซอร์วิส เปิดร้านอาหารเอง จึงเชื่อได้ว่าวัตถุดิบของร้านนี้จะต้องที่สุดตั้งแต่เนื้อสุดพรีเมียมไปจนถึงเกลือที่ใช้ปรุงอาหาร โดยไม่มีการอ่อนข้อใดๆ


ร้านอาหาร La Brace ที่โครงการ Earth Ekamai เป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอเรเนียน ภายใต้การดูแลของเชฟมาร์ค เฮเก็นแบ็ค ผู้มากประสบการณ์ เมื่อมาถึงเราก็เห็นโต๊ะที่วางของเรียกน้ำย่อยไม่ว่าจะเป็นแฮมอะเบอริโก้ แซลมอนรมควัน ปูอลาสก้าขาใหญ่ๆ อวบๆ เนื้อสดหวาน แต่ที่เซอร์ไพร้สมากคือเป็ดรมควัน(Duck Pastrami)ที่เชฟใช้เทคนิคเฉพาะตัวทำออกมาอร่อยแบบไม่เคยชิมแล้วถูกใจเช่นนี้มาก่อน ใครมาร้านนี้ต้องชิมให้ได้ และพิเศษคือเคานืเตอร์ที่มีหอยนางรมสดคัดมาแล้วจากหอยนางรวมประเทศต่างๆ โดยคัดที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ เข้ามาให้ได้ลิ้มลอง ใครที่ชอบดื่มไวน์คู่กับอาหารที่นี่ก็มีไวน์ให้เลือกมากมาย ส่วนใครชอบค็อกเทลที่นี่มีบาร์ขนาดใหญ่ให้นั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ


แม้จะดื่มด่ำกับอาหารเรียกน้ำย่อยแต่เราก็ตื่นตากับจานแรกที่มาเสิร์ฟก็คือ French White Asparagus & Jamon Iberico (มีให้ชิมเฉพาะฤดูใบไม้ผลิของยุโรป) หน่อไม้ฝรั่งขาวนี่คือที่สุดจริงๆ สำหรับวัตถุดิบที่สร้างความแปลกใจให้กับการปรุงที่แสนจะเรียบง่ายที่สุดแต่อร่อยที่สุด ชอบไอเดียของเชฟที่นำเอาเห็ดทรัฟเฟิลที่หายากและราคาสูงมาจับคู่กับหน่อไม้ฝรั่งขาวอย่างลงตัวโดยมีซอส Bearnaise sauce ที่เชฟสร้างความซับซ้อนของรสชาติเป็นตัวเชื่อม นี่คือการจับคู่ที่ลงตัวมาก สลัดที่มีโก้ตชีส(goat cheese)เป็นจุดเด่นก็แสนจะลงตัว หลายๆ คนไม่ชินกับเนยแข็งที่ทำจากนมแพะโดยเฉพาะกลิ่น แต่ของที่นี่รสชาติเข้มหอมมันไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวของน้ำนมแพะที่เราจะไม่ชอบ เขากริลด้านบนมาพอให้ชีสหลอมนิดๆ มีกลิ่นหอมของความร้อนที่ทำปฏิกิริยากับเนยแข็ง
จากนั้นก็เป็นพาสต้าที่ต้องบอกว่าจานนี้ขอบอกว่าต้องมาชิมให้ได้ ก่อนที่จะตามด้วยหอยตลับอบไวน์ขาวสไตล์แอนดาลูเซีย จานนี้ก็ต้องไม่พลาดจริงๆ เพราะมาทั้งรสชาติของซอส กลิ่นสมุนไพรที่หอมและมีเอกลักษณ์ของการครัวแอนดาลูเซีย

แล้วก็มาถึงไฮไลท์ที่ไม่ใช่จานหลักจานสุดท้าย แต่เป็นการนำเอาเส้นพาสต้ามาผัดกับน้ำมันมะกอก แอนโชวี่ พริกกระเทียม ที่ดูเหมือนใครๆ ก็ทำ แต่ขอบอกว่าที่นี่ทำออกมาจนจัดจ้านถูกปากคนชอบความอร่อยที่ถึงเครื่องถึงรส ต้องบอกว่าเชฟมาร์คไม่ได้ปรุงจานนี้เพื่อเอาใจคนไทยที่ชอบจัด แต่เขาทำจานนี้ออกมาเพื่อให้คนรับรู้ว่าพาสต้าที่ใช้เครื่องปรุงเรียบง่าย(แต่มากคุณภาพ)นั้นทำออกมาแล้วควรจะมีรสชาติเป็นอย่างไร
จานต่อมาเชฟนำเสนอกุ้งเผา(Spanish Style Garlic Prawns)ที่ทำออกมาสไตล์ตะวันตกคือจับคู่กับซอสที่เชฟทำมาพิเศษ แต่ทักษะการเผา(ย่าง)กุ้งทำออกมาเนื้อชุ่มรสหวานมาก จานต่อมาคือ เนื้อวากิว A5 ที่ย่างมากด้วยไฟที่คุสมชื่อร้าน La Brace ที่หมายถึงไปที่คุโพลง เมื่อวัตถุดิบดีเยี่ยมขนาดนี้เชฟต้องใช้ฝีมือจริงๆ ในการชูรสที่อร่อยนี้ให้ปรากฏโดดเด่นยิ่งขึ้นอีก เนื้อวากิวนี้ผ่านขั้นตอน wet-aged เพื่อให้เนื้อคงรสชาติเหมือนไม่ได้ผ่านกาลเวลาที่ขนส่งหรือการเก็บมาเลย วิธีนี้ทำให้เนื้อมีรสชาติที่ชุ่มฉ่ำคงความอร่อยแม้จะผ่านการเก็บมา


สำหรับไฟที่เชฟใช้ย่างเนื้อนั้นใช้ถ่านไม้คุณภาพที่ให้ความร้อนแบบสม่ำเสมอและทำให้อาหารที่ย่างมีกลิ่นหอมไฟ สเต๊กจานนี้จึงอร่อยโดยไม่ต้องพึ่งซอสหรือน้ำจิ้มใดๆ แต่เชฟมาร์คก็ยังมีมัสตาร์ดเพื่อชูรสสเต๊กจานนี้ แน่นอนว่าคัดมาแล้วทั้งสิ้นว่าเป็นมัสตาร์ดชั้นเลิศจริงๆ ใครชอบรสหวานหน่อนลองเหยาะมัสตาร์ดที่ผสมน้ำผึ้งที่หอมหวาน หรือ grain mustard ก็เหมาะให้รสสัมผัสที่จับคู่กับสเต๊กนี้ลงตัวมาก

ยังไม่จบแค่นี้ เมนคอร์สจานสุดท้ายของมื้อนี้คือซี่โครงแกะย่าง แม้สเต๊กจะทำให้เราอิ่มเอมกับอาหารย่างแล้ว แต่ซี่โครงแกะย่างนี้เราก็ไม่ยอมพลาดเช่นกัน เช่นกันว่าเนื้อแกะคุณภาพดีมาก แค่ย่างไฟให้ได้เนื้อสุกแบบชุ่มฉ่ำ เมื่อรับประทานแล้วต้องบอกว่าได้รสเต็มๆ คำ และไม่มีกลิ่นสาบของเหมือนเนื้อแกะทั่วๆ ไป
ปิดท้ายด้วยของหวานที่มีขนม 3 ชนิด คือ ราสพ์เบอร์รี่ทาร์ต, ยูซุทาร์ต และไวท์ช็อกโกแลตที่ทำเป็นรูปเปลือกหอยเชลล์ที่ชูรสด้วยซอสส้ม ทั้งสามชนิดนี้เป็นขนมที่เหมาะกับการจบมื้ออาหารที่เลิศรสนี้ รสเปรี้ยวอมหวานช่วยให้รู้สึกสดชื่นจริงๆ

La Brace อยู่ในโครงการ Earth Ekamai (สุขุมวิท 63) เป็นกริลล์เฮาส์และไวน์บาร์ หนึ่งเดียวในย่านเอกมัย-ทองหล่อ โทร.094 540 6662

ประกาศหมั้นแล้ว! กับนักแสดงดาวรุ่ง Millie Bobby Brown และแฟนหนุ่ม Jake Bongiovi 

นับอีกหนึ่งข่าวน่ายินดี สำหรับสาวสวย Millie Bobby Brown อายุ 19 ปี จากซีรี่ส์อันโด่งดังอย่าง Stranger Things ประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการแล้วครับ กับแฟนหนุ่มที่มีชื่อว่า Jake Bongiovi อายุ 20 ปี โดยทั้งสองได้ประกาศข่าวดีแอคเคาต์ส่วนตัว พร้อมเนื้อเพลง Taylor Swift โดยเขียนว่า “I’ve loved you three summers now, honey, I want ’em all.” อย่างไรก็ตาม ลอฟฟิเซียล ออมส์ เราขอแสดงความยินดี กับเส้นทางชีวิตคู่ของทั้งสองคนอีกครั้งครับ

มาลองชิม ‘ผัดงอแง’ และอาหารไฟน์ไดนิ่งฝีมือเชฟพอล ณ HUNGER RESTAURANT

เปิดประสบการณ์การ ‘กิน’ อาหารแบบแบ่งแยกชนชั้นไปกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก Netflix อย่าง ‘HUNGER คนหิว เกมกระหาย’ ที่ร้านอาหาร HUNGER RESTAURANT ที่เปิดขึ้น ณ ชั้น G ที่ Groove ศูนย์การค้า Central World 

ถ้าคุณอยากจะลองชิม ‘ผัดงอแง’ หรือลิ้มลองอาหารไฟน์ไดน์นิ่งฝีมือเชฟพอลสักครั้ง Netflix ก็เปิดร้านอาหารคอนเซ็ปต์เก๋ ที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ให้คุณได้เลือกลิ้มลองอาหารตามรสนิยมและ ‘ความหิว’ ของคุณ โดยร้าน HUNGER RESTAURANT นี้จะเปิดบริการเป็นรอบ รอบละประมาณ 45 นาที (ตั้งแต่ 11.00 – 21.00 น.) แบ่งเป็นสองฝั่ง มีอาหารเพียงฝั่งละ 1 จาน (ฝั่ง street food เสิร์ฟผัดงอแงในราคาจานละ 100 บาท และฝั่ง fine dining เสิร์ฟอาหารฝีมือเชฟพอลในราคาจานละ 350 บาท) และคุณเลือกรับประทานอาหารได้เฉพาะฝั่งที่คุณเลือกนั่งเท่านั้น

ร้าน HUNGER RESTAURANT เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 11 – 23 เมษายน 2023 นี้เท่านั้น สำรองที่นั่งได้ที่ 082-241-6618 หรือ Line OA: @HungerRestaurant (สามารถวอล์คอินได้ถ้าที่นั่งไม่เต็ม)

สิ้นสุดเวลาการรอคอย!! Damien Rice กลับมาไลฟ์อินบางกอกอีกครั้งแล้ว

หลังจากปรากฏการณ์คอนเสิร์ต sold out ในประเทศไทยไปเมื่อปีค.ศ. 2016 ไปแล้ว ในปีนี้ Damien Rice กลับมาเยือนบางกอกอีกครั้งกับ Damien Rice Live in Bangkok 2023 ที่รับประกันความประทับใจสำหรับแฟนๆ ของเขาอย่างแน่นอน

ABOUT DAMIEN RICE

Damien Rice ออกอัลบั้ม ‘O’ ในปีค.ศ. 2002 และได้รับการยกย่องจากบรรดานักวิจารณ์ทุกสำนักทั่วโลก โดยเพลง ‘The Blower’s Daughter’ ได้ถูกเลือกไปประกอบฉากในภาพยนตร์เรื่อง Closer (2004) และทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หลังจากนั้น เขาก็ค่อยๆ ปล่อยสตูดิโออัลบั้มตามมาอีก 2 ชุด ได้แก่ ‘9’ (2006) และ My Favourite Faded Fantasy (2014)

มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ความเศร้าไปกับ Damien Rice และเครื่องดนตรีของเขาได้ในวันที่ 6 มิถุนายน 2023 ที่ Union Hall ซื้อบัตรได้แล้วที่ www.vijicorp.com 

‘Keshi’ กับบทสัมภาษณ์และเส้นทางของอาชีพศิลปิน

จากพยาบาลวิชาชีพ มาจนถึงศิลปินที่มีผู้ชมรอชมมากที่สุด เส้นทางดนตรีของ ‘Keshi’ หรือ ‘Casey Luong’ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน

Author: Pacharee Klinchoo
Photographer: Thanut Treamchanchuchai
Stylist: Teeratat Somudomsup

ได้มาขึ้นเป็นวงปิดในงาน Very Festival ครั้งนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
รู้สึกดีมากๆ เลยครับ รู้สึกว่าการเป็นคนเอเชียที่ทำการแสดงมานานได้ออกดอกออกผลแล้วครับ เหมือนกับว่าเป็นการยืนยันว่าผมมีแฟนเพลงของผมอยู่อีกซีกโลกหนึ่งมานานแล้ว ในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสขึ้นแสดงบนเวทีให้ทุกคนได้ดูจริงๆ แล้วครับ มันคือความฝันที่เป็นจริงนั่นเอง

อ่านมาว่าคุณเคยเป็นพยาบาลวิชาชีพใช่ไหม
ใช่แล้วครับ อ่านไม่ผิดหรอก

แล้วเป็นยังไงมายังไงถึงมาทำอาชีพศิลปินได้ล่ะ
ผมคิดว่ามันค่อนข้างตลกนะที่หลายคนคิดว่าวันหนึ่งผมทำอาชีพพยาบาลอยู่ แล้วอีกวันก็เปลี่ยนอาชีพปุบปับแบบนั้นเลย ความเป็นจริงคือผมซุ่มทำดนตรีมาตั้งนาน ตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กน้อยแล้วแหละ และผมก็อยากจะทำอาชีพนักดนตรีมาตลอดชีวิต แต่พ่อแม่ของผมยืนยันว่าผมต้องเข้าโรงเรียนไปเรียนอะไรที่มันจับต้องได้สักอย่าง ผมว่ามันก็เป็นปกติของพ่อแม่ชาวเอเชียนั่นแหละครับ พวกเขาแค่ต้องการอนาคตที่ดีที่สุดสำหรับผม อนาคตที่มั่นคง และอาชีพนักดนตรีก็ไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงแบบนั้นอยู่แล้วเนอะ ผมคงโชคดีที่ในที่สุดผมได้ทำงานเป็นนักดนตรีนะ แต่มันก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อผมเริ่มทำดนตรีลงช่องทางออนไลน์ ค่อยๆ สะสมกลุ่มแฟนเพลงมาอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่อง ผมโชคดีที่มีแฟนๆ สนับสนุนผมมาตลอดการเดินทางของผมครับ

รู้สึกอย่างไรที่มีคนอื่นนอกจากเพื่อนฝูงและครอบครัวที่ฟังเพลงของคุณในฐานะ ‘แฟนเพลง’ จริงๆ
เป็นความรู้สึกเหลือเชื่อมากๆ เลยครับ คุณหมายถึงตอนที่ผมเปิดแอคเคานท์ SoundCloud ใช่ไหมครับ ความแตกต่างก็คือ ทุกอย่างล้วนมาจากคนแปลกหน้า ทั้งความรัก แรงสนับสนุน และเสียงเชียร์ต่างๆ มาจากคนที่ไม่จำเป็นต้องมาทำตัวดีกับผม มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริงน่ะครับ มันไม่ใช่อะไรแบบว่า ‘เออ… ชั้นฟังเพลงของนายเพราะเราเป็นเพื่อนกัน’ พวกเขาคือแฟนๆ ที่อยากจะกลับมาฟังเพลงที่ผมแต่งจริงๆ ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องการนะครับ เวลาปล่อยเพลงออกไป เราก็อยากจะให้คนมาฟังเพลงที่เราแต่งอยู่แล้ว

ตอนที่อาชีพมันพัฒนาจากแพลตฟอร์ม SoundCloud มาสู่การเซ็นสัญญากับค่าย และกลายมาเป็นอัลบั้มเต็มในชีวิตจริง ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง
ผมรู้สึกว่า… ตลกดีเหมือนกันที่คุณถามเรื่องนี้ขึ้นมา (นิ่งคิด) ผมรู้สึกว่ามันก็เหมือนกันนะ ไม่ต่างเท่าไหร่ ผมก็ยังทำเพลงด้วยคุณภาพเท่าเดิมอยู่ แต่ผมก็เข้าใจที่คุณถามนะ มันคือช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างการทำเพลงเป็นงานอดิเรกกับการยึดอาชีพเกี่ยวกับดนตรี และผมคิดว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดก็คือความรู้สึกกดดันที่ผมรู้สึกอยู่ในตอนนี้ล่ะครับ ตอนทำอยู่ที่ SoundCloud ผมไม่ได้รู้สึกว่ามีใครจับจ้องอะไรผม จะทำอะไรที่อยากทำก็ได้ ลองอะไรใหม่ๆ ก็ได้ ทำอะไรก็ได้หมดแหละ แต่ตอนนี้ พอมีคนจับตาผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่สามารถเสี่ยงที่จะทำอะไรแย่ๆ ได้อีกต่อไปแล้วน่ะครับ มันเป็นความรู้สึกแบบนั้น ผมต้องทำทุกอย่างให้เพอร์เฟ็กต์ตลอดเวลา ทุกงานต้องมีคุณภาพน่ะครับ พอจะเห็นภาพใช่ไหม นั่นคือความเปลี่ยนแปลงหลักๆ เลยครับ

คุณรับมือกับแรงกดดันเหล่านั้นอย่างไรบ้าง
ผมรับมือยังไงน่ะเหรอ ผมคิดว่าผมกำลังเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันอยู่นะ แม้กระทั่งตอนที่ผมทำเพลงใหม่อยู่ตอนนี้ เพลงใหม่ๆ มันออกมาช้ากว่าเดิมเยอะมาก เพราะผมค่อนข้างระวังมากขึ้น และกลัวที่จะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มากขึ้นน่ะครับ แทนที่จะทำเพลงอะไรที่ผมอยากจะทำออกมา ตอนนี้ผมก็เลยอยากจะย้อนกลับไปอยู่ในยุค SoundCloud น่ะครับ กลับไปมีแนวความคิดแบบนั้น ความคิดที่เป็นอิสระกว่านี้ ดังนั้น… นั่นน่าจะเป็นข้อแตกต่างหลักๆ เลยล่ะครับ

คุณบอกว่า material ในการทำเพลงของคุณมักจะมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ
ใช่เลยครับ

คุณรู้สึกอย่างไรที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเองต่อหน้าคนอื่นแบบนั้น กลัวที่จะถูกตัดสินบ้างไหม
ผมคิดว่านั่นเป็นความท้าทายที่คุณต้องเผชิญเมื่อคุณเริ่มต้นทำดนตรี และคุณก็จะค่อยๆ ชินไปเองเมื่อเวลาผ่านไป แต่ผมคิดว่าทุกคนต้องเผชิญเรื่องเดียวกันหมดเวลาปล่อยเพลงแรกออกไปนั่นแหละ คุณจะรู้สึกเปราะบาง รู้สึกว่าคุณเปิดเปลือยตัวเอง พร้อมให้คนอื่นรุมตัดสิน และบางครั้งมันก็สับสน เพราะคุณเขียนเรื่องราวจากใจจริงๆ แต่มันก็คือมุมมองของคุณต่อเรื่องนั้น เวลาคนไม่ชอบเพลงของคุณ มันไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่ชอบเรื่องราวสักหน่อย พวกเขาอาจจะแค่ไม่ชอบเพลงนั้น แต่มันง่ายที่จะคิดไปเองว่า ‘โอ้… พวกเขาไม่ชอบฉันนี่นา’ มันสับสนได้ง่ายน่ะครับ นั่นเป็นสิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะรับมือ เวลาคุณทำเพลงน่ะครับ

คุณต้องเข้มแข็งมากเลยนะ
แน่นอนครับ แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนที่ทำงานศิลปะก็ต้องเข้มแข็งอยู่แล้ว

คุณบอกว่าคุณสร้าง ‘Keshi’ ขึ้นมาใช้ตอนเปิด SoundCloud เป็นเหมือนอีกหนึ่งตัวตนของคุณ
ใช่แล้วครับ

ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรกับทั้ง ‘Keshi’ และ ‘Casey’ พวกเขายังเป็นคนละคนกันอยู่ไหม
ผมคิดว่าพวกเขาค่อยๆ กลายเป็นคนเดียวกันอย่างช้าๆ แล้วนะครับ ในที่สุดแล้ว Keshi ก็เป็นแค่คนที่ผมอนุญาตให้เขาออกมาโลดแล่นผ่านภาพถ่าย วิดีโอ และสื่ออื่นๆ น่ะครับ คือผมก็ต้องการให้ผู้คนจับจ้องผมในฐานะ Keshi แต่ผมก็มีมุมส่วนตัวของผมในชีวิตปกติเหมือนกัน แต่ผมเองก็รู้สึกว่าผมก็ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนที่ผมสร้างขึ้นมาทีละน้อยแล้วนะครับ แน่นอนว่า Keshi เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ผมอยากจะเก็บเขาเป็นความลับอยู่บ้างน่ะ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อย่างที่บอกไปว่าผมก็หวงความเป็นส่วนตัวมากอยู่ ก็เลยพยายามจะจับแยกๆ กันให้ได้น่ะครับ

การขึ้นแสดงบนเวทีต่อหน้าแฟนๆ นี่ให้ความรู้สึกยังไง
เป็นความรู้สึกที่ดีที่สุดในโลกเลยครับ ผมรู้สึกว่าตอนที่ผมสร้าง keshi ขึ้นมา เป็นช่วงที่ผมกำลังเติบโต และตอนนี้ผมโตมาถึงจุดที่ได้ขึ้นแสดงแล้ว ดันเกิดเหตุการณ์โควิดขึ้นมาก่อน มันก็เลยเป็นความรู้สึกว่า โอเค… ไม่ได้ขึ้นแสดงแล้ว ก็กลับไปทำเพลงต่อละกัน พอมาถึงตอนนี้… ผมรู้สึกเหมือนปีที่ผ่านๆ มาถูกรวบตึงมาอยู่ในช่วงนี้ ผมไปเป็นวงเปิดให้วงอื่น ไปร่วมงานเฟสติวัลที่ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือ ตอนนี้ก็มาถึงทวีปเอเชีย และก็กำลังจะกลับไปวนที่ยุโรปและอเมริกาเหนืออีกรอบ ผมมีตารางทัวร์อีกครึ่งปีรอผมอยู่ข้างหน้า มันรู้สึกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว เพราะผมได้เจอแฟนๆ ตัวเป็นๆ ตรงหน้า ผมไม่คิดว่าผมจะย้อนกลับไปสู่จุดที่ไม่ได้แสดงได้อีกแล้วนะครับ ผมรักการขึ้นแสดงสดมากๆ

พลังงานของคนดูในแต่ละที่ก็แตกต่างกัน คุณรู้สึกได้ถึงความแตกต่างนั้นมั้ยในฐานะคนบนเวที
รู้สึกสิครับ นอกเหนือจากที่ว่าบางเมืองดูเหมือนจะมีพลังงานมากกว่าบางเมืองแล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติแหละ สิ่งที่ผมอยากจะอธิบายก็คือ แต่ละเมืองก็เต็มไปด้วยพลังงานแห่งความตื่นเต้นทั้งนั้น ผมไม่คิดว่าผมจะรู้สึกว่าเมืองไหนไม่ตื่นเต้นนะ ทุกเมืองดูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจริงๆ สิบเต็มสิบกันทั้งนั้น เอาจริงๆ… ผมว่าไม่แตกต่างนะ บางเมืองอาจจะมีผู้ชายมากกว่า ในขณะที่อีกเมืองจะมีผู้หญิงมากกว่า อะไรแบบนั้น แต่มันก็อาจจะขึ้นอยู่กับว่าใครแต้มบุญกดบัตรได้ทัน ไม่ได้เป็นตัวแทนของเมืองนั้นๆ เสียหน่อย

ฝากอะไรถึงแฟนๆ ชาวไทยหน่อย
สำหรับแฟนๆ ชาวไทยของผมนะครับ ผมดีใจมากที่ได้มาเล่นคอนเสิร์ตต่อหน้าทุกคนเสียที ขอบคุณที่ฟังเพลงของผม และหวังว่าทุกคนจะฟังเพลงของผมต่อไปเรื่อยๆ นะครับ

Make Up: Yukina Mitsuhashi
Hair: Yukina Mitsuhashi
Model: keshi
Assistant Stylists: Kittisak Chullawichit / Massiree Kawcharoen
Location: You know where

สิ่งควรทำและสิ่งไหนควรเลี่ยง? กับการเดินทางไกลบนเครื่องบิน ที่หลายๆ คนควรต้องรู้

ก่อนการเดินทางบนเที่ยวบินเส้นทางไกล ผู้โดยสารส่วนใหญ่มักวิตกกังวลว่าจะทำตัวอย่างไรให้รู้สึกสบาย เมื่อต้องนั่งอยู่บนเครื่องบินเป็นเวลานาน จะต้องใส่ใจหรือระวังในเรื่องใดบ้าง ขณะต้องนั่งอยู่กับผู้โดยสารแปลกหน้าคนอื่นๆ เป็นเวลาถึงครึ่งค่อนวัน การหาอะไรเพื่อฆ่าเวลาอาจมีความสำคัญ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้จะมีการเตรียมตัวอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ถูกมองข้ามหรือถูกละเลยเสมอ นี่คือบทสรุปข้อผิดพลาดของผู้โดยสาร และคำแนะนำดีๆ ที่รวบรวมจากบรรดาอดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน

หลีกเลี่ยงยานอนหลับ

ใครก็ตามที่คิดจะฆ่าเวลา 10-12 ชั่วโมงบนเครื่องบินมักจะคิดถึงการนอนหลับ แต่เสียงกรอบแกรบหรือจ๊อกแจ๊กจากผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ หรือผู้โดยสารที่เดินไป-มาตามทางเดินมักจะทำให้การนอนหลับอย่างมีความสุขเป็นไปได้ยาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้โดยสารบางคนจึงเกิดความคิดที่จะกินยานอนหลับเพื่อให้นอนหลับสบายขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า การกินยานอนหลับบนเครื่องบินสามารถนำไปสู่อาการง่วงนอนหรือผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ ซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรทำ เพราะผู้โดยสารจำเป็นต้องตื่นตัวและมีสติ ในกรณีที่เกิดปัญหาขัดข้องกับเครื่องบินหรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ บนเครื่องบิน แต่หากจำเป็นต้องใช้ยานอนหลับจริงๆ ก็ควรใช้ยานอนหลับตามคำแนะนำของแพทย์

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

กฎระเบียบในการเดินทางโดยเครื่องบินนับตั้งแต่ปี 2006 อนุญาตให้พกพาน้ำหรือของเหลวผ่านด่านตรวจขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 100 มิลลิลิตร และต้องบรรจุในถุงซิปล็อกใส (อีกไม่นานอาจมีการยกเลิกกฎดังกล่าว เมื่อมีเครื่องตรวจที่เรียกว่า ‘State-of-the-Art-Computer-Tomography’ (CT) ตรวจเช็คว่าของเหลวที่ผู้โดยสารพกพาขึ้นเครื่องนั้นเป็นอันตรายหรือไม่) นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้โดยสารดื่มน้ำน้อยเกินไป อากาศแห้งและความสูงมีส่วนทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้อาการเจ็ตแล็กแย่ลงหรือนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ ดังนั้นผู้โดยสารไม่ควรลังเลที่จะขอน้ำเพิ่มจากพนักงานบนเครื่องบิน หรือพกพาขวดเปล่าติดตัวไว้ตลอดเวลา สนามบินส่วนใหญ่มีจุดบริการน้ำดื่ม ผู้โดยสารสามารถบรรจุน้ำใส่ขวดนำขึ้นเครื่องได้หลังจากผ่านจุดตรวจแล้ว

รองเท้าแตะ

เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายบนเครื่องบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเที่ยวบินระยะไกล ผู้โดยสารส่วนใหญ่มักถอดรองเท้าและยืดเท้าทำตัวให้สบาย แต่ควรทำเฉพาะในที่นั่งของตนเองเท่านั้น ไม่ควรถอดรองเท้าเดินไปทั่วห้องโดยสาร เพราะพื้นพรมในห้องโดยสารเครื่องบินไม่ได้ทำความสะอาดบ่อยครั้งนัก ข้อมูลจากนิตยสาร Travel + Leisure ให้ข้อมูลว่า การทำความสะอาดห้องโดยสารเครื่องบินอย่างละเอียดถี่ถ้วนมักทำกัน 4-6 สัปดาห์ต่อครั้ง และแต่ละสายการบินมีความถี่ไม่เหมือนกัน ห้องโดยสารได้รับการทำความสะอาดก่อนเที่ยวบินแต่ละครั้งก็จริง แต่ก็ทำกันแบบลวกๆ มีคำแนะนำว่าควรมีรองเท้าแตะพกติดกระเป๋าไปด้วย เพื่อเลี่ยงการสัมผัสผิวพื้นห้องโดยสารโดยตรง

หมอนรองคอที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

หมอนรองคอกลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับผู้โดยสารหลายคน แต่มีสักกี่คนเชียวที่ได้ทดสอบหมอนก่อนขึ้นเครื่อง บางคนพกหมอนรองคอติดกระเป๋าถือไปทั่วโลก แต่กลับห้อยมันไว้ที่ข้างศีรษะหรือใช้หนุนหลัง เพราะใช้รองคอแล้วไม่สบาย คำแนะนำคือ ควรทดลองใช้มันก่อนที่บ้าน ถ้าใช้งานได้ดีจริงแล้วค่อยติดกระเป๋าไปด้วย

เสื้อผ้ามากไป-น้อยไป

อุณหภูมิบนเครื่องบินปกติแล้วจะอยู่ที่ระดับ 20-24 องศาเซลเซียส (ความดันในห้องโดยสารที่สูงและอุณหภูมิที่อุ่นสามารถทำปฏิกิริยาในเครื่องบินได้ อุณหภูมิของร่างกายแต่ละคนแตกต่างกัน สายการบินจึงรักษาอุณหภูมิบนเครื่องให้ต่ำเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีผู้โดยสารเกิดอาการเป็นลม) ซึ่งเป็นอุณหภูมิใกล้เคียงกับห้องนั่งเล่น (ของคนตะวันตก) ถึงอย่างนั้นผู้โดยสารหลายคนยังรู้สึกว่าหนาว นั่นอาจเพราะไม่ค่อยได้ขยับตัว หรือมีลมจากส่วนอื่น ถ้าใครไม่อยากนั่งหนาวจนตัวสั่นหรือร้อนจนเหงื่อไหล ควรแต่งตัวมีเลเยอร์สวมทับได้เมื่อรู้สึกหนาวและถอดออกเมื่อรู้สึกร้อน หรือคำแนะนำง่ายๆ คือพกเสื้อสเว็ตเตอร์ติดกระเป๋าถือไปด้วย

Writer : Boonchoak Panichsilp