มาลองชิม ‘ผัดงอแง’ และอาหารไฟน์ไดนิ่งฝีมือเชฟพอล ณ HUNGER RESTAURANT

เปิดประสบการณ์การ ‘กิน’ อาหารแบบแบ่งแยกชนชั้นไปกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก Netflix อย่าง ‘HUNGER คนหิว เกมกระหาย’ ที่ร้านอาหาร HUNGER RESTAURANT ที่เปิดขึ้น ณ ชั้น G ที่ Groove ศูนย์การค้า Central World 

ถ้าคุณอยากจะลองชิม ‘ผัดงอแง’ หรือลิ้มลองอาหารไฟน์ไดน์นิ่งฝีมือเชฟพอลสักครั้ง Netflix ก็เปิดร้านอาหารคอนเซ็ปต์เก๋ ที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ให้คุณได้เลือกลิ้มลองอาหารตามรสนิยมและ ‘ความหิว’ ของคุณ โดยร้าน HUNGER RESTAURANT นี้จะเปิดบริการเป็นรอบ รอบละประมาณ 45 นาที (ตั้งแต่ 11.00 – 21.00 น.) แบ่งเป็นสองฝั่ง มีอาหารเพียงฝั่งละ 1 จาน (ฝั่ง street food เสิร์ฟผัดงอแงในราคาจานละ 100 บาท และฝั่ง fine dining เสิร์ฟอาหารฝีมือเชฟพอลในราคาจานละ 350 บาท) และคุณเลือกรับประทานอาหารได้เฉพาะฝั่งที่คุณเลือกนั่งเท่านั้น

ร้าน HUNGER RESTAURANT เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 11 – 23 เมษายน 2023 นี้เท่านั้น สำรองที่นั่งได้ที่ 082-241-6618 หรือ Line OA: @HungerRestaurant (สามารถวอล์คอินได้ถ้าที่นั่งไม่เต็ม)

ครั้งแรกในเอเชีย! กับ BLACKPINK IN YOUR AREA EXHIBITION ที่แฟนๆ ไม่ควรพลาด

หนุ่มๆ บลิงค์ไม่ควรพลาด! กับงาน ‘BLACKPINK IN YOUR AREA’ POP-UP STORE & EXHIBITION’ ครั้งแรกของเอเชีย! กับการถ่ายทอดเส้นทางความสำเร็จของ 4 สาว BLACKPINK ผ่านงาน EXHIBITION สุดล้ำ ที่มาพร้อมกับแสงสีเสียงแบบจัดเต็ม พร้อมเผยคลิปเบื้องหลังการถ่ายทำ MV รวมถึงการนำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรีของสาวๆและสินค้าหายาก มาจัดแสดงให้ได้ชมแบบใกล้ชิด

แฟนๆ สามารถเยี่ยมชมได้ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น! ณ ICONSIAM Attraction Hall ชั้น 6 เวลา 10.00 – 22.00 น. บอกเลยว่าแฟนๆ ลอฟฟิเซียล ออมส์ห้ามพลาดครับ!

POP ART : Is Drama Necessary?

เปลี่ยนดราม่าให้กลายเป็นงานศิลปะอันเปี่ยมสีสัน ในนิทรรศการ Unnecessary Drama โดยอาร์ม – วันทยา ธิติไพศาล

Author: MutAnt

Photography: Courtesy of The Gallery

เมื่อพูดถึงดราม่า แน่นอนว่าอาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนชอบเสพ แต่คงไม่สนุกนักถ้าหากต้องเจอกับตัวเองเข้าให้ ในสังคมเรามีดราม่าเกิดขึ้นมากมายไม่เว้นในแต่ละวัน บางดราม่าก็เกิดขึ้นจากเหตุอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางดราม่าก็เกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นทั้งๆ ที่ความเป็นจริงก็สามารถหลีกเลี่ยงและตัดทิ้งไปจากชีวิตเราได้ เช่นเดียวกับผลงานในนิทรรศการศิลปะหนึ่งที่มีชื่อว่า Unnecessary Drama ที่แสดงให้เราเห็นว่า บางครั้งดราม่าก็สามารถเป็น แรงบันดาลใจให้แก่การทำงานสร้างสรรค์ได้ด้วยเหมือนกัน

นิทรรศการ Unnecessary Drama นำเสนอผลงานของอาร์ม – วันทยา ธิติไพศาล ศิลปินหนุ่มผู้ผันตัวจากการทำงานในสายโฆษณาในปี 2561 หันมามุ่งเน้นในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างจริงจัง วันทยาสร้างผลงานหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม เซรามิก และภาพเคลื่อนไหว ผลงานของเขามุ่งเน้นไปที่การสำรวจบทสนทนาของผู้คนรอบๆ ตัวรวมถึงการเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงปัญหาด้านสังคมและการเมืองอันซับซ้อน ผลงานแต่ละชิ้นของเขาสะท้อนให้เห็นมุมมองที่เขามีต่อสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันอย่างเปี่ยมอารมณ์ขัน

ในนิทรรศการล่าสุดของเขาในครั้งนี้ วันทยาแสดงให้เห็นถึงมุมมองอันลึกซึ้งที่ศิลปินมีต่อบทสนทนาในชีวิตประจำวัน โดยเขาสมมติให้ตัวเองเป็นเสมือนหนึ่ง ‘คู่หู’ ของผู้ชม ด้วยการสวมบทบาทเป็นผู้สังเกตการณ์สถานการณ์หรือแม้แต่ดราม่าในสังคม (ที่หลายคนชอบเสพกว่าอาหารสามมื้อ) ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า “สำหรับผมการตำหนิหรือการมีส่วนร่วมนั้นไม่ได้สร้างความแตกต่าง” เขาเลือกที่จะแสดงข้อสังเกตถึงดราม่ารอบตัวเหล่านี้ผ่านภาพวาด ให้ผู้ชมกลายเป็นพยานในการตีความดราม่าเหล่านี้จากมุมมองของศิลปิน ที่กลั่นกรองออกมาให้เห็นเป็นผลงานศิลปะ

นอกจากสไตล์การทำงานที่มุ่งเน้นในการตีความปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ผลงานของเขายังสื่อถึงความอ่อนไหวและแสดงให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจปนหยอกเย้า ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า “เพื่อทำให้ตัวผมสงบลง ผมพยายามมองหาความสนุกที่มีอยู่ในสิ่งต่างๆ จนเรียกได้ว่าเกือบจะล้อเลียนเรื่องราว (หรือผู้คน) ในแบบของผมเอง” คุณสมบัติเช่นนี้แฝงอยู่ในตัวละครการ์ตูนในภาพวาดของเขา ที่เล่าเรื่องราวรอบตัวทั่วไป ไปจนถึงปัญหาทางสังคมและการเมืองที่เป็นประเด็นอยู่ในช่วงเวลานี้ ด้วยการใช้สีสันอันสดใส และการจัดวางองค์ประกอบอันกระชับ ชัดเจน เปี่ยมเอกลักษณ์ ในขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงความขัดแย้งสำแดงอารมณ์ความรู้สึกสนุกสนานอย่างล้นเหลือ และถ้าหากสังเกตผลงานเขาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าผลงานของวันทยาแอบแฝงเรื่องราวอันซับซ้อนในรูปทรงอันเรียบง่ายของเขาอย่างพิถีพิถัน

ผลงานส่วนใหญ่ของเขายืนอยู่กึ่งกลางระหว่างศิลปะรูปลักษณ์ (figurative art) กับศิลปะนามธรรม (abstract art) โดยใช้แรงบันดาลใจจากอวัยวะในร่างกายมนุษย์ในการเล่าเรื่องต่างๆ อย่างคลุมเครือ เพื่อให้ผู้ชมตีความและหาความหมายที่แท้จริงของแต่ละภาพด้วยตัวเอง ดังนั้น ถึงแม้แต่ละภาพจะเป็นเหตุการณ์ที่ตัดทอนมาจากสถานการณ์ต่างๆ รอบตัว แต่วันทยาก็จงใจที่จะตัดทอนความสมจริงออกไปจากผลงาน เพื่อหลีกเลี่ยงความกดดันและความดราม่าที่เกินจำเป็นนั่นเอง

“แนวคิดหลักๆ ของนิทรรศการครั้งนี้มีที่มาจากวิธีการทำงานของผมด้วยความที่เวลาทำงาน ผมไม่ได้เริ่มจากการสเก็ตช์งานก่อน แต่เริ่มทำงานอย่างฉับพลัน ด้วยการป้ายสีลงบนเฟรมผ้าใบทันที เป็นเหมือนกึ่งๆ action painting สิ่งที่ได้ออกมานั้นมีเยอะมาก จนผมไม่นึกว่าจะออกมาดราม่าขนาดนี้ได้ยังไง ทั้งสี เส้น หรือรูปทรง จนผมต้องค่อยๆ ปรับหรือตัดอะไรบางอย่างเพื่อให้ภาพมีความชัดเจนขึ้นจนเสร็จออกมาเป็นผลงาน ผมมักจะใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายในการเล่าเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้มือเป็นตัวละครหลักในการเล่าเรื่อง เรื่องราวที่เล่าส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการนั่งพูดคุยสนทนากับเพื่อนๆ กับผู้คนเวลาคุยกัน ผมมักจะเป็นคนรับฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยพูดแทรกหรือขัดจังหวะใคร ผมอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ บางครั้งผมก็จะถามเพื่อให้เขาเล่าออกมาเรื่อยๆ แล้วก็เก็บเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาคิดเป็นงานขึ้นมา บางครั้งก็เป็นเรื่องราวข่าวสารบ้านเมือง หรือเรื่องราวดราม่าที่พบเจอบนอินเทอร์เน็ตอยู่บ่อยๆ”

“เหตุที่ผมวาดรูปเป็น semi-abstract (กึ่งนามธรรม) เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยวาดรูปที่เล่าเรื่องออกมาเป็นฉากๆ แบบสมจริง แล้วรู้สึกว่ามันทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ดราม่าล้นเกินจากความเป็นจริงมากๆ ผมเลยดึงรายละเอียดบางอย่างที่แย่งความสนใจของภาพมากจนเกินไปออก และเลือกเก็บแค่รายละเอียดที่จำเป็นเอาไว้ ซึ่งลักษณะการทำงานแบบนี้ก็เชื่อมโยงกับชื่อของนิทรรศการ (Unnecessary Drama) ด้วย”

“แรงบันดาลใจในการทำงานส่วนใหญ่ของผมมีที่มาจากเหตุการณ์ที่ผมไม่เข้าใจหรือทำความเข้าใจลำบาก แล้วผมพยายามคิดหาคำตอบ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เสียที ผมก็เลยทำงานศิลปะเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างในออกมา ด้วยการทำงานที่ค่อนข้างแสดงออกอย่างฉับพลันแบบ abstract expressionist แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้การขูดออกและลบทิ้งเยอะเหมือนกัน เหมือนเวลาทำงานผมจะไม่ค่อยใช้ความคิด ลงมือทำไปเลย แต่จะมาคิดอีกทีตอนทำเสร็จแล้วมานั่งดู แล้วค่อยแก้ไขตกแต่งทีหลัง ความลังเลและไม่มั่นใจของตัวเองเช่นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานของผมด้วย”

วันทยากล่าวถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจหันเหจากการทำงานโฆษณามาทำงานศิลปะเต็มตัวว่า

“ก่อนหน้านี้ผมเป็นครีเอทีฟ ทำโปรดักชัน และเป็นผู้กำกับในบริษัทโฆษณา เพราะผมเรียนมาทางด้านออกแบบผลิตภัณฑ์และแอนิเมชัน ไม่ได้มีพื้นฐานทาง fine art มาก่อนแต่พอทำงานโฆษณามาสักระยะหนึ่ง ผมก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า เราเคยเชื่อว่าการทำงานโฆษณาจะสามารถเปลี่ยนอะไรบางอย่างในสังคมได้ เพราะโฆษณาเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ง่าย แต่หลังๆ กลับกลายเป็นว่าเหมือนผมกำลังบอกผู้ชมด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า ชีวิตคุณจะดีขึ้นด้วยการซื้อของเหล่านี้ ผมมีสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกใครต่อใครว่าชีวิตคุณควรจะเป็นอย่างไร ในขณะที่ตัวผมเองก็ทำไม่ได้ แต่หลักๆ ก็คือเบื่อด้วยแหละ เพราะผมใช้เวลาเป็นสิบปีทำมาแล้วก็ไม่ได้ตอบโจทย์อะไรในชีวิตสักเท่าไรในระหว่างที่ทำงานโฆษณา ผมก็หาเวลาว่างไปทำงานเซรามิก ถ่ายภาพ ทำภาพเคลื่อนไหว แอนิเมชันบ้าง อะไรบ้าง ทำงาน painting ด้วย แต่วาดภาพเล็กๆ ไม่ได้มีสตูดิโอวาดภาพของตัวเอง พอดีช่วงนั้นมีศิลปิน คุณสมยศ หาญอนันทสุข ซึ่งเป็นคุณลุงของเพื่อนผม มาเปิดเวิร์คช็อป painting ที่อัมพวาประมาณหนึ่งสัปดาห์เต็ม ผมก็เข้าไปเรียนด้วย ใช้เวลาประมาณ 10 วัน ได้วาดรูปทุกวัน ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเลยว่างาน abstract คืออะไร ตอนเข้าไปคุณสมยศบอกผมว่าให้ทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำ ไม่เคยมีใครพูดอะไรแบบนี้กับผมมาก่อนในชีวิตเลย พอได้ยินแบบนี้ผมก็คิดว่าผมอยากทำอะไรกันแน่ แล้วก็ทำออกมาเลย คุณสมยศก็จะคอยชี้แนะวิธีการและเทคนิคการทำงานให้”

“ผมพบว่าการทำงาน painting แรกสุดคือการสร้างปัญหาบนแคนวาส เป็นอะไรที่โกลาหลวุ่นวาย จนใช้คำว่าดราม่าเลยก็ได้ ที่เหลือคือการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจนได้ออกมาเป็นรูปทรง เป็นชิ้นงานออกมา ผมใช้วิธีแบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้”

ท้ายสุดวันทยาทิ้งท้ายถึงที่มาที่ไปของนิทรรศการครั้งนี้ว่า

“นิทรรศการครั้งนี้เกิดจากการที่หลุยส์ ซัพเพิล (Louis Supple) คิวเรเตอร์ บังเอิญได้ไปเจองานของผมที่ฝากแสดงที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ของเพื่อนของผม ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาก็เคยตาม Instagram ของผมอยู่ด้วย เขาก็เลยมาเยี่ยมสตูดิโอของผม และนำงานของผมไปขาย สุดท้ายก็เอางานชุดนี้ของผมมาเสนอที่หอศิลป์ River City Bangkok ซึ่งก็ตอบรับ เราก็เลยได้ทำนิทรรศการนี้ขึ้นมาในที่สุด”

นิทรรศการ Unnecessary Drama โดยอาร์ม – วันทยา ธิติไพศาล และคิวเรเตอร์ หลุยส์ ซัพเพิล 

จัดแสดงที่ RCB Photographers’ Gallery 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ชั้น 2

Always Number 1 : Singapore Grand Prix การแข่งขันของสุดยอดยานยนต์

Singapore Grand Prix การแข่งขันของสุดยอดยานยนต์ ที่พร้อมทดสอบทุกขีดจำกัดของทั้งนักขับและทีมสต๊าฟ กลับมาอีกครั้ง พร้อมสถิติการเข้าชมสูงสุดในรอบ 13 ปี

Author: Rhun Na Ranong

Photography: Courtesy of Rolex

 

การแข่งขันความเร็วที่ถือเป็นระดับสุดยอดของโลกอย่าง Formula 1 กับ Rolex มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ปี 2013 ในฐานะ Global Partner และเป็นนาฬิกาสำหรับการแข่งขันอย่างเป็นทางการ Timepiece of Formula 1 ให้ความสนับสนุนการพัฒนาสำหรับการแข่งขันนี้รวมทั้งนวัตกรรมใหม่ทางด้าน เทคโนโลยี รวมถึงมีประวัติที่เข้มข้นเกี่ยวข้องกับนักขับรถสูตร 1 นี้ ในปี 2017 Mark Webber ผู้ชนะ Formula 1 Grand Prix ถึงสองครั้ง และ 2015 FIA World Endurance Champion ได้เป็น Rolex Testimonee ล่าสุดผู้ที่เข้ามาร่วมก็คือแชมเปี้ยนระดับโลกของ FIA Formula 1 Drivers จากปี 2009 Jenson Button

เรียกว่าเป็นการแข่งขันที่อยู่บนจุดสูงสุดของกีฬาด้านความเร็วอยู่แล้วสำหรับ งาน FORMULA 1 SINGAPORE AIRLINES SINGAPORE GRAND PRIX 2022 ในปีนี้นับเป็นฤดูกาลที่ 10 ของ Rolex ในฐานะ Global Partner และนาฬิกาอย่างเป็นทางการของ Formula 1 ที่เราจะเห็น Rolex Pit Lane Clock เป็นสัญลักษณ์แห่งที่อยู่ในสนามแข่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เช่นกันสำหรับสนาม Marina Bay Street Circuit ในประเทศสิงคโปร์ ที่เป็นสถานที่จัดงาน ที่แฟนการแข่งความเร็วทั้งโลกจับตามอง

ท่ามกลางโค้งที่ท้าทายกว่า 23 โค้งในความยาวสนาม 5.063 กิโลเมตร การแข่งขันในช่วงค่ำของรายการนี้พร้อมความท้าทายทุกขีดจำกัดของนักขับสมรรถนะของรถ ทีมเวิร์คและการวางแผนของทั้ง 10 ทีมที่ร่วมแข่งขันเส้นทางที่ท้าทายนี้ไม่เพียงต้องใช้ทักษะหลังพวงมาลัยเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของยานยนต์ Formula 1 ด้วย การแข่งขันนี้ได้กลับมาเป็นครั้งแรก

Sergio Perez (MEX) Red Bull Racing RB18 in the race.

นับตั้งแต่ปี 2019 Sir Jackie Stewart ผู้เป็น Rolex Testimonee มานานกว่า ครึ่งศตวรรษและเป็นแชมป์โลกนักขับรถสูตร 1 นี้ถึง 3 สมัย ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์คือจุดหมายที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในปฎิทินการแข่งขัน Formula 1 และมีชื่อเสียงด้านการแข่งขันแบบปิด (close racing) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีความท้าทายต่อทีมที่มาแข่งขันชนิดที่ไม่เหมือนที่ไหน

ตลอด 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา Rolex ได้สนับสนุนความเป็นเลิศทางด้านเทคนิค และทักษะมากมายที่เป็นหัวใจของการกีฬา Mark Webber ผู้ชนะ Formula 1 Grand Prix ถึงสองครั้งและเป็น Rolex Testimonee กล่าวว่า: “ปีนี้เสมือนเป็นย่างก้าวที่สำคัญสำหรับ Rolex และ Formula 1 ที่ได้สร้างความร่วมมือที่สอดคล้อง แนบแน่นแสดงถึงความภักดีที่แน่วแน่ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และตั้งเป้าหมายที่เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน การแข่ง Formula 1 อยู่ในระดับแนวหน้าของนวัตกรรมเสมอ เช่นเดียวกับ Rolex ที่ขึ้นชื่อใน ด้านการเพิ่มมาตรฐานขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ผลงานสร้างสรรค์เครื่องบอกเวลาของ Rolex จึงมีความหมายที่สอดคล้องกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือ”

Fernando Alonso (ESP) Alpine F1 Team A522 during qualifying.

บนชัยชนะในวัน Main Race ของ Sergio Perez นักขับชาวเม็กซิกัน เจ้าของฉายา Checo จากทีม Oracle Red Bull Racing กับเวลา 2:02:20.238 หลังจากฝ่าฟันมาทั้งสายฝนในวัน Qualifying และสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนชื้น เบื้องหลังความสำเร็จและแชมเปญที่ถูกเปิดฉลอง สอง Testimonee คนสำคัญของ Rolex อย่าง Sir Jackie Stewart ตำนานนักแข่งจากสก็อตแลนด์ เจ้าของแชมป์โลก F1 สามสมัยในยุค ’70s และ Mark Webber อีกหนึ่งยอดนักขับชาวออสเตรเลีย ที่คว้าชัยชนะบนการแข่งขันรถยนต์ถึงสองชนิด (ทั้ง F1 และ FIA World Endurance Championship) ได้เล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์การแข่งขันจริงของนักขับทั้งสองสมาธิและความมุ่งมั่นรวมไปถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีมที่จะผิดพลาดไม่ได้เลย แม้จะเป็นปัจจัยที่เล็กน้อยที่สุดหากอยากขึ้นไปบนจุดสูงสุดของโพเดียม

Mick Schumacher (GER) Haas VF-22 in the race.

นอกจากนี้ Sir Jackie Stewart วัย 83 ปี ในกางเกงลาย Tartan ตัวสวยและ Rolex Oyster Perpetual Day-Date 36 หน้าปัดและสายหนังสีเขียวตัดกับตัวเรือนทองคำที่เข้ากับหมวกและเสื้อเชิ้ตสองกระเป๋าปกกลัดกระดุมสไตล์สปอร์ต ลุคเท่ๆ ที่ไม่ทิ้งความเก๋าของยอดนักซิ่งแห่งยุค ’70s ยังได้เสริมด้วยน้ำเสียง ที่เปี่ยมไปด้วยความปีติหลังจากนั่งเชียร์อย่างออกรสมาตลอด 3 วันของการแข่งขันเกี่ยวกับความปลอดภัยและมาตรฐานการจัดงานที่พัฒนาขึ้นมากจากยุคที่เจ้าตัวนั่งอยู่หลังพวงมาลัย

“ในยุคของผมน่าเศร้านะ ทุกอย่างมันไม่ได้ปลอดภัยและได้รับการดูแลทั่วถึง อย่างทุกวันนี้ ผมเสียเพื่อนร่วมอาชีพไปถึง 57 คน เรียกได้ว่าไปร่วมงานศพบ่อยกว่า งานแต่งงานซะอีก แต่ตอนนี้การแข่งรถสูตร 1 ถือว่าปลอดภัยกว่ารักบี้หรือขี่ม้าด้วยซ้ำ ไม่มีการจากไปอย่างน่าเศร้าที่ผมต้องเจอมาตลอดอาชีพอีกแล้ว แม้แต่การแข่งขันรถสูตร 2 และ 3 ก็ปลอดภัยมากขึ้นตามลำดับ ถือว่าน่ายินดีเอามากๆ เลย”

(L to R): Jackie Stewart (GBR) with Mark Webber (AUS) Channel 4 Presenter.

ความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาของเจ้าตัวที่คลุกคลีกับวงการความเร็วมาครึ่งศตวรรษ ทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้เลยว่าความสำเร็จบนความเร็วสุดท้าทายที่ทุกอย่างดูเหมือน จะหลุดการควบคุมได้ทุกวินาทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มันมาครอง ไม่แปลกที่แฟนๆ กว่า 300,000 คนที่ร่วมเข้าชมกลางสายฝนจะกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม และประสบการณ์แสนพิเศษในการแข่งขันครั้งที่ 13 บนเกาะสิงคโปร์แห่งนี้ครับ

Party pictures Saint Laurent Rive Droite ‘SEX’ by MADONNA

พาชมภาพแขกบรรยากาศ Party ในงาน Saint Laurent Rive Droite ‘SEX’ By MADONNA Exhibition Art Basel Miami Beach 2022 

Party pictures by Saskia Lawaks

Party pictures by Sofia Malamute

Saint Laurent Rive Droite SEX By MADONNA Exhibition Art Basel Miami Beach 2022

เป็นไปตามตามวิสัยทัศน์ของ Anthony Vaccarello ที่ Saint Laurent จะตีพิมพ์หนังสือ ‘SEX’ ของ Madonna อีกครั้ง หลังจาก เป็นเวลานานถึงสามสิบปีนับจากการตีพิมพ์ในครั้งแรก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสนี้ Saint Laurent นำภาพถ่ายจากหนังสือ เล่มนี้ มาจัดนิทรรศการให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และเชิญชวนให้ผู้ที่มาเยือนได้ท่องไปในโลกของหนังสือไอคอนิคเล่มนี้ได้อย่าง อิสระ หนังสือ SEX ได้ถ่ายทอดเรื่องราวโดย Madonna ถ่ายภาพโดย Steven Meisel และกำกับศิลป์โดย Fabien Baron จึงได้รับความนิยมในทันทีหลังจากตีพิมพ์ไปเมื่อปี 1992 ในช่วงที่ Madonna ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงโด่งดังแบบสูงสุด เธอก็ได้ออกอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า “Erotica” และผลงาน สิ่งพิมพ์ที่สั่นสะเทือนวงการนี้ไปพร้อม ๆ กัน ผลงานของเธอนั้นสุดโต่ง และไม่เคยมีมาก่อนทั้งในวงการ ของสื่อสิ่งพิมพ์และ วงการเพลง

หนังสือเล่มนี้มาพร้อมแพคเกจจิ้งที่หรูหราด้วยการห่อกระดาษแก้วสีเงินอมฟ้าเสริมให้ดูเหมือนนิตยสารผู้ใหญ่ระดับไฮเอนด์ แม้จะดูหรูหราแต่ก็ถือเป็นสินค้าที่ค่อนข้างรุนแรงและน่าตกใจในยุคนั้น โดยเฉพาะเมื่อหนังสือถูกรังสรรค์ขึ้นจากคนดัง ที่ถูกตีกรอบในการควบคุมเรื่องการแสดงออกในที่สาธารณะ ภายใต้แพคเกจจิ้งอันเย้ายวน ผู้อ่านจะได้ค้นพบสิ่งที่คาดไม่ถึง จากป็อปไอคอนกระแสหลักคนนี้ กับการเปิดเผยตัวตนของ Madonna ที่ล้มล้างทุกหลักปฏิบัติของวงการครีเอทีฟ และกลายเป็น แบบอย่างที่จัดจ้านของวัฒนธรรมอันเดอร์กราวด์ในปี 1990

เมื่อหนังสือ SEX โดย Madonna และ Meisel ได้ถูกเปิดตัว ถึงเวลาแล้วที่สิ่งพิมพ์นี้จะตราตรึงใจมากพอๆกับเนื้อหาที่เปิดเผย ดังเห็นได้ว่าเรายังคงสัมผัสพลังของหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร้กาลเวลา SEX หวนคืนสู่สุนทรียะแนวพังค์ที่ล้ำสมัยและเร้าใจ พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์อันสร้างสรรค์ที่มุ่งมั่นและยืนหยัดมาก่อนกาลเวลา

เมื่อสามสิบปีที่แล้ว การตลาดที่โลดโผนของหนังสือเล่มนี้ทำให้หลายคนมองข้ามแก่นแท้ของอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายทาง สุนทรียภาพของหนังสือเล่มนี้ไปอย่างง่ายดาย ในยุคที่เราสามารถรับฟังคำนิยมของหนังสือมากมาย ตั้งแต่ฉากอันเขียวชอุ่ม ของเรื่อง The Damned โดย Luchino Visconti, เรื่องราวของผู้เปลือยกายแห่งยูโทเปียในช่วงระหว่างสงคราม, ภาพถ่ายของ บุคคลที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยช่างภาพชื่อดัง Robert Mapplethorpe ไปจนถึงภาพที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนจาก ช่างภาพ Helmut Newton ล้วนแล้วแต่มอบอิสระภาพทางความคิดทั้งสิ้น

จากสุภาพสตรีผู้เป็นวิญญาณอันแรงกล้าของงานศิลป์แบบแฟนไซน์ไปจนถึงไอดอลร็อคคนโปรดของ Andy Warhol สุดท้าย แล้ว Madonna เขียนเรื่องราวผ่านหนังสือ SEX โดยลงนามว่า Mistress Dita เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อ Dita Parlo นักแสดงหญิงชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับภาพยนตร์แนว Expressionist ในเยอรมนีช่วงปี 1930 ด้วยนามแฝงนี้ Madonna ตั้งใจที่จะสะท้อนอีกด้านนึงของตัวตนเธอในเรื่องของเพศ ตามแนวคิดของชื่อ Rrose Sélavy ของ Marcel Duchamp เช่นเดียวกับเรื่องราวของ Cindy Sherman ที่ก้าวข้ามขอบเขตและกรอบจากสังคมด้วยการใส่ตัวเองเข้าไปอยู่ ในภาพถ่าย

นับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่มาดอนน่าได้สะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการและความปรารถนาอันแรงกล้าได้อย่างชัดเจนและไร้ที่ติ แม้ว่าแทบจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมในตอนนั้นก็ตาม และเป็นเรื่องน่าทึ่งที่หนังสือ SEX สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และความ ตระหนักรู้ของคนยุคใหม่ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ ในวันนี้ สิ่งที่ถูกซ่อนไว้จะปรากฎ ออกมา การละเมิดกฎจะกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป การยั่วยวนกลายเป็นที่ยอมรับ และชนชั้นสูงจะถูกแทนที่ด้วยความเท่าเทียม

วิวัฒนาการของค่านิยมช่วยให้เราสามารถเข้าใจถึงการประชดประชันและพลังของผลงานชิ้นนี้ โดยเฉพาะรูปภาพที่ไม่ค่อย ได้รับการชื่นชมในเวลานั้น จนกระทั่งสามทศวรรษต่อมา เราค้นพบเสียงสะท้อนใหม่ในบริบทปัจจุบัน และเฉลิมฉลองเสรีภาพ แห่งสิทธิสตรีและการนิยามเพศสภาพได้อย่างอิสระ ในขณะที่การถกเถียงเกี่ยวกับคำถามเรื่องเพศและรสนิยมทางเพศเปลี่ยนไป อิทธิพลของหนังสือของมาดอนน่ายังคงเป็นสากลและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งเป็นกระบอกเสียงอันกึกก้อง ขานถึงแนวคิด ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและยังคงตั้งคำถามถึงแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ในอดีต

แกลเลอรีริมชายหาด Saint Laurent เปิดให้เข้าชมฟรีสำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม 2022 นี้ (เวลา 10:00 น. – 19:00 น.)

Julbord Christ Buffet Dinner at IKEA

เฉลิมฉลองคริสต์มาสแบบสวีดิชได้ไม่ไกลที่ IKEA ประเทศไทยนี่เอง

เพื่อเป็นการคัมแบ็คหลังจากติดโควิดไปสองปี ในรอบนี้ IKEA Christmas Buffet เปิดให้บริการในบรรยากาศคริสต์มาสแบบสวีดิชถึง 10 วันเต็มๆ ในระหว่างวันที่ 13 – 23 ธันวาคม 2565 นี้ที่อิเกีย สโตร์บางนา และบางใหญ่

‘Jul’ (ยูล) แปลว่า ‘คริสต์มาส’ ในภาษาสวีเดน ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลที่ชาวสวีเดนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ตามประเพณีดั้งเดิม ในคืนวันที่ 24 ธันวาคม หรือ คืนวันคริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve) ชาวสวีเดนจะอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อร่วมรับประทานอาหารมื้อใหญ่ที่มีหลากหลายเมนู จึงกลายมาเป็นที่มาของ ‘Julbord’ (ยูลบอร์ด) หรือ บุฟเฟต์มื้อคริสต์มาสแบบสวีเดน ที่อิเกียตั้งใจรังสรรค์เพื่อส่งต่อประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมแบบสวีเดนตามแบบฉบับดั้งเดิมให้แก่คนไทยผ่านอาหารแบบต้นตำรับสวีเดนแท้ๆ หลากหลายเมนู ประกอบด้วย Kottbullar – Meatballs/ Chicken Balls/ Plant Balls (มีทบอลชื่อดัง จานเด่นของอิเกีย เสิร์ฟพร้อมครีมซอส มันฝรั่งบดและแยมลินกอนเบอร์รี่), Julskinka – Christmas Ham (คริสต์มาสแฮม อาหารจานเด่นประจำเทศกาล ที่หาทานได้เฉพาะช่วงคริสต์มาสเท่านั้น เสิร์ฟแบบเย็นพร้อมมัสตาร์ดหลากชนิด), Gravad Lax – Marinated salmon (แซลมอนหมัก หนึ่งในอาหารจานโปรดช่วงคริสต์มาส มาพร้อม ‘hovmastarsas’ มัสตาร์ดแสนอร่อยและซอสผักชี), Revbensspjall – Spareribs (เนื้อซี่โครงหมู อร่อยเต็มคำทั้งส่วนเนื้อและซี่โครง ปรุงด้วยซอสหมักก่อนนำไปอบด้วยเตาอบหรือย่าง), Potatoes Au Gratin (มันฝรั่งต้มวางสลับกับหอมหัวใหญ่หั่นเป็นชิ้น อบให้เข้ากันกับซอสชีสแสนอร่อย), Prinskorv – Prince Sausage (ไส้กรอกชิ้นพอดีคำ อาหารจานโปรดของชาวสวีเดนที่ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับมื้อคริสต์มาส), Rodkal – Red Cabbage (สลัดกะหล่ำปลีสีแดงที่ผ่านการตุ๋น พร้อมปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู แอปเปิ้ล และไซรัป), Rodbetssallad – Red Beet Salad (สลัดบีทรูทสีม่วงสดใสที่มีส่วนประกอบเป็น บีทรูทสีแดงผสมเข้ากับแอปเปิ้ล และมายองเนส)

สามารถเข้ารับบริการบุฟเฟต์มื้อค่ำได้ตั้งแต่วันที่ 13 – 23 ธันวาคม (ยกเว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ที่สโตร์อิเกียบางนาและบางใหญ่ ในราคาเพียงท่านละ 299 บาท โดยสมาชิก IKEA Family สามารถจับจองที่นั่งได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 23 ธันวาคมนี้ (หรือจนกว่าบัตรจะหมด)

A Merry Athenee Christmas with A Hamper Gift from The Athenee Hotel

เทศกาลส่งท้ายปีแบบนี้ The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok มีสารพัดกิจกรรมในโรงแรมให้คุณเข้าร่วมในทุกมิติ ทั้งมื้ออาหารพิเศษ ไฟต้นคริสต์มาส การแสดงดนตรี และกิจกรรมสำหรับหนูๆ น้องๆ และสำหรับผู้ที่มองหาของขวัญส่งท้ายปีแบบไม่ซ้ำใคร ทางโรงแรมก็นำเสนอแฮมเปอร์หนึ่งเซ็ตที่มีทั้งบ้านขนมปังขิงขนาดเล็ก ฟรุตเค้ก คริสมาสต์สตอลเลน คุ้กกี้สารพัดแบบ ช็อคโกแลต พุดดิ้ง และขนมอื่นๆ อีกมากมาย

โดยแฮมเปอร์นั้นจะมีให้เลือกสามเซ็ต ได้แก่ Deluxe, Signature และ Kandhavas ราคาเริ่มต้นที่ 1,990 บาท (ไม่รวม VAT และ Service Charge) ซื้อได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มกราคม 2023 นี้เท่านั้น

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ theathenee@luxurycollection.com หรือ Facebook: The Athenee uxurycollection.com 

POP ART : Yindee’s and My Mysterious Friends

Photography: Courtesy of the Gallery

โดยปกติทั่วไป คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าศิลปะมักต้องบอกเล่าเรื่องราวของความสวยงาม ความสุขสดใส หรือนำเสนอมุมมองในแง่บวกของชีวิต แต่ในความเป็นจริง ศิลปะสามารถบอกเล่าเรื่องราวของความทุกข์ ความเศร้าและนำเสนอมุมมองในแง่ลบของชีวิตได้เช่นเดียวกัน แต่ในทางกลับกัน เรื่องราวความทุกข์เศร้าและมุมมองในแง่ลบเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องขาดไร้ความงามเสมอไป

เช่นเดียวกับผลงานในนิทรรศการ Yindee’s Mysterious Friends ของฟาน.ปีติศิลปินและนักวาดภาพประกอบ ผู้หลงรักการวาดภาพลายเส้นละเอียดลออ และมักวาดธรรมชาติรอบตัว ทั้งพืชพรรณ สัตว์ตัวจิ๋วและภูตตัวน้อย ที่ได้แรงบันดาลใจจากความทรงจำในวัยเด็กและเทพนิยาย เธอสร้างงานศิลปะที่คอยย้ำเตือนเราเสมอถึงปัจจุบันที่มีค่าและสร้างพลังให้เราก้าวต่อไปในอนาคตด้วยความเชื่อมั่นในจิตวิญญาณวัยเด็กที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวผู้ใหญ่ทุกคน

ในฐานะศิลปินและนักวาดภาพประกอบ ฟานมีผลงานโดดเด่นหลากหลาย ทั้งนิทรรศการแสดงกลุ่มกับทีม Story Box ที่ Wilton’s Music Hall กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในปี 2017, งานเขียนและภาพวาดประกอบหนังสือ London Book Sanctuary ในปี 2019 รวมถึงงานวาดภาพประกอบและออกแบบปกหนังสือหลากเล่ม เธอยังเป็นหนึ่งในศิลปินที่ชนะเลิศในเวทีประกวดโปสต์การ์ด Happening  Makers ในปี 2019 และได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Vespa, Smeg และ Esteé Lauder อีกด้วย

ในนิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งแรกของเธอคราวนี้ ฟานพาเราก้าวเข้าไปสำรวจในห้องนอนของเด็กหญิงยินดี ผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย เข้าไปแอบอ่านไดอารี่บนโต๊ะของเธอเพื่อค้นพบความลับที่เธอและครอบครัวเก็บซ่อนไว้ภายในสวนลึกลับที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณที่มีเพียงยินดีคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักเป็นสถานที่ที่เหล่าเพื่อนในจินตนาการของเธอแอบซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นจูดี้ หนูที่กลายเป็นหมอนปักเข็ม, ซามูเอล งูที่ปลอมตัวเป็นดอกไม้เพื่อเรียกร้องความรัก, โทมัส ลิงไร้หน้า, ไมเคิล ลูกเสือครึ่งปลาผู้ทำให้พ่อผิดหวังเสมอ และทอมมี่ กระต่ายนักวิ่งผู้เหนื่อยล้าและอยากหลับใหลไปตลอดกาล ตัวละครเหล่านี้ปรากฏอยู่ในรูปของผลงานภาพวาดที่จัดแสดงในพื้นที่แสดงงานแปลกตาน่าพิศวงราวกับเป็นป่ามหัศจรรย์ก็ไม่ปานฟาน ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน เผยให้ฟังถึงที่มาที่ไปเบื้องหลังตัวละครเด็กหญิงยินดีและเหล่าบรรดาเพื่อนๆ สารพัดสัตว์ในจินตนาการของเธอว่า

“ตัวละครเด็กหญิงยินดี มีที่มาจากตอนที่ทางแกลเลอรีติดต่อให้ฟานทำนิทรรศการแสดงเดี่ยว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีสถานการณ์โควิด-19 พอดี ฟานอยู่ในช่วงที่รู้สึกเครียดและเศร้า คิดเรื่องดีๆ ร่าเริงๆ ไม่ค่อยออกก่อนหน้านี้งานของฟานส่วนใหญ่จะเป็นงานในเชิงบวกที่ค่อนข้างสดใสร่าเริง แต่พอเจอกับสถานการณ์โควิด-19 เหมือนฟานดึงแต่พลังลบของตัวเองออกมา แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เรานึกถึงตัวเองในวัยเด็ก นึกถึงเรื่องที่อาจจะเป็นความทรงจำไม่ค่อยดีที่เกิดขึ้นกับเรา หรือเรื่องที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องแย่ๆ ในอดีตที่เคยเจอ ช่วงเวลานี้ก็เลยเป็นเหมือนการได้ทบทวนตัวเอง และย้อนไปมองอดีต ทำให้เราคิดได้ว่าจริงๆ เราทุกคนต่างมีวัตถุดิบที่น่าสนใจว่าวัยเด็กของเราผ่านอะไรมา และทำให้เรากลายเป็นแบบไหนในปัจจุบัน ฟานว่าวัยเด็กมีผลมากเลย และการเจอเรื่องไม่ดีในวัยเด็กนี่แหละ ที่ส่งผลให้เราเป็นคนแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

“ฟานเลยเอาเรื่องนี้มาเป็นจุดตั้งต้นโดยนึกถึงตัวเองในวัยเด็ก ว่ามีอะไรที่เราอยากบอกกับตัวเองบ้าง คือตอนเด็กๆ ฟานชอบเล่นตุ๊กตา และมักจะจินตนาการเกี่ยวกับตุ๊กตาเป็นเรื่องราว ซึ่งก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของปัญหาที่ตัวเราเจอ ก็เอามาเล่นเป็นละครเล็กๆ ของเรา ให้ตุ๊กตาแสดงเรื่องราวเหล่านั้นแค่นี้ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นโดยที่ปัญหายังไม่ได้ถูกแก้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ทำเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้คนเดียวนะ ตุ๊กตาพวกนี้ก็เจอเหมือนเราด้วย ฟานเลยคิดอยากจะทำนิทรรศการที่เป็นเรื่องเศร้าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้จะระบายกับใคร เธอมีแค่ไดอารี่เป็นเหมือนเพื่อนเพียงคนเดียว เธอก็เขียนระบายเรื่องเศร้าลงไดอารี่ แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้พบว่าในห้องนอนของเธอมีตุ๊กตาและเพื่อนๆ ในจินตนาการมากมายที่เจอเรื่องราวเหมือนเธอแต่แฟนตาซีกว่า ทำให้เด็กหญิงยินดีรู้สึกว่าเธอไม่ต้องเผชิญเรื่องร้ายๆ เหล่านี้คนเดียว”

นอกจากภาพวาดเหล่าบรรดาสัตว์ในจินตนาการของศิลปินในนิทรรศการแล้ว ผู้ชมยังสามารถเปิดอ่านเรื่องราวความรู้สึกของเด็กหญิงยินดีในไดอารี่ของเธอได้จริงๆ อีกด้วย

“เรื่องราวในไดอารี่ของเด็กหญิงยินดีถูกเขียนขึ้นมาโดยเพื่อนของฟานชื่อหน่อไม้คือช่วงที่พัฒนาแนวคิดว่าจะทำตัวละคร 10 ตัวขึ้นมาคู่กับไดอารี่ ฟานคิดถึงเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ว่ามีบาดแผลอะไรในวัยเด็กบ้างพอคิดจบ หน่อไม้ก็เอาเรื่องราวทั้งหมดมาร้อยเรียงเป็นความทรงจำของเด็กหญิงยินดี ซึ่งอาจจะไม่ได้พูดถึงตัวละคร 10 ตัวนี้ตรงๆแต่เหมือนเรื่องราวที่เด็กหญิงคนนี้เจอถูกพัฒนาไปเป็นสัตว์ทั้ง 10 ตัวนี้ เหมือนเป็นแรงบันดาลใจที่สะท้อนถึงกัน โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงตัวละครเหล่านี้เลยก็ได้

“ก่อนหน้านี้ฟานจะค่อนข้างกลัวที่จะพูดถึงด้านมืดของตัวเอง ฟานรู้สึกว่ามนุษย์ทุกคนมีทั้งด้านบวกและด้านลบแหละ แต่เวลาวาดรูป ฟานมักจะวาดรูปสวยๆ เหมือนเป็นการแสดงแค่ด้านบวกของตัวเองออกมา แล้วเก็บความรู้สึกแย่ๆ เอาไว้กับตัว แต่สำหรับนิทรรศการนี้ฟานกลับรู้สึกว่าเราเล่าเรื่องที่เราทุกข์ใจด้วยภาพที่สวยงามได้ เหมือนความเศร้าเองก็ดูสวยงามได้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ

“การทำงานแบบนี้เป็นเหมือนการระบายเรื่องที่เราคิดอยู่ในใจ ทั้งความรู้สึกโกรธที่เข้มข้นความรู้สึกไม่ดีที่เข้มข้น เข้มข้นมากจนเรา

ไม่กล้าเล่าออกมาให้เพื่อนฟังตรงๆ ด้วยซ้ำแต่พอเราวาดรูปแสดงออกผ่านงานศิลปะเหมือนเราพูดออกมาอ้อมๆ เล่าให้กระดาษฟังด้วยการวาด เหมือนเราได้ระบายออกไปทางอ้อมจะว่าไปก็เหมือนเป็นศิลปะบำบัดสำหรับฟานเราวาดรูปสร้างเรื่องราวออกมาเป็นงานเหล่านี้ แล้วงานเหล่านี้ก็กลับมาบำบัดตัวเราเอง “ฟานเคยคิดเหมือนกันว่า เวลาฟานใช้ชีวิตประจำวัน ออกไปเจอเพื่อนฝูง ฟานต้องเก็บด้านมืดของตัวเองให้มิดชิดที่สุด เวลาเรารู้สึกไม่พอใจใคร เราโกรธ เราเกลียด เราต้องเก็บให้มิดชิดที่สุด แต่พอใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่งฟานรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเราเก็บไม่ได้หรอก เราต้องระบายออกมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไม่งั้นจะระเบิดข้างใน แล้วเราอาจจะป่วยตอนนี้ฟานเจอวิธีที่ healthy กับตัวเอง คือการระบายออกมาผ่านงานศิลปะ พูดออกมาแบบอ้อมๆ หรือไม่ตรงไปตรงมาเกินไป เป็นเหมือนช่องทางหนึ่งในการเล่าเรื่องราวของเรา “ตัวละครต่างๆ ที่วาดออกมา เราได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตตัวเอง ชีวิตเพื่อนฝูงคนรอบตัวที่เราเคยคุยกับเขา เก็บเกี่ยวเรื่องราวของเขามา เป็นการผสมผสานระหว่างความทรงจำของเรากับความทรงจำของคนรอบตัว เวลาเราสมมติเรื่องราวขึ้นมาในหัวฟานก็จะจินตนาการว่าสัตว์ชนิดไหนหรือตุ๊กตาตัวไหนที่เราจะใช้เล่าและพูดเรื่องนี้ได้ดีที่สุด อย่างเช่น สัตว์ชนิดไหนที่เป็นตัวแทนของการถูกทำร้าย สัตว์ชนิดไหนที่เป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์ที่ถูกหักหลังฟานก็จะออกแบบเป็นตัวละครขึ้นมา เหมือนฟานมีนิทานเด็กอยู่ในหัว แล้วลองแต่งนิทานเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ คิดฝันจินตนาการไปเรื่อยๆ แต่เราไม่กล้าเอาตุ๊กตามาทำแบบนั้นจริงๆ นะ เพราะพอเราเป็นคนจินตนาการเยอะเราก็จะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีชีวิตหมด เราก็จะสงสารเขา”

นอกจากสภาพแวดล้อมในห้องแสดงงานที่ถูกตกแต่งประดับประดาจนดูราวกับป่ามหัศจรรย์แล้ว ภายในห้องยังมีองค์ประกอบอีกอย่างที่ขับเน้นความเป็นจินตนาการและความฝันของเด็กหญิงอย่างเตียงนอนสีขาวสะอาดตาที่ตั้งอยู่กลางห้องนั่นเอง 

“ที่ทำห้องนอนขึ้นในห้องแสดงงานเพราะฟานรู้สึกว่าเวลาเราเจอความรุนแรงในบ้าน หรือในสังคมรอบข้าง ห้องนอนจะเป็นที่ปลอดภัยสุดท้ายของเรา เป็นที่ซ่อนตัวหลบภัยสำหรับฟาน เป็นที่ที่เราเขียนบรรยายความรู้สึกส่วนตัวอยู่ในที่ที่รู้ว่าไม่มีใครอื่นเพราะห้องนอนเป็นที่ที่เราจินตนาการทุกสิ่งขึ้นมาได้ ฟานรู้สึกว่า สำหรับเด็กหญิงยินดีหรืออันที่จริงตัวฟานเองนี่แหละ ห้องนอนคือความจริงที่ซ้อนทับกับความฝัน ฟานก็เลยสร้างห้องนอนกึ่งจริงกึ่งฝันขึ้นมา ที่เหมือนเราได้เข้าไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์ ที่มีต้นไม้มีดอกไม้ มีสัตว์อยู่เป็นเพื่อนเรา มีเพื่อนที่เข้าใจห้อมล้อมเรา คอยดูแล รักษา โอบอุ้มคุ้มครองเรา เหมือนเป็นป่าของเรา ที่เราสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นพื้นที่ปลอดภัย ผู้ชมที่มาชมงานก็สามารถเข้ามานั่งหรือนอนบนเตียงนี้ได้ด้วย”

– Author: MutAnt –

นิทรรศการ Yindee’s Mysterious Friends โดยฟาน.ปีติ จัดแสดงที่ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ชั้น 2 ห้อง 248

นิทรรศการ GUCCI GARDEN ARCHETYPES เปิดแล้วที่ประเทศออสเตรเลีย

Gucci Garden Archetypes นิทรรศการมัลติมีเดียที่ผสานโลกเสมือนจริง ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เดินทางมาถึงที่ Powerhouse Ultimo ณ เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลียแล้ว นิทรรศการครั้งนี้จะนำแคมเปญโฆษณาที่ประสบความสำเร็จ และมีแนวคิดอันแปลกใหม่ที่สุดของ Gucci จากวิสัยทัศน์ของ Alessandro Michele มาถ่ายทอดใหม่ โดยนิทรรศการที่กำลังจัดขึ้นที่ซิดนีย์นี้ถือว่าเป็นลำดับที่ 7 หลังจากที่จัดมาแล้วในเซี่ยงไฮ้ ไทเป ฮ่องกง โตเกียว และโซล

จากความหมายของคำว่า Archetype ที่กล่าวถึงรูปลักษณ์ดั้งเดิม มีเพียงหนึ่งเดียวและจะไม่ถูกสร้างอีกครั้ง เป็นต้นแบบของสำเนาที่ตามมาทั้งหมด แคมเปญโฆษณาทุกแคมเปญของ Gucci ล้วนกล่าวถึงห้วงเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของแต่ละคอลเล็คชั่น สะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียว และถ่ายทอดปรัชญาแห่งความกล้าหาญและเสรีของ Alessandro Michele ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Gucci นั่นเอง

Gucci Garden Archetypes จะเจาะลึกลงไปสู่แรงบันดาลใจอันหลากหลาย ทั้งจากโลกแห่งเสียงดนตรี ศิลปะ การเดินทาง และป๊อปคัลเจอร์ ที่สะท้อนออกมาผ่านแคมเปญโฆษณาของ Gucci

“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะเปิดให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสกับการผจญภัยอันยาวนานเกือบแปดปีนี้ และเชิญทุกคนให้ก้าวเข้ามาสู่จินตนาการ เรื่องเล่า สิ่งเหนือความคาดหมาย และความหรูหรา ดังนั้น ผมจึงได้สร้างสนามเด็กเล่นทางอารมณ์อันหลากหลาย ที่จะสะท้อนความรู้สึกที่อยู่ในแคมเปญเหล่านั้น เพราะนั่นจะเป็นการเดินทางที่ชัดเจนที่สุดไปสู่โลกแห่งจินตนาการของผม” Alessandro Michele กล่าวในฐานะภัณฑารักษ์ของนิทรรศการนี้


เทคโนโลยีสุดล้ำยุค งานฝีมืออันแสนวิจิตร และงานออกแบบภายในที่แปลกใหม่ ร้อยเรียงร่วมกันจนถือกำเนิดเป็นเรื่องราวที่แตกต่างภายในโลกที่ชวนดื่มด่ำ ซึ่งทั้งหมดออกแบบโดยสตูดิโอ Archivio Personale จากการแปลงวิสัยทัศน์ของ Alessandro Michele ให้กลายเป็นพื้นที่บอกเล่าเรื่องราวซึ่งทั้งสะท้อนและส่งเสริมวิสัยทัศน์สร้างสรรค์ของเขาในเวลาเดียวกัน  เมื่อก้าวเข้าสู่นิทรรศการ ผู้เยี่ยมชมจะได้รับประสบการณ์ที่เสมือนการชมงานเบื้องหลังผ่านทางห้องปฏิบัติการ ที่จะถ่ายทอดบรรยากาศสดภายในห้องจัดแสดงผ่านจอแสดงผลแบบแยก  ภายในนิทรรศการ พื้นที่ที่ถูกแบ่งเป็นธีมต่างๆ มากมายจะปลุกโลกที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนของแคมเปญโฆษณาของ Gucci ให้ดูมีชีวิตขึ้นมาในทันใด

“ทาง Powerhouse รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เป็นสถานที่จัดนิทรรศการ Gucci Garden Archetypes ในซิดนีย์ ออสเตรเลีย  Alessandro Michele ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ผู้เลิศล้ำของ Gucci ได้นำเอาแง่มุมของแฟชั่นที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ ดนตรีและสร้างสรรค์นิทรรศการที่จะนำผู้ชมไปสู่การเดินทางที่หลอมรวมโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน เป็นดั่งการเดินทางที่ท่องไปท่ามกลางแรงบันดาลใจเบื้องหลังแคมเปญโฆษณามากมาย ซึ่งกลายเป็นไอคอนของแบรนด์แฟชั่นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงก้องโลก” Lisa Havilah ผู้บริหารสูงสุดของ Powerhouse กล่าวถึงงานนิทรรศการครั้งนี้

นอกจากนี้ ผู้ชมนิทรรศการยังจะได้เข้าชมสวนสวรรค์แห่งดอกไม้หอมอย่าง Gucci Bloom สวนลับในจินตนาการที่กลายมาเป็นสถานที่แห่งเสรีภาพสำหรับเซเลบริตี้ทั้งสาม ได้แก่ นักแสดงสาว Dakota Johnson  ศิลปินและช่างภาพ Petra Collins และนักแสดง/นางแบบ Hari Nef  ด้วยบุคลิกที่มีเสน่ห์และโดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร ทั้งสามจะทำหน้าที่เป็นบุกเบิกวิสัยทัศน์ใหม่ของ Alessandro Michele ในการตีความหมายของสตรีในโลกยุคปัจจุบัน 

ภาพวาดกราฟิตีบนฝาผนังนั้นนำมาจากแคมเปญก่อนฤดูใบไม้ร่วงปี 2018 ที่อุทิศให้กับเยาวชนของปารีสในเหตุการณ์ ‘May 68’ ซึ่งตรงกับวาระครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์ดังกล่าว

อีกหนึ่งแคมเปญที่ถูกนำมารังสรรค์ขึ้นใหม่ในนิทรรศการครั้งนี้คือ The Beloved Show ซึ่งเล่าฉากของดาราระดับเอลิสต์ของฮอลลีวูดหยอกล้อกับพิธีกรรายการทอลค์โชว์ช่วงดึก โดยมีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ของเมืองซิดนีย์ พร้อมอวดกระเป๋าถือจากคอลเล็คชั่น Beloved ทั้งสี่รุ่น ได้แก่ Dionysus, Horsebit 1955  และ Jackie 1961 สุดคลาสสิคทั้งสี่รุ่นของ Gucci ซึ่งล้วนแต่เป็นกระเป๋าที่มีเรื่องราวของตนเองทั้งสิ้น

แคมเปญของคอลเล็คชั่นอันน่าหลงใหลจาก Fall Winter 2018 จะครองพื้นที่จากพื้นจรดเพดานขณะที่ผู้มาชมนิทรรศการไม่อาจละสายตาจากชั้นที่เต็มไปด้วยนาฬิกานกกาเหว่า (Cuckoo Clock) นับร้อยๆเรือน  เครื่องถ้วยเซรามิคและกระเป๋ารุ่น Marmont  นอกจากนี้ ผู้ชมยังจะได้พบตัวเองอยู่ในฉากของห้องน้ำในไนต์คลับยุค 80 จากแคมเปญ Spring Summer 2016 อีกด้วย

ในงานนี้ผู้เข้าชมนิทรรศการจะได้เดินผ่านเขาวงกตกระจกเข้าสู่คฤหาสน์หรูที่เป็นหัวใจของแคมเปญ Cruise 2016 และจะได้นั่งรถไฟใต้ดินของลอสแอนเจลิสอย่างที่ปรากฏในแคมเปญ Fall Winter 2015 ซึ่งเป็นผลงานแคมเปญแรกของอเลสซานโดร มิเคเลอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการจัดทำแคตตาล็อกของนิทรรศการ Gucci Garden Archetypes ซึ่งจะสานต่อการเดินทางของนิทรรศการนี้ เข้าสู่โลกแห่งจินตนาการของ Alessandro Michele เปรียบเหมือนคลังแสงแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่เต็มไปด้วยภาพและความประหลาดใจมากมาย ผ่านถ้อยคำพรรณนาอันไม่ซ้ำแบบใครของบุคคลที่โดดเด่นในแวดวงศิลปวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นนักวิจารณ์ศิลปะ Achille Bonito Oliva, นักปรัชญา Emanuele Coccia, ศิลปินและนักวิจัย Anna Franceschini, ภัณฑารักษ์ Antwaun Sargent และที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและวัฒนธรรมอย่าง Shaway Yeh

นิทรรศการ Gucci Garden Archetypes เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ 17 พฤศจิกายน 2022 จนถึง 15 มกราคม 2023 ณ Powerhouse Ultimo กรุงซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย  จองตั๋วเข้าชมได้ที่ www.gucci.com