อิ่มอร่อยไปกับเมนูสุดพิเศษ จากการร่วมมือกันระหว่างห้องอาหารจีน แชงพาเลซและ พาธ สิงคโปร์

ห้องอาหารจีน แชงพาเลซ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ และห้องอาหาร พาธ สิงคโปร์ สองห้องอาหารชื่อดังที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นห้องอาหารที่ดีที่สุดในท้องถิ่นของตนเอง โดยให้บริการอาหารที่เต็มเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์และได้รับอิทธิพลจากอาหารสไตล์เอเชียตะวันออก  ด้วยความร่วมมือกันของทั้งสองห้องอาหารนี้จะสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญให้แก่วงการอาหารในกรุงเทพฯ  กับ ‘Four-Hands’ collaboration การปรุงอาหารมื้อพิเศษร่วมกันโดยสองเชฟใหญ่จากทั้งสองห้องอาหารชื่อดัง ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13-15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

การรับประทานอาหารมื้อพิเศษในครั้งนี้จะจัดขึ้นที่ แชงพาเลซ ห้องอาหารจีนชื่อดังของโรงแรมแชงกรีลา กรุงเทพฯ โดยมีหัวหน้าพ่อครัวใหญ่ครัวจีน ตัน กวางอิ๊ก ร่วมรังสรรค์เมนูพิเศษกับเชฟ มาร์วาส อึ้ง หัวหน้าพ่อครัวใหญ่แห่งห้องอาหาร พาธ สิงคโปร์ แม้ว่าเชฟทั้งสองจะมีเทคนิคการทำอาหารเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ต่างมีความหลงใหลในการรังสรรค์เมนูอาหารที่มีความพิเศษไปกว่าเมนูอาหารเอเชียสมัยใหม่ทั่วไป ดังนั้นคุณสามารถคาดหวังที่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์การรับประทานอาหารสุดพิเศษที่โดดเด่นแบบ   ไม่ซ้ำใครจากฝีมือของเชฟทั้งสองท่านนี้

การสร้างสรรค์เมนูอาหารของเชฟ ตัน กวางอิ๊ก มาจากความมุ่งมั่นในการทดลองและทดสอบรสชาติอาหารนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อถ่ายทอดรสชาติอาหารกวางตุ้งที่แสนปราณีตอย่างแท้จริง

หัวหน้าพ่อครัวใหญ่ มาร์วาส อึ้ง เพิ่งคว้า 2 รางวัลเหรียญทองให้กับประเทศสิงคโปร์ในการแข่งขัน คูลินารี เวิลด์ คัพ ประจำปี พ.ศ. 2565 และได้ใช้เวลากว่าทศวรรษทำงานอยู่ในครัวของห้องอาหารชื่อดัง Le Pan ที่ ฮ่องกง และ เทียนจิน (ประเทศจีน) ห้องอาหาร พาธ เป็นห้องอาหารร่วมสมัยที่ตั้งอยู่ในย่าน มารีนา เบย์ อันเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจ การลงทุนและการเงินของประเทศสิงคโปร์ โดยนำเสนอรสชาติอาหารเอเชียตะวันออกที่ทุกท่านคุ้นเคย และยกระดับด้วยเทคนิคการปรุงในแบบฝรั่งเศส ผสมผสานกับสไตล์และ แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของตัวเขาเอง

ตั้งแต่วันที่ 13-15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ขอเชิญทุกท่านมาอิ่มหนำไปกับเมนูมื้อค่ำเลิศรสที่จะทำให้ท่านประทับใจไปกับเมนู 8 คอร์ส สำหรับท่านที่สำรองที่นั่งสำหรับรับประทานอาหารมื้อค่ำในวันที่ 13 กรกฎาคม จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมมาสเตอร์คลาสที่เชฟทั้งสองร่วมกันสอนปรุงอาหารในช่วงบ่าย (ขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งที่ว่าง)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งได้ที่ ฝ่ายสำรองที่นั่งห้องอาหารของโรงแรมฯ โทร. 0 2236 7777 หรือ อีเมล restaurants.slbk@shangri-la.com

อิ่มเอมไปกับชุดน้ำชายามบ่ายธีมใหม่ “Strawberry Sensation” ที่ ล็อบบี้ เลาจน์ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ

อร่อยไปกับชุดน้ำชาชุดพิเศษธีมใหม่ “Strawberry Sensation” รังสรรค์โดยหัวหน้าพ่อครัวขนมหวานและขนมอบ อเล็กซานดาร์ เฮกิโมฟ ที่คุณจะต้องติดใจไปกับกลิ่นหอมและ รสชาติหวานกลมกล่อมของสตรอว์เบอร์รีคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทยจากโครงการ ‘Rooted in Nature’ ของกลุ่มแชงกรี-ลา ที่นำแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนมาผนวกเข้ากับความอร่อยได้อย่างลงตัว

เพลิดเพลินไปกับเมนูของว่างรสเลิศที่แต่งแต้มด้วยสีชมพูน่ารับประทาน สโคนที่อบอย่างลงตัว เค้กและขนมหวานแสนอร่อยมากมาย ที่พร้อมเสิร์ฟกับเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นในขณะชมวิวอันงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยา

เปิดให้บริการทุกวันที่ ล็อบบี้ เลาจน์ ตั้งแต่เวลา 14:00 น. ถึง 18:00 น. ตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม ถึง วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566

จากปูซานถึงไทย! กับเชฟ Edward Kwon เสิร์ฟความอร่อยให้ได้ลิ้มลอง ณ โรงแรม Siam Kempinski

ส่งตรงจากเมืองปูซานสู่ไทยเป็นครั้งแรกกับ ‘Edward Kwon in Bangkok’ โดยเชฟ Edward Kwon และทีมเชฟมืออาชีพจาก LAB XXIV by KUmuda ห้องอาหารเกาหลีร่วมสมัยที่สืบสานวัฒนธรรมการทำอาหารแบบตะวันตกควบคู่กัน พร้อมสร้างความตื่นเต้นผ่านเซ็ตเมนูอาหารเกาหลีแบบ 12 คอร์ส รังสรรค์ผ่านกรรมวิธีการทำอาหารแบบตะวันตกชั้นสูง ที่รสชาติแบบเกาหลีคลาสสิกยังคงถูกรักษาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยจะมาเสิร์ฟความอร่อยให้ทุกท่านได้ลิ้มลองกัน ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 7 กรกฎาคม ถึง 7 ตุลาคม 2566 นี้

หนึ่งในความตั้งใจของเชฟเอ็ดเวิร์ดคือการยกระดับชื่อเสียงของอาหารประจำชาติให้กว้างขวางในระดับนานาชาติ รวมถึงประเทศไทย ผ่านความรักและความเชี่ยวชาญในการทำอาหารตะวันตก โดยให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดในการปรุงและการตกแต่ง เพื่อให้จานอาหารทุกจานออกมาสง่างามน่ารับประทาน และให้ความรู้สึกน่าสนใจเมื่อได้รสสัมผัสของรสชาติแบบเกาหลีคลาสสิกผ่านวัตถุดิบชั้นนำคุณภาพนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้และทั่วโลก สร้างความประทับใจให้กับแขกทุกท่านราวกับการได้ชื่นชมงานศิลปะชั้นสูงผ่านจานอาหาร

Edward Kwon in Bangkok’ พร้อมแล้วที่จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับทุกท่าน เชื่อมโยงมรดกทางด้านอาหารแบบเกาหลีดั้งเดิม ผ่านกรรมวิธีแบบร่วมสมัย ที่จะทำให้ทุกท่านคาดไม่ถึงไปกับการนำเสนอไอเดียและความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครผ่านอาหารแต่ละจาน ไม่เพียงแค่สวยงามด้วยรูปลักษณ์ หากแต่ยังเต็มไปด้วยความหลากหลายของรสชาติเทคนิคการทำปรุงอาหารแบบเหนือชั้น ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกท่านที่ได้รับประทาน

‘Nusara’ Thailand Krug Ambassade.

เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ที่มีชื่อเสียงในด้านการรังสรรค์อาหารที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านอาหารจนกลายเป็นภาพลักษณ์ของตัวเขา แน่นอนว่ารสชาติอาหารย่อมจะต้องเป็นที่กล่าวขวัญถึง ล่าสุดกับร้านอาหาร‘นุสรา’ ท่าเตียน ที่ได้ย้านทำเลมาอยู่ด้านตรงข้ามวัดโพธิ์ ทำให้เห็นวิวที่งดงามน่าตื่นตาตื่นใจ และพร้อมๆ กัน ‘นุสรา’ ก็ได้ตำแหน่งอันทรงเกียรติให้เป็น แอมบาสเดอร์เจ้าแรกของไทยในฐานะ Krug Ambassade


เพื่อเฉลิมฉลองค่ำคืนสุดพิเศษระหว่าง Krug Champagne แชมเปญคุณภาพเยี่ยมจากประเทศฝรั่งเศส และ ‘Nusara’ (นุสรา) ร้านอาหารไทยสไตล์ไฟน์ไดนิ่งของ เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร  ในฐานะ Krug Ambassade ร้านแรกของประเทศไทย พร้อมมอบประสบการณ์พิเศษของการจับคู่กับอาหารไทยและแชมเปญชื่อดังระดับโลก
Krug Ambassade คือผู้ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของ Krug ผ่านอาหารและการ pairing ให้กับลูกค้าทุกคนได้เป็นอย่างดี Krug Ambassade ทุกคนมีความหลงใหลในอาหารรสเลิศจากทั่วทุกมุมโลก และสามารถจับคู่กับแชมเปญของครุกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยรสชาติและกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ทำให้ Krug เป็นที่ปรารถนาของนักดื่มและนักสะสมทั่วโลก สะท้อนถึงกระบวนการผลิตชั้นสูงที่มีความซับซ้อน โดยในปัจจุบัน Krug Ambassade ครอบคลุมร้านอาหาร 206 แห่งจาก 28 ประเทศใน 5 ทวีปทั่วโลก และมีร้านอาหารเพียง 7 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ที่ได้เข้าร่วมเป็น Krug Ambassade รวมถึงร้านอาหารนุสรา ซึ่งเป็นร้านแรกของประเทศไทย


ในแต่ละปี Krug จะคัดเลือกวัตถุดิบเรียบง่ายเพื่อให้ Krug Ambassador Chefs รังสรรค์เป็นเมนูที่มีอักลักษณ์เฉพาะตัว โดยปีนี้ Krug เลือก ‘เลมอน’ เป็นวัตถุดิบแห่งปี 2023 เพื่อสื่อถึงความมีชีวิตชีวาและความปรารถนาดีต่อกัน ด้วยรสชาติเปรี้ยว หอม สดชื่น และเปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งยังช่วยกระตุ้นความรู้สึกอยากรับประทานอาหารได้อย่างดี เชฟต้นจึงรังสรรค์เมนูอาหารไทยที่มีเลมอนเป็นส่วนผสมและเข้ากันได้ดีกับแชมเปญของ Krug
“ส่วนตัวผมรู้สึกว่า Krug เป็นเหมือนรักแรกพบ และผมก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Krug มาโดยตลอด บ่อยครั้งที่ผมมักจะมองหาแชมเปญคุณภาพดีจากแคว้นช็องปาญ (Champagne) ก่อนจะจบลงที่ Krug Champagne เพราะเป็นแชมเปญที่มีรสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร มีความคลาสสิก และสง่างามเหนือกาลเวลา ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากจะสร้างสรรค์เมนูอาหารไทยที่เข้ากันได้ดีกับการจิบแชมเปญของ Krug” เชฟต้น กล่าว
เพื่อเป็นเกียรติแก่ Krug Champagne เชฟต้นจึงได้รังสรรค์เมนูสุดพิเศษ 11 คอร์สที่ได้ใช้เลมอนเป็นส่วนผสม พร้อมเสิร์ฟให้กับแขกคนสำคัญที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเปิดตัว Thailand’s First Krug Ambassade ได้แก่ ต้มส้มปลาอินทรีย์ อ่องปูนาอินทรีย์ หรือไม่ว่าจะเป็นเมนูไฮไลต์อย่าง ‘พล่าหอยเชลล์’ ที่มีเลมอนเป็นวัตถุดิบเด่นสำหรับเมนูนี้


Krug Champagne ถือกำเนิดขึ้นในปี 1843 โดย Joseph Krug ชายผู้มีความฝันที่จะรังสรรค์แชมเปญที่ดีที่สุดในทุกๆ ปี ด้วยความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝน แสงแดด รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน ภายใต้ความเชื่อมั่นที่ว่า แชมเปญของเขาต้องมีคุณภาพดีเยี่ยมและไร้ที่ติ เขายังได้ถ่ายทอดอุดมการณ์ ความฝัน และความหลงใหลที่มีต่อแชมเปญลงในสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง เพื่อส่งต่อจิตวิญญาณของความเป็น Krug ให้กับทายาทรุ่นต่อมา โดยปัจจุบัน Krug Champagne ได้ดำเนินธุรกิจมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 6 แล้ว

งานเฉลิมฉลองร้านอาหาร ‘นุสรา’ ในฐานะ Krug Ambassade ร้านแรกของประเทศไทยครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนหลักในการจัดงานโดย บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนซี่ ประเทศไทย จำกัด นำโดย คุณกนกกาญจน์ อินแกรม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ในการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ พร้อมร่วมพูดคุยถึงความพิเศษของ Krug Champagne และ Thailand’s First Krug Ambassade ที่จะมอบความประทับใจครั้งใหม่ให้กับการจิบแชมเปญคู่กับอาหารจานพิเศษของนุสรา ณ ร้านอาหารนุสรา ท่าเตียน

Siam Kempinski Hotel เปิดตัวชุดน้ำชายามบ่าย ‘City of Angels’

รื่นรมย์กับชุดน้ำชายามบ่าย ‘ซิตี้ ออฟ แองเจิลส์’ จากโรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ และ ‘ครูปาน สมนึก คลังนอก’

ชื่นชมงานศิลปะผ่านชุดน้ำชายามบ่าย จาก 1897 เลาจน์ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ให้บริการตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2566 โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เปิดตัวการร่วมมือกันระหว่างหัวหน้าพ่อครัวเบเกอรีชาวฝรั่งเศส เชฟแฟรงส์ อิสเทล และ ครูปาน สมนึก คลังนอก ศิลปินไทยที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวก ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานต้อนรับฤดูร้อนนี้กับชุดน้ำชาใหม่ ในคอนเซ็ปท์ ‘ซิตี้ ออฟ แองเจิลส์’ (City of Angels) นำเสนอผลงานการออกแบบศิลปะผ่านการรับประทานอาหารคาวและหวานพร้อมจิบน้ำชายามบ่าย ที่จะยกระดับให้ช่วงเวลายามบ่ายของคุณแปลกใหม่กว่าที่ผ่านมา

‘ซิตี้ ออฟ แองเจิลส์’ (City of Angels) ในการตีความผ่านจินตนาการของครูปานนั้น ประกอบไปด้วยเหล่านางฟ้า วิหก และบุปผชาติหลากชนิด ที่อยู่ร่วมกันราวกับเทพนิยาย ออกแบบให้เข้ากับยุคสมัยผ่านรูปทรงและสีสันสดใสแบบฉบับหน้าร้อนต่างๆ มากมาย ที่จะทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของแขกทุกท่านได้ทำงานและรู้สึกตื่นเต้นไปกับการร่วมมือกันในครั้งนี้

เชฟแฟรงส์ อิสเทล และ ครูปาน ได้ร่วมกันออกแบบและผสมผสานแนวคิดแบบไทยและยุโรปเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ผ่านจินตนาการด้านศิลปะที่ไร้ขอบเขตและการใช้สีสันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของครูปาน เพื่อให้เกิดความรู้สึกสดใสและน่าตื่นเต้นผ่านประสาทของการมองเห็น ในขณะที่เชฟแฟรงส์ได้นำเสนอความเป็นเลิศผ่านการสร้างผลงานเบเกอรี่ด้วยวิธีการทำขนมสไตล์ฝรั่งเศส อันเป็นประเทศต้นกำเนิดของเชฟแฟรงส์ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งเรียนรู้การทำขนมชั้นนำของโลก 

ชุดน้ำชายามบ่ายซิตี้ ออฟ แองเจิลส์ นำเสนออาหารคาวและหวานทั้งสิ้น 22 รายการ ที่ถูกทำขึ้นในรูปแบบแปลกตาและเป็นเอกลักษณ์เชิญชวนให้รับประทาน ไม่ว่าจะเป็น ‘ทาร์ตยำส้มโอกับเนื้อปูอลาสก้า’ หนึ่งในเมนูสำรับไทยยอดนิยมประจำฤดูร้อน ที่สร้างความสดชื่นได้เป็นอย่างดีใส่ใน ‘กระทงทอง’ ให้รสเปรี้ยวหวานเค็มแบบไทยแท้ และประดับด้วยไข่ปลาคาเวียร์ ‘ข้าวเกรียบสะเต๊ะไก่’ ที่จะถูกนำเสนอใหม่ในรูปแบบมูส เพิ่มกลิ่นด้วยเครื่องเทศหลากชนิดและเสริมด้วยอาจาด ที่มาในรูปแบบใหม่แปลกตา ‘ข้าวตังแกงเผ็ดเป็ดย่างลำไย’ อีกหนึ่งเมนูที่เชฟแฟรงส์มีความตั้งใจนำเสนออย่างเต็มเปี่ยม แกงเผ็ดเป็ดย่างจะถูกนำมาทำให้เป็นมูสเนื้อดี สอดไส้ในลำไยและเสิร์ฟบนแผ่นข้าวตังกรอบชิ้นพอดีคำ เสริมด้วยคาเวียร์มะนาว เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นลงตัว

ตื่นตาไปกับบรรดาอาหารหวานที่จะมาเติมเต็มวันของทุกท่านด้วยความสดใส อาทิ ‘แบร็สต์สัปปะรดวนิลลา’ เมนูขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสคลาสสิกที่จะถูกดัดแปลงด้วยผลไม้ตามฤดูกาลอย่างสัปปะรด ให้ความรู้สึกสดชื่นได้ตั้งแต่คำแรกที่รับประทาน ‘ช็อคโกแล็ตครีมราสเบอร์รี่ลิ้นจี่’ ผสมผสานไปด้วยรสชาติหอมหวานของดอกกุหลาบ ราสเบอร์รี่ และลิ้นจี่ หนึ่งในผลไม้ไทยที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และ ‘โอเปร่าเค้กมะพร้าวใบเตย’ เค้กโอเปร่าเนื้อนุ่ม สอดไส้ครีมมะพร้าวใบเตยหอมหวาน 

นอกจากนี้ ชุดน้ำชาซิตี้ ออฟ แองเจิลส์ นำเสนอสโกนสามรสชาติแปลกใหม่ ที่แขกทุกท่านจะต้องชื่นชอบ ได้แก่ รสดั้งเดิม รสมะม่วง และรสชาไทย เสิร์ฟคู่กับแยมสตรอว์เบอร์รี่และวนิลลา เคิร์ดเสาวรส และคล็อตเต็ดครีมสไตล์อังกฤษยกระดับช่วงเวลาแห่งความสุขยามบ่ายกับชารอนเนอเฟลด์ (Ronnefeldt) กลิ่นหอมและรสชาติมีเอกลักษณ์ ที่ได้คัดสรรมาอย่างประณีตโดยคุณกิ่ง นิภาพร หาญวิชัย มาสเตอร์ด้านการชงชา และเสียงดนตรีอันไพเราะจากนักเล่นพิณชื่อดังอย่าง มาดาม ทองหยวน หวัง (Tong-Juan Wang)ด้วยการแสดงไลฟ์ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์

Volti Tascan Grill and Bar

ห้องอาหาร โวลติ เปิดให้บริการอีกครั้งภายใต้แนวคิดใหม่ “โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์” ที่สายเนื้อต้องไม่พลาดเพราะจุดเด่นหนึ่งก็คือสเต๊กเนื้อที่ย่างจากเตาถ่าน แต่ใครไม่สายเนื้อก็มีอาหารสไตล์ทัสคานีที่เป็นจุดเด่นจากการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดมาปรุงอาหาร ด้วยเมนูที่พร้อมพรั่งทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย พาสต้า รวมทั้งอาหารทะเลที่คัดมาสดๆ ปรุงในสไตล์ครัวในบ้านของชาวทัสคานีย์


เป็นการกลับมาอีกครั้งของห้องอาหารอิตาเลียน Volti ด้วยแนวคิดใหม่ “อาหารย่างในสไตล์ทัสคาน” ที่คุณพลาดไม่ได้ โดยห้องอาหาร โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ โฉมใหม่ นำเสนอความอร่อยจากเนื้อคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก นำมาปรุงในสไตล์ทัสคานีย์แท้ด้วยการรมควันและย่างด้วยเตาถ่าน เริ่มจากเนื้อชั้นเยี่ยมอย่างเนื้อวากิวสายพันธุ์เลือดแท้ 100% (A5) ซึ่งเป็นเนื้อวากิวเกรดสูงสุดที่หายากที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเนื้อแองกัสออสเตรเลีย (MBS3+) ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของเนื้อแองกัสจากเมืองดาร์ลิงดาวน์ รัฐควีนส์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นเนื้อที่ได้รับรางวัลสเต็กเนื้อแองกัสที่ดีที่สุด โดยมีความโดดเด่นด้านเนื้อสัมผัสที่นุ่มและรสชาติเนื้อที่เข้มข้น อีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ได้แก่ F1 วากิว (MBS7+) ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดสำหรับเนื้อออสเตรเลียน F1 วากิว

เนื้อที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี พร้อมนำมาย่างบนเตาถ่านชาร์โคลที่ออกแบบโดยชาวออสเตรีย ราดด้วยไขมันวากิวหมักด้วยขิง และเสิร์ฟบนถาดเกลือหิมาลายัน เพื่อให้เนื้อสเต็กจะยังคงอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง

โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งพร้อมด้วย บรูโน เฟอร์รารี หัวหน้าพ่อครัว อิตาเลียนคนใหม่ เชฟบรูโนได้รับเลือกให้เป็น “เชฟและเจ้าของห้องอาหารรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศอิตาลี” โดยมิชลินไกด์ ประเทศอิตาลี และเขายังได้รับดาวมิชลินดวงแรกในปี พ.ศ. 2551 จากห้องอาหารเวียนตูริน (Wien Turin) ในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

“โวลติให้ความสำคัญกับการเป็นตัวจริง เราภูมิใจที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นเมนูของโวลติจึงประกอบไปด้วยเนื้อเกรดพรีเมียมไปจนถึงส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั้งในและต่างประเทศ ส่วนประกอบแต่ละอย่างของแต่ละเมนูล้วนทำขึ้นเอง ตั้งแต่เส้นพาสต้า ไปจนถึง ลิมอนเชลโลที่ผสมขึ้นเอง เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มที่เสิร์ฟเมื่อจบมื้ออาหารที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในทุกองค์ประกอบที่ทีมเชฟของเราทุ่มเทให้กับอาหารทุกจานที่เสิร์ฟให้กับแขกของเรา” เชฟบรูโนกล่าว

เร่ิมจากอาหารเรียกน้ำย่อยที่หลายๆ คนที่ติดใจรสชาติหนวดหมึกทะเลต้องชอบกับการปรุงที่ไม่ซับซ้อนแต่ทว่าความอร่อยอยู่ที่การคัดเนื้อหมึกที่สดมากๆ มาย่างไฟแบบพอสะดุ้งแล้วปรุงรสด้วยสมุนไพรต่างๆ ชูรสเด่นด้วยความเปรี้ยวของมะนาวเลมอน ความเค็มจากเนื้อหมึกรวมทั้งผิวหมึกที่กรอบจากการย่างไฟช่างเป็นรสสัมผัสที่สดชื่นนึกถึงบรรยากาศริมทะเล ส่วนพาสต้าที่มาในรูปแบบแผ่นแป้งสอดไส้พอคำที่เพิ่มรสด้วยซอสสูตรพิเศษ แต่สายเนื้อที่ยังไม่ถึงจานหลักอย่างสเต็กลองสั่งการ์ปัชโช ที่ทำจากเนื้อสไลด์บางๆ เหยาะน้ำมันมะกอกและน้ำส้ม โรยหน้าด้วยเนยแข็งและผักอารูกูลา(ผักโขมอิตาเลียน)รสชาติดีมาก เมื่อจานหลักมาถึง เนื้อสเต็กไม่ทำให้ผิดหวังเลย ด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยมของเนื้อและความเข้าใจในคุณภาพของเนื้อของเชฟที่ปรุงสุกมาแบบถนอมรสชาติแท้ๆ ของเนื้อแต่ละชนิดได้เป็นอย่างดี อยากจะสัมผัสความจุ้ยซี่ ความนุ่มละมุน ความละลายในปากของเนื้อชนิดใดเชฟสามารถทำให้ได้โดยไม่เสียคุรภาพของเนื้อชนิดนั้นๆ

ปิดท้ายด้วยของหวานที่เชฟทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้อาหารจานหลักไม่ว่าจะเป็น Panna Cotta รสละเมียดหอมกลิ่นนม , Piedmont Hazelnut Gianduja แป้งทอดมากับซอสฮาเซลนัท และ Tartufo Nero ที่เป็นไอศกรีมรสทรัฟเฟิลบรรจุอยู่ภายในลูกบอลช็อกโกแลต ของหวานจานนี้คือพลาดไม่ได้จริงๆ

ทุกท่านสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศภายในห้องอาหารที่มีการตกแต่งในสไตล์อิตาเลียนร่วมสมัย สุดชิคในขณะชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยาและสระว่ายน้ำอันแสนร่มรื่นของโรงแรมฯ พร้อมจิบหลากหลายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ในบรรยากาศสบายๆ ของเลานจ์ และบาร์ที่ชั้น 1 และชั้น 3 ของห้องอาหาร

ตื่นตาไปกับทักษะการปรุงอาหารของทีมพ่อครัวมืออาชีพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลในรสชาติของอาหารทุกจานที่ทุกท่านสามารถรับชมได้จากครัวเปิดขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 ของห้องอาหาร ในขณะที่กำลัง อิ่มอร่อยไปกับอาหารจานโปรด

นอกจากนี้ โวลติ ยังนำเสนอรายการไวน์นานาชนิดให้ทุกท่านได้เลือกลิ้มลองโดยได้รวบรวมไวน์ที่ดีที่สุดของประเทศอิตาลี คราฟต์เบียร์ที่ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถัน และสำหรับท่านที่ยังไม่จุใจกับรสชาติอาหารรมควัน ต้องไม่พลาดที่จะชิมหลากหลายเมนูค็อกเทลรมควันรสเลิศของโวลติ

โวลติ ทัสคาน กริลล์ แอนด์ บาร์ เปิดให้บริการอาหารมื้อค่ำในทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ทีมเชฟของเรายังสามารถรังสรรค์เมนูพิเศษสำหรับรับรองแขกจำนวน 10 ถึง 100 ท่าน ทำให้โวลติเป็นห้องอาหารที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์ทางธุรกิจ งานเลี้ยงฉลองต่างๆ แบบส่วนตัว อาหารค่ำมื้อพิเศษภายในครอบครัว รวมถึงงานหมั้น และงานแต่งงานอีกด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ แผนกสำรองที่นั่งห้องอาหาร โทร. 0 2236 7777 หรือ อีเมล restaurants.slbk@shangri-la.com www.Shangri-La.com

La Brace รสเลิศจากไฟ

เราทราบกันดีว่าอาหารจะอร่อยเพียงใดต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบและเครื่องปรุงด้วย จึงไม่แปลกใจเมื่อ คุณจ้อ – พัชรินทร์ เหมอังกูร เจ้าของบริษัท กูร์เมท์ วัน ฟู้ดส์ เซอร์วิส เปิดร้านอาหารเอง จึงเชื่อได้ว่าวัตถุดิบของร้านนี้จะต้องที่สุดตั้งแต่เนื้อสุดพรีเมียมไปจนถึงเกลือที่ใช้ปรุงอาหาร โดยไม่มีการอ่อนข้อใดๆ


ร้านอาหาร La Brace ที่โครงการ Earth Ekamai เป็นร้านอาหารสไตล์เมดิเตอเรเนียน ภายใต้การดูแลของเชฟมาร์ค เฮเก็นแบ็ค ผู้มากประสบการณ์ เมื่อมาถึงเราก็เห็นโต๊ะที่วางของเรียกน้ำย่อยไม่ว่าจะเป็นแฮมอะเบอริโก้ แซลมอนรมควัน ปูอลาสก้าขาใหญ่ๆ อวบๆ เนื้อสดหวาน แต่ที่เซอร์ไพร้สมากคือเป็ดรมควัน(Duck Pastrami)ที่เชฟใช้เทคนิคเฉพาะตัวทำออกมาอร่อยแบบไม่เคยชิมแล้วถูกใจเช่นนี้มาก่อน ใครมาร้านนี้ต้องชิมให้ได้ และพิเศษคือเคานืเตอร์ที่มีหอยนางรมสดคัดมาแล้วจากหอยนางรวมประเทศต่างๆ โดยคัดที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ เข้ามาให้ได้ลิ้มลอง ใครที่ชอบดื่มไวน์คู่กับอาหารที่นี่ก็มีไวน์ให้เลือกมากมาย ส่วนใครชอบค็อกเทลที่นี่มีบาร์ขนาดใหญ่ให้นั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ


แม้จะดื่มด่ำกับอาหารเรียกน้ำย่อยแต่เราก็ตื่นตากับจานแรกที่มาเสิร์ฟก็คือ French White Asparagus & Jamon Iberico (มีให้ชิมเฉพาะฤดูใบไม้ผลิของยุโรป) หน่อไม้ฝรั่งขาวนี่คือที่สุดจริงๆ สำหรับวัตถุดิบที่สร้างความแปลกใจให้กับการปรุงที่แสนจะเรียบง่ายที่สุดแต่อร่อยที่สุด ชอบไอเดียของเชฟที่นำเอาเห็ดทรัฟเฟิลที่หายากและราคาสูงมาจับคู่กับหน่อไม้ฝรั่งขาวอย่างลงตัวโดยมีซอส Bearnaise sauce ที่เชฟสร้างความซับซ้อนของรสชาติเป็นตัวเชื่อม นี่คือการจับคู่ที่ลงตัวมาก สลัดที่มีโก้ตชีส(goat cheese)เป็นจุดเด่นก็แสนจะลงตัว หลายๆ คนไม่ชินกับเนยแข็งที่ทำจากนมแพะโดยเฉพาะกลิ่น แต่ของที่นี่รสชาติเข้มหอมมันไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวของน้ำนมแพะที่เราจะไม่ชอบ เขากริลด้านบนมาพอให้ชีสหลอมนิดๆ มีกลิ่นหอมของความร้อนที่ทำปฏิกิริยากับเนยแข็ง
จากนั้นก็เป็นพาสต้าที่ต้องบอกว่าจานนี้ขอบอกว่าต้องมาชิมให้ได้ ก่อนที่จะตามด้วยหอยตลับอบไวน์ขาวสไตล์แอนดาลูเซีย จานนี้ก็ต้องไม่พลาดจริงๆ เพราะมาทั้งรสชาติของซอส กลิ่นสมุนไพรที่หอมและมีเอกลักษณ์ของการครัวแอนดาลูเซีย

แล้วก็มาถึงไฮไลท์ที่ไม่ใช่จานหลักจานสุดท้าย แต่เป็นการนำเอาเส้นพาสต้ามาผัดกับน้ำมันมะกอก แอนโชวี่ พริกกระเทียม ที่ดูเหมือนใครๆ ก็ทำ แต่ขอบอกว่าที่นี่ทำออกมาจนจัดจ้านถูกปากคนชอบความอร่อยที่ถึงเครื่องถึงรส ต้องบอกว่าเชฟมาร์คไม่ได้ปรุงจานนี้เพื่อเอาใจคนไทยที่ชอบจัด แต่เขาทำจานนี้ออกมาเพื่อให้คนรับรู้ว่าพาสต้าที่ใช้เครื่องปรุงเรียบง่าย(แต่มากคุณภาพ)นั้นทำออกมาแล้วควรจะมีรสชาติเป็นอย่างไร
จานต่อมาเชฟนำเสนอกุ้งเผา(Spanish Style Garlic Prawns)ที่ทำออกมาสไตล์ตะวันตกคือจับคู่กับซอสที่เชฟทำมาพิเศษ แต่ทักษะการเผา(ย่าง)กุ้งทำออกมาเนื้อชุ่มรสหวานมาก จานต่อมาคือ เนื้อวากิว A5 ที่ย่างมากด้วยไฟที่คุสมชื่อร้าน La Brace ที่หมายถึงไปที่คุโพลง เมื่อวัตถุดิบดีเยี่ยมขนาดนี้เชฟต้องใช้ฝีมือจริงๆ ในการชูรสที่อร่อยนี้ให้ปรากฏโดดเด่นยิ่งขึ้นอีก เนื้อวากิวนี้ผ่านขั้นตอน wet-aged เพื่อให้เนื้อคงรสชาติเหมือนไม่ได้ผ่านกาลเวลาที่ขนส่งหรือการเก็บมาเลย วิธีนี้ทำให้เนื้อมีรสชาติที่ชุ่มฉ่ำคงความอร่อยแม้จะผ่านการเก็บมา


สำหรับไฟที่เชฟใช้ย่างเนื้อนั้นใช้ถ่านไม้คุณภาพที่ให้ความร้อนแบบสม่ำเสมอและทำให้อาหารที่ย่างมีกลิ่นหอมไฟ สเต๊กจานนี้จึงอร่อยโดยไม่ต้องพึ่งซอสหรือน้ำจิ้มใดๆ แต่เชฟมาร์คก็ยังมีมัสตาร์ดเพื่อชูรสสเต๊กจานนี้ แน่นอนว่าคัดมาแล้วทั้งสิ้นว่าเป็นมัสตาร์ดชั้นเลิศจริงๆ ใครชอบรสหวานหน่อนลองเหยาะมัสตาร์ดที่ผสมน้ำผึ้งที่หอมหวาน หรือ grain mustard ก็เหมาะให้รสสัมผัสที่จับคู่กับสเต๊กนี้ลงตัวมาก

ยังไม่จบแค่นี้ เมนคอร์สจานสุดท้ายของมื้อนี้คือซี่โครงแกะย่าง แม้สเต๊กจะทำให้เราอิ่มเอมกับอาหารย่างแล้ว แต่ซี่โครงแกะย่างนี้เราก็ไม่ยอมพลาดเช่นกัน เช่นกันว่าเนื้อแกะคุณภาพดีมาก แค่ย่างไฟให้ได้เนื้อสุกแบบชุ่มฉ่ำ เมื่อรับประทานแล้วต้องบอกว่าได้รสเต็มๆ คำ และไม่มีกลิ่นสาบของเหมือนเนื้อแกะทั่วๆ ไป
ปิดท้ายด้วยของหวานที่มีขนม 3 ชนิด คือ ราสพ์เบอร์รี่ทาร์ต, ยูซุทาร์ต และไวท์ช็อกโกแลตที่ทำเป็นรูปเปลือกหอยเชลล์ที่ชูรสด้วยซอสส้ม ทั้งสามชนิดนี้เป็นขนมที่เหมาะกับการจบมื้ออาหารที่เลิศรสนี้ รสเปรี้ยวอมหวานช่วยให้รู้สึกสดชื่นจริงๆ

La Brace อยู่ในโครงการ Earth Ekamai (สุขุมวิท 63) เป็นกริลล์เฮาส์และไวน์บาร์ หนึ่งเดียวในย่านเอกมัย-ทองหล่อ โทร.094 540 6662

มาลองชิม ‘ผัดงอแง’ และอาหารไฟน์ไดนิ่งฝีมือเชฟพอล ณ HUNGER RESTAURANT

เปิดประสบการณ์การ ‘กิน’ อาหารแบบแบ่งแยกชนชั้นไปกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก Netflix อย่าง ‘HUNGER คนหิว เกมกระหาย’ ที่ร้านอาหาร HUNGER RESTAURANT ที่เปิดขึ้น ณ ชั้น G ที่ Groove ศูนย์การค้า Central World 

ถ้าคุณอยากจะลองชิม ‘ผัดงอแง’ หรือลิ้มลองอาหารไฟน์ไดน์นิ่งฝีมือเชฟพอลสักครั้ง Netflix ก็เปิดร้านอาหารคอนเซ็ปต์เก๋ ที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ให้คุณได้เลือกลิ้มลองอาหารตามรสนิยมและ ‘ความหิว’ ของคุณ โดยร้าน HUNGER RESTAURANT นี้จะเปิดบริการเป็นรอบ รอบละประมาณ 45 นาที (ตั้งแต่ 11.00 – 21.00 น.) แบ่งเป็นสองฝั่ง มีอาหารเพียงฝั่งละ 1 จาน (ฝั่ง street food เสิร์ฟผัดงอแงในราคาจานละ 100 บาท และฝั่ง fine dining เสิร์ฟอาหารฝีมือเชฟพอลในราคาจานละ 350 บาท) และคุณเลือกรับประทานอาหารได้เฉพาะฝั่งที่คุณเลือกนั่งเท่านั้น

ร้าน HUNGER RESTAURANT เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 11 – 23 เมษายน 2023 นี้เท่านั้น สำรองที่นั่งได้ที่ 082-241-6618 หรือ Line OA: @HungerRestaurant (สามารถวอล์คอินได้ถ้าที่นั่งไม่เต็ม)

Potong “Beyond the Flavors”

ไม่ใช่แค่การนำเอาร้านขายยาดั้งเดิมของตระกูลมาทำเป็นร้านอาหาร แต่ Restaurant.Potong ของเชฟแพม พิชญา นั้นมีรายละเอียดในการนำเสนอทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลือกสถานที่ที่จะทำเป็นร้านอาหารที่เธอร่ำเรียนมาทางด้านอาหารโดยตรงและตั้งใจว่าจะต้องได้ดาวมิชลินมาให้ได้(ซึ่งก็ได้แล้ว) แต่การนำเสนออาหารในรูปแบบ Progressive Thai-Chinese ที่ไม่ใช่ทั้งอาหารไทยและอาหารจีนที่เรารับประทานได้ทั่วไป แต่ก็ไม่ล้ำหลุดไปจนคนจะต้องสงสัยว่านี่คืออาหารกินได้ใช่ไหม หรือตกแต่งมาสวยแต่รสชาติไม่ได้เทียบเคียงกับรูปลักษณ์ อาหารที่นี่สวยทั้งรูป ซับซ้อนทั้งรสชาติ แต่ก็มอบประสบการณ์ในการรับประทานอาหารให้อิ่มทั้งกายและใจ


เราได้มาสัมผัสเมนูอาหารที่เชฟแพมได้ร่วมแคมเปญ “Beyond the Flavors” ของ Penfolds พร้อมรังสรรค์ 3 เมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เชฟแพมได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปยังเมืองม็องตง ประเทศฝรั่งเศส โดยเมนูพิเศษนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป ต้องบอกก่อนว่าปกติอาหารที่นี่จะเสิร์ฟราว 20 คอร์ส(ขนาดพอคำ) โดยจะมีการสับเปลี่ยนเครื่องปรุงหลักในแต่ละช่วงฤดูกาลนั้นๆ ซึ่ง 3 คอร์ส 3 คำที่สร้างสรรค์มาใหม่ของเชฟแพมจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ก่อนการเปิดตัวเฟสที่สองของแคมเปญนี้ เชฟแพมได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งสำคัญไปกับ Penfolds โดยเดินทางไปยังเมือง Menton ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในระหว่างนั้นเธอได้แบ่งปันประสบการณ์การทำอาหารกับเชฟเมาโร โคลาเกรคโค แห่งร้านมิราซูร์ (Mirazur) ร้านระดับดาวมิชลิน เชฟแพมได้มีโอกาสทำงานร่วมกับเชฟเมาโรในการสร้างสรรค์อาหารรสเลิศและของหวานสำหรับแคมเปญนี้โดยเฉพาะ ได้เรียนรู้วิธีการทำงาน ขั้นตอนการรังสรรค์เมนูต่าง ๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำอาหาร รวมถึงได้สัมผัสแพชชั่น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจจากแคมเปญ ‘Beyond the Flavours’ ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2022


Beyond the Flovors แคมเปญนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากคุณค่าที่ยึดโยงอยู่กับ Penfolds และแนวคิดของแคมเปญระดับโลกอย่าง Venture Beyond ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในหลายประเทศทั่วทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยที่ได้จัดขึ้นในปีที่ผ่านมา
ถ้าจะเขียนถึงอาหาร 20 คอร์ส อาจจะมากไป แต่ทุกคอร์ส(คำ)สร้างสรรค์มาแบบซับซ้อนที่จะทำให้ประสาทสัมผัสของเราต้องทำงาน ไม่มีคอร์สไหนที่ธรรมดาเลย ไม่ว่าจะเป็นคำแรกๆ ที่เป็นแป้งนึ่งทำจากเนื้อลูกตาลไส้เป็นเม้ดมะม่วงหิมพานต์ปรุงรส ก่อนจะมาตัดรสด้วยผลส้มเล็กๆ ที่ทำจากเจลลีวางอยู่บนภาชนะรูปต้นไม้ดัดจากโลหะ โดยส่วนฐานนั้นเปิดออกมามีอาหารพอคำที่ทำเป็นรูปใบไม้แห้งที่เป็นการสร้างสรรค์ของเชฟเหยาะด้วยน้ำเชื่อมทำจากตาลคือรสเค็มกับรสหวานหอมละมุนนั้นช่วยตัดรสของคอร์สแรกๆ ก่อนจะถึงคอร์สต่อไปที่มาแบบเป็นชุดคือ เนื้อหอยนางรมที่วางมาบนซอสสีเข้มมีรสออกเค็มๆ หวานๆ กลมกล่อม ส่วนฝาหอยนางรมนั้นเมื่อเปิดออกจากวางเพื่อเป็นถ้วยน้ำซุปที่มีกลิ่นรสทะเลสดชื่นเหยาะด้วยน้ำมันหอมจากสมุนไพรที่เป็นเครื่องปรุงรส เนื้อหอยนางรมหวานโดยธรรมชาติเข้ากับซอสสีดำที่ออกเค็มๆ หวานๆ นั้นให้ความนัว(ไม่เกี่ยวกับผงนัวหรือผงชูรสนะ) จิบน้ำซุปอุ่นๆ นั้นตามมีกลิ่นหอมของหอยนางรมผสมกลิ่นสมุนไพรลงตัวสุดๆ


ต่อมาก็มาเป็นชุดแบบเล่นใหญ่มิใช่น้อย ด้วยเอากระดองปูมาซ่อนเครื่องป้ายขนมปังไว้ด้านในกระดองปู ขนมปังคำเล็กๆ มีความกรอบหอม เนื้อปูที่แกะมาเรียงในก้าม เวลาจะรับประทานเราหงายกระดองปูขึ้น ปาดเอาเครื่องป้ายทั้งสีครีมและสีดำมาปาดบนขนมปังชิ้นพอคำนั้น ตามด้วยเนื้อปู(เขาจะมีปากคีบมาให้คีบเนื้อปูด้วย)อย่าลืมวางสาหร่ายพวงองุ่นที่ให้มาลงไปด้วยในแต่ละคำ นี่คืออีกหนึ่งประสบการณ์ในการรับประทานอาหารที่แม้จะต้องประดิษฐ์ก่อนจะกินแต่รสชาตินั้นช่างกลมกล่อมกรุบกรอบ พอบอกว่าประดิษฐ์อย่าคิดไปทางจริต นึกถึงเวลาเรากินเมี่ยงคำ เราก็ประจงใส่โน่นนิดนี่หน่อยก่อนจะเหยาะน้ำเมี่ยงคำลงไปแล้วห่อก่อนส่งเข้าปาก ก็จะประมาณนั้นแหละ ไม่ใช่การประดิษฐ์เพื่อจะจริต แต่เป็นการสนองอัตตาของแต่ละบุคคล คือใครชอบอะไรก็ใส่อันนั้นไปแบบหนักมือกว่าเครื่องสร้างรสอื่นๆ เลยทำให้คอร์สนี้เป็นความสนุกที่จะได้ประดิษฐ์ก่อนส่งเข้าปาก


อาหารในเซ็ตนี้เครื่องปรุงหลักๆ มาจากต้นตาล ไม้มหัศจรรย์ที่นำมาทำอาหารได้หลายส่วนมาก ไม่แพ้ต้นกล้วยเลย ต้นตาลให้น้ำตาลซึ่งจะเป็นน้ำตาลสดหรือจะนำมาทำเป็นน้ำตาลสำหรับปรุงอาหารก็มีรสหวานละมุน ไม่หวานบาดแบบน้ำตาลทราย หรือแม้แต่น้ำตาลอ้อยก็มีความหวานโดดอยุ่ตรงกลางระหว่างน้ำตาลจากต้นตาลและน้ำตาลทราย(ทำมาจากอ้อยเช่นกัน)
แล้วก็มาถึง 3 คอร์สที่เชฟแพมได้แรงบันดาลใจจากการไปทำงานร่วมกับเชฟเมาโร โคลาเกรโก ที่ร้านอาหารมิราซูร์ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่คนชื่นชอบการรับประทานอาหารต้องหาโอกาสไปชิมฝีมือของเชฟท่านนี้ เชฟแพมมีแนวคิดที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนกับอาหาร 3 คอร์สนี้คือเป็นเครื่องปรุงหลักๆ ที่ปลูกกันที่ไพรเวทการ์เด้นท์ของเชฟเมาโร นั่นเอง


เชฟแพมเล่าว่า
“ได้ไปเยี่ยมชมไพรเวทการ์เด้นท์ของเชฟเมาโร ถือเป็นการเรียนรู้ที่ดีมาก ๆ สำหรับแพม ได้เรียนรู้ระบบ Sustainability Practices รวมไปถึง Eco System การนำวัตถุดิบพื้นเมืองในแต่ละท้องถิ่นมารังสรรค์ แพมจึงนำประสบการณ์ที่ได้ไปสัมผัสในครั้งนี้มาประยุกต์ใช้ในเมนูพิเศษสำหรับจับคู่เข้ากับไวน์ของ Penfolds ในครั้งนี้ เชื่อว่าทุกท่านที่ได้สัมผัสจะประทับใจค่ะ เพราะสำหรับแพมแล้ว อาหารคือความทรงจำ อยากทำให้คนกินแล้ว”
เครื่องปรุงหลัก 3 คอร์สก็คือ มันฝรั่ง แตงกวา และมะเขือยาว ผักที่เชฟแพมได้เห็นในสวนส่วนตัวของเชฟมาโร แต่การปรุงนั้นมีความซับซ้อนและได้อาหารออกมาที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นมาก แตงกวานั้นมาในรูปทาร์ตซึ่งอร่อยมาก ไม่ทราบว่าเชฟทำแป้งทาร์ตอย่างไรที่ทั้งบางทั้งกรอบ ด้านบนเป็นแตงกวาฝานบางๆ เรียงเป็นระเบียบมาก คอร์สนี้คืองดงามทั้งรูปแลรสชาติจริงๆ แต่ที่ให้ใจก็คือคอร์สที่ทำจากมะเขือยาวเพราะทำออกมาแม้จะคำเล้กๆ แต่รสชาติฝากความประทับใจไว้มากมาย ความกรอบของเนื้อมะเขือ ซอสที่เคลือบออกเค็มๆ หวานๆ หอมกลิ่นเครื่องปรุงรสเค็มๆ อย่างซีอิ้วและเต้าเจี้ยว(อาจจะเป็นมิโสะ ก็ได้) แต่จะเป็นอะไรก็ตามเชฟแพมทำเครื่องปรุงรสนี้เองแน่ๆ อาหารคำนี้ถูกใจมากๆ เพราะส่วนตัวก็เหมือนคนไทยหลายๆ คนคือชอบอาหารที่ให้รสสัมผัสกรอบๆ แล้วต้องมีนุ่มตาม บางคนอาจจะไม่สังเกตว่าคนไทยชอบของกรอบ แต่กรอบร่วนมากไปก็เลี่ยนจะต้องมีเนื้อมีความนุ่มให้รู้สึกอิ่ม


ก่อนจะปิดท้ายด้วยของหวานที่ทำจากเห็ด ใช่แล้วเห็ดจริงๆ มีคอร์สตัดรสอาหารคาวทั้งหมดเป็นเชอร์เบทที่มีแผ่นทำจากพุทราแห้งและน้ำตาลกรอบๆ ประกบเชอร์เบททำจากผลไม้รสเปรี้ยวแต่ปรุงให้มีรสอมหวานนิดๆ เพื่อตัดรส ส่วนของหวานก็ทำจากเห็ดฝานบางๆ อบกรอบ สอดไส้เป็นคาราเมลที่มีรสของซีอิ้วหวาน แต่รวมๆ รสจะเค็มนิดๆ หวานทิ้งท้ายหน่อยๆ เป้นของหวานที่ไม่หวานโดดเด่น เพราะมีไวน์หวานที่เสิร์ฟมาเย็นๆ ปิดท้ายอย่างสวยงาม


ร้านอาหารโพทง (POTONG) ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมาอย่างมากมาย พร้อมมีดีกรีติดอันดับท็อป 25 ร้านอาหารดาวรุ่งในปี 2022 ของ TOP Restaurants Bangkok, Chef of the year จาก Thailand Favourite Restaurant และรางวัล MICHELIN Opening of The Year จาก MICHELIN Thailand ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกขีดจำกัดสามารถเอาชนะได้ด้วยแรงผลักดันอันแข็งกล้า ด้วยใจที่เปิดกว้าง เป็นวิสัยทัศน์ที่ตรงกันกับ Penfolds และเรื่องราวของเชฟแพม แน่นอนว่าการที่เชฟแพมจะมาอยู่ถึงจุดนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการทำอาหาร การมุ่งมั่นเข้ามาอยู่ในวงการทำอาหารอย่างจริงจัง อันนำมาสู่การเปิดร้านอาหารโพทงจนได้รับมิชลินสตาร์ เรียกได้ว่าการได้มิชลินสตาร์เป็นหนึ่งในเป็นเป้าหมายตั้งแต่เด็กๆของเชฟแพม ความฝันที่เธอคว้ามาได้ต้องพบกับความท้าทายในชีวิตมากมายในวงการการทำอาหาร ซึ่งต้องอาศัยทั้งความมุ่งมั่น และความพยายาม รวมถึงการมีจุดยืนในการทำอาหาร

การจองที่ร้านอาหารโพทง (POTONG)
• จองผ่าน Line Official : @potong / โทร : 082 9793950
• 20-คอร์ส เสิร์ฟพร้อม 6 ไวน์ Penfolds | 4,700++ บาท | ดินเนอร์เริ่มเวลา 5.00 PM / 5.30 PM / 6.00 PM / 6.30 PM / 7.00 PM ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2566 – 30 มิถุนายน 2566

เทศกาลข้าวแช่กลับมาแล้ว ณ ห้องอาหาร Royal Osha

ในยามที่อากาศร้อนราวซ้อมตกนรกแบบนี้ ‘ข้าวแช่ตำรับชาววัง’ ถือเป็นภูมิปัญญาแบบไทยๆ ในการคลายร้อนมาตั้งแต่โบราณกาล 

และสำหรับร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งสุดหรูอย่าง Royal Osha ที่ได้รับการแนะนำจาก Michelin Guide ถึง 5 ปีซ้อน ก็ไม่ยอมน้อยหน้าส่งเมนู ‘ข้าวแช่ตำรับรอยัล โอชา’ ออกมาท้าชนอากาศร้อนผ่านฝีมือการรังสรรค์ของเชฟวิชิต มุกุระ ที่บรรจงสร้างสรรค์เครื่องเคียงทั้งหมด 7 อย่างจากวัตถุดิบชั้นเลิศ รับประทานพร้อมข้าวหอมมะลิเสาไห้ของจังหวัดสุรินทร์ ที่นำมาขัด หุง และแช่น้ำลอยดอกไม้พิเศษถึง 4 ชนิด เพื่อให้ได้ทั้งกลิ่นและรสอันเป็นเอกลักษณ์

เมนู ‘ข้าวแช่ตำรับรอยัล โอชา’ มีขายที่ห้องอาหาร Royal Osha ถนนวิทยุ ซอยร่วมฤดี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2023 เท่านั้น

สำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่โทร 02-256-6555 หรืออีเมล์: reservations@royalosha.com