Blue Fantasy: The Imaginary Narrative

Author: MutAnt

Photography: Courtesy of The Artist / The Gallery

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชนชั้นนำและผู้มีอำนาจในสังคม มักใช้ ‘เรื่องเล่า’ในรูปแบบต่างๆ อย่างตำนาน พงศาวดาร หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ เป็นเสมือนหนึ่งเครื่องมืออันทรงอำนาจในการควบคุม กำหนดความรู้สึกนึกคิดและชะตาชีวิตของผู้อยู่ใต้ปกครองโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ในทางกลับกัน สามัญชนผู้ถูกปกครองในหลายยุคสมัย ต่างก็ท้าทายอำนาจของเหล่าบรรดาชนชั้นนำและผู้มีอำนาจ ด้วยการสร้างเรื่องเล่าของตัวเองเพื่อรื้อถอน ปลดปล่อยตนเองให้สามารถโต้แย้ง ตั้งคำถาม หรือแม้แต่ต่อรองกับอำนาจปกครองเหล่านั้นอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะในรูปแบบของนิทาน นิยาย เพลงพื้นบ้านหรือแม้แต่งานศิลปะในรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับที่ปรากฏในผลงานของ กมลลักษณ์ สุขชัย ศิลปินช่างภาพชาวไทยที่มีผลงานโดดเด่นจากการสร้างสรรค์ศิลปะภาพถ่ายแบบคอลลาจ ผู้มักหยิบตำนานพื้นบ้านมาถ่ายทอดผ่านภาพถ่าย เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของเรื่องเล่าพื้นถิ่นที่ส่งผลต่อความเป็นหญิงในสังคมวัฒนธรรมแบบอนุรักษนิยม

ในนิทรรศการภาพถ่ายชุดล่าสุดของเธออย่าง ‘Blue Fantasy: ประวัติศาสตร์เพ้อฝัน’ กมลลักษณ์ท้าทายอำนาจของชนชั้นนำ ด้วยการใช้เรื่องเล่าที่เคยเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ มาแทรกแซงและดัดแปลงเพื่อสร้างประวัติศาสตร์สามัญของตนเองขึ้นมาใหม่ ในฐานะ ‘ศิลปินผู้ตัดต่อประวัติศาสตร์’ 

กมลลักษณ์สร้างเรื่องราวในแบบฉบับของเธอเอง โดยแทนที่ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์พงศาวดารด้วยใบหน้าของสมาชิกในครอบครัว การตัดปะประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นใหม่ในแบบฉบับของเธอจึงเป็นการผสมผสานภูมิหลังของครอบครัว จินตนาการของชาวบ้านในท้องถิ่น วรรณกรรม ความฝันของสมาชิกในบ้าน ตลอดจนเรื่องราวเก่าแก่ของสิ่งของดั้งเดิมภายในบ้าน โดยเธอได้เน้นย้ำและยกย่องถึงคุณค่าของครอบครัว เพื่อให้ความหมายแก่สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองข้ามไปกมลลักษณ์พัฒนาผลงานชุดนี้ขึ้นในระหว่างการเป็นศิลปินในพำนัก (residency) ที่บ้านเกิดของเธอในจังหวัดราชบุรี โดยให้สมาชิกครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา เพื่อเป็นการก้าวข้ามกรอบอำนาจแห่งเรื่องเล่าที่ผู้อยู่ใต้อำนาจอย่างเราถูกทำให้เชื่อ ด้วยความจริงชุดใหม่ที่ถูกตีความผ่านจินตนาการ การสร้างภาพ ความเพ้อฝัน และประวัติศาสตร์ส่วนตัว เพื่อให้สามัญชนสามารถเป็นเจ้าของเรื่องเล่าของตัวเองได้ในท้ายที่สุด

“นิทรรศการนี้พูดถึงเรื่องราวของแฟนตาซี เรามองแฟนตาซีในแง่ของความปรารถนา เหมือนเวลาเราชอบอะไรบางอย่างเราก็สร้างแฟนตาซีของตัวเองขึ้นมา ในงานชุดนี้เราสร้างแฟนตาซีส่วนตัวขึ้นมาผ่านแฟนตาซีของพงศาวดารเขมร เรื่องพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ และบังเอิญว่าในพงศาวดารเรื่องนี้มีดอกบัว ที่เราเคยทำงานเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าเหมาะกับการนำมาเล่าในครั้งนี้ แต่เราไม่ได้เล่าเรื่องพงศาวดารนี้แบบตรงไปตรงมา แต่จะเล่าผ่านประวัติของครอบครัวเรามากกว่า งานชุดนี้จึงเริ่มจากการกลับไปบ้านที่ราชบุรี เพื่อกลับไปค้นคว้าประวัติ กับเรื่องราวของที่บ้าน

“อย่างเรื่องของป้าคนหนึ่งของเราที่เขาเคยถูกครอบครัวหนึ่งอุปการะเลี้ยงดูมา แล้วเขาถูกครอบครัวนั้นกระทำบางอย่างจนรู้สึกรับไม่ไหวเขาก็เลยหนีออกมาด้วยการแกล้งทำเหมือนฆ่าตัวตาย โดยเอาผ้าถุงไปพาดริมบ่อ เหมือนกระโดดน้ำตาย พอคนที่บ้านไปงมก็ไม่เจอไปดูหมอดูก็บอกว่าดวงนี้เป็นดวงของคนที่ยังไม่ตาย เราก็ใช้เรื่องราวเหล่านี้เชื่อมโยงกับพงศาวดาร โดยให้ป้าคนที่แกล้งฆ่าตัวตายเย็บดอกบัวประดิษฐ์จากถุงน่องเพื่อจำลองเป็นสระเบญจปทุมชาติขึ้นมา ซึ่งเป็นการจำลองเรื่องราวในพงศาวดารที่ฤๅษีเจอเด็กทารกในดอกบัวในสระ ที่ต่อมากลายเป็นพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์

“หรือเรื่องของดอกบัวที่งอกในสระเบญจปทุมชาติ แล้วมีเด็กอยู่ข้างใน เราก็แทนค่าด้วยภาพของดอกบัว 8 ดอกในไหเรามองว่าไหคือตัวแทนของสระ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนมดลูกของย่าของเรา ดอกบัวจำนวน 8 ดอกในไห แทนลูก 8 คนของย่า

“หรือมีป้าอีกคนที่เล่าให้เราฟังว่า ตอนเด็กๆ เขายากจน ไม่ค่อยมีเสื้อผ้าใส่ ก็เลยทำให้เขาอยากเป็นช่างตัดผ้า เพื่อจะได้เย็บเสื้อผ้าให้น้องสาวใส่ เราก็ให้ป้าคนนี้คัดลอกพงศาวดารลงกระดาษหนังสือเรียนแล้วนำมาพิมพ์ลงบนผ้าที่ป้าคนนี้เย็บจากเศษผ้าเหลือๆ ต่อกันเป็นผ้าปูที่นอน หรือในพงศาวดารจะมีตอนที่ฤๅษีบวงสรวงเทพยดาเพื่อให้มีน้ำนมไหลออกจากนิ้วมือเพื่อเลี้ยงทารก เราก็ให้ป้าที่เป็นช่างเย็บผ้าทำหยดน้ำนมจากผ้าขึ้นมา

“หรือในตอนหนึ่งของพงศาวดารที่ฤๅษีฝันว่าพระอินทร์มาบอกให้เดินทางไปยังทิศตะวันออก แล้วจะเจอบ้านเมืองที่เด็กคนที่เลี้ยงดูจะกลายเป็นกษัตริย์ครองราชย์ที่เมืองนั้นเราจัดฉากถ่ายที่เล้าไก่หลังบ้าน แล้วให้คนที่บ้านสวมบทเป็นฤๅษี โดยไม่ได้ยึดว่าจะต้องเป็นเพศไหนโดยเฉพาะเจาะจง “หรือในช่วงตอนที่ฤๅษีเดินทาง เราก็เอาเรื่องของพ่อตอนที่เคยบวชแบบมอญแล้วต้องสวมชฎา ขี่ม้าด้วยความเชื่อทางพิธีกรรมที่รำลึกถึงเจ้าชายสิทธัตถะที่ขี่ม้าออกไปบวชเราก็จำลองภาพกระบวนการบวชแบบมอญของพ่อขึ้นมาใหม่ โดยอ้างอิงจากสมุดบันทึกของก๋งที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของทางบ้าน ที่เราบังเอิญไปเจอ ซึ่งก๋งเป็นคนเขียนกำหนดการอุปสมบทด้วยลายมือของตัวเอง เราก็เลยหยิบเอาประวัติศาสตร์ส่วนตัวนี้มาเล่าผ่านภาพถ่ายเพื่อแสดงฉากการเดินทางของฤๅษีขึ้นมา “หรืองานวิดีโอจัดวาง เราก็ทำเลียนแบบละครโฆษณาชวนเชื่อของแนวคิดชาตินิยม ที่เล่าเรื่องราวของจิตวิญญาณที่เหมือนจะตายไปแล้ว แต่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยการโหมประโคมความโรแมนติกของละครโฆษณาชวนเชื่อแบบชาตินิยม

“ชื่อนิทรรศการอย่าง Blue Fantasy มีความหมายถึงเลือดสีน้ำเงินที่เป็นตัวแทนของชนชั้นสูง ซึ่งเราแทนด้วยเรื่องราวจากพงศาวดารของกษัตริย์เขมร แต่พอเราเอาประวัติส่วนตัวของครอบครัวเราแทรกลงไป ก็เหมือนเป็นการลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของเรื่องราวเดิมลง เพราะเรามองว่าความศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนแฟนตาซีของความปรารถนา เราต้องการเล่นล้อกับแนวคิดในการคัดเลือกคัดสรร เติมแต่ง และสร้างประวัติศาสตร์ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อเป็นการช่วงชิงพื้นที่บางอย่างในเชิงสัญญะ เพราะโดยปกติ ผู้มีอำนาจมักใช้เรื่องเล่า (อย่างตำนานหรือพงศาวดาร) เป็นเครื่องมือในการกุมอำนาจ เราก็สร้างอำนาจของสามัญชนขึ้นมาใหม่ผ่านเรื่องเล่าของเราเอง”

‘Blue Fantasy ประวัติศาสตร์เพ้อฝัน’ นิทรรศการแสดงเดี่ยวโดย กมลลักษณ์ สุขชัย และภัณฑารักษ์ สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ จัดแสดงที่ HOP PHOTO GALLERY ชั้น 3 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์

ภูฏานเปิดประเทศอีกครั้งภายใต้สโลแกน ‘Believe’

ราชอาณาจักรภูฏานได้เปิดประเทศอีกครั้งเพื่อต้อนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลังปิดประเทศไประยะหนึ่งเนื่องจากการระบาดของโรค COVID-19 พร้อมเปิดตัวยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ซึ่งเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าของประเทศทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การปรับปรุงนโยบายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้ดียิ่งขึ้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และการยกระดับประสบการณ์ของผู้มาเยือนทุกคน

“การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ในรูปแบบ น้อยแต่มาก เป็นนโยบายของประเทศภูฏานซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ประเทศเปิดรับนักท่องเที่ยวในปี 1974 อย่างไรก็ตามจิตสำนึกและความตั้งใจอันดีงามเหล่านี้ค่อย ๆ เลือนหายไปโดยเราไม่รู้ตัว ดั้งนั้นเมื่อมีโอกาสได้ทบทวนสิ่งต่าง ๆ หลังวิกฤตการณ์แพร่ระบาดครั้งใหญ่ ตอนนี้พวกเราพร้อมแล้วที่จะเปิดบ้านอย่างเป็นทางการเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกอีกครั้ง นี่คือช่วงเวลาสำคัญของการทบทวนตัวเอง ทั้งสารัตถะแห่งนโยบาย คุณค่า และความดีที่บรรพบุรุษส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น” ดร. โลเท เชอริง (H.E. Dr. Lotay Tshering) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาณกล่าว

 “เราต้องเชื่อมั่นว่าประเทศของเรามีคุณค่า เป็นสังคมที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ความซื่อสัตย์ และวิถีธรรมเนียมปฏิบัติ ประเทศที่ประชาชนรู้สึกปลอดภัยท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ และได้รับความสะดวกสบายที่ดีที่สุดจากโครงสร้างพื้นฐาน ปกติเวลาเราพูดถึงคำว่า “มีมูลค่าสูง” คนทั่วไปจะรู้สึกถึงสินค้าระดับไฮเอนด์สุดพิเศษ และบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการพักผ่อนแบบลักชัวรี แต่นั่นไม่ใช่ภูฏานเลย เช่นเดียวกับคำว่า “ปริมาณน้อย” ซึ่งก็ไม่ได้หมายถึงการจำกัดนักท่องเที่ยว เราทุกคนรู้สึกซาบซึ้ง และยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีคนเห็นคุณค่าประเทศเล็ก ๆ ของเรา ในขณะที่เราก็ตั้งใจที่จะเรียนรู้จากผู้มาเยือนให้ได้มากที่สุดเช่นกัน ตอนนี้การเข้าออกประเทศของเราไม่มีข้อจำกัดและเงื่อนไขแล้ว ซึ่งน่าจะตอบโจทย์นักท่องเที่ยวหลายคน สิ่งที่ดีที่สุดที่ในการบรรลุวิสัยทัศน์ของเราก็คือเยาวชน และทีมงานผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านการท่องเที่ยว และแม้ว่าเราจะมองพวกเป็นตัวแทนระดับแนวหน้า แต่อันที่จริงแล้ว ชาวภูฏานทุกคนล้วนเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่เราขอให้นักท่องเที่ยวชำระก็เปรียบเสมือนการลงทุนซ้ำ ณ ที่แห่งนี้ สถานที่ซึ่งทุกคนจะมาพบปะกัน มรดกที่เราทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกันไปยังชั่วลูกชั่วหลาน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ประเทศภูฏาน” ดร.โลเท เชอริง กล่าวเสริม

การปรับปรุงนโยบายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประเทศภูฏานประกาศเพิ่มค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDF) จาก 65 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อคืน ซึ่งจะนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ที่สนับสนุนการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของประเทศภูฏาน* ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจะถูกนำไปสนับสนุนหลากหลายโครงการเพื่อรักษาประเพณีวัฒนธรรมของภูฏาน ตลอดจนโครงการเพื่อความยั่งยืน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและโอกาสสำหรับเยาวชน รวมถึงให้การศึกษาและการรักษาพยาบาลฟรีสำหรับประชาชน อาทิ บางส่วนของกองทุนค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนจะใช้ไปกับการปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากนักท่องเที่ยว ยกระดับแรงงานในภาคการท่องเที่ยว ทำความสะอาดและบำรุงรักษาเส้นทาง ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล และกระตุ้นภาคการขนส่งของภูฏาน รวมทั้งอีกหลายโครงการที่สำคัญ

ในฐานะที่ประเทศภูฏานเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบทางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เช่น ภัยจากธารน้ำแข็งละลาย น้ำท่วม และรูปแบบสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้) ภูฏานกำลังเพิ่มความพยายามในการรักษาสถานะให้เป็นประเทศเดียวที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบติดลบ – ในปี 2564 ภูฏานสามารถกักก๊าซคาร์บอนได้ถึง 9.4 ล้านตัน จากปริมาณการปล่อยก๊าซที่มีประมาณ 3.8 ล้านตัน

“นอกจากจะช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของภูฏานแล้ว ค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนยังมุ่งตรงไปที่กิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตแบบเดิมของภูฏาน รวมถึงสถาปัตยกรรมและค่านิยมดั้งเดิม ตลอดจนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอีกมากมายที่มีความหมายสำหรับเราทุกคน อนาคตของมรดกแผ่นดินอยู่ในมือของเราทุกคนที่ต้องปกป้อง และสรรค์สร้างเส้นทางใหม่ให้สำหรับคนรุ่นต่อไป” มร. ดอร์จี ดราดุล (Dorji Dhradhul) ผู้อำนวยการสภาการท่องเที่ยวแห่งภูฏานกล่าว


“การท่องเที่ยวถือเป็นส่วนสำคัญของภูฎาน ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลทางด้านเศรษฐกิจแต่ยังมีผลด้านสังคมเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราต้องการจะรักษาระดับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนเอาไว้ เป้าหมายในยุทธศาสตร์ใหม่ของเราคือมอบประสบการณ์อันมีคุณค่าสำหรับนักท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างอาชีพที่มีรายได้ดีสำหรับพลเมืองของเราอีกด้วย นี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง และอยากเชิญชวนทุกคนเข้ามาเป็นพันธมิตรของเราในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้” คุณดราดุล กล่าวเสริม

การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

รัฐบาลภูฏานได้ใช้ช่วงเวลาระหว่างปิดประเทศจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เพื่อปรับปรุงคุณภาพถนน ทางเดิน วัด และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ ซ่อมแซมและปรับปรุงห้องน้ำสาธารณะ จัดกิจกรรมเก็บขยะ ยกระดับมาตรฐานของผู้ให้บริการเพื่อรับรองบริการท่องเที่ยวที่เป็นมืออาชีพ (เช่น โรงแรม มัคคุเทศก์ บริษัททัวร์ และคนขับรถ) พนักงานและผู้ให้บริการทุกคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องเข้าร่วมอบรมในโปรแกรมเพิ่มทักษะเพื่อยกระดับคุณภาพของการบริการให้ดียิ่งขึ้น

ยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว

“เรารู้ดีว่านักท่องเที่ยวจะต้องคาดหวังตั้งแต่ทราบอัตราค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานของงานบริการ และคุณภาพในมิติต่าง ๆ ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดเพื่อนักท่องเที่ยวทุกคน ผ่านคุณภาพของงานบริการที่จะได้รับ ความสะอาด และการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานของเราเพื่ออำนวยความสะดวกตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ซึ่งเรามีการจำกัดจำนวนรถที่จะวิ่งบนถนน และมีการจำกัดจำนวนผู้ที่เยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละแห่ง ซึ่งถือเป็นการรักษาประสบการณ์ของผู้มาเยือนประเทศภูฏาน เราต้องมอบความจริงใจที่แท้จริง เรียบง่าย แต่ต้องอยู่ในมาตรฐานงานบริการระดับโลก เรายังวางแผนที่จะทำงานร่วมกับภาคีในด้านการท่องเที่ยวเพื่อยกระดับประสบการณ์ที่ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสได้เพื่อโชว์สิ่งที่ดีที่สุดที่ภูฏานมีให้พวกเขาได้เห็น และเราหวังว่าทุกท่านจะได้รับรู้และยินดีต่อความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับทุกท่านสู่ประเทศภูฏาน” ดร. ทันดิ ดอร์จี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวสรุป

การพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศภูฏานเกิดขึ้นท่ามกลาง ‘โปรเจ็คท์พลิกโฉมประเทศ’ ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับภาคบริหารราชการไปจนถึงภาคการเงิน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มุ่งสู่การพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศภูฏานโดยได้เสริมทักษะให้พลเมืองทุกคนมีความรู้ และความเชี่ยวชาญที่มากขึ้น

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2565 ดร.โลเท เชอริง นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน เป็นประธานในพิธีเปิดงานเพื่อเผยโฉมภูฏานในรูปแบบใหม่ต่อหน้าบุคคลสำคัญของประเทศ และแขกผู้มีเกียรติทุกคน ซึ่งจัดขึ้นในทิมพู เมืองหลวงของประเทศภูฏาน ‘แบรนด์ภูฏาน’ มุ่งหวังที่จะมองโลกในแง่ดี และมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เพื่อเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนสู่ราชอาณาจักรแห่งนี้อีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ต้องสื่อสารคำสัญญาและสร้างอนาคตสำหรับพลเมืองวัยหนุ่มสาวรุ่นต่อไป ‘Believe’ สโลแกนใหม่ของประเทศภูฏานสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเพื่ออนาคต ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงของเส้นทางที่ทุกคนจะได้สัมผัส

ความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทย

ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศภูฏานมาอย่างยาวนาน ทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในระดับทวิภาคีมาตั้งแต่ในปี 1989 ซึ่งมิตรภาพระหว่างไทย-ภูฏาน ได้เริ่มต้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสด็จเยือนระหว่างประเทศของพระบรมวงศานุวงศ์จากสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังมีมรดกทางวัฒนธรรมแห่งพระพุทธศาสนา และการค้าที่เชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นอีกด้วย

สายการบินดรุ๊กแอร์ และสายการบินภูฏานแอร์ คือ 2 สายการบินซึ่งบินตรงเส้นทางกรุงเทพ-ภูฏาน และประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งในจุดเริ่มต้นหลักสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องการเดินทางไปยังประเทศภูฏาน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการมาเยือนประเทศภูฏาน ดูได้ที่ www.bhutan.travel/ 

พบกับแนวคิดของศิลปินอาร์ตทอยในงาน Let’s Unbox! 2022 Hong Kong Art Toy Exhibition ใจกลางเซนทรัลเวิลด์

Felix Ip – Comic และแนวคิดของศิลปิน, นักวาดภาพประกอบ และผู้กำกับแอนิเมชั่นจากฮ่องกง เขาเป็นอดีต Creative และผู้อำนวยการสร้างภาพยนต์ของ Imagi Animation Studios และ Unicorn Animation Studios ผลงานบางส่วนของเขาได้แก่Zentrix, Teenage Mutant Ninja Turtle, Astroboy และ Monkey King Reloaded ศิลปะการต่อสู้ที่ถูกดัดแปลงมาจากการ์ตูน Blood and Steel won ซึ่งได้รับรางวัล The Best Adult Comic Golden Dragon Award ในปี 2012 Felix เข้าถึงงานศิลปะของเขาโดยใช้พลังของพู่กันทั้งหมด แต่ผสมผสานเข้ากับอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน ผู้อ่านหลายคนค้นพบว่าสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขามีเสน่ห์อย่างมาก หนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ HongKong Machines ซึ่งมีรูปแบบธรรมดาที่รวบรวมความทรงจำตอนเด็กของเขาไว้ ในปี 2018 หนังสือของเขาชนะ The Best Artbook Award ในหมวด Asia Pacific Animation & Comics category และในปีเดียวกัน The Litter Boxbot & Trashman ชนะรางวัล The Best Toy Award ในงาน Toy Soul Exhibition) @hongkongmachines

Ryan Lee เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกสอนส่วนบุคคล เเละมุ่งเน้นไปทางสุขภาพ นอกจากนี้เเล้วตั้งเเต่ปี 2002 Ryan Lee เป็นผู้ฝึกสอนเเบบตัวต่อตัว ด้วยประสบการณ์ฟิสเนตที่มากกว่าสิบปี เขาสร้างทฤษฎีทางกายภาพเรียกว่า Muscle Mind ซึ่งเน้นการสื่อสารระหว่างจิตใจกับกล้ามเนื้อ ดังนั้นการออกกำลังกายจึงไม่เหมือนการสร้างร่างกายเเบบดังเดิม ในปี 2009 Ryan ได้สร้างตัวละครชื่อ Rumbbel ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเเทนด้านฟิสเนตเพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพสู่สาธารณะ Ryan ได้ร่วมมือกับตัวการ์ตูน เเบรนด์ เเละศิลปินจากต่างประเทศเพื่อผลิตไอเท็มต่างๆ @rumbbell

Jeffery Yau นักออกแบบกราฟฟิกอาวุโสและปรมจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เมื่อเขาโตขึ้น เขาได้รับแรงบันดาลใจจากอนิเมะและ Sci fi เขาเข้าสู่วงการโฆษณาหลังจบการศึกษาวิชาออกแบบ แรงผลักดันของเขาเกิดจากความคลั่งไคล้สัตว์จำพวกครัสเตเซีย Jeffery สร้างร้าน crayfish ระดับโลกที่ชื่อว่า Crayfish Keepers และตีพิมพ์หนังสือ CrayfishFever ในปี 2018 เขาออกแบบของเล่นชิ้นแรก, OBA, เรื่องราวเกี่ยวกับกั้งซึ่งรุกรานโดยมนุษย์ต่างดาว ส่วนผลงานที่ประสบความสำเร็จชิ้นอื่นๆ ได้แก่ Omeow, Gangstiger และผลงานล่าสุด จากการออกแบบกราฟฟิกจนถึงแบรนด์ที่ทันสมัย, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไปจนถึงการสร้างสรรค์ของเล่น Jeffery มีผลงานที่ไร้ที่ติและน่าดึงดูด โดยหวังว่าเขาจะแสดงความคิดทั้งหมดผ่านผลงานการสร้างสรรค์ของเล่นอย่างต่อเนื่อง @bigclawx

LamPei เป็นนักวาดภาพประกอบและศิลปินทัศนศิลป์ในฮ่องกงที่บันทึกชีวิตของเธอผ่านเส้นขยุกขยิกภาพวาดการ์ตูนและภาพประกอบ เธอสร้างสรรค์งานศิลปะที่ยอดเยี่ยมและเป็นมืออาชีพ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเอกลักษณ์ภายในและธรรมชาติ เพื่อทะนุถนอมสิ่งที่ทำให้หวนคิดถึงและเธอยังได้ตีพิมพ์หนังสือภาพการ์ตูน และนิตยสารต่างๆมากมายภายใต้ซีรีส์ The flying sofye แบรนด์ภาพประกอบซิกเนเจอร์ Flying Sofye ด้วยภาพลักษณ์ที่อ่อนโยน น่ารัก มีชีวิตชีวา แต่ลึกลับ สำรวจเรื่องราวเบื้องหลังของเก่าและผู้คน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Lam Pei Studio ได้เปิดตัว Vinyl Toys ที่เกี่ยวข้องและจัดแสดงของเล่นที่ทันสมัยระดับนานาชาติในกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ญี่ปุ่น ไทย ไทเป ฯลฯ @lampei

Mickey Mic ในฐานะนักออกเเบบมัลติมีเดีย ความสนใจเริ่มเเรกคือของเล่นซึ่งได้พัฒนามาเป็นเเรงบันดาลใจ เขาเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่นการเเข่งขัน Artidol Original Figure Design Competition, Comics x Figures Hong Kong Ani-com Figure Show เเละ B.O.A.T-Both of the Art & Toys Fair ในปี 2019 เขาได้สร้างเเบรนด์ MicBraining เเละเริ่มสร้างหุ่นตัวเเรกของตนเอง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ทำงานภาพประกอบ, การปรับปรุงของเล่น เเละการสร้างสรรค์งานร่วมกัน นิยายทางวิทยาศาสตร์ทำให้เขานึกถึงเเสงสีในงานของเขา ดังนั้นเขามักจะใช้เมมัลลิกเเละสีเรืองเเสงในงานของเขาเพื่อให้ผลงานสามารถเเสดงความรู้สึกที่ตัดกันภายใต้เเสงอาทิตย์เเละอัลตราไวโอเลต @Micbraining

Nicolas Lesaffre เป็นศิลปินที่ได้รับรางวัลจากสหสาขาวิชาชีพชาวฝรั่งเศสในฮ่องกง งานศิลปะของเขาครอบคลุมสื่อหลากหลายประเภทรวมถึง Digital art/NFT,แอนิเมชั่นและ Art Toy ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และแอนิเมชั่นตัวละคร ฉากเซอร์เรียลที่เขาสร้างขึ้นนั้นเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ดึงดูดสายตาและตัวละครที่ดึงดูดความสนใจซึ่งจะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้เห็นสิ่งใหม่และไม่เหมือนใคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Nicolas ได้สร้างจานสีที่มีสีสันของภาพยนตร์ ภาพประกอบการทำแผนที่การฉายภาพเพิ่มความเป็นจริงและการสร้างทรัพย์สินทางปัญญาในปารีสลอนดอนลอสแองเจลิสและตั้งแต่ 10 ปี ในฮ่องกงภายใต้ชื่อสตูดิโอแอนิเมชั่นเชิงสร้างสรรค์ของเขาซึ่งคือ Nikopicto การสร้างผลงาน IP ล่าสุดของ Nicolas ได้แก่ Hug the K (arttoys/music/skateboard), GoingApe (NFT/metaverse/arttoys) , Wuen (เป็นแอนิเมชั่นสำหรับเด็ก) และ Shiny the squirrel(toys/Malllicence) ผลงานแอนิเมชั่นของเขาได้รับการคัดเลือกและเข้าฉายในสะสมมากกว่า 100 เทศกาลภาพยนตร์ทั่วโลก Nicolas มีความร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ เช่น Gucci, Lacoste, Louis Vuitton, Wechat เป็นต้น @Hugthek

Eric และ Stanley ผู้ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากสถาบันศิลปะและการออกแบบแห่งแรกของฮ่องกง และทำงานด้านการออกแบบที่เกี่ยวข้องตั้งแต่นั้นมา เพราะเขาทั้งสองรักของเล่นและการวาดภาพมาโดยตลอด ด้วยความรักนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจก่อตั้ง “Spookyworkhk studio” อย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2018 บนพื้นฐานของวัฒนธรรมซอมบี้เหนือธรรมชาติของจีน Spooky Work ให้นิยามใหม่ด้วยมุมมองซอมบี้ยุคใหม่ของ “Zombie Zero” การเข้าสู่โลกแห่งของเล่นของดีไซเนอร์และหวังว่าจะเพลิดเพลินไปกับของเล่นในธีมที่
คุณชื่นชอบต่อไป @spookyworkhk

Steven Choi เป็นนักวาดภาพประกอบที่เติบโตขึ้นในฮ่องกงเเละเป็นชาวจีนคนเเรกที่ชนะรางวัลลำดับสองของ WIA Self-Initiated Professional Category เเละ Grand Prix in JIA Illustration Award เขาเป็นนักวาดประกอบชาวจีนคนเเรกที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการให้วาด Le Petit Prince นอกจากนี้เเล้วเขายังเป็นคนจีนคนเเรกที่ร่วมมือเปิดตัวของเล่นกับเเบรนด์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง Kaiyodo ตั้งเเต่ปี 2016 เขาสร้างตัวละคร Pi สามมิติในการวาดภาพประกอบ เเละผู้คนมากมายสัมผัสได้ ภาพประกอบที่ได้รับรางวัลของเขาจัดถูกเเสดงในงาน Somerset House ใน UK เเละได้ดำเนินการทัวร์ระดับชาติ ตอนนี้งานของเขายังอยู่ที่ Tate Modern, Louvre, เเละ Centre Pompidou ฯลฯ @zuandpi

ถ้าพูดถึงศิลปินรุ่นใหม่ของฮ่องกง, Foon Wong คือหนึ่งในศิลปินที่ได้รับอิทธิพลและแรงบัลดาลใจมาจากวัฒนธรรมประชานิยมในช่วงสมัย 1990s และ Street art เขาผสมผสานวัฒนธรรมประชานิยม เช่นกราฟฟิตี้และการออกแบบกราฟิกกับวัฒนธรรมจีน ซึ่งทำให้ผลงานของเขาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวอย่างเช่นเขาได้ขับเคลื่อนเเรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน ญี่ปุ่น เเละตะวันตก Foon สร้าง SC Brave ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ผสมผสานระหว่างการเต้นรำของสิงโตจีน เเละเเนวคิดฮีโร่อนิเมะญี่ปุ่นในปี 1990 ในขณะที่ Frankenskidขึ้นชื่อว่าผู้ที่กำลังโดดเดี่ยว เเละถูกทอดทิ้งจากโลกใบนี้ เเต่เขาก็ยังมีความทะเยอทะยานที่จะเรียนรู้ต่อไป @ foons_creations

Kevin Husky มีหลายเอกลักษณ์ที่เป็นของตนเอง ทัศนศิลป์ ที่ปรึกษาของแบรนด์ และการเป็นโค้ช Nunchaku ตั้งแต่ปี 2003 ที่ก่อตั้ง Husky x3 มีการสร้างสรรค์และออกผลงานมากมายหลายชนิด ตั้งแต่ทัศนศิลป์ ภาพวาด สิ่งพิมพ์ ของเล่น และ เสื้อผ้า ไปจนถึง คาเฟ่ Husky ในไทเป ตีมสัตว์โดยเฉพาะสุนัขได้ถูกใช้งานส่วนใหญ่ในงานของเขาเพื่อการส่งเสริมการดูแลและปกป้องสัตว์ ผลงานล่าสุดสำหรับนิทรรศการเดี่ยวของเขาคือ 武藝入魂Martial & Arts ซึ่งทำให้ศิลปะการต่อสู้กลายไปเป็นผลงานทางศิลปะ @huskyx3

Miloza Ma นักวาดภาพประกอบ, นักออกเเบบของเล่น เเละนักออกเเบบตัวละครที่มีความหลากหลาย งานสามมิติของเธอได้รับรางวัลทั้งสองครั้งในการประกวด Artidol ซึ่งจัดขึ้นที่ ACGHK Miloza มีชื่อเสียงสำหรับการไล่ค้นหาความลึกลับของจักรวาลที่นำไอเดียของเธอออกมาในรูปเเบบที่เคลิบเคลิ้มผ่านสีพาสเทลให้ตัวการ์ตูนออกมาดูมีเอกลักษณ์ ผลงาน toy series ได้เเก่ Angel Cat เเละ Lady ที่ได้จัดเเสดงในนิทรรศการ Taipei Toy Festival, Shanghai Toy Show, Beijing Toy Show, Thailand Toy Exhibition เเละ Wonder Festival Japan ทั้งยังได้รับการโปรโมทในญี่ปุ่นไต้หวัน เซี่ยงไฮ ปักกิ่งเป็นหลัก ควบคู่ไปกับ toy series Angel Cat and Lady @milozama

Pat Lee ตลอดระยะเวลา 27 ปีที่ผ่านมา Pat Lee ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเขาเองในฐานะตัวท๊อปศิลปินการ์ตูนชั้นนำและ Creative director ทางทวีปอเมริกาเหนือ แพทเคยได้รับร่วมงานกับ DC และ Marvel เช่นผลงานเกี่ยวกับ mega-franchises as Batman, Superman, Iron Man, X-Men/ Fantastic Four, Wolverine, Punisher and Spiderman. เขาสร้างการ์การ์ตูนTransformer ซึ่งเป็นซีรีย์ต้นฉบับในอเมริกาเหนือซึ่งติดอันดับหนังสือการ์ตูนที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในระยะเวลาหกเดือนติดต่อกัน เขายังทำงานในภาพยนต์เรื่อง Superman ให้กับ Warner และออกแบบIronManสำหรับMarvel Patขึ้นอันดับหนึ่งในรายชื่อศิลปินยอดนิยม10อันดับแรกในนิตยสาร Wizard และเคยร่วมงานกับบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ในอเมริกาเหนือ เช่น Hasbro, Mattel & Spin Master Pro ปัจจุบัน Pat เป็นหุ้นส่วนและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของ UCOLLEX @ patleeart

Pucky จากการใช้เวลาทั้งในฮ่องกงและแคนนาดาในช่วงวัยเด็กของเธอ Pucky เติบโตขึ้นมาระหว่างสองวัฒนธรรมซึ่งกระตุ้นให้เธอสำรวจคุณค่าของอัตลักษณ์และความหมายของการเป็นเจ้าของอย่างสร้างสรรค์ ผลงานของ Pucky เป็นการผสมผสานระหว่างความน่ารักและความลึกลับแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีแบบบูรณาการที่มีสิ่งที่ตรงกันข้ามเช่นความดีและความชั่วหรือความรักและความกลัวอยู่ร่วมกัน เธอได้รับแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้งจากความมหัศจรรย์และความบึกลับของโลกใบนี้และภาพวาดของเธอได้รับผลกระทบอย่างมากจากความงดงามของประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และความโรแมนติก เธอวาดเพื่อที่จะสื่อถึงความรู้สึกเหล่านี้ด้วยภาษาภาพของเธอเองและผ่านทางสื่อหลายประเภท ร่วมไปถึง ประติมากรรม ภาพวาด แอนิเมชั่น และการเล่าเรื่องอีกมากมาย  @puckytoys

Winson เริ่มต้นเส้นทางสร้างสรรค์ด้วยการเข้าร่วมอุตสาหกรรมโฆษณาหลังจากสำเร็จการศึกษาในปี 1985 เริ่มต้นจากการเป็นนักออกแบบกราฟิกจนถึงผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ เขาได้ก่อตั้งบริษัทโฆษณาและยังสานต่อหน้าที่ของเขาในฐานะนักวาดภาพ การประกอบ ด้วยงานอดิเรกและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบของเล่นของเขา เขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นนักออกแบบของเล่นศิลปะและร่วมก่อตั้งแบรนด์แอ็คชั่นฟิกเกอร์ในตำนาน Brotherfree กับเพื่อนสองคนในปี 2000 ต่อมา Winson ได้ก่อตั้งแบรนด์ของเล่นศิลปะ Winson Classic Creation ขึ้นด้วย แนวคิดเรื่องหุ่นจำลองพิทักษ์สิ่งแวดล้อม Apexplorers ซึ่งสำรวจขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้กับ Dr. Rebecca Lee ซึ่งเป็นนักสำรวจจากฮ่องกง ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา Winson Classic Creation ได้สร้างเครื่องหมายการค้าของเล่นเก้ารายการโดยแต่ละแห่งมีเรื่องราวที่เป็นของตัวเอง Winsonได้อยู่ในรายชื่อ International Trend Artist Influence Ranking ปี 2021 โดย London Daily Post, London ในปี 2021 @ winsonclassiccreation

Ma Fai รูปลักษณ์ที่น่ารักช่วยส่งเสริมด้วยการใช้เครื่องประดับเเละเครื่องเเต่งกาย นอกจากนี้เเล้วยังสามารถให้ความเพลิดเพลินกับนักสะสมด้วยเช่นกัน Ma Fai ก่อตั้ง IXTEE Production ในปี 2005 พวกเขาสร้างตุ๊กตาด้วยการออกเเบบเป็น
นวัตกรรมเเละการผลิตระดับไฮเอนด์ ผลงานของพวกเขามีเอกลักษณ์ เเละเป็นเครื่องประดับเเฟชั่นที่ไร้ที่ติ ในปี 2010 IXTEE พวกเขาเริ่มพัฒนาตุ๊กตา Mui-chan เเละ Fai chai ซึ่งเป็นตุ๊กตาฝาเเฝดที่มีใบหน้าที่ต่างกัน ตุ๊กตาเเฮนด์เมดที่มีข้อต่อ นอกจากนี้เเล้ว Mui-chan ตุ๊กตาชุดใหม่ Hachichi ก็ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดของ Mui-chan อายุ 8 ขวบที่มีรากผมในหลากหลายสีให้ทันสมัยและน่ารักในเเบบของผู้หญิง @IXDOLL

Hong Kong Art Toy Story ครั้งแรกในเมืองไทย รวมผลงานสุดยอดนักออกแบบอาร์ตทอยส์จากฮ่องกงกว่า 300 ใจกลางเซนทรัลเวิลด์

Let’s Unbox! 2022 Hong Kong Art Toy Exhibition, Thailand จัดขึ้นโดย โดย Innovative Entrepreneur Association (IEA) ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Creative Hong Kong (Create HK)โดยนิทรรศการในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาจัดในประเทศไทยนำเสนอรูปแบบภายใต้แนว ความคิด  Let’s unbox ที่แบ่งพื้นที่จัดงานออกเป็น 4 โซน นำเสนอผลงานการออกแบบจากศิลปิน 15 ท่าน พร้อมผลงานต้นฉบับที่สะสมมายาวนานกว่าสามทศวรรษที่ผ่าน รวมมากว่า 300 ชิ้น ซึ่งมีหลายชิ้นผลงานที่เป็นต้นฉบับชิ้นงาน Art toy ที่ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ และเป็นชิ้นงานประมูลหาชมได้ยาก การจัดแสดงนิทรรศการในครั้งนี้จึงอยากเปิดโอกาสในผู้ที่สนใจ แฟนอาร์ตทอยส์ในเมืองไทย ได้เห็นถึงวิวัฒนาการ และเส้นทางความสำเร็จของ Hong Kong Art toy ที่ดำเนินมาตั่งแต่ปี ค.ศ 1990

            Ms. Grace Tse ประธาน Innovative Entrepreneur Association ได้กล่าวถึงแนวคิดของการจัดงานในครั้งนี้ว่า การมาจัดงานในไทยครั้งนี้เราได้นำแนวความคิด Unbox ซึ่งเป็นก้าวใหม่ของวงการอาร์ตทอยส์ของฮ่องกง ที่พร้อมให้ทุกคนได้เปิดประตูเข้ามาดื่มด่ำไปกับแนวความคิดสร้างสรรค์ในโลกของอาร์ตทอยฮ่องกง ทั้งในรูปแบบการออกแบบยุคใหม่และเก่า ซึ่งภายในงานเราได้มีการผสมผสานชิ้นงานที่จัดแสดงโดยรวบรวมมาตั้งแต่ผลงานคลาสสิค ของสะสมหายาก ไปจนถึงผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงและมาแรงในยุค

            ความพิเศษของงานนี้จะนำเอาผลงานกว่า 300 ชิ้นจากดีไซเนอร์สุดโดดเด่นงานอาร์ตทอยส์ของฮ่องกง 15 คน และความพิเศษคือผลงานบางส่วนเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงและเป็นผลงานที่เป็นที่ชื่นชอบของนักสะสมจากนักออกแบบอาร์ตทอยส์ที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง ซึ่งรวมไปถึงชิ้นที่อยู่พิพิธภัณฑ์และของสะสมระดับการประมูล ก็ถูกนำมาจัดแสดงในงานนี้ด้วย

             และงานครั้งนี้ทาง Innovative Entrepreneur Association (IEA) รับหน้าที่จัดงานนี้ขึ้นซึ่ง IEA คือ   สมาคมผู้ประกอบการนวัตกรรมเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมจิตวิญญาณของ “การเป็นผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม” ในฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ และทั่วโลก ด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรอื่นๆมากมาย,  IEA ช่วยธุรกิจเริ่มต้นใหม่ให้ได้รับประสบการณ์และกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถสำหรับการแข่งขัน, IEA คอยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้ฮ่องกงเป็น “เมืองหลวงแห่งความสร้างสรรค์และผู้ประกอบการ” ชั้นนำของโลก

วัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้มีความต้องการที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมอาร์ตทอยส์ฮ่องกงสู่ประเทศไทยและเอเชียใต้ อยากให้งานในครั้งนี้เสมือนจุดเริ่มต้นเพื่อกระตุ้นให้อาร์ตทอยส์ฮ่องกงเกิดเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น และสามารถพัฒนาพร้อมขยายตลาดใหม่ๆ สำรวจหาโอกาสและความร่วมมือกับดีไซเนอร์ไทยและการที่เลือก ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของจากจัดการก็เพื่อที่จะนำร่องขยายไปในประเทศและตลาดอื่นๆในปีหน้าๆ  

“ตั้งเป้าหมายในระยะยาวของอุตสาหกรรมอาร์ตทอย”

เราได้วางแผนในระยะยาวเพื่อเดินหน้า และได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทางรัฐบาล เพื่อเพิ่มขยายฐานจำนวนดีไซเนอร์ให้มาเข้าร่วมกับอุสาหกรรมนี้ให้มากยิ่งขึ้น และจะร่วมมือกันในอุสากรรมเพื่อผลักดันให้เกิดพื้นที่การจัดแสดง และพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าสำหรับอาร์ตทอยส์ให้มีมากขึ้น ยกตัวอย่างก็คือ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วตอนที่ฉันได้มาที่กรุงเทพ แผนกอาร์ตทอยส์ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ นั้นยังไม่ได้ใหญ่หรือมีมากนัก แต่ตอนนี้ห้างสรรพสินค้าเกือบทุกแห่งได้จัดสรรพื้นที่ให้สำหรับอาร์ตทอยส์ไว้อย่างเหมาะสมแล้วมันเป็นการแสดงให้เห็นว่าอาร์ตทอยส์ได้รับความสำคัญและจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปีต่อๆไป และด้วยประวัติศาสตร์ที่มั่นคง และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมอาร์ตทอยส์ เรามั่นใจว่าฮ่องกงจะเป็นผู้นำด้านการออกแบบอาร์ตทอยส์อย่างแน่นอน

            และสำหรับงาน Let’s Unbox! 2022 Hong Kong Art Toy Exhibition, Thailand จะจัดขึ้นในวันที่ 9-18 กันยายน 2565 รวม 10 วัน ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์  ทุกท่านสามารถเข้าร่วมชมงาน และร่วมกิจกรรมได้ตลอดทุกวันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายในงานจะแบ่งกิจกรรมออกเป็น 4 โซนกิจกรรมได้แก่ Amazing Art Toy Zone (Zone A), Brilliant Art Toy Zone (Zone B), Classic Art Toy Zone (Zone C), Discovery Zone (Zone D) 

โดยไฮไลท์ในงานจะพบการ ผลงานอาร์ตทอยส์บิ๊กไซส์ให้ได้ร่วมถ่ายรูป พร้อมกาซาปองยักษ์ ให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมเล่นเอรับของที่ระลึกจากงานอีกด้วย

         ติดตามความเคลื่อนไหวของงานที่เว็บไซต์ www.hkarttoystory.com

และช่องทางโซเชียลมีเดียต่างในทุกช่องทาง Facebook, Instagram, Twitter, Line ได้ที่ @hkarttoystory

Silpakorn Clay Works Sanam Chandra 2022 ‘ศิลปะไร้พรมแดน’ ถนนสายประติมากรรมเซรามิก

“ศิลปะไร้พรมแดน”

มหาวิทยาลัยศิลปากร เตรียมเปิดถนนสายประติมากรรมเซรามิกเต็มรูปแบบ

รวมตัวนักปั้นทั่วโลก สร้างงานอาร์ตขนาดยักษ์ รวมกว่า 80 ชิ้น

ตั้งแต่วันที่ 19 – 30 กันยายน 2565 นี้ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมงาน “Silpakorn Clay Works Sanam Chandra 2022” งานที่รวบรวมศิลปินนักปั้นเซรามิกจากทั่วโลก อาทิ จอร์เจีย สาธารณรัฐลัตเวีย  เกาหลี เยอรมัน สิงคโปร์ ตูนีเซีย รวมถึงศิลปินแห่งชาติของไทย และศิลปินชาวไทยรวมกว่า 80 ชีวิต ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ถ่ายทอดเอกลักษณ์และเทคนิคอันเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของแต่ละคน ผ่านชิ้นงานและกระบวนการเผาแบบ “รากุ” สร้างประติมากรรมเซรามิกขนาดยักษ์ที่มีความสูงระหว่าง 1-1.5 เมตร เพื่อส่งมอบและติดตั้งอย่างถาวรรวม 80 ชิ้น ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม 

โดยในช่วงเย็นวันที่ 19 กันยายน 2565 ที่ผ่านมาได้มีพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดย รองศาสตรจารย์สยุมพร กาษรสุวรรณ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวเปิดงาน พร้อมเชิญ ผศ.ดร.วันชัย สุทธะนันท์ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากรให้เกียรติเปิดงาน โดยมีตัวแทนศิลปินแห่งชาติ ดร. กมล ทัศนาชลี, รศ.เขมรัตน์ กองสุข และ ศจ.เดชา วราชุน ร่วมตัดริบบิ้น นอกจากนี้ ผศ.ดร.วันชัย สุทธะนันท์ ยังได้มอบผ้าขาวม้าเป็นของที่ระลึกให้ศิลปินทุกท่านเพื่อต้อนรับและสร้างการร่วมมือร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันในการสร้างผลงานให้ลุล่วงไปด้วยดี

นับถอยหลังอีก 12 วันจากนี้ ประติมากรรมเซรามิกขนาดยักษ์ทั้ง 80 ชิ้นจะพร้อมปรากฏตัวอย่างโดดเด่น ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมทุกขั้นตอนการสร้างสรรค์งานอย่างใกล้ชิดกับศิลปินทั้งหมด และสนุกกับกิจกรรมทดลองปั้นด้วยตัวเอง อีกทั้งบูทสินค้างานเซรามิกให้เลือกซื้อเป็นของที่ระลึกกลับบ้านได้อีกด้วย ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2565 นี้ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สนามจันทร์ นครปฐม

 

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ 

          งาน “Silpakorn Clay Works Sanam Chandra 2022”

ข้อมูลเพิ่มเติม

รัชตา ประกายหงษ์มณี  

โทร: 081-554-5496

LineID: pumrct

POP ART : Who’s Leftover?

Photography: Courtesy of the Artist / the Studio

ในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีประชาชนและนักต่อสู้เคลื่อนไหวมากมายที่ต้องประสบภัยจากการปราบปรามโดยอำนาจรัฐจนเสียชีวิตหรือถูกบังคับให้หายสาบสูญ ญาติมิตรหรือคนรักของพวกเขาเหล่านั้นไม่เพียงต้องเจ็บปวดกับการเสียชีวิตของบุคคล

อันเป็นที่รักเท่านั้น บางคนก็ยังคงได้แต่เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุคคลผู้หายสาบสูญอย่างไม่อาจทราบชะตากรรมเช่นเดียวกัน

ถึงแม้เรื่องราวเหล่านี้จะไม่ถูกบอกเล่าผ่านสื่อกระแสหลักเท่าไรนัก แต่ก็มีศิลปินหลายคนหยิบยกเอาเรื่องราวเหล่านี้มาตีแผ่ให้ผู้ชมได้รับรู้ผ่านงานศิลปะของพวกเขาและเธออยู่ไม่น้อย ดังเช่นในนิทรรศการศิลปะที่มีชื่อว่า แด่คนที่ยังอยู่ (The Leftovers) นิทรรศการแสดงเดี่ยวครั้งที่สองของแพร – พัชราภา อินทร์ช่าง ศิลปินอิสระ นักออกแบบกราฟิก ครูสอนโยคะ และนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิและพื้นที่ของผู้หญิง ความเท่าเทียม และประชาธิปไตยในสังคมร่วมสมัย ผู้พำนักและทำงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่มากว่า 12 ปี

นิทรรศการครั้งนี้นำเสนอผลงานจิตรกรรมบนกระดาษและผืนผ้าใบที่ถูกวาดขึ้นด้วยผงฝุ่นของเถ้าถ่านโดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย จนเกิดป็นร่องรอยคราบไคลดำทะมึนของเรือนร่าง รูปเงา และองคาพยพบางส่วนของร่างกายมนุษย์ (หรือสัตว์) ภาพวาดเหล่านี้มีแรงบันดาลใจเริ่มต้นมาจากเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในหนังสือรวมเรื่องสั้นของนักเขียนชาวไทยที่เล่าเรื่องของหญิงสาวผู้พยายามจะลืมคนรักที่สาบสูญไปอย่างเป็นปริศนาด้วยการลอกคราบผิวหนังของเธอเอง กระนั้นเศษซากจากผิวหนังของเธอก็กลับก่อเกิดเป็นตัวตนใหม่ของผู้ที่เคยสูญหาย

แพรผสมผสานเนื้อหาในเรื่องสั้นเข้ากับประสบการณ์ส่วนตัวในอดีตของเธอและเรื่องราวของผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากเหตุการณ์ทางการเมือง เพื่อสื่อถึงประสบการณ์ของความรู้สึกสูญเสีย โศกเศร้า เจ็บปวดของญาติมิตรหรือคนรักของบุคคลผู้ถูกบังคับให้สูญหาย ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของคนที่พวกเขารัก ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยไม่อาจทราบได้ว่าคนที่เขารักนั้นอยู่ที่ใด หรือแม้แต่ยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่

“ผลงานชุดนี้ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องสั้นชื่อ ‘ลอก’ จากหนังสือรวบรวมเรื่องสั้นชุด ‘รักในลวง’ ของจิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์ ที่นางเอกในเรื่องพยายามลืมคนรักที่เลิกรากันไปด้วยการลอกผิวหนังส่วนที่คนรักของเธอเคยสัมผัสจับต้อง เพื่อที่จะลืมเขาให้ได้

“ความคิดที่จะเอาเรื่องสั้นมาทำเป็นงานศิลปะเริ่มต้นมาจากเรามีโอกาสได้ออกแบบโลโก้คาเฟ่ Artzy ให้คุณต้น – พัลลภ สามสี แล้วได้คุยกับเขาว่า ที่ผ่านมาพื้นที่ในวงการศิลปะกับพื้นที่ในวงการวรรณกรรมนั้นมีความคาบเกี่ยวกันอยู่ เราก็เลยสนใจที่จะทำงานร่วมกับนักเขียนในมุมมองของนักอ่านดูว่าเราจะตีความงานเขียนออกมาเป็นภาพอย่างไร เพราะกระบวนการทำงานของนักเขียนก็เริ่มขึ้นจากการเปลี่ยนตัวหนังสือให้เกิดเป็นภาพในหัวของนักอ่าน แล้วถ้านักอ่านบังเอิญวาดภาพได้ก็น่าจะถ่ายทอดภาพนั้นให้ออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น

“เริ่มแรกเราสนใจเรื่อง ‘ฝ่าละออง’ เรื่องสั้นอีกเรื่องในหนังสือ ‘รักในลวง’ เพราะเราสนใจเรื่องของคนที่แทนตัวเองว่าเป็นฝุ่น เหมือนประชาชนที่เป็นฝุ่น แต่ด้วยความที่เราอยากมองในมุมมองของบุคคลผู้ยังมีชีวิตอยู่ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปโดยอำนาจรัฐพอเป็นเรื่องของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เราคิดว่าเรื่องสั้นเรื่อง ‘ลอก’ น่าจะเข้ากับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อมากกว่า ก็เลยเลือกเรื่องนี้มาใช้เป็นแรงบันดาลใจ เพราะในเรื่องสั้นเรื่องนี้นางเอกอยู่ในห้วงเวลาของความพยายามที่จะลืมคนรัก ห้วงเวลาของความคิดถึง ห้วงเวลาของการพยายามที่จะหนีออกจากพื้นที่เก่าที่เคยมีคนรักอยู่ พยายามที่จะมีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีคนรักอยู่อีกต่อไป

“อย่างภาพวาดพอร์ตเทรตผู้หญิงที่ถูกกรีดเป็นริ้วๆ นี่คือภาพที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพถ่ายของคุณประทับจิต นีละไพจิตรลูกสาวของทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ถ่ายโดยคุณศุภชัย เกศการุณกุล ทนายสมชายเป็นคดีแรกๆ ของการถูกบังคับให้สูญหายคุณประทับจิตเคยให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่พ่อของเธอหายไปแล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่เธอเห็นข่าวเหล่านี้ ก็รู้สึกว่าเหมือนถูกกรีดแผลเดิมซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆเราเลยกรีดภาพวาดของเธอที่วาดเสร็จแล้วให้ขาดเป็นริ้วๆ เพราะคำพูดที่เขาบอกว่าเขารู้สึกเหมือนถูกกรีดเป็นแผลซ้ำไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ได้ข่าวบุคคลผู้ถูกบังคับให้สูญหาย

“ส่วนอีกภาพเราได้แรงบันดาลใจจากบางตอนของบทความที่พูดเรื่องฝน และการกำเนิดของร่างที่ถูกลอกออกมา เราก็วาดภาพของคนที่มีรอยหยดของฝนรายรอบ เหมือนเป็นภาพนามธรรม แต่วาดไปวาดมา กลายเป็นว่าเหมือนภาพในโปสเตอร์หนัง (สุดเสน่หา)ของพี่เจ้ย – อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่เคยติดอยู่ในบ้านเรา แต่ปลดออกไปแล้ว เหมือนภาพนี้เป็นภาพที่เราเคยเห็นติดตา แล้วพอถึงเวลาเราก็วาดสิ่งที่เคยอยู่ในหัวเราออกมา

“หรืออีกภาพที่จ๊อยซ์ (กิตติมา จารีประสิทธิ์) ภัณฑารักษ์ บอกว่าเชื่อมโยงกับงานในนิทรรศการก่อนหน้านี้ของเรา (Poetry of Dead, we are all alone… how ghosts found us) เพราะดูมีความเป็นเมือง แต่โดยหลักแล้ว ตอนที่วาดภาพนี้ เราคิดถึงตัวเองในวันที่ฝนตกแล้วเดินข้างถนนหาแท็กซี่กลับบ้านจนตัวเปียกโชก เราตัดสินใจว่าไม่อยากจะอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ อีกต่อไปแล้ว และคิดหาทางออกไปอยู่ที่อื่นแทน

“หรืออีกภาพที่เราอยากลองเอางานที่อยู่ในประวัติศาสตร์ศิลปะมาตีความใหม่ ซึ่งเราหยิบเอาภาพวาด The Wounded Deer ของฟรีด้า คาห์โล (Frida Kahlo) ที่เขากำลังจะไปผ่าตัดที่นิวยอร์ค แล้วเขาก็วาดภาพนี้ให้เพื่อนของเขาที่เป็นคนดูแลการผ่าตัดครั้งนี้ เป็นภาพกวางที่บาดเจ็บอยู่ในป่าเราสนใจที่เขาวาดภาพพอร์ตเทรตของตัวเองใส่ลงไปบนตัวกวาง ซึ่งพ้องกับเรื่องสั้น ‘ลอก’ ที่นางเอกพยายามลอกผิวหนังของตัวเองออกเพื่อหนีความทรงจำเกี่ยวกับความรัก

“หรือภาพวาดนกตายซึ่งเป็นภาพที่เราอยากสื่อความหมายของสิ่งที่ตายแล้วแต่ไม่ใช่แค่การตายธรรมดา หากแต่เป็นการสูญเสียที่เหมือนเป็นการถือกำเนิดใหม่ของจิตวิญญาณ เหมือนคนที่รณรงค์ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตย พอเขาตายลงไป ก็เหมือนเขาได้ปลุกจิตวิญญาณแห่งเสรีภาพของคนอื่นให้ตื่นขึ้นมาเราอยากวาดภาพนี้โดยไม่ใช้ภาพจากอินเทอร์เน็ต ก็เลยรอเวลาไปเรื่อยๆ จนบังเอิญเราเห็นแมวคาบซากนกมาทิ้งไว้ เราก็เลยเอามาเป็นแบบวาดภาพนี้

“หรือภาพวาดผู้หญิงที่ถูกมือสัมผัสใบหน้า เป็นภาพจากเหตุการณ์ในเรื่องสั้น ที่นางเอกคิดถึงเวลาที่เธอถูกคนรักสัมผัส เรารู้สึกว่าเวลาที่เราคิดถึงคนรัก เราจะคิดถึงสัมผัสของเขา ไม่ว่าจะเป็นในเชิงความรู้สึกทางเพศหรือไม่ก็ตาม เราคิดว่าความคิดถึงแบบนี้เป็นความรู้สึกที่รุนแรง เหมือนเป็นความรู้สึกของความปรารถนาที่ฝังลึกลงไปในร่างกายของเรา”

นอกจากผลงานจิตรกรรมหลากหลายภาพแล้ว ภายในห้องแสดงงานยังถูกโรยด้วยฝุ่นสีดำของผงถ่านชาร์โคลจนเกือบทั่วพื้นห้องเมื่อผู้ชมเข้าไปในห้องแสดงงานก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเหยียบย่ำฝุ่นเป็นรอยเท้าเปื้อนฝุ่นกระดำกระด่าง ไม่ต่างอะไรกับการเสียดเย้ยวลี ‘ฝุ่นใต้ตีน’ ที่ติดปากผู้คนในประเทศที่รัฐคอยกล่อมเกลาฝังหัวให้ประชาชนเชื่อว่าชีวิตของตนไม่ต่างอะไรจากฝุ่นผง ส่วนผู้ที่เห็นต่างและไม่สยบยอมก็ถูกปราบปรามและบังคับให้สูญหายซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะเป็นการตอกย้ำความไร้ค่าในความเป็นมนุษย์ของประชาชนในประเทศนี้ก็ไม่ปาน

“เหตุผลที่เราโรยผงถ่านชาร์โคลบนพื้น มาจากไอเดียแรกที่พูดถึงการเปรียบเทียบประชาชนเหมือนเป็นฝุ่นใต้เท้า เราเลยอยากเอาฝุ่นมาเล่าเรื่อง ตอนแรกกะจะเอาฝุ่นมาวาดเป็นภาพนามธรรม แต่คิดว่าตัวเองยังไม่ถึงเวลาที่จะทำงานนามธรรม ก็เลยปรับใหม่ เอาฝุ่นมาทำเป็นสื่อจัดวางบนพื้นห้องไปก่อน ใต้ฝุ่นผงถ่านชาร์โคลเรายังรองด้วยขี้เถ้าจากการเผาเปลือกข้าวทำให้เกิดความหนาเป็นกองฝุ่นขึ้นมา เพราะผงถ่านชาร์โคลนั้นเบาและละเอียดเกินไปตัวขี้เถ้าเองก็สื่อถึงความตายด้วยเหมือนกัน”

นอกจากผลงานจิตรกรรมและศิลปะจัดวางแล้ว ยังมีเรื่องสั้นที่เป็นต้นธารแรงบันดาลใจของนิทรรศการครั้งนี้อย่าง‘ลอก’ ให้ผู้ชมยืนอ่านภายในห้องแสดงงานหรือจะสแกนคิวอาร์โค้ดกลับไปอ่านที่บ้าน

“การนำงานวรรณกรรมมาตีความเป็นงานศิลปะให้อะไรกับเราเยอะมาก เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องส่วนตัวให้คนได้รับรู้ทั้งหมด และเราคิดว่างานวรรณกรรมเปิดโอกาสให้ผู้อ่านตีความได้อย่างอิสระ เราเองก็สนใจที่จะตีความวรรณกรรมออกมาเป็นภาพ และใช้งานวรรณกรรมเป็นพื้นที่เล่าเรื่อง

ที่เราอยากจะสื่อสาร เรารู้สึกว่าศิลปะกับวรรณกรรมสามารถไปด้วยกันได้”

– Author: MutAnt –

นิทรรศการ ‘แด่คนที่ยังอยู่’ (The Leftovers) โดยพัชราภา อินทร์ช่าง ภัณฑารักษ์โดยกิตติมา จารีประสิทธิ์ จัดแสดงที่ VS Gallery โครงการ N22 ซอยนราธิวาส 22

POP ART : Hold On to That Paper Again

การสำรวจกายภาพของกระดาษด้วยการทดลองทางความคิดสร้างสรรค์ของ Tashi Brauen

Photography: Courtesy of Ronewa Art Projects & Swita Uancharoenkul

Author: MutAnt 

​ผลงานของทาชิ บราวน์เอน (Tashi Brauen) ศิลปินร่วมสมัยชาวสวิส-ทิเบต แห่งเมืองซูริก สวิตเซอร์แลนด์ ผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากการเล่นกับคุณสมบัติทางกายภาพของพื้นผิวและโครงสร้างของวัสดุที่อยู่รอบตัวทั่วไปในชีวิตประจำวันเราอย่าง ‘กระดาษ’ นำมาทดลองด้วยวิธีการใหม่ๆ เพื่อค้นหาแนวทางของความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์

​บราวน์เอนมีผลงานจัดแสดงในนิทรรศการต่างๆ มากมาย ทั้งในซูริก, เบอร์ลินและมิวนิก เยอรมนี รวมถึงในประเทศไทย ทั้งใน Serindia Gallery, SAC Gallery ในกรุงเทพฯ ฯลฯ ผลงานของเขาถูกสะสมในคอลเลกชั่นส่วนตัวของนักสะสมทั่วโลก อีกทั้งยังถูกสะสมเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติแห่งชาติของสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงรัฐซูริก รัฐเบิร์น และ Wettingen Art Collection อีกด้วย

​“ผลงานชุดนี้เกิดจากความบังเอิญ เพราะงานในชุดก่อนหน้านี้ของผมเป็นงานภาพถ่าย ที่ใช้กระดาษทาสีทำโมเดลคล้ายกับงานสถาปัตยกรรมและงานนามธรรม แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมรู้สึกว่าผมต้องการพื้นที่ทำงานที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะผมคิดว่างานภาพถ่ายก็โอเคนะ แต่มันบอบบางมาก คุณต้องเก็บรักษาอย่างดี และต้องระมัดระวังมากๆ ผมก็เลยคิดว่าจะเลิกทำงานในลักษณะนี้ และปล่อยให้กระดาษเป็นอย่างที่มันเป็น หลังจากตัดสินใจย้ายที่ทำงานไปยังสตูดิโอใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมที่ซูริก ผมก็เอากระดาษพวกนี้แพ็คเก็บไว้เพื่อขนย้ายไปที่นั่น หลังจากย้ายไปแล้ว ผมหยิบกระดาษที่เก็บเอาไว้ออกมาดูอีกครั้ง และพบรอยยับและรอยแตกกะเทาะของสีที่เคลือบทาบนกระดาษ ที่ดูเหมือนงานวาดเส้น พอได้เห็นแล้วผมรู้สึกชอบมาก และเกิดไอเดียขึ้นมาทันที ผมคิดว่ารอยยับและรอยแตกของกระดาษเหล่านี้ทำให้วัตถุแบนๆ อย่างกระดาษดูมีความนูนและมิติเพิ่มออกมาจนเหมือนเป็นวัตถุสามมิติเลย

ผลงานในชุด ‘Cracks’ ที่เขาสร้างขึ้นลงบนพื้นผิวของกระดาษเคลือบสีและพับให้เกิดรอยแตกกะเทาะของสีบนพื้นผิว จนดูราวกับเป็นสายฟ้าที่พาดผ่านพื้นผิวของกระดาษก็ไม่ปาน

​“ดูเผินๆ งานของผมดูเหมือนจิตรกรรมนามธรรม แต่ผมคิดว่างานของผมอยู่ตรงกลางระหว่างงานแบบนามธรรมและงานแบบเหมือนจริง เพราะรอยแตกกะเทาะของสีบนกระดาษก็ไม่ใช่อะไรที่เป็นนามธรรม แต่เป็นรอยแตกจริงๆ ในขณะเดียวกันก็ให้อารมณ์แบบนามธรรม ผมเองก็เติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศแวดล้อมของงานศิลปะนามธรรมในมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่สอนผมก็เป็นศิลปินนามธรรมและมินิมอลลิสม์ (minimalism)

​“ก่อนหน้านี้ผมทำงานในสีเอกรงค์ แต่ในช่วงหลังผมหันมาลองใช้สีสันสดใส และจับคู่สีเหล่านี้เข้าด้วยกัน สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของสีพวกนี้ก็คือ บางสีคุณจะเห็นรอยยับและรอยแตกกะเทาะของสีได้ชัดเจนมาก แต่บางสีเรากลับเห็นแค่รอยพับจางๆ จนแทบจะมองไม่เห็นเลย”

​หรือในผลงานอีกชุดในนิทรรศการอย่าง ‘Du’ ที่บราวน์เอนใช้เทคนิคการพิมพ์และกระบวนการทำงานศิลปะขั้นพื้นฐานที่สุด โดยนำเอาสิ่งของรอบตัวอย่าง ‘นิตยสาร’ มาเติมแต่งด้วยการพิมพ์สีสันสดใสระหว่างหน้ากระดาษของนิตยสาร ผสมผสานรูปแบบนามธรรมกับข้อความและรูปภาพ จนเกิดเป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นเปี่ยมเอกลักษณ์

“ผมเริ่มทำงานชุดนี้จากกระดาษของนิตยสาร Du (แปลว่า ‘you’) นิตยสารเกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่ตั้งแต่ทศวรรษ 1940s ซึ่งเป็นนิตยสารที่ผมเติบโตมากับมัน พอดีในช่วงสถานการณ์โควิดในปี 2020 ร้านค้าทุกอย่างในซูริกปิดหมดในช่วงล็อกดาวน์ แม้แต่ร้านขายอุปกรณ์ศิลปะ ผมหาวัสดุอะไรทำงานไม่ได้เลย ผมก็เลยหันไปมองรอบๆ สตูดิโอ และเห็นนิตยสาร Du ที่ผมสะสมเอาไว้เป็นตั้งๆ ผมก็เลยหยิบกระดาษจากนิตยสารเหล่านี้มาทำงานด้วยเทคนิคง่ายๆ อย่างการทำภาพวาดพับครึ่ง (folded paper painting) หรือภาพพิมพ์ครั้งเดียว (monoprint) ที่เด็กๆ มักจะทำกัน ในขณะเดียวกันผมก็ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพ Rorschach inkblot test (แบบทดสอบรอยหยดหมึกของรอร์สชาค) อีกด้วย”

​“ที่ผมได้มาแสดงงานที่นี่ก็เพราะในปี 2016 ผมมีนิทรรศการแสดงงานที่ Serindia Gallery ในกรุงเทพฯ และผมได้ยินมาว่าทำเนียบเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทยนั้นออกแบบโดยสถาปนิกคนสำคัญชาวสวิสอย่างฮันส์ ฮอฟมานน์ (Hans Hofmann) ผมเลยอยากมาดูสถานที่แห่งนี้มาก จึงขออนุญาตทางสถานทูตเพื่อมาเยี่ยมชมที่นี่ พอได้มาดู ผมก็ถ่ายภาพเอาไว้ และผมก็บอกกับ (อดีต) ท่านทูตว่าผมสามารถทำงานศิลปะจัดวางในสวนของบ้านได้ ในปี 2016 ผมก็เลยได้ทำงานศิลปะจัดวางจากเก้าอี้และแสงไฟในสวนที่นี้ หลังจากนั้นผมก็ได้พบกับโรเจอร์ วอชิงตัน (Roger Washington) ผู้อำนวยการหอศิลป์ Ronewa Art Projects ที่เบอร์ลิน และ SAC Gallery ที่กรุงเทพฯ ที่ช่วยให้ผมได้กลับมาแสดงงานที่บ้านพักประจำตำแหน่งของท่านทูตในกรุงเทพฯ แห่งนี้เป็นพิเศษอีกครั้ง”

​น่าเสียดายที่นิทรรศการครั้งนี้จะเปิดให้เข้าชมเฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้น แต่ผู้ชมทั่วไปก็สามารถเข้าไปชมผลงานในนิทรรศการครั้งนี้ทางออนไลน์ได้ที่ https://ronewa.com/viewing-room/16-tashi-brauen-hold-on-to-that-paper-again-in/

“ผลงานในชุด “Cracks” ที่สร้างขึ้นลงบนพื้นผิวของกระดาษเคลือบสีและพับให้เกิดรอยแตกกระเทาะของสีบนพื้นผิว”

“Du” ผลงานที่ใช้เทคนิคการพิมพ์ขั้นพื้นฐานที่สุด โดยนำเอา “นิตยสาร” มาเติมแต่งสีสันสดใสระหว่างหน้ากระดาษ ผสมผสานรูปแบบนามธรรมกับข้อความและรูปภาพ

POP ART : The BATTLE WOUND of THALUFAH นิทรรศการศิลปะแห่งการต่อสู้ทางการเมือง

นิทรรศการศิลปะแห่งการต่อสู้ทางการเมืองแบบทะลุฟ้า

ใครที่สนใจการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ฝักใฝ่การเมืองผู้มีใจรักประชาธิปไตย คงน่าจะคุ้นเคยกับชื่อของ ‘ทะลุฟ้า’ เป็นอย่างดี ในฐานะกลุ่มนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เริ่มเป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกจากกิจกรรม ‘เดินทะลุฟ้า’ การเดินขบวนจากภาคอีสานถึงกรุงเทพฯ เป็นระยะทาง 247.5 กม. ในเวลา 21 วัน เพื่อแสดงข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในประเด็นต่างๆ ทั้งการปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง (ในแคมเปญ ‘ปล่อยเพื่อนเรา’) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ตามมาด้วยการก่อตั้ง ‘หมู่บ้านทะลุฟ้า’ ที่พวกเขาสร้างค่ายพักแรมบนท้องถนน ปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล เพื่อสานต่อข้อเรียกร้องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

รวมถึงการจัดกิจกรรม ‘Art Gallery’ การแสดงผลงานศิลปะและการแสดงศิลปะแสดงสดเชิงสัญลักษณ์ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย บนถนนราชดำเนิน รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และอีกหลายต่อหลายกิจกรรม

ด้วยความที่ทะลุฟ้าเป็นกลุ่มนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ การต่อสู้เคลื่อนไหวของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความแปลกแหวกแนว สดใหม่ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยศิลปะและความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างยิ่ง

กว่า 1 ปี ที่พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน เพื่อแสดงถึงเจตจำนงของประชาชนที่ต้องการส่งไปให้ถึงภาครัฐอย่างสันติ แต่พวกเขากลับถูกปราบปรามจากภาครัฐด้วยความรุนแรง ทั้งการสลายการชุมนุม จับกุม คุมขัง ดำเนินคดี และถูกคุกคามโดยอำนาจรัฐนานัปการ

ล่าสุด ในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กลุ่มทะลุฟ้าหยิบเอาประสบการณ์ที่ได้รับจากการบังคับใช้ความรุนแรงโดยอำนาจรัฐตลอด 1 ปีที่ผ่านมา นำมาถ่ายทอดให้ผู้คนได้รับรู้ในพื้นที่ทางศิลปะเป็นครั้งแรก ในนิทรรศการที่มีชื่อว่า The Battle Wound of Thalufah ที่นำเสนอผลงานศิลปะในรูปแบบของพยานวัตถุ ที่เป็นเหมือนหลักฐานของการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเขา วัตถุเหล่านี้เป็นเสมือนหนึ่งรอยบาดแผลจากการต่อสู้ทางการเมือง ดังคำประกาศเจตนารมณ์ของพวกเขาที่ว่า

“ถ้าจะมีใครสักคนกล่าวว่าความเจ็บปวดคือสิ่งที่บอกได้ว่าเรานั้นยังมีชีวิต ดังนั้น… บาดแผลก็คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บอกได้ถึงร่องรอยของความทรงจำในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เช่นกัน”

จุดเริ่มต้นของนิทรรศการครั้งนี้เกิดจากการที่ทะลุฟ้าต้องการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขาในช่วงปลายปี 2564 โดยใช้ชื่อ ‘ลงถนน’ ที่พวกเขาตั้งใจจะแสดงงานศิลปะในพื้นที่ชุมนุมบนท้องถนน เพราะโดยปกติพวกเขาก็ทำการต่อสู้เคลื่อนไหวบนท้องถนนเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่ก่อนหน้าที่จะจัดนิทรรศการที่ว่า พวกเขามีโอกาสได้พบกับมิตร ใจอินทร์ ศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองรุ่นใหญ่ที่เชียงใหม่ และได้รับข้อเสนอให้แสดงนิทรรศการในพื้นที่ทางศิลปะของเขา นิทรรศการครั้งนี้จึงถือกำเนิดขึ้นในที่สุด

ด้วยความที่กลุ่มทะลุฟ้าประกอบด้วยคนรุ่นใหม่ มีความ

หลากหลายทางความคิด สมาชิกในกลุ่มบางคนเองก็ศึกษาทางด้านศิลปะ การออกแบบ ภาพยนตร์ และในอีกหลายสาขา ทำให้พวกเขาสามารถหยิบฉวยเอาศิลปะและความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในการต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างเปี่ยมสีสัน

พวกเขามองว่าม็อบคือสนามทางวัฒนธรรม และต้องการเปิดพื้นที่การพูดคุยแลกเปลี่ยนทางการเมืองกับคนทำงานศิลปะมากขึ้น ในหลายๆ ครั้ง กิจกรรมการเคลื่อนไหวของพวกเขาเองก็มีศิลปินมืออาชีพมากหน้าหลายตาเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันอีกด้วย

จากก่อนหน้าที่เคยแสดงงานศิลปะบนท้องถนน เมื่อมีโอกาสแสดงงานในพื้นที่หอศิลป์ ทะลุฟ้าจึงหยิบเอาผลงานที่เคยแสดงบนท้องถนนมาใช้ในการสื่อสารกับคนกลุ่มใหม่ๆ เพื่อเปิดมุมมองให้พวกเขาเข้าใจการต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มหรือแม้แต่นักต่อสู้เคลื่อนไหวเยาวชนคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันให้มากยิ่งขึ้น

อีกทั้งในช่วงระยะเวลาการจัดแสดงนิทรรศการ ยังเป็นช่วงเวลาครบรอบ 1 ปี ที่กลุ่มทะลุฟ้าก่อตั้งขึ้นมา พวกเขาจึงประมวลเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมาบอกเล่าผ่านวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่นำมาจัดแสดง เพื่อเล่าเรื่องราวภายใต้แนวคิดที่มีชื่อว่า “THE BATTLE WOUND” (บาดแผลแห่งการต่อสู้) ด้วยความที่สิ่งของเหล่านี้ผ่านเหตุการณ์ เรื่องราว และมีประสบการณ์เคียงข้างนักต่อสู้เคลื่อนไหวกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิดถึงเลือดเนื้อ

ไม่ว่าจะเป็นป้ายผ้าประท้วงที่พวกเขาเคยใช้คลุมทับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในการชุมนุมเดือนกันยายน ปี 2564 หรือหุ่นผ้าจำลองรูปศพที่พวกเขาใช้ในการเสียดสีและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แทนผู้เสียชีวิตในสถานการณ์โควิดที่แยกราชประสงค์ ในเดือนกันยายน ปี 2564 รวมถึงโปสเตอร์ ใบปลิว สิ่งพิมพ์ ป้ายไวนิล เสื้อยืดรณรงค์ กราฟฟิตี้บนผนัง หรือแม้แต่ข้าวของที่ใช้สอยในม็อบ อย่างเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ผ่านสมรภูมิทางการเมือง ภาชนะเครื่องใช้ในครัวอย่างตะหลิว ทัพพี อันเป็นอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้ทำอาหารกินกันในม็อบ จักรเย็บผ้า ที่พวกเขาใช้เย็บป้ายประท้วงและหุ่นผ้า ข้าวของทุกชิ้นเหล่านี้ต่างมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของกลุ่มทะลุฟ้า ไม่ต่างอะไรกับเชื้อเพลิงที่ช่วยขับเคลื่อนพวกเขาให้เดินหน้าต่อไปได้ก็ไม่ปาน

กลุ่มทะลุฟ้านำวัตถุข้าวของต่างๆ เหล่านี้มาเชื่อมร้อยกันเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นภายใต้แนวคิดหลักของนิทรรศการ เพื่อให้เรื่องราวเหล่านี้ขยายความเข้าใจเกี่ยวกับม็อบ เกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขา ไปสู่วงกว้าง ไม่จำกัดอยู่กับแค่คนที่สนใจการเมืองเท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าศิลปะเข้ากับคนได้ทุกชนชั้น ทุกเพศ 

ทุกวัย และอาจทำให้การต่อสู้ของทะลุฟ้าและเยาวชนคนรุ่นใหม่ผู้รักประชาธิปไตยถูกตีแผ่และสื่อสารกับผู้คนได้มากขึ้น

“เราคิดว่าการที่นักกิจกรรมฯ นักเคลื่อนไหวฯ อย่างเราจะมาทำงานศิลปะนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดแปลกอะไร เราก็เป็นแค่คนที่ทำงานการเมือง เป็นคนที่ออกมาเรียกร้องทางการเมือง ที่เอาประสบการณ์ของเรามาแสดงออกให้คนเห็นผ่านศิลปะ ดังคำกล่าวของอาจารย์ทัศนัย (เศรษฐเสรี) ที่ว่า ‘ศิลปะไม่เป็นเจ้านายใคร และไม่เป็นขี้ข้าใคร’ เราเชื่อว่าศิลปะควรเป็นของทุกคน ทุกคนสามารถใช้งานศิลปะได้ ศิลปะควรจะพูดได้ทุกอย่าง ศิลปะไม่ควรถูกจำกัดว่าห้ามพูดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ ศิลปะควรเป็นอิสระ และเป็นได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต

“ที่เราต้องออกมาต่อสู้เพราะปัญหามาถึงตัวเราจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศเราถูกแช่แข็ง ไม่พัฒนามาหลายปี ตั้งแต่ตอนเราเรียนประถม ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้นที่รู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นของพวกเราหายไป ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลชุดนี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้

เป็นเหมือนแรงสะเทือนใต้น้ำที่แรงขึ้นเรื่อยๆ จนเราสัมผัสได้ เรารู้สึกตัวเราถึงออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้กัน เพราะเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง พวกเราไม่อยากทนอีกต่อไป ถ้าเราไม่ออกมาทำอะไรสักอย่างตอนนี้ ราคาที่เราจะต้องจ่ายมันจะแพงขึ้นเรื่อยๆ และเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

“การทำนิทรรศการครั้งนี้ เป็นเหมือนการเปิดเพดานบางอย่างของเราและของสังคม ว่านักต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมืองก็สามารถทำนิทรรศการศิลปะ และใช้ศิลปะในการขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองได้ ทำให้เห็นว่าศิลปะสามารถเชื่อมโยงกับการเมืองและทุกสิ่งทุกอย่างได้จริงๆ” ตัวแทนกลุ่มทะลุฟ้ากล่าวทิ้งท้าย

– Author: MutAnt –

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากกลุ่มทะลุฟ้า

Photography: Courtesy of the studio

ย้อนชมบรรยากาศงาน “How are you these days?” นิทรรศการครั้งแรกในไทยของ “จ่าง กว่าง ได” ศิลปินมาแรงชาวเวียดนาม ที่มาพร้อมกับการตั้งคำถามและร่วมหาคำตอบในงานศิลปะ

นิทรรศการแสดงผลงานศิลปะครั้งแรกในประเทศไทยของ จ่าง กว่าง ได (Trần Quang Đại) นายแบบและ influencer ชื่อดังจากเวียดนามที่ผันตัวเองมาเป็นศิลปิน โดยใช้สีเป็นสื่อกลางในการสื่อสารเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำ ภายใต้นิทรรศการที่มีชื่อว่า How are you these days?” ผลงานจิตกรรมภาพเหมือนบุคคลที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบกึ่งนามธรรมที่มีทั้งความสนุกสนานและความซับซ้อน

จ่าง กว่าง ได เป็นศิลปินชาวเวียดนามที่อาศัยและทำงานในเมืองไซ่ง่อน เขาท่องโลกกว้างด้วยกระเป๋าเดินทางเพียงหนึ่งใบเพื่อเก็บรวบรวมเรื่องราวและความทรงจำในทุกช่วงเวลาของชีวิต เป็นบุคคลสาธารณะที่กำลังอยู่บนเส้นทางของการเป็นทนายความด้านทรัพย์สินทางปัญญา ก่อนจะก้าวมาเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว

นิทรรศการเดี่ยวซีรีส์ต่อเนื่องที่กำลังจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA BANGKOK) โดยชื่อของนิทรรศการเกิดขึ้นจากการเดินทางของ จ่าง กว่าง ได สู่โลกแห่งศิลปะในฐานะศิลปินเดี่ยว ซึ่งต้องประสบกับการถูกตั้งคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “How are you these days?” และการตอบคำถามเดิมที่แตกต่างกันออกไป คำตอบของคุณตอนนี้คืออะไร? เมื่อวานคุณตอบว่าอะไร? และพรุ่งนี้จะตอบอะไร? เขาจึงนำคำถามนั้นย้อนกลับมาตรวจสอบกับประสบการณ์ในชีวิต พินิจพิเคราะห์เหมือนการลอกเปลือกออก กะเทาะไปที่ละชั้น จนในที่สุดได้เข้าถึงแก่นอย่างแท้จริง

การจัดนิทรรศการครั้งแรกในประเทศไทยของ จ่าง กว่าง ได ได้เผยความรู้สึกว่า “การได้มาร่วมงานกับMOCA BANGKOK ช่วยเพิ่มความหมายให้กับการเดินทางของผมเป็นอย่างมาก และสำหรับนิทรรศการที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ถามชาวกรุงเทพฯ ว่า ช่วงนี้คุณเป็นอย่างไร”

ผลงานของ จ่าง กว่าง ได เมื่อมองครั้งแรกอาจไม่ “สวยงาม” แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยนัยยะ ความชัดเจน และความไม่สมเหตุสมผล จังหวะฝีแปรงที่เคลื่อนไหวได้อย่างมีพลัง ภาพแม้ดูบิดเบี้ยว หากค่อย ๆ ใช้เวลาในการมองอย่างถี่ถ้วน ยิ่งทำให้เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น 

นิทรรศการในครั้งนี้มีผลงานศิลปะทั้งหมด 27 ชิ้น รวบรวมมาจากการจัดนิทรรศการ “How are you these days?” ครั้งที่ผ่าน ๆ มา โดยผลงานทั้งหมดในนิทรรศการครั้งนี้มีจุดประสงค์เดียวคือการตอบคำถามที่ว่า “ช่วงนี้คุณเป็นอย่างไร?”

นอกจากนี้ จ่าง กวาง ได มีผลงานนิทรรศการที่จัดแสดงมาแล้วหลายที่ในเวียดนาม เช่น Eight Gallery, Toong, MoT+++และ Mơ Art Space โดยมีนิทรรศการที่กำลังจะจัดขึ้นที่ Fine Art Museum นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามในเร็ว ๆ นี้

rhunrun เรียบเรียง

POP ART : D E E P d i m e n s i o n s ในความอุตสาหะทางศิลปะล่าสุดของเขาที่ผนวกเทคโนโลยีและงานป็อปเข้าไว้ด้วยกัน

Author: Alex Hawgood

          สำหรับช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและการเปลี่ยนแปลง Alex Israel ศิลปินที่มีฐานการทางานที่ลอสเองเจลิสได้สร้างภาพวาดขนาดใหญ่และอาหารตาอื่นๆที่ศูนย์กลางฮอลลีวู้ดเพื่อเฉลิมฉลองความตื้นเขินของภาพเคารพของไอดอลร่วมสมัยด้วยการพยักหน้าและขยิบตาผลงานทางศิลปะที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ของเขาได้เติบโตไปจนปรากฏเป็นบิลบอร์ดบนถนนซันเซทที่มีข้อความว่า “ถ้าคุณไม่ชอบผมติดตามผม” (เป็นผลงานร่วมกับนักเขียน Bret Easton Ellis) และผลงานเครื่องหอมที่กำลังจะออกขายกับ Louis Vuitton (กลิ่นล่าสุด‘On the Beach’ มาแบบจากัดจานวนพร้อมกับกระดานโต้คลื่นสีนีออนที่ออกแบบโดยศิลปิน) และยังมีเว็บซีรีส์ของศิลปะการแสดงที่มีเสน่ห์แบบแปลกๆ ของเขาที่ประกอบด้วยอิสราเอลถามคาถามแขกรับเชิญ เช่น KrisJenner และKato Kaelin อย่างหน้าตาเฉยด้วยคำถามเกี่ยวกับการกำลังจะเกิดขึ้นของหายนะล้างโลกและคำถามไร้สาระเชิงเสียดสีถากถาง เช่น “บ้านคือที่อยู่ของหัวใจใช่มั้ย” และใครกันที่จะลืมชุดภาพวาดตัวเองที่ตอนนี้ได้แพร่กระจายไปในวัฒนธรรมป็อปได้ชุดภาพวาดซึ่ง Stella McCartney กล่าวอ้างว่าคือแรงบันดาลใจในการออกแบบเสื้อผ้าบุรุษคอลเลกชั่นแรกของเธอ

          อิสราเอลปัจจุบันอายุ 39 ปี ยังคงทางานในสายมัลติมีเดียเพื่อเล่นกับกระแสขึ้นลงของตลาดศิลปะนิทรรศการเดี่ยวของเขาที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ที่แกลเลอรี่ Almine Rech จัดแสดงของเลียนแบบเลื่อนสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดีจากภาพยนตร์เมื่อปี 1941 เรื่อง Citizen Kane โดยแขวนเลื่อนดังกล่าวลงมาจากเพดานจากที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านศิลปะเขากำลังทดลองนำเอางาน ‘80s porn flicks’ ของเขาเข้าสู่โลกเสมือนจริง Alex Israel x Snapchat คือชื่อโครงการ AR ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างนักสร้างภาพลักษณ์ทั้งสองขณะนี้กำลังจัดแสดงอยู่ที่ The Bass Museum of Art ในไมอามี่จนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2022 หลังจากที่ในระยะหลังมานี้เขาได้ใช้เวลาสำรวจกล่องเครื่องมือเทคโนโลยีสามมิติของ Snapchat มาเป็นเวลาหลายปีตอนนี้เขาได้จัดรวบรวมภาพตัวเองเข้าสู่พอร์ทัลเพื่อนำเสนอภาพโต้ตอบของแอนิเมชั่นอโวคาโดเต้นรานกเพลิแกนกาลังบินและต้นปาล์มที่ส่ายไปมาได้นิทรรศการนี้ให้คำแนะนำไว้ว่าวิธีการที่ผู้ชมจะได้เห็นภาพที่วิวัฒนาการของอิสราเอลคือมองให้ลึกกว่าแค่ผิวหน้าฉาบมัน

L’OFFICIEL: คุณเข้าเป็นหุ้นส่วนกับSnapchat เพื่อแสดงภาพของคุณผ่านเทคโนโลยีAR คุณคุ้นเคยกับศักยภาพของ AR แค่ไหน
ALEX ISRAEL: ผมเล่น Pokemon Go นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ผมรู้จักในเรื่อง AR และรู้ว่ามันทำอะไรได้บ้างเมื่อผมเริ่มพูดคุยเรื่องนี้กับทาง Snapchat ผมก็เริ่มทำการค้นคว้าผมมีความคิดบางอย่างเพื่อการทำโครงการแต่ว่ารสนิยมของผมมันค่อนข้างจะก้าวหน้ากว่าสิ่งที่เราทำได้เล็กน้อยดังนั้นหลังจากพูดคุยกันได้สักพักก็จบลงตรงแบบว่า “โอเคอันนี้ทำได้ในตอนนี้มาทำกัน” มันน่าตื่นเต้นที่เทคโนโลยีขยายตัวตลอดเวลาตอนนี้เราเอาฟิล์มภาพยนตร์ที่เราถ่ายไว้มาผสมกับแอนิเมชันเพื่อสร้างงาน AR ได้ซึ่งค่อนข้างจะมีขั้นตอนทับซ้อนกันหลายชั้นและซับซ้อนกว่าที่จะสามารถทำได้ในสมัยก่อนและนั่นมันก็ต้องทำงานกับสิ่งที่เป็นเทคนิคเกี่ยวกับความจำแบบว่าไฟล์จะใหญ่ได้แค่ไหนและมันสามารถโหลดขึ้นโทรศัพท์คุณได้เร็วแค่ไหนและหลายสิ่งอย่างที่ว่านั่นมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป

L’O: มีลูกเล่นในการทำงานกับสื่อเสมือนจริงไหม
AI: ถ้าว่ากันด้วยเรื่องแอนิเมชันมันมีทั้งการ์ตูนและสิ่งที่เป็นภาพถ่ายจริงงานชิ้นหนึ่งแสดงภาพนกเพลิแกนกาลังบินออกจากภาพเหมือนของผมใช่มั้ยมันดูเหมือนภาพจริงแต่แล้วนกเพลิแกนก็อ้าปากและปลาที่เป็นภาพการ์ตูนก็กระโดดออกมาจากปากนก-ปลาแบบดิสนีย์น่ะนะ มันต้องมีความอุตสาหะในส่วนของผมที่จะเปรียบเทียบทั้งสองสไตล์และนำเอามันมาวางเคียงข้างกันผมสนุกสนานกับการปะติดมันเข้าด้วยกันถ้าเราสามารถทำให้ภาพวาดของผมมีชีวิตได้เราจะทำมันได้อย่างไรมันจะดูเป็นแบบไหนนั่นคือจุดเริ่มต้นของผมผมคิดว่าเอาละมันจะเป็นอย่างไรถ้าเราทลายกำแพงด้านที่สี่มันจะเป็นอย่างไรถ้าจะทำห้ผู้ชมมีส่วนร่วมมากกว่านี้และมันจะทำงานอย่างไรมันจะเป็นสิ่งที่คุณทำผ่านโทรศัพท์มั้ยมันไปเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นๆที่เราทาผ่านโทรศัพท์มั้ยดังนั้นผมเดาว่ามีหลายสิ่งอย่างที่ผมกำลังคิดและในบางกรณีมันก็ไปจบลงตรงที่งานปะติดที่มีสไตล์และเรนเดอร์ที่แตกต่างกัน

L’O: งานของ Snapchat ทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์ที่ผสมผสานการแสดงสดเข้ากับแอนิเมชันเช่นภาพยนตร์เรื่อง Who Framed Roger Rabbit หรือCool World
AI: แน่นอนมีงานชิ้นหนึ่งที่อ้างอิงฉากหนึ่งในภาพยนตร์ Anchors Aweigh ซึ่งมาก่อนภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องที่ว่ามาฉากดังในภาพยนตร์เรื่องนี้คือฉากที่ Gene Kelly เต้นรำกับ Jerry Mouse ผมคิดไอเดียที่จะอัปเดตฉากนั้นแต่มันเกี่ยวกับการที่ผู้ชมจะมีส่วนร่วมเมื่อคุณยกโทรศัพท์ขึ้นส่องไปที่ภาพถ่ายมันจะเป็นเหมือนว่าภาพถ่ายจะเปิดขึ้นและอโวคาโดเต้นรำก็จะกระโดดออกมาจากภาพและลงยืนบนพื้นแกลเลอรีตรงหน้าคุณเสียงพูดนาและดนตรีก็จะนำคุณเข้าสู่การเต้นราคู่มันแทบจะเหมือนกับการเต้นรำเล็กๆที่คุณทำได้บนโซเชียลมีเดียกับอโวคาโดลูกนี้งานอีกชิ้นหนึ่งชื่อว่า ‘Drive’ ที่มันเป็นเหมือนกับแอนิเมชันภูมิทัศน์ของเมืองลอสเองเจลิสที่กาลังอยู่ในอาการประสาทหลอนและมันจะพาคุณไปในพื้นที่ต่างๆของเมืองพร้อมด้วยอนุสาวรีย์หรืออนุสรณ์สถานต่างๆที่กลายเป็นสามมิติที่หลุดออกมาจากภาพนั้นขณะที่มันกำลังเล่นอยู่คุณก็สามารถจินตนาการถึงนกและเครื่องบินและดอกไม้ไฟออกมาจากภาพวาดเข้ามาในพื้นที่แกลเลอรี่อีกอย่างคือต้นปาล์มที่หลุดออกมาจากภาพเหมือนตัวผมเอง

L’O: คุณคิดท่าทางการเต้นราของอโวคาโดได้อย่างไร
AI: ผมทางานกับนักออกแบบท่าเต้นคนหนึ่งโดยการงมไปทั่วอินเตอร์เน็ตเพื่อหาท่าเต้นที่ผมคิดว่าดีและเป็นสากลแต่ยังคงเป็นท่าเต้นที่คนเต้นไม่เก่งแบบผมก็เต้นตามได้อ้างอิงแรกคือภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเก่าเรื่อง Anchors Aweigh แต่ผมก็ไปดูว่าปัจจุบันเด็กเขาทำอะไรกันและมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในวัฒนธรรมบนโซเชียลมีเดียแล้วก็มาทำแอนิเมชันท่าเต้นเหล่านั้นของอโวคาโดและแล้วผมก็จะ “มือของอโวคาโดยกสูงเกินไปนะ” หรือ “อโวคาโดกระโดดสูงเกินไปนะ”

L’O: ดังนั้นถ้าคุณเดินทางไปชมการแสดงจะมีผู้คนจำนวนมากสวมหูฟังและเต้นรำไปรอบๆอย่างเงียบๆใช่ไหม
AI: ใช่หวังไว้ว่าอย่างนั้นสิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ AR สามารถควบคุมโลกและสร้างสิ่งนี้อีกชั้นหนึ่งซ้อนทับลงบนโลกนั้นได้การมองเห็นสิ่งต่างๆอยู่กับที่และแล้วก็สามารถมองเห็นว่ามันเริ่มเคลื่อนไหวได้ต่อหน้าต่อตาคุณขยายขอบเขตของสิ่งที่คุณคิดว่าคุณรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ไปสู่อีกมิติหนึ่ง AR สามารถถูกนำมาใช้ได้อเนกอนันต์แต่ผมคิดว่าเราจะมองเห็นว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรามากขึ้นขณะที่เทคโนโลยีที่เราใช้อยู่มันดีขึ้นเหมือนแว่นตากับคอนแทคต์เลนส์หรืออะไรแบบนั้นแหละ

L’O: AR คือส่วนหนึ่งของคลื่นลูกใหม่ทางเทคโนโลยีเช่นเดียวกับสกุลเงินคริปโตและ NFT ซึ่งบางคนเชื่อว่าจะเป็นสิ่งจาเป็นต่อวังวนของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นซ้าๆถัดไปของอินเตอร์เน็ตในฐานะศิลปินมันสาคัญอย่างไรต่อคุณที่ต้องตามให้ทันเทคโนโลยี
AI: ผมพยายามจะตามให้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเทคโนโลยีแต่ผมก็ยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควรในเรื่องเทคโนโลยีแล้วผมว่ามันสาคัญสาหรับผมที่จะคิดเกี่ยวกับวิธีการทางานของผมแต่ผมก็ต้องรู้สึกว่ามันถูกต้องก่อนจะเข้าไปข้องแวะกับมันนะ Pokemon Go ช่วยให้ผมตื่นเต้นกับ AR แต่ผมก็กำลังรอสิ่งที่จะทำให้ผมตื่นเต้นจริงๆกับ NFT แต่คุณไม่มีวันรู้หรอก Snapchat มีศักยภาพในการทำให้ความคิดที่ยอดเยี่ยมน่าทึ่งหลายอย่างมีชีวิตนั่นคือเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากของการทำงานด้วยการสร้างแบบสามมิติของประสบการณ์และหาวิธีการที่จะทำให้มันใช้การได้สำหรับใครก็ได้ที่มีโทรศัพท์เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดปะติดปะต่อได้ด้วยตัวเองเลยมันทำให้ผมคิดถึงสิ่งที่ผมไม่จำเป็นต้องมีหรือแม้แต่ต้องคิดถึงด้วยซ้ำในงานของผม

L’O: คุณรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องการสื่อสารของมนุษย์โดยเฉพาะการใช้เครื่องหมายและสัญลักษณ์นิทรรศการเดี่ยวที่จัดแสดงเมื่อไม่นานมานี้ที่แกลเลอรี่ Almine Rech ในปารีสมีการสร้างเลื่อนไม้สีแดงอันเป็นสัญลักษณ์จากภาพยนตร์ Citizen Kane ขึ้นมาใหม่อะไรดึงดูดใจคุณให้จัดแสดงชิ้นส่วนจากประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ชิ้นนั้น
AI: แบบจำลอง ‘Rosebud’ ของผมเป็นอย่างเดียวในการจัดแสดงมันแขวนจากเพดานหน้าฉากที่เราสร้างเข้าไปในแกลเลอรี่นอกจาก Maltese Falcon แล้วมันอาจเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็ได้นะ ในงานของผมมีอุปกรณ์ประกอบฉากจำนวนมากที่สร้างขึ้นมาใหม่หรือหาเช่ามาผมคิดแบบว่าเหมือนกับสร้างอุปกรณ์ประกอบฉากสำหรับภาพยนตร์ของผมเองบ้านประกอบฉากเป็นโลกที่น่าสนใจสำหรับผมที่ผมมักจะคิดค้นเสาะหาในงานของผมโดยเฉพาะเมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ของอุปกรณ์ประกอบฉากกับงานประติมากรรมและชิ้นงานสำเร็จรูปผมสนใจสัญลักษณ์ทุกรูปแบบที่มากับ ‘Rosebud’ และวิธีการนำสิ่งอื่นมาเสริมเติมเข้ามาในลักษณะของเครือข่ายความคิด-ทุกอย่างตั้งแต่ ‘เลื่อน’ ของ Joseph Beuys ไปจนถึงความรู้สึกโหยหาวัยเยาว์ซึ่งในบางมุมเป็นตัวแทนของความฝันแบบอเมริกันที่ถูกถักทอเข้าไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับผมแล้วนั่นทำให้มันเป็นชิ้นงานที่น่าสนใจ

L’O: Steven Spielberg ได้ซื้อ ‘Rosebud’ ตัวต้นแบบจากการประมูลโดย Sotheby เมื่อปี 1982 และเมื่อไม่นานมานี้เขาได้บริจาคให้แก่ Academy Museum of Motion Pictures ใน LA
AI: ผมไม่เคยเห็นมันนะ จนกระทั่งเมื่อพิพิธภัณฑ์เปิดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนแต่ผมทำงานของผมเสร็จและส่งไปปารีสแล้วแต่มันก็ยังคงน่าตื่นเต้นที่เห็นมันด้วยตาตัวเองและเห็นว่าผมทำแบบจำลองของมันได้ใกล้เคียงตัวต้นแบบขนาดไหนผมว่าผมค่อนข้างใกล้เคียงเชียวแหละแต่ไม่สมบูรณ์แบบนะแต่รู้มั้ยว่าใกล้พอตัว
-Translation: Dr Wattana K –