ร่วมสนุกตอบคำถาม เพื่อชิงรางวัลบัตรคอนเสิร์ตที่หลายๆ คนตั้งตารอคอยกับ ‘M(a)Y Concert 2023’

นับเป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่หลายๆ คนรอคอยเลยก็ว่าได้ครับ สำหรับคอนเสิร์ตที่มีชื่อว่า M(a)Y Concert 2023 ในครั้งนี้ได้รวบรวมศิลปินชั้นนำมาสนุกบนเวทีถึง 3 วงด้วยกัน ได้แก่หนุ่มวง NCT 127 ต่อกันด้วยสาวสวยวง Kep1er และ ICHILLIN’ ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้อีกหนึ่งศิลปินหนุ่มหล่ออย่าง GRAY มาร่วมจอยความสนุกในครั้งนี้อีกด้วย คอนเสิร์ตในครั้งนี้จะถูกจัดขึ้น ในวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เชื่อว่าคอนเสิร์ตในครั้งนี้ จะต้องจัดเต็มความสนุกอย่างแน่นอน ดังนั้นเราจึงอยากให้แฟนๆ ลอฟฟิเซียล ออมส์ สนุกไปด้วยกัน ด้วยการร่วมชิงบัตรรางวัล กับการร่วมสนุกตอบคำถาม จากกติกาด้านล่างนี้..

หากพร้อมแล้ว เราไปอ่านกติกา และร่วมสนุกไปพร้อมๆ กันได้เลยครับ!

**กติกาการร่วมสนุก**

1. ผู้ร่วมสนุกจะต้องตอบถามคำทั้งหมด 3 คำถาม
2. เมื่ออ่านคำถามแล้ว สามารถออกไปโพสต์คำตอบได้ที่ Twitter : L’Officiel Hommes Thailand (Reply คำตอบใต้โพสต์บทความ)

3. กดติดตาม L’Officiel Hommes Thailand ทุกช่องทาง

ประกาศผลในวันที่ 25 พฤกษาคม 2566 เวลา 18:00 น. ทาง Twitter : L’Officiel Hommes Thailand

จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 2 ใบ

 

ปล.การตัดสินใจของกองบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด

คำถาม…

1. ศิลปินทั้ง 4 วง จะทำการแสดงไม่ต่ำกว่าวงละกี่นาที?

2. นิตยสาร L’Officiel Hommes Thailand ฉบับเดือนล่าสุด เป็นฉบับประจำซีซั่นใด?

3. บอกเหตุผล ว่าทำไมถึงอยากไปชม M(a)Y Concert ในครั้งนี้

 

Together Festival 2023 ฉลองครบรอบ 10 ปี จัดเต็ม 2 เวที พร้อมศิลปินและโปรดักชั่นระดับเทพ!

ประสบความสำเร็จเกินต้าน กับเทศกาลดนตรีอิเลคโทรนิคเบอร์ต้นของประเทศ Together Festival 2023 ที่ปีนี้จัดเต็มแบบที่ไม่เคยมีใครกล้าให้มาก่อน  จัดเต็ม 2 เวที ยาวต่อเนื่องกัน2วัน2คืน ทำให้ภาพรวมซีนดนตรีอิเลคโทรนิคของประเทศไทยมีความเป็นหนึ่งในที่สุดของภูมิภาคเอเชียเลยก็ว่าได้ ใครพลาดไป บอกเลยว่าเสียดายแทนจริงๆ ครบรอบ 10 ปีจะน้อยหน้าได้ยังไง กับไลน์อัพศิลปินที่คัดเลือก ยกทัพระดับตัวเทพ ตัวท๊อปของแต่ละแนวเพลง ที่แฟนตัวยงรอให้มาเยือนไทย  อัดแน่นไว้ใน 2 เวทีสุดตระการตาแบบจุกๆ  นับเป็น2คืนที่มันส์ สนั่น ลั่น ล้น ฮอลล์ จริงๆ โดยตัวงานยังคำนึงถึงความปลอดภัยของชาวเรฟเวอร์มาเป็นอันดับ 1 เช่นเคย

ความพิเศษที่ซ่อนในตัวงาน อาทิ บูทอาหารเลิศรสหลากบูทหลายสัญชาติ แต่ที่เด็ดอยู่ตรงที่บูทนวดตัว ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แด๊นซ์กันมาเมื่อยๆ ก็มาพักรีแล็กซ์ที่บูทนี้ได้  บูทเสริมสวยของสาวๆขวัญใจหนุ่มๆเรฟเวอร์ก็เรียกได้ว่า แวะมาเติมเสน่ห์ได้ตลอดงาน จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเห็นแฟนๆต่างชาติที่ตั้งใจเดินทางมาร่วมเทศกาลดนตรีครั้งนี้ ในส่วนของคอนเสิร์ตนั้นถูกแบ่งเป็น 2 เวที 2 ฮอลล์ เวที Main Stage และ Monstercat Stage (Second Stage Host โดยค่ายเพลงมาขอเปิดเวทีเองถึงประเทศไทยกันเลยทีเดียว ซึ่งศิลปินในเวทีนี้ ก็คัดมาแต่โหดๆ ถูกใจสาย Trap สาย Drum and Bass  หรือแม้แต่ Debstep ก็มา เรียกว่าฟินกันถ้วนหน้ากับดีเจสายหนัก ไม่ว่าจะเป็น WOOLI , KOVEN , SPAG HEDDY , DIRTYPHONICS , MISTER. T , ALASTOR ในวันแรก และ ADVENTURE CLUB , OOKAY , KOMPANY , MUZZ , TERROR BASS , DI3NO ในวันที่สอง ที่ต้องบอกว่า แน่นสมใจสาวก Head Bang กันสุดๆ กับเซอร์ไพรส์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดซีนอิเลคโทรนิคแบบนี้ในประเทศ ทั้งวัฒนธรรมการเต้นแบบ Mosh Pit , Circle Pit , Blood Sea หรือแม้แต่ Body Surf ก็มีให้เห็น เปิดประสบการณ์ให้ชาวเรฟเวอร์ไทยแลนด์จริงๆ

ตัดภาพมาที่เวที Main Stage ที่แค่ชื่อดีเจ ก็รำพึงในใจกันทันทีว่าจะอยู่ยังไงกันให้จบงาน SLANDER , NGHTMRE , JONAS BLUE , KREAM , OU J ,  GISHINE ที่หวดกันยับตั้งแต่ช่วงเย็นเลยทีเดียว แต่ไฮไลท์ของงานในคืนแรกปีนี้ตกไปเป็นของ ALESSO ที่ขอเซอร์ไพรส์แฟนๆแบบมาแหวกกับดนตรีพริ้วๆไหลๆที่ไม่ใช่ทาง Progressive House  แนวถนัดของเจ้าตัว ทั้ง EDM , Deep House , Tech House ใส่มาแบบจัดเต็ม สร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนเพลง ที่ขนเพลงฮิตระดับเมกาบิ๊กทั้ง Let Me Go , Heroes , Under Control , When I’m Gone และ Words มามิกซ์ใหม่ได้สุดลื่นหู ที่ต้องบอกว่าสมูธดุจไหมมากๆ ยก MVP ในคืนนี้ให้ไปเลย อย่าเพิ่งหมดแรง …. ไปกันต่อในคืนที่สอง DGY & SPARKLE , HARD LIGHTS , TRIVECTA , IMANBEK ลากยาวกันตั้งช่วงเย็น ไล่ระดับความพีคมาเรื่อยๆจนมาถึง BOYS NOIZE ดีเจสาย Techno ตัวกลั่น ที่ดีกรีไม่ธรรมดา เคยผ่านการมิกซ์เพลงให้กับ Snoop Dogg ฮิปฮอปตัวพ่อ และ Depeche Mode วง Alternative Synth Pop มาแล้ว ที่เซอร์ไพรส์จัดๆกับโชว์ปิดท้าย ที่ขอหยิบเอาเพลง Blue Monday ของวง New Order ที่วัยรุ่นยุค 80′ ต้องกรี๊ดเลยทีเดียว

GALANTIS ปีนี้ก็ขอมาในสายหวานสลับกับแนวโหดๆได้อย่างลงตัว แบบที่ฟังแล้วไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด ปิดท้ายงานในปีนี้กันด้วย ERIC PRYDZ กับการมาเยือนเมืองไทยเป็นครั้งแรก ที่ขอจัดเต็ม พาทุกคนล่องไปกับดนตรีเทคโนแบบเต็มสูบ ยิ่งบวกกับซาวน์ที่คมกริบ กับโปรดักชั่น 180 องศา ยิ่งฉีดอะดรีนาลีนให้พุ่งพล่านขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ  เรียกว่ากลายเป็นของแรร์เลยก็ว่าได้

มัดรวมคนดังฝั่งชายตบเท้าเข้าคูหา ร่วมออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันประจำปี 2566 อย่างคับคั่ง

และวันที่หลายๆ คนได้รอคอยก็ได้มาถึงแล้วครับ สำหรับวันสำคัญ ในการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยครั้งที่ 27 ที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 วันนี้เราได้ มัดรวมเหล่าคนดังรุ่นใหม่ฝั่งชาย ที่ตบเท้าเข้าคูหาร่วมใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประจำปี 2566 เต็มไปด้วยบรรยากาศสุดคึกคักที่คนแวดวงบันเทิง ต่างพร้อมใจออกมาใช้สิทธิกันอย่างคับคั่ง วันนี้เราได้นำภาพบางส่วนของหนุ่มๆ ที่ออกไปใช้สิทธิในครั้งนี้มาฝากกันแล้วครับ จะมีใครบ้าง เราไปชมกันเลยครับ!

‘ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี’

‘เต-ตะวัน วิหครัตน์’

‘มาร์ช-จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล’

‘มีน-นิชคุณ ขจรบริรักษ์’

‘มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร’

‘เติร์ด-ลภัส งามเชวง’

‘ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร’

‘เน๋ง-ศรัณย์ นราประเสริฐกุล’

‘ฟอส-จิรัชพงศ์ ศรีแสง’

‘ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล’

‘ต้นหน ตันติเวชกุล’

ประมวลภาพความสนุกสุดเหวี่ยงของคอนเสิร์ต WATERBOMB ครั้งแรกในประเทศไทย!!!

ผ่านพ้นกันไปแล้วกับงาน WATERBOMB BANGKOK 2023 Presented by Heineken® Silver ที่ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกกับมิวสิคเฟสติวัลเชนดังจากประเทศเกาหลีอย่าง WATERBOMB ที่ในครั้งนี้ได้มีการซื้อลิขสิทธิ์การจัดงานมาเสิร์ฟแฟนๆ ชาวไทยแบบถึงที่ถึงถิ่น โดยในงานนี้ ไลน์อัพทั้งดีเจและศิลปินมีเพียบ มาประมวลภาพความสนุกไปด้วยกันเลยครับ

มาลองชิม ‘ผัดงอแง’ และอาหารไฟน์ไดนิ่งฝีมือเชฟพอล ณ HUNGER RESTAURANT

เปิดประสบการณ์การ ‘กิน’ อาหารแบบแบ่งแยกชนชั้นไปกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก Netflix อย่าง ‘HUNGER คนหิว เกมกระหาย’ ที่ร้านอาหาร HUNGER RESTAURANT ที่เปิดขึ้น ณ ชั้น G ที่ Groove ศูนย์การค้า Central World 

ถ้าคุณอยากจะลองชิม ‘ผัดงอแง’ หรือลิ้มลองอาหารไฟน์ไดน์นิ่งฝีมือเชฟพอลสักครั้ง Netflix ก็เปิดร้านอาหารคอนเซ็ปต์เก๋ ที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ให้คุณได้เลือกลิ้มลองอาหารตามรสนิยมและ ‘ความหิว’ ของคุณ โดยร้าน HUNGER RESTAURANT นี้จะเปิดบริการเป็นรอบ รอบละประมาณ 45 นาที (ตั้งแต่ 11.00 – 21.00 น.) แบ่งเป็นสองฝั่ง มีอาหารเพียงฝั่งละ 1 จาน (ฝั่ง street food เสิร์ฟผัดงอแงในราคาจานละ 100 บาท และฝั่ง fine dining เสิร์ฟอาหารฝีมือเชฟพอลในราคาจานละ 350 บาท) และคุณเลือกรับประทานอาหารได้เฉพาะฝั่งที่คุณเลือกนั่งเท่านั้น

ร้าน HUNGER RESTAURANT เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 11 – 23 เมษายน 2023 นี้เท่านั้น สำรองที่นั่งได้ที่ 082-241-6618 หรือ Line OA: @HungerRestaurant (สามารถวอล์คอินได้ถ้าที่นั่งไม่เต็ม)

ครั้งแรกในเอเชีย! กับ BLACKPINK IN YOUR AREA EXHIBITION ที่แฟนๆ ไม่ควรพลาด

หนุ่มๆ บลิงค์ไม่ควรพลาด! กับงาน ‘BLACKPINK IN YOUR AREA’ POP-UP STORE & EXHIBITION’ ครั้งแรกของเอเชีย! กับการถ่ายทอดเส้นทางความสำเร็จของ 4 สาว BLACKPINK ผ่านงาน EXHIBITION สุดล้ำ ที่มาพร้อมกับแสงสีเสียงแบบจัดเต็ม พร้อมเผยคลิปเบื้องหลังการถ่ายทำ MV รวมถึงการนำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรีของสาวๆและสินค้าหายาก มาจัดแสดงให้ได้ชมแบบใกล้ชิด

แฟนๆ สามารถเยี่ยมชมได้ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้เท่านั้น! ณ ICONSIAM Attraction Hall ชั้น 6 เวลา 10.00 – 22.00 น. บอกเลยว่าแฟนๆ ลอฟฟิเซียล ออมส์ห้ามพลาดครับ!

POP ART : Is Drama Necessary?

เปลี่ยนดราม่าให้กลายเป็นงานศิลปะอันเปี่ยมสีสัน ในนิทรรศการ Unnecessary Drama โดยอาร์ม – วันทยา ธิติไพศาล

Author: MutAnt

Photography: Courtesy of The Gallery

เมื่อพูดถึงดราม่า แน่นอนว่าอาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนชอบเสพ แต่คงไม่สนุกนักถ้าหากต้องเจอกับตัวเองเข้าให้ ในสังคมเรามีดราม่าเกิดขึ้นมากมายไม่เว้นในแต่ละวัน บางดราม่าก็เกิดขึ้นจากเหตุอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางดราม่าก็เกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นทั้งๆ ที่ความเป็นจริงก็สามารถหลีกเลี่ยงและตัดทิ้งไปจากชีวิตเราได้ เช่นเดียวกับผลงานในนิทรรศการศิลปะหนึ่งที่มีชื่อว่า Unnecessary Drama ที่แสดงให้เราเห็นว่า บางครั้งดราม่าก็สามารถเป็น แรงบันดาลใจให้แก่การทำงานสร้างสรรค์ได้ด้วยเหมือนกัน

นิทรรศการ Unnecessary Drama นำเสนอผลงานของอาร์ม – วันทยา ธิติไพศาล ศิลปินหนุ่มผู้ผันตัวจากการทำงานในสายโฆษณาในปี 2561 หันมามุ่งเน้นในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างจริงจัง วันทยาสร้างผลงานหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม เซรามิก และภาพเคลื่อนไหว ผลงานของเขามุ่งเน้นไปที่การสำรวจบทสนทนาของผู้คนรอบๆ ตัวรวมถึงการเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงปัญหาด้านสังคมและการเมืองอันซับซ้อน ผลงานแต่ละชิ้นของเขาสะท้อนให้เห็นมุมมองที่เขามีต่อสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันอย่างเปี่ยมอารมณ์ขัน

ในนิทรรศการล่าสุดของเขาในครั้งนี้ วันทยาแสดงให้เห็นถึงมุมมองอันลึกซึ้งที่ศิลปินมีต่อบทสนทนาในชีวิตประจำวัน โดยเขาสมมติให้ตัวเองเป็นเสมือนหนึ่ง ‘คู่หู’ ของผู้ชม ด้วยการสวมบทบาทเป็นผู้สังเกตการณ์สถานการณ์หรือแม้แต่ดราม่าในสังคม (ที่หลายคนชอบเสพกว่าอาหารสามมื้อ) ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า “สำหรับผมการตำหนิหรือการมีส่วนร่วมนั้นไม่ได้สร้างความแตกต่าง” เขาเลือกที่จะแสดงข้อสังเกตถึงดราม่ารอบตัวเหล่านี้ผ่านภาพวาด ให้ผู้ชมกลายเป็นพยานในการตีความดราม่าเหล่านี้จากมุมมองของศิลปิน ที่กลั่นกรองออกมาให้เห็นเป็นผลงานศิลปะ

นอกจากสไตล์การทำงานที่มุ่งเน้นในการตีความปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ผลงานของเขายังสื่อถึงความอ่อนไหวและแสดงให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจปนหยอกเย้า ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า “เพื่อทำให้ตัวผมสงบลง ผมพยายามมองหาความสนุกที่มีอยู่ในสิ่งต่างๆ จนเรียกได้ว่าเกือบจะล้อเลียนเรื่องราว (หรือผู้คน) ในแบบของผมเอง” คุณสมบัติเช่นนี้แฝงอยู่ในตัวละครการ์ตูนในภาพวาดของเขา ที่เล่าเรื่องราวรอบตัวทั่วไป ไปจนถึงปัญหาทางสังคมและการเมืองที่เป็นประเด็นอยู่ในช่วงเวลานี้ ด้วยการใช้สีสันอันสดใส และการจัดวางองค์ประกอบอันกระชับ ชัดเจน เปี่ยมเอกลักษณ์ ในขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงความขัดแย้งสำแดงอารมณ์ความรู้สึกสนุกสนานอย่างล้นเหลือ และถ้าหากสังเกตผลงานเขาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าผลงานของวันทยาแอบแฝงเรื่องราวอันซับซ้อนในรูปทรงอันเรียบง่ายของเขาอย่างพิถีพิถัน

ผลงานส่วนใหญ่ของเขายืนอยู่กึ่งกลางระหว่างศิลปะรูปลักษณ์ (figurative art) กับศิลปะนามธรรม (abstract art) โดยใช้แรงบันดาลใจจากอวัยวะในร่างกายมนุษย์ในการเล่าเรื่องต่างๆ อย่างคลุมเครือ เพื่อให้ผู้ชมตีความและหาความหมายที่แท้จริงของแต่ละภาพด้วยตัวเอง ดังนั้น ถึงแม้แต่ละภาพจะเป็นเหตุการณ์ที่ตัดทอนมาจากสถานการณ์ต่างๆ รอบตัว แต่วันทยาก็จงใจที่จะตัดทอนความสมจริงออกไปจากผลงาน เพื่อหลีกเลี่ยงความกดดันและความดราม่าที่เกินจำเป็นนั่นเอง

“แนวคิดหลักๆ ของนิทรรศการครั้งนี้มีที่มาจากวิธีการทำงานของผมด้วยความที่เวลาทำงาน ผมไม่ได้เริ่มจากการสเก็ตช์งานก่อน แต่เริ่มทำงานอย่างฉับพลัน ด้วยการป้ายสีลงบนเฟรมผ้าใบทันที เป็นเหมือนกึ่งๆ action painting สิ่งที่ได้ออกมานั้นมีเยอะมาก จนผมไม่นึกว่าจะออกมาดราม่าขนาดนี้ได้ยังไง ทั้งสี เส้น หรือรูปทรง จนผมต้องค่อยๆ ปรับหรือตัดอะไรบางอย่างเพื่อให้ภาพมีความชัดเจนขึ้นจนเสร็จออกมาเป็นผลงาน ผมมักจะใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายในการเล่าเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้มือเป็นตัวละครหลักในการเล่าเรื่อง เรื่องราวที่เล่าส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการนั่งพูดคุยสนทนากับเพื่อนๆ กับผู้คนเวลาคุยกัน ผมมักจะเป็นคนรับฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยพูดแทรกหรือขัดจังหวะใคร ผมอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ บางครั้งผมก็จะถามเพื่อให้เขาเล่าออกมาเรื่อยๆ แล้วก็เก็บเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาคิดเป็นงานขึ้นมา บางครั้งก็เป็นเรื่องราวข่าวสารบ้านเมือง หรือเรื่องราวดราม่าที่พบเจอบนอินเทอร์เน็ตอยู่บ่อยๆ”

“เหตุที่ผมวาดรูปเป็น semi-abstract (กึ่งนามธรรม) เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยวาดรูปที่เล่าเรื่องออกมาเป็นฉากๆ แบบสมจริง แล้วรู้สึกว่ามันทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ดราม่าล้นเกินจากความเป็นจริงมากๆ ผมเลยดึงรายละเอียดบางอย่างที่แย่งความสนใจของภาพมากจนเกินไปออก และเลือกเก็บแค่รายละเอียดที่จำเป็นเอาไว้ ซึ่งลักษณะการทำงานแบบนี้ก็เชื่อมโยงกับชื่อของนิทรรศการ (Unnecessary Drama) ด้วย”

“แรงบันดาลใจในการทำงานส่วนใหญ่ของผมมีที่มาจากเหตุการณ์ที่ผมไม่เข้าใจหรือทำความเข้าใจลำบาก แล้วผมพยายามคิดหาคำตอบ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เสียที ผมก็เลยทำงานศิลปะเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างในออกมา ด้วยการทำงานที่ค่อนข้างแสดงออกอย่างฉับพลันแบบ abstract expressionist แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้การขูดออกและลบทิ้งเยอะเหมือนกัน เหมือนเวลาทำงานผมจะไม่ค่อยใช้ความคิด ลงมือทำไปเลย แต่จะมาคิดอีกทีตอนทำเสร็จแล้วมานั่งดู แล้วค่อยแก้ไขตกแต่งทีหลัง ความลังเลและไม่มั่นใจของตัวเองเช่นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานของผมด้วย”

วันทยากล่าวถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจหันเหจากการทำงานโฆษณามาทำงานศิลปะเต็มตัวว่า

“ก่อนหน้านี้ผมเป็นครีเอทีฟ ทำโปรดักชัน และเป็นผู้กำกับในบริษัทโฆษณา เพราะผมเรียนมาทางด้านออกแบบผลิตภัณฑ์และแอนิเมชัน ไม่ได้มีพื้นฐานทาง fine art มาก่อนแต่พอทำงานโฆษณามาสักระยะหนึ่ง ผมก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า เราเคยเชื่อว่าการทำงานโฆษณาจะสามารถเปลี่ยนอะไรบางอย่างในสังคมได้ เพราะโฆษณาเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ง่าย แต่หลังๆ กลับกลายเป็นว่าเหมือนผมกำลังบอกผู้ชมด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า ชีวิตคุณจะดีขึ้นด้วยการซื้อของเหล่านี้ ผมมีสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกใครต่อใครว่าชีวิตคุณควรจะเป็นอย่างไร ในขณะที่ตัวผมเองก็ทำไม่ได้ แต่หลักๆ ก็คือเบื่อด้วยแหละ เพราะผมใช้เวลาเป็นสิบปีทำมาแล้วก็ไม่ได้ตอบโจทย์อะไรในชีวิตสักเท่าไรในระหว่างที่ทำงานโฆษณา ผมก็หาเวลาว่างไปทำงานเซรามิก ถ่ายภาพ ทำภาพเคลื่อนไหว แอนิเมชันบ้าง อะไรบ้าง ทำงาน painting ด้วย แต่วาดภาพเล็กๆ ไม่ได้มีสตูดิโอวาดภาพของตัวเอง พอดีช่วงนั้นมีศิลปิน คุณสมยศ หาญอนันทสุข ซึ่งเป็นคุณลุงของเพื่อนผม มาเปิดเวิร์คช็อป painting ที่อัมพวาประมาณหนึ่งสัปดาห์เต็ม ผมก็เข้าไปเรียนด้วย ใช้เวลาประมาณ 10 วัน ได้วาดรูปทุกวัน ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเลยว่างาน abstract คืออะไร ตอนเข้าไปคุณสมยศบอกผมว่าให้ทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำ ไม่เคยมีใครพูดอะไรแบบนี้กับผมมาก่อนในชีวิตเลย พอได้ยินแบบนี้ผมก็คิดว่าผมอยากทำอะไรกันแน่ แล้วก็ทำออกมาเลย คุณสมยศก็จะคอยชี้แนะวิธีการและเทคนิคการทำงานให้”

“ผมพบว่าการทำงาน painting แรกสุดคือการสร้างปัญหาบนแคนวาส เป็นอะไรที่โกลาหลวุ่นวาย จนใช้คำว่าดราม่าเลยก็ได้ ที่เหลือคือการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจนได้ออกมาเป็นรูปทรง เป็นชิ้นงานออกมา ผมใช้วิธีแบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้”

ท้ายสุดวันทยาทิ้งท้ายถึงที่มาที่ไปของนิทรรศการครั้งนี้ว่า

“นิทรรศการครั้งนี้เกิดจากการที่หลุยส์ ซัพเพิล (Louis Supple) คิวเรเตอร์ บังเอิญได้ไปเจองานของผมที่ฝากแสดงที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ของเพื่อนของผม ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาก็เคยตาม Instagram ของผมอยู่ด้วย เขาก็เลยมาเยี่ยมสตูดิโอของผม และนำงานของผมไปขาย สุดท้ายก็เอางานชุดนี้ของผมมาเสนอที่หอศิลป์ River City Bangkok ซึ่งก็ตอบรับ เราก็เลยได้ทำนิทรรศการนี้ขึ้นมาในที่สุด”

นิทรรศการ Unnecessary Drama โดยอาร์ม – วันทยา ธิติไพศาล และคิวเรเตอร์ หลุยส์ ซัพเพิล 

จัดแสดงที่ RCB Photographers’ Gallery 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ชั้น 2

Always Number 1 : Singapore Grand Prix การแข่งขันของสุดยอดยานยนต์

Singapore Grand Prix การแข่งขันของสุดยอดยานยนต์ ที่พร้อมทดสอบทุกขีดจำกัดของทั้งนักขับและทีมสต๊าฟ กลับมาอีกครั้ง พร้อมสถิติการเข้าชมสูงสุดในรอบ 13 ปี

Author: Rhun Na Ranong

Photography: Courtesy of Rolex

 

การแข่งขันความเร็วที่ถือเป็นระดับสุดยอดของโลกอย่าง Formula 1 กับ Rolex มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ปี 2013 ในฐานะ Global Partner และเป็นนาฬิกาสำหรับการแข่งขันอย่างเป็นทางการ Timepiece of Formula 1 ให้ความสนับสนุนการพัฒนาสำหรับการแข่งขันนี้รวมทั้งนวัตกรรมใหม่ทางด้าน เทคโนโลยี รวมถึงมีประวัติที่เข้มข้นเกี่ยวข้องกับนักขับรถสูตร 1 นี้ ในปี 2017 Mark Webber ผู้ชนะ Formula 1 Grand Prix ถึงสองครั้ง และ 2015 FIA World Endurance Champion ได้เป็น Rolex Testimonee ล่าสุดผู้ที่เข้ามาร่วมก็คือแชมเปี้ยนระดับโลกของ FIA Formula 1 Drivers จากปี 2009 Jenson Button

เรียกว่าเป็นการแข่งขันที่อยู่บนจุดสูงสุดของกีฬาด้านความเร็วอยู่แล้วสำหรับ งาน FORMULA 1 SINGAPORE AIRLINES SINGAPORE GRAND PRIX 2022 ในปีนี้นับเป็นฤดูกาลที่ 10 ของ Rolex ในฐานะ Global Partner และนาฬิกาอย่างเป็นทางการของ Formula 1 ที่เราจะเห็น Rolex Pit Lane Clock เป็นสัญลักษณ์แห่งที่อยู่ในสนามแข่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เช่นกันสำหรับสนาม Marina Bay Street Circuit ในประเทศสิงคโปร์ ที่เป็นสถานที่จัดงาน ที่แฟนการแข่งความเร็วทั้งโลกจับตามอง

ท่ามกลางโค้งที่ท้าทายกว่า 23 โค้งในความยาวสนาม 5.063 กิโลเมตร การแข่งขันในช่วงค่ำของรายการนี้พร้อมความท้าทายทุกขีดจำกัดของนักขับสมรรถนะของรถ ทีมเวิร์คและการวางแผนของทั้ง 10 ทีมที่ร่วมแข่งขันเส้นทางที่ท้าทายนี้ไม่เพียงต้องใช้ทักษะหลังพวงมาลัยเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของยานยนต์ Formula 1 ด้วย การแข่งขันนี้ได้กลับมาเป็นครั้งแรก

Sergio Perez (MEX) Red Bull Racing RB18 in the race.

นับตั้งแต่ปี 2019 Sir Jackie Stewart ผู้เป็น Rolex Testimonee มานานกว่า ครึ่งศตวรรษและเป็นแชมป์โลกนักขับรถสูตร 1 นี้ถึง 3 สมัย ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์คือจุดหมายที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในปฎิทินการแข่งขัน Formula 1 และมีชื่อเสียงด้านการแข่งขันแบบปิด (close racing) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีความท้าทายต่อทีมที่มาแข่งขันชนิดที่ไม่เหมือนที่ไหน

ตลอด 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา Rolex ได้สนับสนุนความเป็นเลิศทางด้านเทคนิค และทักษะมากมายที่เป็นหัวใจของการกีฬา Mark Webber ผู้ชนะ Formula 1 Grand Prix ถึงสองครั้งและเป็น Rolex Testimonee กล่าวว่า: “ปีนี้เสมือนเป็นย่างก้าวที่สำคัญสำหรับ Rolex และ Formula 1 ที่ได้สร้างความร่วมมือที่สอดคล้อง แนบแน่นแสดงถึงความภักดีที่แน่วแน่ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และตั้งเป้าหมายที่เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน การแข่ง Formula 1 อยู่ในระดับแนวหน้าของนวัตกรรมเสมอ เช่นเดียวกับ Rolex ที่ขึ้นชื่อใน ด้านการเพิ่มมาตรฐานขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ผลงานสร้างสรรค์เครื่องบอกเวลาของ Rolex จึงมีความหมายที่สอดคล้องกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือ”

Fernando Alonso (ESP) Alpine F1 Team A522 during qualifying.

บนชัยชนะในวัน Main Race ของ Sergio Perez นักขับชาวเม็กซิกัน เจ้าของฉายา Checo จากทีม Oracle Red Bull Racing กับเวลา 2:02:20.238 หลังจากฝ่าฟันมาทั้งสายฝนในวัน Qualifying และสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนชื้น เบื้องหลังความสำเร็จและแชมเปญที่ถูกเปิดฉลอง สอง Testimonee คนสำคัญของ Rolex อย่าง Sir Jackie Stewart ตำนานนักแข่งจากสก็อตแลนด์ เจ้าของแชมป์โลก F1 สามสมัยในยุค ’70s และ Mark Webber อีกหนึ่งยอดนักขับชาวออสเตรเลีย ที่คว้าชัยชนะบนการแข่งขันรถยนต์ถึงสองชนิด (ทั้ง F1 และ FIA World Endurance Championship) ได้เล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์การแข่งขันจริงของนักขับทั้งสองสมาธิและความมุ่งมั่นรวมไปถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีมที่จะผิดพลาดไม่ได้เลย แม้จะเป็นปัจจัยที่เล็กน้อยที่สุดหากอยากขึ้นไปบนจุดสูงสุดของโพเดียม

Mick Schumacher (GER) Haas VF-22 in the race.

นอกจากนี้ Sir Jackie Stewart วัย 83 ปี ในกางเกงลาย Tartan ตัวสวยและ Rolex Oyster Perpetual Day-Date 36 หน้าปัดและสายหนังสีเขียวตัดกับตัวเรือนทองคำที่เข้ากับหมวกและเสื้อเชิ้ตสองกระเป๋าปกกลัดกระดุมสไตล์สปอร์ต ลุคเท่ๆ ที่ไม่ทิ้งความเก๋าของยอดนักซิ่งแห่งยุค ’70s ยังได้เสริมด้วยน้ำเสียง ที่เปี่ยมไปด้วยความปีติหลังจากนั่งเชียร์อย่างออกรสมาตลอด 3 วันของการแข่งขันเกี่ยวกับความปลอดภัยและมาตรฐานการจัดงานที่พัฒนาขึ้นมากจากยุคที่เจ้าตัวนั่งอยู่หลังพวงมาลัย

“ในยุคของผมน่าเศร้านะ ทุกอย่างมันไม่ได้ปลอดภัยและได้รับการดูแลทั่วถึง อย่างทุกวันนี้ ผมเสียเพื่อนร่วมอาชีพไปถึง 57 คน เรียกได้ว่าไปร่วมงานศพบ่อยกว่า งานแต่งงานซะอีก แต่ตอนนี้การแข่งรถสูตร 1 ถือว่าปลอดภัยกว่ารักบี้หรือขี่ม้าด้วยซ้ำ ไม่มีการจากไปอย่างน่าเศร้าที่ผมต้องเจอมาตลอดอาชีพอีกแล้ว แม้แต่การแข่งขันรถสูตร 2 และ 3 ก็ปลอดภัยมากขึ้นตามลำดับ ถือว่าน่ายินดีเอามากๆ เลย”

(L to R): Jackie Stewart (GBR) with Mark Webber (AUS) Channel 4 Presenter.

ความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาของเจ้าตัวที่คลุกคลีกับวงการความเร็วมาครึ่งศตวรรษ ทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้เลยว่าความสำเร็จบนความเร็วสุดท้าทายที่ทุกอย่างดูเหมือน จะหลุดการควบคุมได้ทุกวินาทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มันมาครอง ไม่แปลกที่แฟนๆ กว่า 300,000 คนที่ร่วมเข้าชมกลางสายฝนจะกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม และประสบการณ์แสนพิเศษในการแข่งขันครั้งที่ 13 บนเกาะสิงคโปร์แห่งนี้ครับ

Party pictures Saint Laurent Rive Droite ‘SEX’ by MADONNA

พาชมภาพแขกบรรยากาศ Party ในงาน Saint Laurent Rive Droite ‘SEX’ By MADONNA Exhibition Art Basel Miami Beach 2022 

Party pictures by Saskia Lawaks

Party pictures by Sofia Malamute

Saint Laurent Rive Droite SEX By MADONNA Exhibition Art Basel Miami Beach 2022

เป็นไปตามตามวิสัยทัศน์ของ Anthony Vaccarello ที่ Saint Laurent จะตีพิมพ์หนังสือ ‘SEX’ ของ Madonna อีกครั้ง หลังจาก เป็นเวลานานถึงสามสิบปีนับจากการตีพิมพ์ในครั้งแรก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสนี้ Saint Laurent นำภาพถ่ายจากหนังสือ เล่มนี้ มาจัดนิทรรศการให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และเชิญชวนให้ผู้ที่มาเยือนได้ท่องไปในโลกของหนังสือไอคอนิคเล่มนี้ได้อย่าง อิสระ หนังสือ SEX ได้ถ่ายทอดเรื่องราวโดย Madonna ถ่ายภาพโดย Steven Meisel และกำกับศิลป์โดย Fabien Baron จึงได้รับความนิยมในทันทีหลังจากตีพิมพ์ไปเมื่อปี 1992 ในช่วงที่ Madonna ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงโด่งดังแบบสูงสุด เธอก็ได้ออกอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่า “Erotica” และผลงาน สิ่งพิมพ์ที่สั่นสะเทือนวงการนี้ไปพร้อม ๆ กัน ผลงานของเธอนั้นสุดโต่ง และไม่เคยมีมาก่อนทั้งในวงการ ของสื่อสิ่งพิมพ์และ วงการเพลง

หนังสือเล่มนี้มาพร้อมแพคเกจจิ้งที่หรูหราด้วยการห่อกระดาษแก้วสีเงินอมฟ้าเสริมให้ดูเหมือนนิตยสารผู้ใหญ่ระดับไฮเอนด์ แม้จะดูหรูหราแต่ก็ถือเป็นสินค้าที่ค่อนข้างรุนแรงและน่าตกใจในยุคนั้น โดยเฉพาะเมื่อหนังสือถูกรังสรรค์ขึ้นจากคนดัง ที่ถูกตีกรอบในการควบคุมเรื่องการแสดงออกในที่สาธารณะ ภายใต้แพคเกจจิ้งอันเย้ายวน ผู้อ่านจะได้ค้นพบสิ่งที่คาดไม่ถึง จากป็อปไอคอนกระแสหลักคนนี้ กับการเปิดเผยตัวตนของ Madonna ที่ล้มล้างทุกหลักปฏิบัติของวงการครีเอทีฟ และกลายเป็น แบบอย่างที่จัดจ้านของวัฒนธรรมอันเดอร์กราวด์ในปี 1990

เมื่อหนังสือ SEX โดย Madonna และ Meisel ได้ถูกเปิดตัว ถึงเวลาแล้วที่สิ่งพิมพ์นี้จะตราตรึงใจมากพอๆกับเนื้อหาที่เปิดเผย ดังเห็นได้ว่าเรายังคงสัมผัสพลังของหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร้กาลเวลา SEX หวนคืนสู่สุนทรียะแนวพังค์ที่ล้ำสมัยและเร้าใจ พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์อันสร้างสรรค์ที่มุ่งมั่นและยืนหยัดมาก่อนกาลเวลา

เมื่อสามสิบปีที่แล้ว การตลาดที่โลดโผนของหนังสือเล่มนี้ทำให้หลายคนมองข้ามแก่นแท้ของอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายทาง สุนทรียภาพของหนังสือเล่มนี้ไปอย่างง่ายดาย ในยุคที่เราสามารถรับฟังคำนิยมของหนังสือมากมาย ตั้งแต่ฉากอันเขียวชอุ่ม ของเรื่อง The Damned โดย Luchino Visconti, เรื่องราวของผู้เปลือยกายแห่งยูโทเปียในช่วงระหว่างสงคราม, ภาพถ่ายของ บุคคลที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยช่างภาพชื่อดัง Robert Mapplethorpe ไปจนถึงภาพที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนจาก ช่างภาพ Helmut Newton ล้วนแล้วแต่มอบอิสระภาพทางความคิดทั้งสิ้น

จากสุภาพสตรีผู้เป็นวิญญาณอันแรงกล้าของงานศิลป์แบบแฟนไซน์ไปจนถึงไอดอลร็อคคนโปรดของ Andy Warhol สุดท้าย แล้ว Madonna เขียนเรื่องราวผ่านหนังสือ SEX โดยลงนามว่า Mistress Dita เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อ Dita Parlo นักแสดงหญิงชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับภาพยนตร์แนว Expressionist ในเยอรมนีช่วงปี 1930 ด้วยนามแฝงนี้ Madonna ตั้งใจที่จะสะท้อนอีกด้านนึงของตัวตนเธอในเรื่องของเพศ ตามแนวคิดของชื่อ Rrose Sélavy ของ Marcel Duchamp เช่นเดียวกับเรื่องราวของ Cindy Sherman ที่ก้าวข้ามขอบเขตและกรอบจากสังคมด้วยการใส่ตัวเองเข้าไปอยู่ ในภาพถ่าย

นับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่มาดอนน่าได้สะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการและความปรารถนาอันแรงกล้าได้อย่างชัดเจนและไร้ที่ติ แม้ว่าแทบจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมในตอนนั้นก็ตาม และเป็นเรื่องน่าทึ่งที่หนังสือ SEX สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และความ ตระหนักรู้ของคนยุคใหม่ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ ในวันนี้ สิ่งที่ถูกซ่อนไว้จะปรากฎ ออกมา การละเมิดกฎจะกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป การยั่วยวนกลายเป็นที่ยอมรับ และชนชั้นสูงจะถูกแทนที่ด้วยความเท่าเทียม

วิวัฒนาการของค่านิยมช่วยให้เราสามารถเข้าใจถึงการประชดประชันและพลังของผลงานชิ้นนี้ โดยเฉพาะรูปภาพที่ไม่ค่อย ได้รับการชื่นชมในเวลานั้น จนกระทั่งสามทศวรรษต่อมา เราค้นพบเสียงสะท้อนใหม่ในบริบทปัจจุบัน และเฉลิมฉลองเสรีภาพ แห่งสิทธิสตรีและการนิยามเพศสภาพได้อย่างอิสระ ในขณะที่การถกเถียงเกี่ยวกับคำถามเรื่องเพศและรสนิยมทางเพศเปลี่ยนไป อิทธิพลของหนังสือของมาดอนน่ายังคงเป็นสากลและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งเป็นกระบอกเสียงอันกึกก้อง ขานถึงแนวคิด ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและยังคงตั้งคำถามถึงแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ในอดีต

แกลเลอรีริมชายหาด Saint Laurent เปิดให้เข้าชมฟรีสำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม 2022 นี้ (เวลา 10:00 น. – 19:00 น.)