โดยเฉพาะการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ทำให้การผลิตสินค้าต่างๆ นั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็วเพื่อจำนวนที่มากยิ่งขึ้น สินค้าหรูหราไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าจากแบรนด์แฟชั่นหรือแม้แต่น้ำหอมเองก็ต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของฐานผู้บริโภคที่กว้างขึ้นด้วยการมาถึงของห้างสรรพสินค้า นั่นก็นำไปสู่การเข้าถึงที่ง่ายดายมากยิ่งขึ้นของสินค้าเหล่านี้ไปโดยปริยายอย่างไรก็ตามเราก็ยังสามารถเห็นได้ถึงความเอ็กซ์คลูซีฟของน้ำหอมที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะมันถูกหยิบไปเชื่อมโยงกับโลกของแฟชั่นอย่างชัดเจนทุกอเตลิเย่ร์แฟชั่นทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Chanel, Dior, Givenchy หรือ Lanvin ก็ต่างเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นซิกเนเจอร์ที่ผูกโยงกับเรื่องราวของแบรนด์ทั้ง, Miss Dior, L’Interdit และ My Sin ซึ่งก็ยังถูกเพิ่มคุณค่าในด้านต่างๆ เข้าไปมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่ากลิ่นเหล่านี้นั้นเปรียบดังผู้หญิงของแบรนด์นั้นๆ ทำให้ผู้ใช้ยิ่งมีจินตนาการเมื่อฉีดพรม หรือถูกเปรียบให้เหมือนหนึ่งในอาภรณ์ชิ้นเด่นของแบรนด์ อย่างคำพูดของมงซิเออร์ดิออร์ที่ว่า “A drop of perfume and you are dressed in Dior!”
อย่างไรก็ตาม ความเอ็กซ์คลูซีฟที่ถ่ายทอดผ่านลงมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณนั้นก็ถูกแสดงออกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ ด้วยน้ำหอมที่ถูกโปรโมทโดยแบรนด์แฟชั่นชั้นนำมาในราคาที่ค่อนข้างจับต้องได้มากยิ่งขึ้น และจำนวนของน้ำหอมจากแบรนด์แฟชั่นเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นอย่างมากโขนั้นก็ทำให้มันไม่ได้เป็น ‘สินค้าเฉพาะกลุ่ม’ (niche product) อีกต่อไป ถึงแม้จะมีไลน์น้ำหอมชั้นสูงอยู่ในแบรนด์ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นที่พูดถึงมากนัก จนทำให้ผู้คนมากมายต่างก็สามารถดื่มด่ำไปกับจินตนาการอันหอมหวนเหล่านี้ได้ ทำให้เกิดหลายมุมมองที่ถกเถียงกันขึ้นมาภายในอุตสาหกรรมน้ำหอมว่าผลิตภัณฑ์นี้นั้นยังคงเต็มไปด้วยความพิถีพิถันมากน้อยแค่ไหน และผู้คนที่ใช้หรือเป็นเจ้าของน้ำหอมนั้นได้ดื่มด่ำกับจิตวิญญาณของงานศิลป์แห่งกลิ่นนี้อย่างลึกซึ้งแค่ไหน จนกลายมามีคำกล่าวของนักปรุงน้ำหอมนิชสัญชาติอังกฤษอย่าง Roja Dove ออกมาว่า “People don’t really smell perfume anymore, they smell marketing.” ถึงอย่างนั้น เราก็ต่างรู้ดีว่ากระแสแฟชั่นนั้นก็เปลี่ยนไปตามความต้องการหาตัวตนของแต่ละบุคคล โลกของน้ำหอมนั้นก็เช่นกัน กลิ่นหอมที่คุ้นหน้าคุ้นตาหรือจะเรียกว่าเป็นกลิ่นแนวแมสนั้นก็ได้ถูกใช้และดื่มด่ำจนทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว จึงไม่แปลกที่ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มเสาะหากลิ่นหอมใหม่ๆ ที่สามารถระบุความเป็นตัวของเขาเหล่านั้นได้อย่างโดดเด่นกว่าใคร ชื่อของเมซงน้ำหอมที่มีอายุยาวนานและยังคงผลิตน้ำหอมด้วยความประณีตจึงกลายมาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้ง Xerjoff, Maison Francis Kurkdjian, Diptyque หรือ Jo Malone London ในอีกด้านแฟชั่นแบรนด์หรือแม้แต่บิวตี้แบรนด์ชื่อดังก็ต่างหันมาโปรโมทหรือเปิดตัวไลน์น้ำหอมชั้นสูงของตัวเองอีกครั้งทั้ง Le Exclusifs de Chanel, La Collection Prive ของ Dior หรือ L’Art et la Matire ของ Guerlain และเมื่อโลกของน้ำหอมนิชถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่ได้เข้าสู่โลกนี้นั้นก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโดดเด่นที่ยากจะหาได้ตามน้ำหอมทั่วไป ทั้งกลิ่นหอมที่มีมิติ พัฒนาเปลี่ยนผ่านตามกาลเวลาและเคมีบนผิว กลายเป็นกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์หาตัวจับได้ยาก ถึงแม้ว่าบางกลิ่นนั้นจะมีส่วนผสมน้อยเสียยิ่งกว่าน้ำหอมในท้องตลาดโดยทั่วไป พร้อมกับเรื่องราวและแรงบันดาลใจที่ช่างน่าค้นหา แถมบางกลิ่นยังเปิดกว้างไร้ซึ่งขอบเขตเรื่องเพศนอกจากจะเป็นกลิ่นหอมที่น่าหลงใหลประจำตัวแล้วนั้น
Naxos จาก Xerjoff, Eyes Closed จาก Byredo, 724 จาก Maison Francis Kurkdjian, Viking Cologne จาก Creed, English Oak & Hazelnut จาก Jo Malone London