The Future Project

Coach(โค้ช)ได้แถลงข่าวการเยี่ยมเยียนที่เป็นเซอร์ไพรส์ของ นักแสดง, โปรดิวเซอร์ และ เฟซเครื่องแต่งกายชายคนแรกของโค้ช อย่าง Michael B. Jordan (ไมเคิล บี จอร์แดน) ที่โรงเรียนมัธยมปลาย Barringer (แบรินเจอร์) ในนวร์ก นิวเจอร์ซีย์ เมืองบ้านเกิดของเขาการเซอร์ไพรส์พิเศษครั้งนี้เป็นการสนับสนุนโครงการ  Dream It Real โครงการการกุศลของ Coach ผ่านมูลนิธิ Coach ที่มีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้พวกเขามองเห็นและสร้างอนาคตที่พวกเขารู้ว่าสามารถเป็นไปได้

Michael B. Jordan

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Dream It Real  Coachได้ร่วมมือกับ The Future Project ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับชาติที่ทำให้คนหนุ่มสาวค้นพบพลังของพวกเขาและเรียนรู้ที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่า องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรนี้จะนำบุคคลที่เรียกว่าเป็น “Dream Director” เข้าไปอยู่ในโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นโค้ช,ผู้นำหรือผู้จัดการที่มีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลง โดยบุคคลเหล่านี้จะได้รับการอบรมฝึกฝนในระเบียบวิธีที่ได้อ้างอิงจากการวิจัยของ The Future Project กิจกรรมหนึ่งของโครงการนี้คือการที่นักเรียนจะทำงานร่วมกับ Dream Directors เพื่อสร้างสรรค์โครงการในอนาคตที่อ้างอิงจากแพสชั่นของพวกเขา เพื่อทำให้ความฝันของพวกเขาเอง, ของโรงเรียน หรือของสังคมเป็นจริงขึ้นมา

Michael B. Jordan

และในวันศุกร์ที่ผ่านมา จอร์แดนได้ไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนมัธยมปลาย Barringer (แบรินเจอร์) ในฐานะ Dream Director กิตติมศักดิ์ ซึ่งเขาได้พบปะและให้คำปรึกษาแก่เด็กนักเรียน และได้ร่วมเป็นพิธีกรในงานโรงเรียนที่เหล่านักเรียนได้จัดขึ้น ที่มีชื่อว่า “Passion Show” และได้ร่วมลงชื่อบนจิตรกรรมฝาผนังที่สร้างแรงจูงใจ ที่ถูกสร้างสรรค์โดยความร่วมมือของ Coach และศิลปิน Toby Triumph นอกจากนี้จอร์แดนยังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเชียร์ก่อนเริ่มการแข่งขันกีฬา และเขาได้รับของขวัญเป็นเสื้อกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียนอีกด้วย

Michael B. Jordan

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมกับ Coach และโครงการ Dream It Real” จอร์แดนกล่าว “การเพิ่มขีดความสามารถของคนหนุ่มสาวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผม และความสามารถในการทำงานร่วมกับนักเรียนในฐานะ Dream Director กิตติมศักดิ์ ที่ Barringer – ในบ้านเกิดของผมที่นวร์ก – เป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม”

 “เราตื่นเต้นมากที่ได้มาอยู่ที่ Barringer กับไมเคิลเพื่อทำงานกับ The Future Project และคนรุ่นใหม่ที่โรงเรียนมัธยมปลาย Barringer” Carlos Becil หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Coach กล่าว “ไมเคิลได้ส่งเสริมคุณค่าของ Coach และ โครงการ Dream It  Real ซึ่งก็คือความเป็นไปได้, การมองโลกในแง่ดี และการเป็นหนึ่งเดียวกัน และเขายังได้แบ่งปันความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชน” 

 “ในนวร์กและในชุมชนทั่วประเทศมีการเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นของคนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยแพสชั่น ซึ่งกำลังสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับพวกเราทุกคน” Kanya Balakrishna ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ The Future Project กล่าว “Michael B. Jordan เป็นแบบอย่างที่เหลือเชื่อสำหรับคนหนุ่มสาวเหล่านี้และเราภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับเขาและ Coach เพื่อมอบแรงบันดาลใจและการสนับสนุนที่คนหนุ่มสาวเหล่านี้สมควรได้รับ”

Michael B. Jordan

Michael B. Jordan

มาทำความรู้จักกับประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศฝรั่งเศสในสามมุมกัน

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นไปตามคาด ไม่หักมุมพลิกโผเหมือนมหาอำนาจฝั่งอเมริกาที่ทำเอาคนครึ่งโลกอึ้ง ทึ่ง เสียว แต่นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีคนใหม่ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสก็มาพร้อมกับนโยบายและเรื่องซุบซิบที่เผ็ดร้อนพอดู ณ ตอนนี้คุณอาจรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาที่แก่กว่าถึง 20 ปี มากกว่าเคมเปญหาเสียงและนโยบายของเขาเสียอีก ทันทีที่ประกาศว่า มาครงได้ชัยชนะ ทีมงานลอปติมัมก็เร่งหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาทั้งเชิงตื้นเชิงลึกเพื่อสรุปมาให้คุณผู้อ่านได้ทำความเข้าใจ และพอเห็นภาพฝรั่งเศสในอีก 5 ปีต่อจากนี้

ชายหนุ่มรูปหล่อ

หลายสำนักกล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มาครงชนะก็เพราะเสน่ห์ส่วนตัวของเขา เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครูและลูกศิษย์จนก่อเกิดเป็นรักแท้สร้างภาพให้นายมาครงกลายเป็นนักการเมืองหนุ่มอายุน้อยแสนโรแมนติกที่ปักใจรักผู้หญิงคนเดียวมาหลายสิบปี เขาและภรรยาพบกันในวิชาการละคร นอกจากจะหลงรักอาจารย์สาวแล้ว มาครงยังหลงรักการแสดงถึงขั้นที่เคยไปคัดตัว ด้านประวัติการศึกษา นายมาครงจบปริญญาตรีสาขาวิชาปรัชญา และรักการเขียนกาพย์กลอนเป็นชีวิตจิตใจ แล้วมันส่งผลต่อการเป็นประธานาธิบดีอย่างไร ? แน่นอนว่าเขาใช้ทักษะการแสดงและวรรณศิลป์เพื่อปราศรัยหาเสียง จนกินใจคนหมู่มากในฝรั่งเศส แต่ทักษะเหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่ยามต้องลงมือบริหารประเทศ ไม่มีใครตอบได้

สนับสนุนสหภาพยุโรป
นโยบายของมาครงสนับสนุนให้ฝรั่งเศสยังคงอยู่ในสหภาพยุโรป และกระชับความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจกับประเทศสมาชิกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แนวคิดนี้สร้างความไม่มั่นใจแก่หลายภาคส่วน เพราะความอ่อนแรงของสหภาพยุโรปในขณะนี้ จุดแตกหักแรกเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2007 ที่ประเทศกรีก หนึ่งในสมาชิกสหภาพยุโรปติดหนี้จนต้องขอความช่วยเหลือจากสหภาพฯ ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างสมาชิกว่า จำเป็นจะต้องเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือกรีกหรือไม่ อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบมากคือการที่สหราชอาณาจักร หนึ่งในมหาอำนาจ ประกาศถอนตัวจากสหภาพยุโรป ในขณะที่นางแองเจลา เมอร์เคิลนายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวสนับสนุนว่า “เขา (มาครง) นำเสนอนโยบายที่สนับสนุนสหภาพยุโรปอย่างกล้าหาญ และยืนหยัดเพื่อความเปิดกว้าง” ซึ่งแน่นอนว่า จะส่งผลดีต่อสหภาพยุโรปโดยรวม นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า มาครงปรารถนาจะกระชับความสัมพันธ์กับเยอรมนี ที่บัดนี้แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่สุดในสหภาพยุโรป เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงของฝรั่งเศส

สัญญะแห่งความหวัง
เคมเปญหลักที่เขาใช้หาเสียงมีชื่อว่า En Marche แปลเป็นไทยคร่าวๆว่า ก้าวต่อไปข้างหน้า เขานำเสนอนโยบายที่สร้างความหวังให้แก่คนรุ่นใหม่ และมีลักษณะประนีประนอมไม่สุดโต่งเหมือนคู่แข่ง อาทิ การเพิ่มชั่วโมงทำงานให้ประชาชนเพราะ “หากคุณยังเด็ก ทำงานแค่ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ไม่พอเลี้ยงชีพหรอก” หรือการลดขนาดห้องเรียนชั้นประถมศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน ด้านปัญหาคนอพยพ มาครงไม่สนับสนุนการปิดพรมแดน แต่เชื่อในการเปิดประเทศให้ผู้อพยพ โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องศึกษาภาษาและวัฒนธรรมฝรั่งเศส และนำเสนอโครงสร้างนโยบายที่สร้างความสะดวกแก่แรงงานผู้มีทักษะให้สามารถทำงานในฝรั่งเศสได้ง่ายขึ้น

เบื้องหลังการปกปิดตัวตนของนักเขียน ศิลปิน ดีไซเนอร์ หรือแม้แต่นักธุรกิจ

Anonymously Well-Knowns

อะไรคือเหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังการปกปิดตัวตนของนักเขียน ศิลปิน ดีไซเนอร์ หรือแม้แต่นักธุรกิจ? เพื่อหลีกเลี่ยงอคติในการตัดสิน หรือเพื่อความปลอดภัยส่วนตัว? หรือทั้งสองอย่าง? แล้วเราในฐานะ ผู้เสพผลงาน และผู้บริโภคมีสิทธิแค่ไหนในการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพวกเขาเหล่านั้น? แล้วเหตุใดเราถึงต้องการที่จะสืบค้นตัวตนที่เขาไม่ต้องการเปิดเผยกันล่ะ?

FRANCE - JANUARY 01:  Photo of DAFT PUNK  (Photo by Mick Hutson/Redferns)

การปกปิดตัวตนของเหล่าศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานในหลายสาขานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ในยุคโบราณ นักเขียนส่วนใหญ่เลือกใช้นามปากกาในการประพันธ์เพื่อปกปิดตัวตน และลดข้อครหาว่านวนิยายที่พวกเขาแต่งนั้นอาจจะพาดพิงถึงบุคคลที่พวกเขารู้จักในชีวิตจริง หรือนักเขียนผู้หญิงบางคนก็เลือกใช้นามปากกาที่ฟังดูเหมือนชื่อผู้ชาย เพราะการยอมรับนักเขียนสตรีในบางยุคนั้นยังไม่แพร่หลาย (เรื่องนี้ไม่ต้องย้อนกลับไปไกลมากนักหรอก แม้กระทั่งปลายยุค ‘90s J.K. Rowling (เจ.เค. โรว์ลิ่ง) เองยังได้รับ “คำแนะนำ” จากบรรณาธิการต้นฉบับ Harry Potter and the Philosopher’s Stone ให้ใช้ชื่อย่อ J.K. แทนชื่อจริงของเธอ (Joanne Rowling) แถมก่อนหน้าที่เธอจะโด่งดังจากซีรีส์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ เธอก็เคยใช้นามปากกาว่า Robert Galbraith (โรเบิร์ต กัลเบรธ) มาแล้ว) และการปกปิดตัวตนนั้นก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวงการวรรณกรรมเท่านั้น

แต่วงการเพลงก็มีนักดนตรีที่สวมหน้ากากตลอดเวลาอย่าง Daft Punk หรือใช้ตัวการ์ตูนแสดงตัวตนอย่าง Gorillaz ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาคือนักดนตรีที่ทำเพลงหลากหลายแนว และต้องการนำเสนอตัวตนที่สอง (Alternated Self) ในเพลงอีกชุดหนึ่ง ซึ่งก็เป็นที่รู้กันในบรรดาแฟนเดนตายอยู่ดีว่าตัวจริงของพวกเขาคือใคร อาจจะเพราะพวกเขาไม่ได้ซีเรียสนักกับการปกปิดตัวตนอย่างแท้จริง

แต่ก็มีศิลปินและนักธุรกิจหลายคน (หรือหลายกลุ่ม) ได้อาศัยตัวตนที่สองในการสำแดงความคิดความอ่าน อย่างตรงไปตรงมา รวมไปถึงการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และสร้างสรรค์ผลงานในสายงานตัวเองอย่างอิสระ เพราะการไม่มีตัวตนในโลกจริงนั้นเป็นการลดอคติในการตัดสินของผู้เสพงานสร้างสรรค์ไปได้หลายเปลาะ นอกจากนั้น การปกปิดตัวตนของศิลปินนั้นยังเป็นการป้องกันความปลอดภัยของตัวเองไม่ว่าจะในเรื่องการถูกคุกคามจากแฟนคลับ หรือการถูกลักพาตัว (ดูอย่างกรณีที่ John Hinckley Jr. (จอห์น ฮินเคิลลีย์ จูเนียร์) พยายามที่จะสังหาร Ronald Reagan (โรนัลด์ เรเกน) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพื่อเรียกร้องความสนใจจาก Jodie Foster (โจดี้ ฟอสเตอร์) ซึ่งฟอสเตอร์ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่า เธอรู้สึกว่า ‘ถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน’ หรือกรณีที่ Robert Pattinson (โรเบิร์ต แพททินสัน) ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่สามารถรับมือกับชื่อเสียงของเขาหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง Twilight ออกฉายได้ เพราะมีแฟนคลับเฝ้าติดตามเขาตลอดเวลา และมีแฟนคลับบางคนถึงขั้นแฮ็กเข้ามาในอีเมล์ส่วนตัวของเขา ทำให้เขาเลิกเล่นโซเชียลมีเดีย และสามารถติดต่อเขาได้ผ่านทางเอเจนซี่เท่านั้น) ถึงกระนั้น … เมื่อใครสักคนก้าวเข้ามาเป็นจุดสนใจแล้ว ก็ยากแล้วล่ะที่จะอยู่เงียบๆ โดยไม่เปิดเผยตัวตนได้ เรามาทำความรู้จักคนดังไร้ตัวตน และเหล่าแฟนคลับ (หรือแอนตี้แฟนคลับ) ที่พยายามเปิดเผยตัวตนของพวกเขากัน

Banksy

ถ้าพูดถึงประเด็นปกปิดตัวตนแบบนี้ แล้วไม่พูดถึงศิลปินสตรีทอาร์ทชื่อดังสัญชาติอังกฤษอย่าง Banksy บทความนี้ก็คงจะไม่สมบูรณ์อย่างแน่นอน ผลงานของ Banksy ปรากฏในรถไฟใต้ดินกรุงบริสตอล และกรุงลอนดอนตั้งแต่ช่วงต้นยุค ‘90s แต่เขาเริ่มเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกจากผลงานชื่อ The Mild Mild West ช่วงปีค.ศ. 1999 และผลงานหลังจากนั้นของเขาก็เป็นภาพกราฟิตี้สไตล์ต่อต้านสงคราม ต่อต้านระบอบทุนนิยม รวมไปถึงต่อต้านระบอบต่างๆ ในสังคม ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวข้อเหล่านั้นทำให้โลกหันมาสนใจเขาอย่างจริงจัง และเขาก็กลายเป็นหนึ่งในศิลปินรุ่นใหม่คนสำคัญของโลก

GLASTONBURY, ENGLAND - JUNE 24:  Art work said to be by underground artist Banksy is seen on the fence at the Glastonbury Festival site at Worthy Farm, Pilton on June 24, 2010 in Glastonbury, England. The gates opened yesterday to what has become Europe's largest music festival and is celebrating its 40th anniversary. (Photo by Matt Cardy/Getty Images)

เมื่อมีชื่อเสียง ก็มีคนอยากจะขุดคุ้ยประวัติส่วนตัวของเขา แต่ Banksy ก็ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างเป็นทางการไม่ว่าจะกับสื่อใดๆ ก็ตาม มีทฤษฎีหลากหลายที่พยายามจะสืบเสาะค้นหาว่าเขาเป็นใคร ในปีค.ศ. 2014 มีเว็บไซต์หนึ่งอ้างว่าง Paul Horner (พอล ฮอร์เนอร์) ชายหนุ่มวัย 35 ปีจากเมืองลิเวอร์พูลที่ถูกกลุ่ม  Anti-Graffiti Task Force ตามจับในข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะคือ Banksy ตัวจริง แต่ต่อมา Jo Brooks (โจ บรูกส์) เอเจนซี่ของ Banksy ก็ได้ออกมาปฏิเสธว่า Banksy ยังอยู่ดีมีสุขไม่ได้ถูกจับไปไหน ขอให้บรรดาแฟนๆ สบายใจได้

CHELTENHAM, ENGLAND - APRIL 14:  A piece of new graffiti street art, claimed to be by the secretive underground guerilla artist Banksy, which appeared on the side of a house in Cheltenham this weekend, is seen on April 14, 2014 in Gloucestershire, England. The artwork, which shows three stencil figures listening into a conversation in an existing telephone box, is just a few miles away from Government Communications Headquaters (GCHQ), which is responsible for providing intelligence and information assurance to the British Government and Armed Forces. (Photo by Matt Cardy/Getty Images)

ปีถัดมา Richard Pfeiffer (ริชาร์ด ไฟเฟอร์) ถูกจับข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ซึ่งภาพนั้นเป็นภาพที่สร้างสรรค์โดย Banksy ในย่านแมนฮัตตัน แต่จริงๆ แล้ว เขาและคู่หมั้นเพียงแค่เดินผ่านและชื่นชมผลงานชิ้นนั้นอยู่เท่านั้น แต่เขาก็ถูกจับอยู่ดี และ ข่าวก็แพร่ไปไกลแล้วว่าเขาคือผู้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนั้น แต่หกเดือนถัดมา เขาก็หลุดพ้นข้อกล่าวหา และออกมาปฏิเสธอย่างเป็นทางการด้วยตัวเองว่าเขาไม่ใช่ Banksy

RAMALLAH, WEST BANK - AUGUST 6. A graffiti made by the British, guerrilla, graffiti artist Banksy is seen on Israel's highly controversial West Bank barrier in Ramallah on August 6, 2005. Banksy has made a name for himself with provocative images stencilled around the streets of London. On his recent trip to the Palestinian territories he has created nine of his images on Israel's highly controversial West Bank barrier. (Photo by Marco Di Lauro/Getty Images)

ต่อมาไม่นานนัก HBO ได้ผลิตสารคดีเรื่อง Banksy Does  New York ที่ Chris Healey (คริส ฮีลลีย์) ศิลปินชาวแคนาดาได้ยืนยันว่า Banksy เป็นกลุ่มศิลปินจำนวน 7 ชีวิตที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้า โดยผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวในสตูดิโอของ Banksy ที่เปิดเผยในสารคดีเรื่อง Exit Through the Gift Shop ซึ่งทฤษฎีนี้ก็ยัง ไม่มีเอเจนซี่ของ Banksy ออกมาปฏิเสธเป็นทางการ แต่ทฤษฎีนี้กลับไม่ได้รับการยอมรับทั่วไปในหมู่แฟนๆ Banksy เพราะไม่มีใครเชื่อว่าผลงานของเขาเป็นงานกลุ่มนั่นเอง

WESTON-SUPER-MARE, ENGLAND - SEPTEMBER 10:  A mermaid sculpture in front of a castle at Banksy's Dismaland on September 10, 2015 in Weston-Super-Mare, England.  (Photo by Matthew Baker/Getty Images)

ในปีค.ศ. 2008 ได้มีนักสืบแบบโพรไฟล์ลิ่งจาก Queen Mary University กรุงลอนดอนได้นำเทคนิคการโพรไฟล์ลิ่งแบบถิ่นที่อยู่มาตามหาตัว Banksy และสรุปว่าเขาคือ Robin Gunningham (โรบิน กันนิ่งแฮม) ศิลปินท้องถิ่นในเมืองบริสตอล ซึ่งต่อมาในปีค.ศ. 2015 โรบินก็ได้ปรากฏตัวในโปรเจ็กต์ Dismaland ของ Banksy ในฐานะเด็กโบกรถ ซึ่งแฟนๆ ก็จำเขาได้ จึงมีการสรุปอย่างจริงจังว่าแท้จริงแล้วโรบินเองนั่นล่ะคือ Banksy

BETHLEHEM, WEST BANK - DECEMBER 05:  A Palestinian labourer works under a large wall painting by elusive British graffiti artist Banksy December 5, 2007 on a building wall in the biblical city of Bethlehem in the West Bank. The Bristol-born artist has adorned Israel's West Bank separation barrier and Bethlehem walls with new images, including one of a dove wearing a flak jacket and a soldier being frisked by a young girl. His works, along with those of other international artists, are part of an exhibition called Santa's Ghetto.  (Photo by David Silverman/Getty Images)

และก็ยังมีนักข่าวอย่าง Craig Williams (เครก วิลเลียมส์) ที่นำเสนอความเกี่ยวข้องกับผลงาน Banksy กับ Robert Del Naja(โรเบิร์ต เดล นายา) ฟรอนท์แมนวง Massive Attack ซึ่งเขายืนยันว่า ทุกครั้งวงนี้ไปเล่นที่เมืองใดๆ ก็ตาม จะต้องมีผลงานของ Banksy ปรากฏตามมาเสมอ แต่ก็นะ ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธจากเอเจนซี่ของ Banksy ก็สรุปว่ายังไม่สรุปอยู่ดีว่า Banksy คือใครกันแน่

Elena Ferrante

เอเลนน่าเป็นนามปากกาของนักเขียนนวนิยายชาวอิตาเลียน เธอมี
ผลงานเขียนเล่มแรก Troubling Love ตั้งแต่ปีค.ศ. 1992 และโด่งดังไปทั่วโลกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผลงานที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือซีรีส์นวนิยายสี่ตอนจบชุด Neapolitan Novels ที่ตีพิมพ์ไปเมื่อปีค.ศ. 2011 ในปีค.ศ. 2016 เธอได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกใบนี้โดยนิตยสาร Time แม้ว่าเธอจะเป็นที่รู้จักในระดับโลก แต่เธอก็ยืนยันที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเธอไว้อย่างเงียบเชียบ และก็เป็นดังที่เขาว่า ยิ่งไม่อนุญาต ยิ่งอยากจะรู้ จึงมีหลากหลายทฤษฎีว่าด้วยเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเธอ โดยเป็นการจับแพะชนแกะของบทสัมภาษณ์ที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ตามสื่อต่างๆ

ต่อมาในปีค.ศ. 2003 เธอตีพิมพ์หนังสือเรื่อง The Act of Falling Apart เป็นจดหมายที่เธอโต้ตอบกับบรรดาบรรณาธิการของเธอ ซึ่งก็เปิดเผยตัวตนของเธอออกมาได้นิดหน่อยว่าเธอเติบโตที่เมืองเนเปิล และออกไปใช้ชีวิตนอกประเทศอิตาลีมาได้สักระยะหนึ่ง เธอถือปริญญาวรรณกรรมคลาสสิก มีลูก แต่ไม่ได้แต่งงานแล้ว
ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น

Word-of-mouth Wonders

ปีค.ศ. 2016 Marco Santagata (มาร์โก้ ซานตากาต้า) นักเขียนนวนิยายและศาสตราจารย์ที่ University of Pisa ได้ตีพิมพ์บทความว่าด้วยการระบุตัวตนของเอเลนน่าโดยวิเคราะห์จากสไตล์งานเขียนของเอเลน่าอย่างใกล้ชิด ในตอนที่เธอบรรยายภาพเมืองปิซ่า และเขียนถึงเรื่องการเมืองอิตาลียุคใหม่ และรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นมาสรุปได้ว่า เอเลนน่าเคยอาศัยอยู่ในเมืองปิซ่า แต่ออกจากเมืองไปในช่วงปีค.ศ. 1966 เธอจึงเสนอทฤษฎีว่าเอเลน่าอาจจะเป็นศาสตราจารย์ชาวเนเปิล Marcella Marmo (มาร์เซลลา มาร์โม) ที่มาเรียนที่เมืองปิซ่าในช่วงค.ศ. 1964 – 1966 แต่ทั้งมาร์เซลลาและเอเจนซี่ของเอเลนน่าก็ออกมาปฏิเสธทฤษฎีนี้กันอย่างพร้อมเพรียง

ช่วงปลายปีค.ศ. 2016 ก็เกิดข่าวครึกโครมไปทั่วโลกเมื่อ Claudio Gatti (เคลาดิโอ กัตติ) ตีพิมพ์บทความเกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินของ Anita Raja (แอนิตา ราย่า) นักแปลในกรุงโรมว่าเธอนั่นเองที่เป็นเอเลนน่าตัวจริง โดยในบทความนั้นมีข้อมูลเรื่องการเงิน และการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของแอนิตาแบบโจ๋งครึ่ม และบทความนี้          ก็กลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางบนโลกวรรณกรรมถึงการคุกคามเรื่องส่วนตัวของนักเขียนและขอบเขตของการเข้าถึงข้อมูลลับต่างๆ โดย Matt Haig (แมตต์ เฮก) นักเขียนนวนิยายชาวอังกฤษถึงกับทวีตข้อความว่า “ความพยายามในการหาตัวเอเลนน่า เฟอร์รันเต้ตัวจริงนั้นเป็นเรื่องที่น่าอดสูและไม่มีค่าใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตัวตนที่จริงที่สุดของนักเขียนก็คือหนังสือที่พวกเขาเขียนนั่นเอง” แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีของเคลาดิโอนั้นก็ดูจะเป็นจริงมากที่สุด และยังไร้ซึ่งการปฏิเสธจากเอเจนซี่และสำนักพิมพ์ ก็คงสรุปไปแล้วแบบฉาวโฉ่สินะ เราว่า

Satoshi Nakamoto

เขาเป็นผู้ออกแบบ Bitcoin หรือเงินสกุลดิจิตอลสกุลแรกของโลกที่ต่อมาใช้เป็นฐานในการพัฒนาดาต้าเบสอย่าง Blockchain ที่จะเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ให้เราทำงานและติดต่อสื่อสารกับทุกคน ได้อย่างอิสระเสรีไร้ซึ่งพรมแดนของประเทศอย่างแท้จริง คุณซาโตชิ นากาโมโต ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ บอกว่าเขาอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เกิดราวๆ ปีค.ศ. 1975 และนั่นก็เป็นเพียงข้อมูลเดียวที่ออกมาจากตัวเขา (หรือตัวพวกเขา เพราะก็ไม่มีใครแน่ใจว่าคุณซาโตชินั้นเป็นคน หรือกลุ่มบุคคลกันแน่) และด้วยความรวยของคุณซาโตชิ (ปีค.ศ. 2016 เขาเป็นเจ้าของบิทคอยน์อยู่ หนึ่งล้านหน่วย ซึ่งก็เทียบเป็นเงินได้ราวๆ 760 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้นเอง) ก็ย่อมมีคนสงสัยอยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร และก็มีทฤษฎีหลากหลายแตกต่างกันออกไป และส่วนมากทฤษฎีเหล่านั้นก็มุ่งเป้าไปว่าคุณซาโตชิไม่ใช่คนเอเชีย และอาศัยอยู่ที่ประเทศอเมริกาและทวีปยุโรป (แหมนะ … มีแค่เผ่าพันธุ์คอร์เคซอยเท่านั้นสินะที่สามารถคิดค้นอะไรอัจฉริยะเปลี่ยนโลกได้ขนาดนี้)

Nakamoto Named as Bitcoin Father Denies Involvement

ในปีค.ศ. 2013 Skye Grey (สกาย เกรย์) บล็อกเกอร์ออนไลน์ได้นำเสนอว่า Nick Szabo (นิก ซาโบ) นั้นอาจจะเป็นคุณซาโตชิตัวจริง เขาเป็นนักค้าการเงินผู้โด่งดังและเป็นเจ้าของบทความบน Bit Gold หลายอัน ซึ่งอ่านๆ แล้วก็มโนได้ไม่ยากว่าเขาเองเป็นคนที่ริเริ่มเรื่องบิทคอยน์เป็นคนแรกๆ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเขาคือคุณซาโตชิตัวจริง ปีถัดมา นิตยสาร Newsweek ได้ยืนยันว่า Dorian Nakamoto (ดอเรียน นากาโมโต้) ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย (เขามีชื่อจริงว่าซาโตชิ นากาโมโต้) นั้นเป็นคุณซาโตชิ นอกเหนือจากชื่อเดียวกันแล้ว ดอเรียนยังมีโพรไฟล์ที่ชวนให้คล้อยตามว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะคิดค้นบิทคอยน์ขึ้นมาจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บทความถูกตีพิมพ์ออกไป บ้านของดอเรียนก็ถูกบุกโดยกองทัพสื่อ และเขาก็ปฏิเสธอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาไม่รู้จักเงินสกุลนี้ด้วยซ้ำ ต่อมา P2P Foundation ของคุณซาโตชิก็โพสต์ข้อความเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีตบหน้าสื่อดังฉาดว่า “ผมไม่ใช่ดอเรียน นากาโมโต้นะ” โอเค จบไป

ตัวเลือกถัดมาคือ Hal Finney (ฮัล ฟินนีย์) หน่วยกล้าตายคนแรกๆ ที่เริ่มใช้เงินบิทคอยน์ และเป็นยูสเซอร์ที่มีการโต้ตอบกับดาต้าเบสตลอดเวลา เขาอาศัยอยู่ไม่ไกลจากดอเรียนด้วยซ้ำ นักข่าวจากนิตยสาร Forbes เคยนำลายมือของเขาไปตรวจเทียบกับลายมือของคุณซาโตชิ ซึ่งก็ดูเหมือนกันในหลายจุดแบบไม่น่าเชื่อ แต่ก็มีทฤษฎีว่าเขาอาจจะแค่เป็นโกสต์ไรเตอร์ให้กับคุณซาโตชิก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามฟินนีย์ปฏิเสธเสียงแข็งว่าเขาเป็นเพียงยูสเซอร์เท่านั้น

Utah Software Engineer Mints Physical Bitcoins

คนที่อื้อฉาวที่สุดเห็นจะเป็น Craig Steven Wright (เครก สตีเฟ่น ไรท์) เพราะนิตยสาร Wired ได้เขียนว่าเครกนั้นคือคนที่คิดค้นบิทคอยน์ หรือไม่ก็พวกลวงโลกที่ชอบทำให้โลกคิดว่าเขาคิดค้นนั่นล่ะ แต่เครกเองกลับ
ปิดแอ็คเคาน์ทวิตเตอร์ของตัวเองและปิดปากเงียบ ไม่ออกสื่อ ในวันเดียวกันนั้นเอง Gizmodo ก็ตีพิมพ์หลักฐานที่แฮ็กได้จากอีเมล์ของเครกยืนยันว่าคุณซาโตชิคือเครกกับ David Kleiman (เดวิด คลีแมน) นักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ที่เสียชีวิตไปเมื่อปีค.ศ. 2013 แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บิทคอยน์ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะเชื่อถือข้อมูลดังกล่าว และบ้านของเครกก็ถูกตำรวจบุกค้นหาเรื่องเอกสารทางภาษีต่างๆ แต่ก็เงียบไป

จนในที่สุด กลางปีค.ศ. 2016 เครกก็ได้โพสต์ขึ้นบล็อกตัวเองว่า เขาคือคุณซาโตชิตัวจริง แต่อย่างไรก็ตาม Peter Todd (ปีเตอร์ ทอดด์) เดเวลลอปเปอร์ของบิทคอยน์ได้ออกมาปฏิเสธการโพสต์ดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่าการโพสต์นั้นไม่น่าเชื่อถือและไม่มีที่มา และได้ปฏิเสธเรื่องนี้ลงไปในทวิตเตอร์หลักของบิทคอยน์เองเลยทีเดียว หนึ่งเดือนถัดมา London Review of Books ได้ตีพิมพ์บทความว่าด้วยเรื่องของเครกและสงครามบิทคอยน์ โดยอ้างว่ามีบริษัทของประเทศแคนาดาอยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะเปิดเผยตัวของเขา ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทฤษฎีสมคบคิดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็สรุปอีกครั้งว่ายังไม่สรุปอยู่ดี

Bitcoin Value Soars And Drops

การตามหาตัวตนของคนที่เราชื่นชม เพื่อทำความรู้จักและนำกลับไปมโนให้ชุ่มชื่นหัวใจนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรมากนัก หากพฤติกรรมนั้นไม่ไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของคนผู้นั้นทั้งในโลกจริงหรือโลกเสมือน พึงระลึกไว้เสมอว่าเราทุกคนล้วนต้องการที่ว่างส่วนตัวกันทั้งนั้น บรรดาคนดังก็ไม่ยกเว้นหรอก จริงๆ นะ

14 มหาเศรษฐีอันดับดับต้นๆ ของโลก ที่มีเส้นทางแห่งความรวยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

Unlimited Billionaires

มีทั้งมหาเศรษฐีที่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน มหาเศรษฐีที่ต้องร่อนเร่ หรือมหาเศรษฐีที่ยัง “ขี้งก” คนรวยพวกนี้มีหลากหลายประเภท ขอเชิญทุกท่านทำความรู้จักกับมหาเศรษฐีเหล่านี้ที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

เรามักได้ยินคนพูดกันว่า ไม่มีสูตรสำเร็จในการเป็นเศรษฐี  พันล้าน แต่ความจริงแล้ว มันก็พอมีวิธีที่จะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้บ้าง ก่อนอื่นเลยขอบอกผู้อ่านว่านี่คือความลับ หากเราดูประวัติของคนที่สามารถทำเงินได้หลักพันล้านหลายคนแล้ว คนพวกนี้ใช้เส้นสายอย่างรอบคอบและรู้จักใช้อำนาจที่พวกเขามีโดยใช้เงินอัดฉีดเป็นล้านเพื่อที่ได้ผลที่ต้องการ เพื่อที่จะได้ความคิดที่หลากหลายหรือแม้แต่ให้ได้เข้าร่วมเล่นการเมือง

จากตัวอย่างผู้ที่มีอิทธิพลในโลกนี้ อำนาจทางเศรษฐกิจอาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นใหญ่ได้ ฉะนั้นคนเหล่านี้จะต้องแสวงหาอำนาจทางการเมือง ตัวอย่างนี้เห็นได้ชัดเจนจากนักธุรกิจพันล้านเชื้อสายเลบานอน-ไนจีเรียอย่าง Gilbert Ramez Chagoury (กิลเบิร์ต ราเมซ ชากูรี) ที่ได้ลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีประเทศไนจีเรีย แต่ก็มีคนประเภทที่เลวร้ายกว่านี้ซึ่งคนพวกนี้มักจะทำเรื่องไม่ดี ตัวอย่างเช่น การยักยอกเงินซึ่งดูไร้เกียรติ แม้ว่าภาพลักษณ์ที่เสนอดูมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี ตัวอย่างแรกคือ ลูกหลานของผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีนกว่า 20,000 คนซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มปัญญาชนของประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจลำดับสองของโลก     คนพวกนี้มักจะพัวพันกับการเล่นเส้นเล่นสายในเกมการเมืองและเล่นพรรคเล่นพวกเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางการเงิน

นอกจากนี้แล้วยังมีเศรษฐีพันล้านที่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน   ให้เป็นที่รู้จัก จนเมื่อมีสื่อมวลชนนำเสนอความร่ำรวยของเศรษฐีประเภทนี้ แน่นอนว่าพวกเขาอยากสงวนความเป็นส่วนตัวไว้ (อย่างที่โวลแตร์เคยกล่าวว่า “หากอยากอยู่อย่างมีความสุข ให้ใช้ชีวิตอยู่แบบซ่อนตัว”) Lynsi  Snyder-Ellingson (ลินซี ซไนเดอร์-เอลลิงสัน) เจ้าของร้านเบอร์เกอร์ In-N-Out เธอใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมและเก็บตัว เธอหวาดระแวงอยู่เสมอ ลินซีบอกว่าเธอกลัวถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ตลอดเวลา

มหาเศรษฐีอีกประเภทหนึ่งที่มักเป็นจุดสนใจและเป็นหัวข้อที่นักข่าวเขียนถึงบ่อยๆ ก็คือมหาเศรษฐีที่พัวพันกับยาเสพติด การโกงและการฟอกเงิน เศรษฐีพวกนี้มักจะมีเล่ห์กลมากมายและมักจะท้าทายอำนาจรัฐ แทบทุกประเทศออกหมายจับ ไปจนถึงคิดแผนการหลบหนีขั้นเทพเมื่อถูกจำคุก ตัวอย่างมีให้เห็นอย่างพ่อค้ายาเสพติดระดับบิ๊กสัญชาติแมกซิกันอย่าง Joaquín Guzmán (ฮัวควิน กูเมซ) ซึ่งเป็น  คู่แข่งตัวฉกาจในการค้ายาเสพติดกับคิงพินอีกคนหนึ่งอย่าง Pablo Escobar (พาโบล เอสโคบาร์)

และก็มีมหาเศรษฐีอีกประเภทหนึ่งที่ไม่อยากจะใช้จ่ายเงิน   สักดอลลาร์ คนพวกนี้เลือกใช้ชีวิตราวกับว่าพวกเขาไม่ได้เป็นมหาเศรษฐี พวกเขาคิดว่าสถานะคนรวยไม่ได้สื่อให้เห็นถึงเกียรติยศ อาจจะเรียกคนพวกนี้ได้ว่ายิ่งกว่าขี้งกเสียอีก เราจึงขอตั้งฉายามหาเศรษฐีตระหนี่เหล่านี้ว่า “มหาเศรษฐีขี้งก” เพราะพวกเขาอาจจะมาจากครอบครัว ที่มีฐานะปานกลางมาก่อน จึงไม่ลืมที่มาของตัวเอง บ้างก็เลือกใช้ชีวิตมัธยัสถ์ รอบคอบและวางแผนงานธุรกิจของพวกเขาต่อไป ตัวอย่างเช่น เศรษฐีดิจิตอลอย่าง Tony Hsieh (โทนี เช) ผู้เป็นเจ้าของร้านรองเท้าออนไลน์อย่าง Zappos ใช้ชีวิตในรถคาราวานและฝันว่าจะสร้าง “เมืองในอุดมคติ” ให้เป็นจริงได้

The Billionaires in Shadow

Kelly Rutherford, David Koch - March 14, 2011 - THE SCHOOL OF AMERICAN BALLET Winter Ball 2011 Sponsored by Van Cleef and Arpels held at David H. Koch Theater, Lincoln Center, NYC. Photo Credit: Patrick Mcmullan/PatrickMcMullan.com/Sipa Press/balletsipapmc.017/1103152028 (Newscom TagID: sipaphotosthree094785) [Photo via Newscom]

Charles and David Koch (อายุ 80 ปี และ 75 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 41,000 ล้านดอลลาร์ต่อคน เป็นมหาเศรษฐีลำดับที่ 6 ในสหรัฐอเมริกา

แหล่งรายได้: Koch Industries เป็นอาณาจักรที่สองพี่น้องได้รับมรดกจากพ่อแม่มา เป็นอุตสาหกรรมที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำมัน ปุ๋ยและปศุสัตว์ เป็นบริษัทใหญ่ลำดับที่ 2 ของสหรัฐอเมริกาที่ไม่ได้ลงในตลาดหุ้น ซึ่งมีตัวเลขประกอบการธุรกิจ 115,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีพนักงานมากกว่า 100,000 คนและมีสำนักงานอยู่ใน 60 ประเทศ

ลักษณะเฉพาะ: ทั้งสองคนนี้มีความคิดแบบลิเบอรัลได้ให้เงินสนับสนุนองค์กรที่มีแนวคิดเสรีนิยมใหม่และกลุ่มขวาจัดมาตลอด เป็นทั้งผู้นำระบบบริษัทที่มั่นคงและเป็นทั้งหน่วยระดมความคิด ทั้งสองพี่น้องก็กุมอำนาจในการล็อบบีผลประโยชน์ทางเมืองด้วยเช่นกัน

เรื่องโดดเด่น: ในช่วงเลือกตั้งปีค.ศ. 2014 ทั้งสองพี่น้องได้  ทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนพรรครีพับบลิกกันให้กลายเป็นพรรคที่มี อำนาจมหาศาลในการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม” ในการรณรงค์หาเสียงปีค.ศ. 2016 ทั้งสองพี่น้อง
ตั้งใจที่จะลงเงินเพิ่มอีก 300 
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีค.ศ. 2010 พี่น้องทั้งสองคนนี้ได้
ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวทาง
การเมืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยน
ขั้วทางการเมืองอย่างที่เรียกว่า 
การเคลื่อนไหว Tea Party
โดยสามารถได้ที่นั่งในสภาสูง
เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการต่อต้านความเป็น คอมมิวนิสต์” ของประธานาธิบดีโอบามา

gilbertchagoury_w1

Gilbert Chagoury (อายุ 70 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งรายได้: บริษัท Chagoury Group ที่มีชื่อเสียงด้านการก่อสร้างตึกและสถานที่สาธารณะ อาคารบ้านเรือน สุขภาพและการท่องเที่ยว (มีพนักงานจำนวน 10,000 คน) เขาได้สร้างบริษัทนี้ขึ้นมาหลังจากที่ผันตัวมาทำธุรกิจโดยการเริ่มจากการสร้างโรงโม่แป้งที่เมืองเบนิน โรงโม่แป้งนี้สามารถผลิตแป้งสาลีได้กว่า 3,700 ตันต่อวัน

ลักษณะเฉพาะ: เขามีอิทธิพลใน
ทวีป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา มีเพื่อนฝูงที่มีอิทธิพลอย่างตระกูลคลินตันซึ่งทำให้ธุรกิจงอกเงยทำกำไรได้มากมาย

เรื่องโดดเด่น: ในช่วงที่นายอาบาชา ประธานาธิบดีของไนจีเรียบริหารประเทศอยู่นั้น เขาได้ตำแหน่งเป็น
ที่ปรึกษา ในช่วงนี้ธุรกิจของเขารุ่งโรจน์เป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้แทนเจรจากับบริษัทตะวันตกต่างๆ ที่ต้องการจะลงทุนในด้านน้ำมันและแก๊สในไนจีเรีย อย่างบริษัท Total ที่ได้รับสัมปทานมากที่สุดในปีค.ศ. 1998 เขาได้ให้เงินสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของ Bill Clinton (บิล คลินตัน) และ Hillary Clinton (ฮิลลารี คลินตัน) ด้วยเช่นกัน   บิล คลินตันเองก็เคยเข้าร่วมงานเปิดตัวโครงการก่อสร้างพื้นที่ในเมืองขนาดใหญ่อย่าง Eko Atlantic ที่เมืองลาโกส (ในปีค.ศ. 2013) ของ กิลเบิร์ตด้วยเช่นกัน ซึ่งบิลได้รับการแนะนำจาก David Axelrod (เดวิด อักเซลร็อด) อดีตที่ปรึกษาของ Barak Obama (บารัก โอบามา) ให้เป็นที่ปรึกษาแก่ Muhammadu Buhari (มูฮัมมาดู บูฮารี) ซึ่งเป็นลูกค้าบริษัทให้คำปรึกษาของ  เดวิดเอง และสุดท้ายมูฮัมมาดู  ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของไนจีเรียในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015

IMF And World Bank Hold Spring Meetings

George Soros

(อายุ 85 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 24,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีเงินมากที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 16

แหล่งรายได้: การเก็งกำไรจาก
เงินตราต่างประเทศและหุ้นรวม
ทั้งจากบริษัท Soros Fund Management ที่มีเงินของเขา ของครอบครัวเขา ของมูลนิธิ  ของเขา จำนวนมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ลักษณะเฉพาะ: เขาเป็นคนอเมริกันที่มีสัญชาติฮังการี เป็นตำนานในวงการธุรกิจจนได้รับฉายาว่า เป็น ชายผู้ทำลายธนาคารอังกฤษ” ฉายานี้ได้จากการที่เขา  ได้กำไรจากวิกฤตค่าเงินยุโรปอ่อนแอในปีค.ศ. 1992 เขาสร้างกำไรได้ถึง 1,100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในตอนนั้น

เรื่องโดดเด่น: เขาให้เงินสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของโอบามา และการปฏิวัติในยูเครน และได้ให้เงินสนับสนุนกับกลุ่มซ้ายจัดถึง 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการประท้วง ที่เมืองเฟอร์กูสัน หลังจากที่วัยรุ่นผิวสีถูกตำรวจผิวขาวสังหาร

1_w1

Yang Huiyan (อายุ 34 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีเงินมากที่สุดในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นลำดับที่ 5 จัดโดยลำดับโดยนิตยสาร Hurun

แหล่งรายได้: บริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง Country Garden ซึ่งเธอได้รับมรดกจากพ่อของเธอเอง พ่อของเธอเคยเป็นชาวนาและแรงงานสร้างตึกมาก่อน เธอดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด (ร้อยละ 70)

ลักษณะเฉพาะ: เธอแต่งงานกับลูกชายของข้าราชการชาวจีนระดับสูง เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มลูกหลานของผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีนกว่า 22,000 คน ซึ่งมีความสำคัญกับเศรษฐกิจโลกเป็นลำดับที่สอง อำนาจที่เธอได้รับมาจากสายเลือดและการแต่งงานกับอดีตลูกหลานคนใหญ่คนโตของ พรรคคอมมิวนิสต์จีนและการดำเนินธุรกิจในเกาะบริติช เวอร์จิน

เรื่องโดดเด่น: ตอนอายุ 26 ปี  เธอกลายเป็นเศรษฐินีที่มีเงินมากที่สุดในประเทศจีน ซึ่งนิตยสาร Forbes ได้จัดลำดับให้ในปีค.ศ. 2007 ก่อนหน้าที่เธอจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ พ่อของเธอได้โอนอำนาจในการบริหารบริษัท ให้กับเธอก่อนหน้านี้สองปี

The Hidden Billionaires

lynsisnyderellingson_w1

Lynsi Synder-Ellingson (อายุ 33 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งรายได้: เครือร้านอาหาร จานด่วนอย่าง In-N-Out Burger ที่เธอเป็นเจ้าของเอง เดิมเป็นร้านสั่งอาหารแบบไดรฟ์-อินที่ปู่ย่าของเธอสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1948 ที่เมืองบาลด์วิน พาร์ค รัฐแคลิฟอร์เนีย จนกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกว่า 300 สาขา

ลักษณะเฉพาะ: แต่ก่อนเธอไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักธุรกิจในอุตสาหกรรมร้านอาหารจนเมื่อนิตยสาร Bloomberg ได้เขียนข่าวเกี่ยวกับเธอในปีค.ศ. 2013 ตอนอายุ 30 ปี เธอกลายเป็นเศรษฐินีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา เธอชอบความท้าทายของงานแต่มักจะเก็บตัวและรักษาความเป็นส่วนตัว เธอเลี่ยงที่จะปรากฏตัวในสื่อเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเธอ ตอนที่เธอเป็นวัยรุ่น เธอเกือบถูกลักพาตัวถึงสองครั้ง

เรื่องโดดเด่น: เธอเป็นผู้รับมรดกของบริษัทหลังจากที่ย่าของเธอ ซึ่งเป็นผู้กุมบังเหียนของบริษัท เสียชีวิต ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อของเธอก็เสียชีวิต เธอเป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 50 ตอนที่เธออายุ 30 ปี เธอได้ขยายกิจการของ In-N-Out ไปในหกรัฐและครอบครองหุ้นของบริษัททั้งหมด

POCANTICO HILLS, NY - NOVEMBER 11:  Founder and CEO, Chobani Hamdi Ulukaya  attends The New York Times Food For Tomorrow Conference At Stone Barns, NY on November 11, 2014 in Pocantico Hills, New York.  (Photo by Neilson Barnard/Getty Images for New York Times)

Hamdi Ulukaya (อายุ 43 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งรายได้: บริษัทผลิตโยเกิร์ต กรีก Chobani ที่เขาสร้างขึ้นและคิดหุ้นเป็นร้อยละ 40 ของตลาดโยเกิร์ตในอเมริกาซึ่งมีมูลค่ากว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐอเมริกา บริษัทของเขาจ้างพนักงานกว่า 2,000 คน

ลักษณะพิเศษ: เขาเป็นคนโน้มน้าวคนเก่ง เขาเริ่มจากการโน้มน้าวบริษัทผู้กระจายสินค้าที่ตอนแรกยอมให้เขาขายโยเกิร์ตเพียงร้อยละ 2 ของตลาดโยเกิร์ตทั้งหมดเท่านั้น ปรัชญาของเขาก็คือ ผมชอบเอาชนะ ผมเกลียดความพ่ายแพ้”

เรื่องโดดเด่น: เขาอพยพจากประเทศตุรกีมาตั้งตัวที่สหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 1994 ด้วยเงินติดกระเป๋าเพียง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ  หลังจากนั้นเขาได้สร้างบริษัทผลิตเนยแข็งชนิดฟีต้าก่อนที่จะขายให้กับบริษัทหนึ่งไป และเริ่มขายโยเกิร์ตแบรนด์ตัวเองในปีค.ศ. 2007 ภายในระยะ 7 ปี เขาสามารถนำผลิตภัณฑ์ของเขาไปจำหน่ายใน  ซูเปอร์มาร์เก็ตได้ ซึ่งทำให้แบรนด์โยเกิร์ตที่ดังอยู่แล้วอย่าง Danone และ Yoplait มีคู่แข่งใหม่ เขาลงเงิน 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการตั้งโรงงาน ที่เมืองทวินฟอลลส์ รัฐไอดาโอ ซึ่งเป็นหน่วยผลิตโยเกิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในโลกและทุ่มเงิน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกองทุน TPG Capital ซึ่งคิดเป็นเงินถึงร้อยละ 20 จากเงินที่เขามีปริมาตร การซื้อขายมีมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้เขายังร่วมบริจาคให้กับผู้อพยพลี้ภัยทั่วทั้งโลกด้วยเงินครึ่งหนึ่งที่เขา มีเลยทีเดียว

The New “Picsou”

SAN FRANCISCO, CA - OCTOBER 08:  Zappos.com CEO Tony Hsieh attends the Vanity Fair New Establishment Summit Cockatil Party on October 8, 2014 in San Francisco, California.  (Photo by Michael Kovac/Getty Images for Vanity Fair)

Tony Hsieh (อายุ 42 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 820 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งรายได้: บริษัท Zappos   ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในด้านการขายรองเท้าออนไลน์  ซึ่งเขาได้ร่วมก่อตั้งและบริหารมาได้ 16 ปีแล้ว เขาจบปริญญาด้านคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเขาขายบริษัท LikEchange ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่เขาก่อตั้งให้กับบริษัทไมโครซอฟต์ในปีค.ศ. 1999 ในราคา 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นในปีค.ศ. 2009 เขาขายบริษัท Zappos    ให้กับบริษัทในเครือ Amazon ในราคา 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ลักษณะเฉพาะ: เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ประหยัดมากที่สุดคนหนึ่งในวงการธุรกิจ เขามีเงินพอที่จะอาศัยในปราสาทได้ แต่กลับเลือกอยู่ในรถคารานวานกับอัลปากาสัตว์เลี้ยงของเขาที่ชื่อว่ามาร์ลีย์ บนลาน จอดรถที่เขาเรียกว่า Llamapolis

เรื่องโดดเด่น: เขาเป็นคนใจกว้างมาก เห็นได้จากการยอมควักเงิน 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อปรับปรุงเมืองลาส เวกัสให้ดึงดูดนักธุรกิจเข้ามาลงทุน เขาได้ตั้งระบบการจัดการที่เรียกว่า Holocracy    ซึ่งปฏิวัติระบบการทำงานและโครงสร้างทั้งหมดของเมือง

azim-premji-1_w1

Azim Premji (อายุ 70 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 17,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นบุคคล
ที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 91

แหล่งรายได้: บริษัท Wipro ของครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจด้านสบู่และน้ำมันซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศอินเดียในด้านซอฟต์แวร์ มีพนักงานถึง 146,000 คน 
และมีอยู่ใน 60 ประเทศ ตัวเลข
การทำธุรกิจของเขาก้าวกระโดดจาก 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป็น 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 40 ปี

ลักษณะเฉพาะ: เขาได้รับฉายาว่าเป็น Bill Gates” แห่งบังคาลอร์ อาซิมใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ เห็นได้จากการที่เขาเดินไปทำงาน ถ้าขับรถก็จะขับโตโยต้า โคโรลา หากเดินทางไปเที่ยวก็จะนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดและไปพักในโรงแรมราคาถูก
เขามักจะให้พนักงานที่บริษัทของเขาปิดไฟทุกครั้งก่อนออกจากออฟฟิศ

เรื่องโดดเด่น: เขาตั้งพัฒนา
และปรับปรุงการศึกษาในประเทศอินเดียผ่านมูลนิธิที่เขาทุ่มเงินไปมากกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีค.ศ. 2010 โดยมูลนิธิของเขาให้ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษากว่า 20,000 แห่งในประเทศอินเดีย และเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยของเขาเองในปีค.ศ. 2012 เขาเป็นคนอินเดียคนแรก
ที่ลงนามใน สัญญาว่าจะให้” 
อันโด่งดังของมหาเศรษฐีอย่าง
บิลล์ เกตส์ซึ่งสนับสนุนให้เหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกสละเงินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจากเงินที่มีเพื่อใช้
ในการช่วยเหลือผู้อื่น

ingvar-kamprad-image_w1

Ingvar Kamprad (อายุ 89 ปี)

จำนวนเงินที่มี: ได้รับมรดกจาก
ครอบครัวประมาณ 40,000 ล้านยูโร 
ซึ่ง 3 ใน 4 เป็นของเขาเพียงผู้เดียว

แหล่งรายได้: ในเครือบริษัทสัญชาติสวีเดนอย่าง Ikea ที่เขา ได้ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1943 และบริหารมาตั้งแต่ช่วงนั้น บริษัท Ikea เปิดหน้าร้านกว่า 328 ร้าน  
ใน 28 ประเทศ มีตัวเลขดำเนินธุรกิจกว่า 31,900 ล้านยูโร

ลักษณะเฉพาะ: เขาบอกว่าเขาชอบอยู่กับความเป็นจริงมากกว่า     เขาขับรถวอล์โวคันเก่าปี 1993 หากต้องออกเดินทาง เขาจะเลือกชั้นประหยัด เขาชอบสายการบินประเภทโลว์คอสต์และตกแต่งบ้านของเขาที่เป็นสไตล์สวิสด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาถูกจาก Ikea  เขามักถูกพนักงานปฏิเสธไม่ให้
เข้าร่วมงานประกาศรางวัลด้านเศรษฐกิจด้วยเหตุผลว่าเขานั่งรถเมล์มาที่งานประกาศรางวัล

เรื่องโดดเด่น: เขาเลิกเนรเทศ   ตัวเองหลังจากที่ 42 ปีก่อนหน้านี้ที่เขาถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินบริษัท ปีค.ศ. 2014 เป็นครั้งแรกที่เขาพ้นผิดจากเรื่องคดีภาษีคิดเป็นเงินจำนวน 600,000 ยูโรในประเทศสวีเดน บ้านเกิดของเขาเอง คิดเป็นร้อยละ 34 ของเงินที่เขามีตอน เป็นผู้บริหาร

 9-david-cheriton-extremely-rich-people-with-modest-lifestyles-image-source-bloovi-be__w1

David Cheriton (อายุ 64 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นคนร่ำรวย มากที่สุดลำดับที่ 13 ในแคนาดาและเป็นลำดับที่ 628 ของโลก

แหล่งรายได้: เมื่อตอนที่เป็นครูที่มหาวิทยาลัย Stanford เขาได้ลงทุนในบริษัทที่เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ เริ่มต้นจาก Google ซึ่งเขาลงทุนไป 100,000 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อเริ่มสร้างเวบไซต์ในปีค.ศ. 1998 ตอนนี้เขาก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นอยู่เช่นกัน

ลักษณะพิเศษ: เขาเกลียดการใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐี เขาจึงใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่ซื้อบ้านหรูอยู่หรือรถราคาแพง เขาชอบไปโต้คลื่นที่ฮาวายเป็นประจำ ของราคาแพง ชิ้นสุดท้ายที่เขาซื้อคือรถยนต์ Honda Odyssey 2012

เรื่องโดดเด่น: ในปีค.ศ. 2005  เขาได้บริจาคเงิน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัย Waterloo เพื่อสนับสนุนการวิจัยขั้นสูง
และงานวิจัยด้านคอมพิวเตอร์
ในปีค.ศ. 2010 เขาได้บริจาคเงิน    2 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับมหาวิทยาลัย British Columbia เพื่อเป็นการสนับสนุนองค์กร Carl Wieman Science Education

timcook_w1

Tim Cook (อายุ 55 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง 120 ล้านเป็นมูลค่าจากหุ้นทั้งหมด 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แหล่งรายได้: บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ซึ่งเขาเป็นประธาน เจ้าหน้าที่บริหารหลังจากที่ Steve Jobs (สตีฟ จ็อบส์) ลาออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 ซึ่งในช่วงปีนั้นเขาเป็นซีอีโอ ที่ได้รับการปูนบำเน็จเป็นเงินถึง 378 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก   ผลประกอบการของบริษัท

ลักษณะเฉพาะ: เรื่องเงินเป็นเรื่องที่เขากังวลน้อยที่สุด เขาเลือกใช้ชีวิตอย่างสมถะและอาศัยในอพาร์ตเมนต์ ขนาด 223 ตารางเมตรที่เมืองปาโล อัลโตที่เขาได้ซื้อมาในราคาหนึ่งล้านเก้าแสนดอลลาร์สหรัฐ

เรื่องโดดเด่น: เขาบอกว่าเขา
อยากจะลบภาพลักษณ์ของบริษัทที่ดูขี้เหนียวและร่วมบริจาคใน
งานการกุศล (ในปีค.ศ. 2012 
เขาบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาล Stanford ถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้โครงการสร้าง
โรงพยาบาลสำหรับเด็กแรกเกิดจำนวน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เขาจะบริจาคเงินทั้งหมดที่เขามีนี้
ให้กับโครงการทั้งหมดที่กล่าวมา

The Billionaires on the Run

joaquln-guzman-_w1

Joaquín Guzmán(อายุ 61 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะที่สังคม
รับรู้นะ แต่ถ้ารวมบัญชีใต้ดินและเงินจากทางอื่นๆ คงจะมากกว่านี้อีกไม่ต่ำกว่าสองสามเท่า

แหล่งรายได้: การค้ายาเสพติด

ลักษณะเฉพาะ: มีฉายาว่า (หรือ 
เสือเตี้ย” เพราะเขาสูงแค่ 1.65 เมตร) หัวหน้าแกงค์ Sinaloa Cartel ซึ่งเป็นแกงค์ลักลอบค้ายาเสพติดที่ใหญ่ที่สุด ในสหรัฐอเมริกา แคนาดาและยุโรป และเป็นราชายาเสพติดชาวเม็กซิกันที่น่าเกรงขามที่สุดในโลก (นิตยสาร Forbes 2013 ได้จัดลำดับให้อยู่ที่ 67) 
เขาเป็นบุคคลที่ตำรวจอยากได้ตัวมากที่สุด

เรื่องโดดเด่น: เขาบริหารกิจการของเขาเหมือนเป็นประธานบริษัท เขาคิดวิธีอันชาญฉลาดในการส่งยาเสพติดให้ลูกค้า สร้างความน่าเกรงขามให้กับกลุ่มลูกค้าในแต่ละประเทศ หลบเลี่ยงการลอบสังหารได้ทุกครั้ง จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่และคิดหาวิธีฟอกเงินได้อย่างแยบยล ในช่วงปีค.ศ. 1990 – 2008     เขาลักลอบนำโคเคนที่มีน้ำหนักกว่า 200 ตันเข้าสหรัฐอเมริกาได้และโกยเงินได้ถึง 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากโลดแล่นในวงการยาเสพติดมาได้ 13 ปี เขาก็ถูกตำรวจจับกุมในปีค.ศ. 2014 แต่ก็สามารถหลบหนีไปได้อีกครั้งหนึ่งในเดือนกรกฏาคมปีค.ศ. 2015 โดยขุดอุโมงค์หลบหนีที่มีความยาวมากกว่า 1.5 กิโลเมตร

 4558547_7_9a7a_l-ancien-oligarque-serguei-pougatchev_423d43f70fcb3209229f87019aacbf22_w1

Sergueï Pougatchev (อายุ 52 ปี)

จำนวนเงินที่มี: มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในช่วงจุดพีคที่สุด
ในชีวิตของเขา) เขาถูกธนาคารแห่งกรุงมอสโกว ประเทศรัสเซียสั่งห้าม
ใช้เงินทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในระบบในปีค.ศ. 2009 อันเป็นข่าวอื้อฉาวและกระจายไปทั่วโลก

แหล่งรายได้: การลงทุนหุ้นในธุรกิจก่อสร้างตึก การสร้างเรือและธนาคารชื่อ Mejprombank  ที่เขาได้สร้างขึ้น ซึ่งผู้คนสงสัยว่า  เขาได้มีส่วนร่วมที่ทำให้ธนาคารของเขาล้มละลายในปีค.ศ. 2010 เพราะการดำเนินธุรกิจอย่าง
ไม่ชอบมาพากล

ลักษณะเฉพาะ: เขาเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงในยุค
เครมลิน เคยเป็นนักการเมืองที่มีอำนาจในประเทศรัสเซีย ได้รับฉายาจากคริสตจักรว่า คณาธิปไตย” เขาเคยเป็น เพื่อนสนิทที่สุดของประธานาธิบดีปูติน” ในปีค.ศ. 2010 เขาถูกลิสต์ในบัญชีแดงเพราะว่ายักยอกเงิน

เรื่องโดดเด่น: เขาบอกว่าเขาเป็น   คนที่สร้างปูติน” เพราะว่าเขาช่วยปูตินให้ได้ตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก Boris Yeltsin (บอริส เยลซิน) ในช่วงปลายยุค ’90s และเขาก็มีบทบาทสำคัญในการขายเรือ Mistral สองลำให้กับรัสเซีย เขาถูกเนรเทศไปที่ลอนดอนและหลบซ่อนอยู่ในฝรั่งเศสมาตั้งแต่ฤดูร้อน  ซึ่งต่อมาเขาได้รับสัญชาติในปีค.ศ. 2009 ในช่วงปีนี้เขาได้พยายามซื้อหนังสือพิมพ์รายวัน France Soir คืนหลังจากที่เขาลงทุนไป 100 ล้านยูโรในปีค.ศ. 2007 กับร้านขายสินค้าที่ชื่อว่า Hdiard ล่าสุดเขาอยู่ในขั้นตอนการ
ฟ้องร้องประเทศรัสเซียในการ
อ้างสิทธิ์เงินจำนวน 12,000 
ล้านยูโรคืน

845933385842_w1

Cem Cengiz Uzan(อายุ 55 ปี)

จำนวนเงินที่มี: 1,300 ล้าน 
(ในช่วงพีคของเขา) ร่ำรวยมากที่สุดเป็นลำดับที่ 4 ในประเทศตุรกี

แหล่งรายได้: จากอาณาจักรธุรกิจของครอบครัวเขาซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทมากกว่า 220 บริษัทในประเทศตุรกีและอีกประมาณ 
40 บริษัทในต่างประเทศ (ด้านโทรศัพท์ การธนาคารและก่อสร้าง) ซึ่งเขาเคยกุมบังเหียนบริหารบริษัทดังกล่าวในปีค.ศ. 1992 และในปีค.ศ. 2004 ประเทศตุรกียึดบริษัทของเขาไปเพื่อที่จะเป็นสินทรัพย์หลักประกันในคดีล้มละลายที่เกิดจากการฉ้อโกงในธนาคาร Imar (คิดเป็นเงิน 
6,000 ล้านยูโร)

ลักษณะเฉพาะ: ชายผู้นี้ถูกตุรกีตัดสินให้จำคุก 53 ปีในปีค.ศ. 2010 ในคดีฉ้อโกง เขาลี้ภัยมาที่ฝรั่งเศสเพราะว่าถูกหมายจับจากตำรวจสากล

เรื่องโดดเด่น: เขาเป็นเจ้าของบริษัทเครือ Star (รายการโทรทัศน์ วิทยุ และข่าว) และเป็น
ผู้จัดการสโมสรฟุตบอลตุรกี
สองสโมสร เขาพยายามที่จะ
ผันตัวมาเล่นการเมือง ลงเลือกตั้งทั่วไปในปีค.ศ. 2002 และได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 7.26 ในนามพรรคเยาวชน ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมและมีเน้นนโยบายแบบ
ประชานิยม เขาเป็นเจ้าของเรือยอร์ช
 รถสปอร์ต เครื่องบินโบอิ้ง 747 และมีสินทรัพย์กระจายอยู่ใน 11 ประเทศทั่วโลกซึ่ง Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) ได้ซื้อสินทรัพย์ของเขาที่มีอยู่ในนิวยอร์กในราคา 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ร่วมพูดคุยกับเราถึงวิธีการบริหารธุรกิจกับ อนินดัม โชฮูรี ผู้บริหารสายการบิน Jet Airways

Anindam Choudhury (อนินดัม โชฮูรี) ผู้บริหารวิสัยทัศน์ดีจากสายการบิน Jet Airways หรือสายการบินเอกชนที่ใหญ่และมีเส้นทางบินมากที่สุดในประเทศอินเดียมาร่วมพูดคุยกับเราถึงวิธีการบริหารงาน และการบริหารคนในวงการธุรกิจที่มีความเครียดและการแข่งขันสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

8L1A7923

ทำไมถึงมาทำงานกับ Jet Airways ได้

ผมอยู่ในแวดวงสายการบินมาได้ 16 ปีแล้วครับ ผมก็เริ่มต้นเหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วๆ ไป คือสนใจเรื่องเครื่องยนต์กลไกและเรื่องเครื่องบิน แต่ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจการบินเลยนะครับ มันเป็นโอกาสที่ผ่านเข้ามาตอนที่ผมอยู่ที่กัลกาตา ตอนนั้นผมทำงานเป็นช่างภาพ แต่ผมก็ได้มีโอกาสได้เข้ามาทำงานในส่วนของคาร์โก้สายการบิน ตอนนั้นผมดูหนังเรื่อง Top Gun นะ และคาดหวังว่ามันจะแฟนซีแบบนั้น (หัวเราะ) ซึ่งก็ไม่จริงเลย การทำงานสายการบินเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยีเดียว หลังจากคาร์โก้ ผมก็ไปทำงานในส่วนดูแลลูกค้า ซึ่งผมดีใจมากที่ได้มีโอกาสทำงานในส่วนต่างๆ เหล่านี้ เพราะพอผมมารับตำแหน่งบริหาร มันทำให้ผมเข้าใจเนื้องานและธรรมชาติของงานอย่างแท้จริง ทำให้ผมมองและแก้ปัญหาต่างๆ ได้รอบด้านมากขึ้น

ทำไมถึงย้ายจากงานด้านกราวด์มารับตำแหน่งบริหารได้

ก็เป็นโอกาสเหมือนเคยครับ ตอนแรกบริษัทให้ผมมาทำงานในส่วนของลูกเรือ ซึ่งผมรู้ดีว่ามันต้องอาศัยทักษะและความอดทนเฉพาะ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะสมหรือไม่ ต่อมาผมก็ได้มีโอกาสย้ายมาทำงานที่สำนักงานใหญ่ในมุมไบ และก็เป็นโอกาสมาเรื่อยๆ ผมไม่เคยวางแผนว่าจะทำอะไรนะ โอกาสมันเข้ามา และผมก็รับ และโอกาสก็ส่งผมมาที่สิงคโปร์ มาเมืองไทย และก็กำลังจะไปฮ่องกงนี่ล่ะครับ

ความแตกต่างระหว่างอาชีพช่างภาพและอาชีพผู้บริหาร

จริงๆ แล้วการทำงานอะไรก็ตามมันก็ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบินที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะใช้กลยุทธ์การปรับราคาลงเพื่อให้แข่งขันกันได้ ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ของผมในฐานะช่างภาพช่วยให้ผมคิดกลยุทธ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลายมากขึ้น ผมเชื่อว่าลูกค้าเราไม่ได้ต้องการราคาที่ถูกที่สุด แต่เขาต้องการราคาที่สมเหตุสมผลที่สุด ดังนั้นผมจึงวางกลยุทธ์ให้ลูกค้ากลับมาหาเราเพราะเรามีอะไรที่แตกต่างจากสายการบินอื่น ไม่ใช่แค่อาหารฟรีเท่านั้น แต่เราจะเชื่อมโยงตัวเราเองกับลูกค้า มีการทำเมมเบอร์ชิป มีการจัดการดาต้าเบสลูกค้าโดยแยกตามความชอบของแต่ละบุคคล ทำให้เราสามารถรับมือและบริการพวกเขาได้อย่างเอ็กซ์คลูซีฟ และนั่นก็เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้พวกเขากลับมาบินกับพวกเรา ลูกค้าหลายๆ คนของเราก็มีเครื่องบินส่วนตัว แต่พวกเขาก็เลือกที่จะใช้บริการกับเรา นั่นทำให้เราอยู่รอดได้เป็นอย่างดีในภาวะการแข่งขันแบบนี้

ในฐานะหัวหน้า คุณมีวิธีการจัดการผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไร

ผมเคยทำงานเป็นคนนำปีนเขามาก่อน และผมก็เรียนรู้จากการทำงานตรงนั้นมาอย่างมากว่าเวลาเราไปปีนเขา ผมไม่ใช่คนเดียวที่จะต้องปีนขึ้นไปและกลับลงมา แต่ผมต้องเอาคนอื่นขึ้นไปและกลับลงมาด้วย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ทุกคนต้องมีชีวิตรอดกลับมา ผมต้องดูแลให้ทุกคนปลอดภัย ดังนั้น เป้าหมายไม่ใช่อยู่ที่การพิชิตยอดเขาเท่านั้น แต่คุณต้องกลับลงมาด้วย ดังนั้นการลงมือทำอะไรบางอย่างนั้น คุณต้องดูภาพรวมทั้งหมดให้ทุกอย่างไปด้วยกันอย่างราบรื่น ดังนั้น ผมจึงต้องดูทุกอย่างแบบองค์รวม นอกจากนั้น เวลาที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผมจะต้องคุยกับทีมเสมอว่าเราจะต้องมีระบบที่พวกเราเข้าใจกันในการแก้ปัญหาแต่ละจุด บางครั้งเรื่องที่เกิดขึ้นก็อยู่เหนือการควบคุม คุณอาจจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่คุณก็ต้องมีวิธีการรับมือและแก้ปัญหารองรับเสมอ ผมมักจะพูดเสมอว่าเราต้องมีแพลนเอ แพลนบี แพลนซี และแพลนอื่นๆ เพื่อที่จะสับไปสับมาในแต่ละสถานการณ์ได้ ก็วกกลับมาเรื่องเดิม นั่นคือ ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ในการบริหารงานและบริหารคนก็เป็นเรื่องที่สำคัญในการเป็นผู้บริหารนั่นเอง

นิยามความสำเร็จของคุณ

มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะครับ เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ตอนเริ่มงานใหม่ๆ นิยามความสำเร็จของผมก็แค่ซื้อบ้านซื้อรถได้ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป ผมอยากจะประสบความสำเร็จในแง่ที่ว่าผมสามารถทำให้ทุกคนรอบตัวมีความสุขมากแค่ไหน ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรือตำแหน่งเท่านั้น แต่ความสำเร็จในเรื่องง่ายๆ อย่างการมีความสุขและการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลและลงตัวเท่านั้น

อนาคตของ Jet Airways

เราจะทำให้มุมไบและเดลีกลายเป็นศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมต่อไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็จะเน้นที่ประเทศแถบเอเชียและอ่าวเปอร์เซียเป็นหลัก อาจจะขยายต่อไปที่ประเทศจีน ส่วนทวีปยุโรปนั้น เราก็จะเน้นความร่วมมือกับสายการบินฝั่งยุโรปเพื่อเปิดทางเลือกให้กับลูกค้าของเรามากขึ้น และในปัจจุบันสนามบินแห่งใหม่ของเดลีก็ทันสมัยขึ้นมาก มีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ถึงสองที่ในสนามบิน ถ้าคุณต้องมาต่อเครื่องที่นี่ คุณก็จะได้รับความสะดวกสบายมากกว่าไปต่อเครื่องที่อื่น นั่นคือเป้าหมายหลักของเราครับ

Content by Pacharee Klinchoo, Photography by Sompoch Thuamcharoen

SAVE MONEY FOR HONEY

ในหนึ่งเดือนคุณใช้เงินกับคนรักไปทั้งหมดเท่าไร?

แน่นอนว่ามากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ไม่เคยนับ หรือเรียกได้ว่านับไม่ถ้วน แค่เพียงเห็นสายตาของเธอระหว่างลองกระเป๋า Prada รุ่นใหม่ แล้วเหลือบมองมาที่คุณอย่างอ่อนโยน บัตรเครดิตก็แทบจะพุ่งสู่หน้าแคชเชียร์อย่างไม่ทันตั้งตัว หรือจะเป็นมื้ออาหารรสเลิสที่บรรยากาศเป็นใจบนตึกระฟ้ากลางเมือง ด้วยวิวพาโนรามา 360 องศา เพราะมีความเชื่อว่าลมพัดอ่อนๆ บนยอดตึกจะทำให้อาหารชิ้นเล็กน้อยที่ประดับสวยงามบนจานรถละมุนลิ้น สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม ไหนจะอีกหลายโอกาสพิเศษ วันสำคัญ วันเกิด วันครบรอบแรกคบ พูดได้เลยว่าหลายตังค์!!! แต่…ไม่ผิด เพราะเงินคือองค์ประกอบหนึ่งของความรักเสมอ และคุณต้องใช้เงินซื้อสิ่งเติมเต็มความรักบ้างเป็นครั้งคราว

ผลวิจัยจากอเมริกาเปิดเผยว่า ผู้ชายที่ครองตัวเป็นโสดมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินเยอะ และไม่ค่อยคิดถึงการเก็บออมไว้ใช้ในอนาคตมากนัก เนื่องจากพวกเขาต้องการดึงดูดความสนใจจากผู้หญิง….(ช่างเป็นผลวิจัยที่ไม่น่าแปลกใจเอาเสียเลย) และส่วนใหญ่ของผู้ตอบคำถามนี้ไม่ได้คำนึงถึงสถานะทางการเงินในอนาคต และไม่มีความรู้สึกที่จะเก็บออม (OMG ไม่แปลกใจที่โสด)

ในขณะเดียวกัน หากคุณเป็นคนที่แต่งงานแล้ว เรื่องเงินจะเป็นสิ่งที่คุณทะเลาะกันบ่อยอันดับต้นๆ โดยเฉพาะเรื่องใครใช้เงินมากกว่ากัน? เนื่องจากการใช้จ่ายภาระในครอบครัวที่ไม่ลงตัว หรือรู้สึกว่าอีกฝ่ายเห็นแก่ตัวไม่ยอมหาเงิน ยังไงควรตกลงกันก่อนใช้ชีวิตร่วมกันดีที่สุด เพราะหลายคู่ตัดสินใจจบความรักลงด้วยสาเหตุนี้

 

Drykorn ss2014

ดังนั้น รีบไปเรียกแฟนคุณมาอ่านตั้งแต่ประโยคนี้เป็นต้นไป!!! 

สิ่งที่คุณต้องทำหากจะใช้ชีวิตร่วมกับคนที่คุณรัก อันดับแรกออมเงินให้เป็นนิสัย แน่นอนว่าคุณคงวางแผนที่จะทำร่วมกันเป็นร้อย ทั้งแต่งงาน ฮันนีมูน สร้างเรือนหอ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น ถ้าคุณไม่เริ่มเก็บตั้งแต่วันนี้ จะไปเก็บวันไหนล่ะ

ข้อ 1. รีบขจัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นทิ้งซ่ะ ถึงเวลาต้องจริงจังซักทีโดยออมเงินให้เได้ 10-15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ซึ่งลักษณะการออมยอดฮิตคือ เงินฝากออมทรัพย์ จะได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และแบบฝากประจำจะได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.10 – 2.50 เปอร์เซ็นต์ต่อปี (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร) หรือใครชอบความเสี่ยงพอประมาณ แต่ผลตอบแทนเยี่ยมจะนำไปลงทุนระยะยาว ก็แล้วแต่สไตล์

ข้อ 2. การกู้เงิน ถึงหนี้จะไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็เป็นส่ิงที่คุณเลี่ยงไม่ได้เสมอไป เพราะการออมเงินไม่สามารถให้คุณสร้างฝันได้อย่างรวดเร็วนัก การกู้เงินเหมือนเป็นทางลัดอันดับหนึ่ง แต่คุณต้องบริหารให้อยู่ในระดับที่ไม่เกินความสามารถในการผ่อนชำระของคุณทั้งคู่ด้วย รวมทั้งห้ามคิดเรื่องการกู้เงินนอกระบบเป็นอันขาด ไม่งั้นปัญหาหนี้สินจะฉุดชีวิตคุณซึ่งจะก่อให้เกิดความเครียดและไม่มีความสุขในที่สุด

ข้อ 3. การนำรายได้มาใช้จ่ายร่วมกันถือเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาการวิวาทในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะมักจะมีความเหลื่อมล้ำในเรื่องใครใช้เงินมากกว่า และใช้เงินนอ้ยกว่ามาให้คุณผิดใจกันชัวร์ ดังนั้นควรแบ่งภาระหน้าที่ในสัดส่วนที่เสมอกัน อาทิ ฝ่ายชาย รับผิดชอบค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ฝ่ายหญิงรับผิดชอบค่ารถ ค่าของใช้ภายในบ้าน และค่าอาหารทุกเดือน ในมูลค่าที่ไม่เอาเปรียบกัน รวมถึงการแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาออมร่วมกัน

อ่านถึงตรงนี้แล้วอย่าเพิ่งเครียดไป การมีชีวิตไม่ได้ทำให้คุณใช้ชีวิตยากขึ้นขนาดนั้น แต่มันเป็นเพียงการเสริมสร้างความรับผิดชอบที่ควรมี แต่มันเป็นเพียงการเสริมสร้างความรับผิดชอบที่ควรมี ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นตามอายุเท่านั้น และแน่นอนมันดีต่อตัวคุณ คนรักของคุณ และคนรอบข้างตัวคุณ คุณอาจเสียอิสรภาพทางการเงินไปเพียงเล็กน้อย แต่คุณได้คนที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดชีวิตมาหนึ่งคน…คิดว่าคุ้มไหมล่ะ 🙂

(Photo By Drykorn Spring/Summer 2014)

10 THINGS YOU SHOULD NEVER DO IN A JOB INTERVIEW

บางคนกำลังวางแผนเริ่มต้น ‘งานใหม่’  และอาจมีหลายคนกำลังเตรียมตัวเพื่อสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีอาการตื่นเต้นและเคร่งเครียด นี่จึงเป็น 10 คำเตือนที่เราขอบอกว่า อย่าได้พลาดทำ เป็น อัน ขาด!

job1
(photo by Oscar Hunt AW15)

1. “ผมทำตำแหน่งนี้แทนคุณได้แน่นอนครับ!”
ความทะเยอทะยานนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องยอมรับก่อนว่าคนส่วนใหญ่ที่จะรับคุณเข้าทำงานนั้น เขาไม่ต้องการให้คุณมาแย่งตำแหน่งของเขาหรอกใครบ้างละที่จะไม่อยากอยู่ในเก้าอี้นานๆ
2. “เรียกว่า พี่ ได้ไหมครับ?”
การใช้สรรพนามที่แสดงถึงความเป็นกันเองนั้น บางครั้งควรเก็บไว้ช้ำกับคนข้างนอนมากกว่าเพราะมันไม่ค่อยจะเหมาะหรอกนะในการเจอกันครั้งแรก

3. “นั้นมันกลิ่นอะไร”
ก็ดีอยู่ถ้าคุณเป็นคนพูดตรงไปตรงมา แต่ถ้าน้ำหอมของคนที่จะรับคุณเข้ารทำงานไม่ถูกจริตหรือฉุนเกินไปสำหรับจมูกคุณแล้วละก็ สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือทนไปก่อนจะดีกว่า
4. “ที่นี่จ่ายเงินเดือนเป็นเช็คหรือใส่ซองมาให้ครับ”
แน่ใจเหรอว่าคุยถึงเรื่องเงินเป็นอันดับแรก ถึงแม้บางครั้งจะเป็นการพูดเพื่อทำให้ดูตลกหรือคุณอาจจะต้องการเล่นมุกเฉยๆ แต่ระวังว่าเรื่องเงิน ๆ ทองๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาพูดเล่น
5. “ผมเป็นคนชอบอัพเดทเรื่องราวบนโซเชียลมีเดียมากๆ”
เวลาคุณพูดแบบนี้ออกไป ผู้สัมภาษณ์คุณเข้าทำงานที่มีอายุมากแล้วอาจจะคิดว่า คุณคงมัวแต่แอบหว่านเสน่ห์ คุยแชตกับสาวในเว็บหาคู่ออนไลน์ jubkoo.com ระหว่างทำงานอย่างเดียว หรือไม่บางคนก็อาจจะคิดว่าคุณต้องมานั่งอัพเดททวิตเตอร์ให้บริษัทเพราะอยากได้เงินเท่านั้น
6. “คุณช่างน่ารักเหมาะกับการเป็นเจ้านายมากเลยนะครับ’’
ถ้าหากนั้นเป็นเรื่องจริงละก็คำถามมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเจ้านายของคุณน่ารักจริงหรือเปล่า แต่คำถามที่ว่านั้นก็คือคุณจะโดนไม้หน้าสามหรือคำพูดสวนกลับมาทำจนทำให้คุณหน้าแตกโดยไม่รู้ตัว เช่น “คุณก็ดูดีไม่เลวเหมือนกันนะสำหรับคนที่ยังไม่ได้งาน”
7. “ผมใฝ่ฝันที่จะเข้ามาทำงานกับคุณตั้งแต่ผมยังเด็ก”
อย่าพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด ถ้าหากคุณไม่ได้ศึกษาข้อมูลบริษัทนั้นมาเป็นอย่างดี เพราะบางทีบริษัทที่คุณบอกว่าคุณฝันอยากทำงานมาตั้งแต่เด็กตอนนั้นคุณคงมีอายุแค่ 10 ปี ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
8. “แล้วที่บริษัทของคุณจัดการเรื่องโบนัสพนักงานยังไงครับ แล้วจะมีเบี้ยเลี้ยงพิเศษหรือเปล่า”
เข้าใจอยู่นะว่ารายได้ของคุณมันสำคัญ แต่คำถามประเภทนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหวคุณจึงรอให้อีกฝ่ายเปิดประเด็นสนทนาเรื่องนี้ก่อนเท่านั้น

9. “ผมทราบมาว่าคุณกำลังต้องการคนเพิ่มโดยด่วนไม่ใช่หรือครับ”
อย่าคิดที่จะถามในบางเรื่องแม้จะเป็นสิ่งที่คุณรู้มาก็ตาม เคล็ดลับข้อนี้คือการหลับตาข้างหนึ่งเพื่อที่จะมองไม่เห็นบ้าง
10. “ผมคงต้องโทรไปบอกเส้นสายของผมว่าคุณไม่รับผมเข้าทำงาน”
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้รับเข้าทำงานคุณก้ไม่ควรพุดจาข่มขู่หรือทำลายความสัมพันธ์กับผู้สัมภาษณ์งานของคุณ ในทางกลับกันคุณควรหาคำพูดฉลาดๆตอบกลับไปว่างานตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเล็กๆไม่เป็นไรครับ ประมาณนี้

(photo by bagozza)

IT’S TIME TO GOLD

หากเอ่ยคำว่า ’No money, no honey’ วลีสุดคลาสสิกหลายคนคงเถียงไม่ออก

เพราะในบางกรณีมันจริงยิ่งกว่าจริงซะอีก สมัยนี้มันไม่มีหรอกนะที่สาวๆจะแลหนุ่มที่ไร้สินทรัพย์เป็นของตัวเอง หรือการจูงมือสาวพาไปลิ้มรสฟัวกราส์ชั้นเลิศในโรงแรมระดับไฮเอนด์ แต่กดเครื่องคิดเลขหารค่าข้าวคนละครึ่ง รวมทั้งหนุ่มๆที่ยังต้องสะสมเงินทุนสำรองเพื่อการช้อปปิ้ง ดูหนังฟังเพลง เอนเตอร์เทนเมนต์ครบครัน ซึ่งเฉลี่ยต่อเดือนรวมราคาแล้วเฉียดดาวน์รถอีโค่คาร์มาขับเล่นได้เลย
ดังนั้น!! ถ้าโลกมันอยู่ยากขนาดนี้หนุ่มๆ อย่างเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เริ่มจากขั้นแรกให้เกาะติดนิตยสารลอปติมัมไว้ เพราะเราไม่ได้มาสอนการลงทุน แต่เรามาชี้เป้าต่อยอดเงินในมือคุณ(ช่างฟังดูดี) เริ่มกันเลย

ลงทุน
ถ้าหากถามหนุ่มๆว่า ลงทุนที่ไหนได้ผลตอบแทนมากสุดเชื่อเลยว่าการลงทุนในหุ้นจะเป็นคำตอบที่ได้รับมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เนี่ยแหละได้ผลตอบแทนพุ่งกระฉูดที่สุด หากเทียบกับประเภทการลงทุนทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เงินจะล่มจมล้มหายตายจากก็มีมากเช่นกัน เรียกได้ว่าไต่ดัชนีขึ้นลิฟท์ไปว่องไวเท่าไรก็มีโอกาสไถลลงแบบเล่นสไลเดอร์เร็วเท่านั้น มันเลยเป็นเรื่องการวัดใจแบบแมนๆ พอสมควร ต้องใช้เวลาการศึกษาที่ลึกซึ้งถ่องแท้ เชื่อมั่นในตัวหุ้นที่เราจะนำเงินไปกองไว้ให้เขาไปใช้จ่าย แค่ฟังดูก็ใจหวิวนะ เอาไว้คราวหน้าค่อยมาลึกซึ้งเรื่องนี้กัน

ทองคำ
อยากชี้การเป้าการลงทุนในสินทรัพทย์ที่ช่วยป้องกันความเสียงด้านเงินเฟ้อ และความผันผวนได้อย่างมีประสิทธภาพ สินทรัพทย์ที่กล่าวข้างต้นนั้นก็คือ ‘ทองคำ’ สินทรัพทย์งดงามอร่ามตา แสดงความมั่งคั่งแก่ผู้สวมใส่ (ภาพติดตามจากละครที่ลุงหัวล้านเสื้อลายๆไปนั่งในคาเฟ่ และมีอทงเส้นโตประดับก็ลอยขึ้นมา) ซึ่งทองคำความเสี่ยงมันต่ำนะเฟ้ย! ใครจะเชื่อว่าเมื่อก่อนทองบาทละ 800 บาท (ทวดเล่าให้ฟัง) แต่ตอนนี้าคาวิ่งอยู่ช่วง 20,000 บาท และจากสถิติราคามันเติบโตขึ้นทุกปี เรียกได้ว่าคุ้มค่าและมั่นคง ไม่ต้องหวั่นใจมากมาย มีสินทรัพย์จับต้องได้อยู่กับตัว

ลักษณะการซื้อขายสินทรัพย์ประเภทนี้เหมาะกับนักสะสมใจเย็นนิ่งสงบ ไม่หวือหวา หวังน้ำบ่อหน้า(ถึงแม้จะอยากกินบ่อนี้เลย ก็ต้องห้ามใจ) นักลงทุนทองมักจะไม่ซื้อขายบ่อย มักซื้อเก็บในตู้เชฟ ซื้อใส่โชว์ประชาชน(แต่อาจมีหลายคนมองว่าซื้อทองใส่แล้วแปลกว่าแก่ แต่ใส่แล้วสาวเหลียวก็โอเคป่ะวะ) ในกรณีนี้ไม่นับรวมการซื้อทองแจกสาว เพราะจะกลายเป็นแคสการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก มากกกกกกกกก

ปัจจัยการเคลื่อนไหว
มันจะเป็นข่าวเชิงลบของโลกใบนี้ สถานการณ์ที่จะทำให้คนหวั่นเกรงกลัวเกิดวกฤตเหมือนในหนังสงคราม กับเป็นตัวผลักดันราคาให้ทองพุ่งปรี๊ดดดด อย่างรุนแรง ยิ่งสถานการณ์ภายนอกหวั่นไหว ผู้คนก็อยากกอดสินทรัพย์ที่สามารถจับต้องได้มากกว่ากันทั้งนั้น เช่น เมื่อเดือนกรกฎาคม 2014 ที่เพิ่งผ่านพ้นมา หลังจากครึ่งปีแรกราคาทองนิ่งสงบไม่หวือหวา แต่บทวิเคราะห์ราคาทองคำครึ่งปีหลังกว่า 10 สำนักตีแผ่มาแล้วว่า นี่แหละคือช่วงเวลาผงาดอีกครั้งของราคาทองคำ ผลทั้งจากการสู้รบในอิรักที่ยึดเยื้อ รวมทั้งสงครามทางศาสนาและเชื้อชาติของอิสราเและปาเลสไตน์ กลับเป็นตัวผลักดันสำคัญของราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งความอ่อนไหวของสถานการณ์ทั่วโลกเป็นปัจจัยที่เด่นชัด ในการเคลื่อนไหวก็เริ่มกลับมาซื้อทองคำมากกว่า 20 ล้านตัน หลังจากเว้นช่วงไปนานเพราะราคาบวกน้อยไร้ความน่าสนใจ อีกทั้งผู้ค้าทองและนักลงทุนในทองคำเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นที่จะทยอยซื้อสะสมอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง (แค่นี้ก็เรียกขวัญและกำลังใจได้เยอะ)

แต่เดี๋ยวก่อน! เมื่อมีปัจจัยบวก มันก็ต้องมีปัจจัยลบเป็นของคู่กัน ความสดใสของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟิ้นตัวขึ้นไปหลายประเทศ เป็นแรงจูงใจผู้มีเงินเหลือทุกท่านให้คันไม้คันมืออยากนำเงินไปรับความเสี่ยงของการเติบโตในการลงทุนประเภทอื่นๆ แต่ไม่ได้กระทบจิตใจที่แข็งแกร่งกับนักลงทุนทองเท่าไรหรอกนะ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ความชอบมากกว่า

ย้ำอีกครั้งว่า การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน…. แต่ถ้าทุกอย่างมันยากเกินไป มีอีกประโยคหนึ่งให้ยึดเป็นคติประจำใจ ‘No honey, more money’ ง่ายสุด!!

Text: Bizworker

 

10 MORNING RITUALS OF SUCCESSFUL ENTREPRENEURS

Screen Shot 2015-03-25 at 1.32.06 PM

DREAMS เจ้าของธุรกิจเครื่องนอนฝั่งอังกฤษ ทำกราฟแสดงพฤติกรรมรวมไปถึงกิจกรรมตอนเช้าของ 10 คนดัง ที่ประสบความเร็จระดับโลก… ลองดูไหม เผื่อเอาไปทำตาม ไม่แน่จุดเปลี่ยนในชีวิตคุณอาจเริ่มจากตรงนี้ก็ได้!! #จริงจัง

lopt mornig 1

1. มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ผู้สร้างเว็ปไซต์ชื่อดัง Facebook (รายได้ปี 2015 : 22.3 พันล้านปอนด์)
เริ่มตื่นนอน 8 โมงเช้า ต่อเมื่อเขาไม่ได้ทำงานตลอดทั้งคืน เขาจะใส่เสื้อยืดทุกวัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเลือกชุด…เราว่ามาร์คคือผู้ชายธรรมดา ที่ไม่ธรรดา!
‘I am Not a cool Person and I’ve never really tried to be cool’
ผมไม่ใช่คนเท่ และไม่พยายามเท่

lopt mornig  2

2. ริชาร์ด เบรนสัน ผู้ก่อตั้ง The Virgin Group (รายได้ปี 2015 : 3.2 พันล้านปอนด์
ว่ายน้ำไปรอบๆเกาะหรือไม่ก็ไปเล่นว่าว (หากมีลม) ต่อด้วยเทนนิสก่อนจะมีความสุขกับอาหารเช้า …ไลฟ์สไตล์แบบผู้ชายรักสุขภาพ
‘I leave the curtains undrawn and the sun comes up at 5.45am and straight in my eyes. I love bouncing up early’
ผมตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 45 นาที ก่อนแสงจะแยง การตื่นเช้าคือสิ่งที่ผมรัก…วิถีฮิปสเตอร์สินะ

lopt mornig 3

3. แจ็ค ดอร์ซี่ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter และ Square (รายได้ปี 2015 : 1.5 พันล้านปอนด์)
ตื่นตีห้าครึ่ง เพื่อทบทวนความคิดตัวเอง ก่อนจะออกไปวิ่งเบาๆ 6 ไมล์…
‘Expect the unexpected and whenever possible, Be the unexpected’
คาดหมายสิ่งที่ไม่คาดฝัน และเมื่อใดที่มันเป็นไปได้ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน

lopt mornig 4

4. ลอร์ด อลัน ซูการ์ ผู้ประกอบการ The Apprentice and Business mogul (รายได้ปี 2014 : 900 ล้านปอนด์)
วันไหนที่ไม่มีประชุม เขาจะปั่นจักยาน 50 ไมล์ ไปทางหมู่บ้านชนบท Essex…สิ่งที่หลายคนโหยหา แต่! กรุงเทพมีถนนสำหรับปั่นจักรยาน น้อยไปนะสิ!
‘Don’t tell me, you’re just like me, you’re not like me, I’m Unique’
อย่าบอกผม ว่าคุณเหมือนผม คุณไม่เหมือนผม เพราะผมพิเศษ (พี่เท่มาก)

lopt mornig 5

5. ทอรี เบิร์ช หัวเรือใหญ่แบรนด์สัญชาติอเมริกัน (รายได้ปี 2015 : 726 ล้านปอนด์)
ตื่น 5.45 น. เช็คอีเมล์ก่อนจะเดินไปปลุกลูกทั้ง 3 คน ต่อออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว 45 นาที…แม่ และเมียที่ดี
‘If it doest’t scare you, You’re Probably not dreaming big enough’
ถ้ามันไม่ทำให้คุณกลัว ก็แปลว่า คุณยังฝันไม่มากพอ

lopt mornig 6

6. ปีเตอร์ โจนส์ นักลงทุน Dragon’s Den (รายได้ปี 2014 : 475 ล้านปอนด์)
อาบน้ำ โกนหนวด และทานซีเรียล ทั้งหมดภายใน 20 นาที ก่อนจะไปนั่งจิบคาปูชิโน พร้อมกับเช็คปัญหาเรื่องงาน…
‘I had decided I was going to be a millionaire by the time I was a teenager’
ตัดสินใจจะเป็นเศรษฐีตั้งแต่ยังวัยรุ่น

lopt mornig 7

7. ทิม อาร์มสตรอง ประธานธิบดีและซีอีโอ AOL (รายได้ปี 2013 : 265 ล้านปอนด์)
เขาตื่นตีห้า อ่านหนังสือสักเล่ม ออกกำลังกาย ต่อด้วยเช็คผลิตภัณฑ์และดูเมล์…
‘I would start sending emails when I got up. Not everyone is on my time schedule, So I have tried to wait until 7am’
ผมเริ่มส่งเมลทันทีที่ตื่นนอน ไม่มีใครนัดอะไรผม จนกว่าจะเจ็ดโมงเช้า

lopt mornig 8

8. ไซมอน โคเวล ผู้สร้างสรรค์และกรรมการตัดสิน The X Factor (รายได้ปี 2014 : 211 ล้านปอนด์)
เลื่อนเวลาปลุก 2 ครั้ง ก่อนจะกินอาหารเช้า นั่นคือ น้ำร้อนผสมมะนาว น้ำมะละกอ โอ๊ตมิลด์ นำ้ชา และ 3 สมูทตี้… การใช้นาฬิกาปลุกให้คุ้มคือ ใช้มันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง!!
‘I love to wake up in a good mood and look forward to what’s coming’
ผมรักการตื่นนอนที่มาพร้อมกับอารมณ์ดี เพื่อพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาที่จะเข้ามา…ใช้ชีวิตแบบคิดบวก

lopt mornig 9

9. เอเรียนนา ฮัฟฟิงตัน คอลัมนิสต์ชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายกรีก แห่งเว็บไซต์ฮัฟฟิงตัน โพสต์ ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็นหนึ่งในผู้หญิงทรงอิทธิพลที่สุดในวงการสื่อโลก (รายได้ในปี 2013 : 23 ล้านปอนด์)
ให้ความสำคัญกับเวลาในการนอน เริ่มต้นทุกวันด้วยการตรึงตรองกับตัวเองครึ่งชั่วโมง และเชื่อมั่นว่าการที่ให้คลาสเรียนกับพนักงานทุกสัปดาห์ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์…
‘It’s time to sleep your way to the top’
เวลานอน จะนำคุณไปสู่จุดสูงสุด

lopt mornig  10

10. อินทรา นูยี ซีอีโอบริษัทเครื่องดื่มน้ำอัดลมอย่าง แป๊ปซี่ (รายได้ปี 2015 : 12 ล้านปอนด์)
ตื่นตีสี่และไม่เคยไปถึงออฟฟิศหลังเจ็ดโมงเช้าเลยสักครั้ง…เชื่อว่า 1 ใน 10,000 คนที่สามารถทำแบบนี้ได้ (7 โมงยังเลื่อนนาฬิกาปลุกกันอยู่เลยครับ)
‘They say sleep is a Gift that god gives you. That’s one gift i was never given’
มีคนกล่าวว่า การนอนคือของขวัญที่พระเจ้ามอบให้ ซึ่งเป็นของขวัญที่ฉันไม่เคยให้ใคร

หลายคนก็ประสบความสำเร็จในรูปแบบและวิธีคิดของตัวเอง ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเดินแบบตำราเสมอไป และที่สำคัญมันอยู่ที่ความตั้งใจ …

ข้อมูลจาก Dreams.co.uk

9 Qualities The Most Successful CEOs

“ใช่เพียง ความซื่อสัตย์ ที่พึงมีในตัวผู้นำเท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่มีจุดยืนในความคิดสร้างสรรที่พัฒนาต่อไปในทางที่ดี ก็คงไม่มีใครจดจำคุณได้หรอก” นั่นเป็นคำพูดชวนคิดของ Robert Scoble (ฺบล็อกเกอร์ชื่อดัง)ที่ทิ้งท้ายไว้ ชวนให้ทุกคนหันมาคิดตามถึงสิ่งที่ผู้นำควรจะเป็น เช่นนั้น นิตยสาร ลอปติมัม จึงขอนำเสนอ “9คุณสมบัติอันพึงมีในตัวผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ” เพื่อปลุกความคิดการเป็นผู้นำของคุณให้เป็นที่จดจำอย่างมืออาชีพ

loptimumthailand-CEO-2

1.มีความน่าเชื่อถือในคำพูด

“คิดดี พูดดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง” นั่นเป็นหนึ่งในคุณสมบัติแรกๆที่ผู้นำองค์กรควรมีอยู่ในการบริหารงาน เพราะเพียงคำพูดบางคำหรือวลีเด็็ดที่โดนใจ ล้วนสร้างให้เกิดแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ในการสร้างสรรแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรที่ร่วมงานอยู่ในองค์กรรวมไปถึงผู้คนอื่นๆที่ได้ยินอีกด้วย แต่นั่นต้องมาจากรากฐานของความเป็นจริงที่เป็นอยู่มิใช่การขายฝันหรือสร้างภาพไปวันๆเท่านั้นเอง

2.สร้างสรรบริษัทบนรากฐานการสร้างวัฒนธรรม

ฟังดูอาจมีงงอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพราะการสร้างสรรบริษัทหรือองค์กรที่แข็งแรงล้วนมาจากการคิดที่แตกต่างอย่างมีเหตุและผลจึงจะทำให้มีจุดยืนอยู่ได้ในโลกที่แปรผันอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ดูอย่าง สตีฟ จ๊อบ ที่ต่อให้โลกจะฮือฮากับการเกิดขึ้นในเทคโนโลยีการออกแบบสุดล้ำของฝั่งไมโครซอฟท์เพียงใด แต่เขาก็ยังยึดมั่นในการออกแบบตามวิถีของเซนที่อยู่บนความเรียบง่ายจนสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จอย่างที่ทุกคนยอมรับว่ามันคือ’วัฒนธรรมของสตีฟ จ๊อบ’อย่างแท้จริง

loptimumthailand-CEO-1

 

3.รู้จักรับฟังและแสดงออกอย่างรู้กาลเทศะ

นอกจากจะคิด จะพูดอย่างชาญฉลาดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการรับฟังเสียงจากคนรอบข้างและผู้ที่อยู่ร่วมองค์กรด้วยกัน เพื่อนำสิ่งเหล่านั้นมาหาจุดดี จุดด้อยในการพัฒนาต่อยอดความคิดที่มีอยู่ ทั้งนี้ตัวผู้นำก็ควรแสดงออกถึงเสียงตอบรับอย่างที่ได้รับฟังมา ว่ามีแนวโน้มหรือการโต้ตอบอย่างรู้จักช่วงเวลาที่เหมาะสม

4.ยืดหยุ่นในบางสถานการณ์

รู้ตัวว่าเป็น’คนเป๊ะ’แต่บางครั้งถ้ามันตึงเกินไปต้องรู้จักหย่อน คลาย ดูบ้าง มิเช่นนั้นสุดท้ายมันอาจจะพาลให้ ‘ขาด’เอาได้ง่ายๆ (เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรู้จักมองข้ามไปบ้างเห็นจะดี)

5.มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล

ผู้นำที่ดีต้องมีมุมมองที่กว้างไกล รู้จกการสร้างสรรอย่างไรให้เป็นที่รู้จักและจดจำได้ในตลาดคู่แข่งที่เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน

loptimumthailand-CEO-3

6. ลงมือทำอย่างตั้งใจ

มุ่งมั่น ตั้งใจ และแน่วแน่ในสิ่งที่กำลังทำอยู่แบบลุ่มหลง(บนความสุข)ที่ได้ทำมันให้เกิดขึ้นจริง

7.เคลียร์ชัดในทุกประเด็น

“ชัดเจนในทุกคำตอบ เคลียร์ในทุกประเด็นที่สงสัย” นั่นคือมีคุณสมบัติเด่นที่ผู้นำควรมี เพราะ ผู้นำทุกคนล้วนต้องพบเจอกับร้อยแปดคำถามที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวันอย่างอยู่มิใช่น้อย เหตุนี้การตอบคำถามที่กระชับ ชัดเจน และแสดงออกถึงวิสัยทัศน์ที่มีในการวางแผนต่อไปล้วนคลายข้อสงสัยได้อย่างดีที่สุด

8. เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค

ระดับผู้นำองค์กรทั้งที ใช่เพียงแค่จะรู้แค่ความต้องการของผู้บริโภคเท่านั้นเสียเมื่อไหร่ แต่ยังควรเข้าใจถึงแก่นแท้และความเป็นไปอย่างลึกซึ้งอีกด้วย

9. โน้วน้าวด้วยความน่าเชื่อถืออย่างแนบเนียน

ไม่ได้โอ้อวด ไม่ได้ขายฝัน แต่ต้องรู้จักนำเสนอถึงความเป็นจริงในแง่มุมที่ทุกคนฟังแล้วเข้าใจและคิดตามในมุมมองที่เป็นแง่บวกกับองค์กรเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือที่มีผู้บริโภคพึงมีต่อองค์กรเพิ่มมากขึ้น