DESIGNER’S DAYS

ถึงเวลาทำความรู้จักกับ D’Days เทศกาลดีไซน์อันโด่งดังของปารีสที่มีคอนเซ็ปต์แตกต่างจากงานแฟร์ออกแบบทั่วไป

หลายคนมักกล่าวว่าการออกแบบไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นเสมือนทัศนคติอย่างหนึ่ง และทีมภัณฑารักษ์ทีมหนึ่งกลับไม่คิดอย่างนั้น คำพูดนี้จริงเพียงแค่บริบทของคนไทย ดีไซเนอร์ไทยมีความสามารถพิเศษในการสร้างสรรค์ผลงานที่สอดคล้องกับปัจจัยทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจและสภาพอากาศของประเทศ การสร้างผลงานที่เชื่อมต่อกับวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับโลกทั้งโลกนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก ดีไซเนอร์ไทยรู้จักตอบโจทย์ด้วยวิสัยทัศน์แบบโมเดิร์น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงเคารพในวัฒนธรรมของตนเอง ผลงานพวกเขามีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างและแปลกใหม่อยู่เสมอ

และมหกรรมดีไซน์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ บรรณาธิการบริหารลอปติมัมไทยแลนด์ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วย ซึ่งงานนี้เปรียบเสมือนเทศกาลดีไซน์ประจำของปารีสที่จัดมาครบ 15 ปีแล้วในปีนี้ ‘D’Days สนับสนุนดีไซน์ทุกประเภท ตั้งแต่กราฟิกดีไซน์ ไปจนถึงงานออกแบบอุตสาหกรรม ศิลปะ ไปจนถึงดีไซน์สำหรับชีวิตประจำวัน’ เรอเน่-ฌากส์ เมเยอร์ ประธานของ D’Days กล่าว

“เทศกาลนี้จัดขึ้นเมื่อ 15  ปีก่อน เมื่อแบรนด์และโชว์รูมต่างร่วมกันเปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ๆ ได้มีพื้นที่แสดงผลงานของพวกเขาในปารีส โดยในปีแรกนั้นมีมีแบรนด์เข้าร่วมเพียง 15 แบรนด์ ตอนนี้เรามีนิทรรศการของแบรนด์มากกว่า 100 แบรนด์ที่จัดแสดงทั้งในใจกลางกรุงปารีสและบริเวณชานเมือง”

เทศกาล D’Days คือการผสมผสานวัฒนธรรมเข้ากับเศรษฐกิจโดยมุ่งเผยแพร่ผลงานด้านดีไซน์และงานฝีมือของแบรนด์ แกลเลอรีรวมถึงโรงเรียนเรื่อยไปที่มูลนิธิต่างๆ งานนี้จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางที่ทำให้นักเรียน ดีไซเนอร์ ภัณฑารักษ์ คนจากแกลเลอรีรวมถึงสื่อต่างๆ จากทั่วโลกได้มาพบเพื่อสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างดีไซน์และงานฝีมือในวัฒนธรรม หากไม่พูดถึงความพิเศษอีกอย่างหนึ่งในงานนี้ก็คงไม่ได้ เพราะประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศรับเชิญประจำปี เป้าหมายล่าสุดของ D’Days คือการนำผลงานดีไซน์มาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเพื่อให้คนทั่วโลกเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น และองค์กรต่างๆที่เป็นพันธมิตรทั้งประเทศไทยและฝรั่งเศสได้รับเชิญให้นำผลงานไปจัดแสดงในงานที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-7 มิถุนายน 2558 นี้ด้วย

ภาพบรรยากาศวันแรกของงาน D’Days โดยทีมลอปติมัมไทยแลนด์

loptimum th12

lopt th 2

loptimum th16

loptimum th17

loptimum th4

lopt th4

loptimum th 01

loptimum th03

loptimum th3

loptimum th13

loptimum th14

loptptptp

lopt th3

loptimum th2

lopt th 1

loptimum th1

loptimum th11 copy

loptimum th10

loptimum th9

loptimum th8

loptimum th7

loptimum th6

loptimum th5

loptimum th18

loptimum th19

loptimum th20

loptimum th21

loptimum th22

loptimum th24

loptimum th25

loptimum th27

loptimum th26

loptimum th23

การจัดแสดงผลงานของดีไซเนอร์ไทยในเทศกาล D’Days จะจัดแสดงในย่านเลอ มาเร่ส์ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยส่วนหนึ่งของดีไซน์เนอร์ที่เข้าร่วมจัดแสดงผลลงานในคราวนี้ได้แก่ ดวงฤทธิ์ บุนนาค, Thinkk Studio, อนุทิน วงศ์สรรคกร, กรกต อารมย์ดี, 56th Studio และโยธกา ศรันย์ เย็นปัญญา รวมไปถึงสถาปนิกและดีไซเนอร์ชั้นนำอีกหลายคน โดยงานบางส่วนเป็นผลงานที่ดีไซเนอร์สร้างขึ้นเอง ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นงานคอมมิชชั่นสำหรับเทศกาลนี้โดยเฉพาะ

lopt th2

lopt th1

lopt ddays20

lopt ddays21

lopt ddays23

lopt ddays25

lopt ddays24

lopt ddays31

lopt ddays33

lopt th3

lopt th4

lopt th5

lopt th6

lopt th7

lopt th8

lopt th9

lopt th10

lopt th11

lopt th12

lopt th13

lopt th14

lopt th15

lopt th17

lopt th18

lopt ddays34

lopt th19

lopt th20

lopt th21

lopt ddays35

lopt ddays36

lopt ddays27

lopt ddays26

lopt ddays28

lopt th22

lopt th23

lopt th24

lopt th25

lopt th26

ภายในของนิทรรศการป็อบอัพในย่าน Marais ซึ่งจัดแสดงผลงานการออกแบบสุดล้ำที่ทำด้วยมือทุกขั้นตอน ของ 2 นักออกแบบชาวฝรั่งเศสจาก Studio Brichet Ziegler

lopt th27

lopt th28

lopt th29

lopt th30

lopt th32 copy

lopt th33

lopt th35

lopt th34 copy

lopt th36

lopt th37

lopt th38

lopt th39

lopt th41

lopt th42

lopt th43

lopt th44

lopt th45

lopt th46

lopt th47

lopt th48

lopt th49

lopt ddays1

lopt ddays2

lopt ddays3

lopt ddays4

lopt ddays5

lopt ddays6

lopt ddays7

lopt ddays8

lopt ddays9

lopt ddays10

lopt ddays11

lopt ddays12

lopt ddays13

lopt ddays15

GO INSIDE VINCENT VAN GOGH’S VIRTUAL WORLD

การตีความเสมือนจริงจากผลงานภาพวาดของ Vincent van Gogh ด้วยเทคโนโลยี Virtual Reality

หลายคงเคยเห็นผลงานศิลปะในรูปแบบ Virtual Reality (VR) มาพอสมควร แต่ยังไม่เคยมีผลงานชิ้นไหนเข้าใกล้คำว่าผลงานชิ้นเอกเลย วันนี้ Mac Cauley ได้ทำมันขึ้นมาแล้ว กับผลงานที่ใช้ชื่อว่า The Night Cafe โดยนำภาพวาดของวินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตกรชาวเนเธอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 19 ยุคเอ็มเพรสชั่นนิส ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปะสมัยใหม่ มาใส่เทคโนโลยีเสมือนจริง VR headset แล้วพาเราไปเดินเล่นในภาพวาด Le Café nuit จากมุมมองของแวนโก๊ะขณะที่วาดภาพ ทั้งรัศมีรอบแสง กำแพง วัตถุและฉาก รวมถึงความรู้สึกที่แสดงผ่านแววตานั้น ล้วนเป็นภาพฝีแปรงของเขาทั้งสิ้น ผลงานชิ้นนี้ใช้ภาพวาดหลายภาพของแวนโก๊ะมาประกอบกัน รวมถึงภาพ Self-portrait อันโด่งดังของเขาด้วย ถึงแม้ว่าในวิดีโอด้านล่างนี้จะไม่ได้มี Starry Night ผลงานอีกชิ้นที่มีชื่อเสียงก็ตาม แต่มันก็เจ๋งไม่ใช่น้อย ใช่ไหมล่ะ!!

วินเซนต์ แวนโก๊ะ

จิตกรชาวเนเธอร์แลนด์ ในศตวรรษที่ 19 ยุค เอ็มเพรสชั่นนิส ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปะสมัยใหม่ ทุกวันนี้ผู้คนทั่วโลกต่างรับรู้ถึงชื่อเสียงที่โด่งดังของเขาเป็นอย่างดี แต่ตัวแวนโก๊ะเองไม่เคยได้รับรู้ความจริงข้อนี้เลย ตลอด 10 ของการเป็นศิลปิน เขาสร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมัน 864 ภาพ และภาพวาดอีกกว่า 1,200 ภาพ แต่มีเพียงภาพเดียวเท่านั้นที่ขายได้ตอนแวนโก๊ะยังมีชีวิต คือภาพ The Red Vineyards ในราคาเพียง 13,000 บาท เขาอยู่แบบลำบากด้วยเงินจุนเจือจาก Theo van Gogh น้องชาย สิ่งหนึ่งแวนโก๊ะ ไม่เคยรับรู้เลยก็คือคุณค่าและมูลค่าของผลงานที่เขาทิ้งไว้ อย่างเช่น ภาพวาดสีน้ำมันดอกทานตะวันอันโด่งดัง มีมูลค่าสูงถึง 2,549 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นภาพที่แพงที่สุดในยุคนี้ต้องยกให้ภาพพอร์ทเทต ออฟ ด็อกเตอร์ พอล กาเชต ที่มีมูลค่ามากถึง 4,500 ล้านบาท หลายผลงานยังติดอันดับภาพเขียนแพงที่สุดในโลก ศิลปินหลายคนมีชื่อเสียงด้านผลงาน แต่แวนโก๊ะเป็นศิลปินที่โดดเด่นทั้งเรื่องผลงานและประวัติชีวิต จนเราได้เห็นเรื่องราวของเขาโล้นแล่นอยู่ในหนังสือ นวนิยาย และภาพยนตร์หลายเรื่อง

loptimum van f

ข้อแตกต่างระหว่าง VR Headset กับการมองแบบทั่วไป
ปกติการมองหน้าจอของเรา สามารถมองเห็นวิวโดยรอบได้สูงสุดแค่  40 องศา แต่ถ้าใช้ VR Headset มุมมองของผู้ใช้จะถูกเพิ่มขึ้นมากถึง 110 องศา เหมือนกับใช้ตาจริงๆในการมอง นอกจากนั้น VR Headset ยังตรวจจับการเคลื่อนไหวทำให้สามารถมองในหลากหลายมุมได้ โดยจะมีระบบช่วยในการมองที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองไปตามองศาที่ผู้ใช้หันไป และยังแสดงภาพในรูปแบบสามมิติด้วย

van-gogh-gif

’80s’ NEW YORK STREET STYLE

แฟชั่นตามแบบฉบับยุค 1980s มีนิยามว่าเป็นแฟชั่นของกลุ่มคนระดับสูง หมายถึงกลุ่มคนทำงานในแวดวงการเงิน อาศัยอยู่ใจกลางเหล่าเมืองหลวง และใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย หมกมุ่นกันอยู่กับหน้าที่การงานและความสำเร็จคลั่งไคล้การครอบครองสิ่งของ เป็นพวกวัตถุนิยมสุดโต่ง และแม้ว่าจะต้องเผชิญช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี ค.ศ 1987 กลุ่ม Yuppie หรือ Golden Boy ก็สามารถดูแลให้หน้าที่การงานอยู่รอดปลอดภัยได้ ความสามารถในการเอาตัวรอดจากช่วงเศรษฐกิจตกต่ำถือเป็นคุณสมบัติที่พวกเขาจะต้องโชว์ให้คนเห็น รถกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของความสำเร็จ เสื้อผ้าตัดเย็บชั้นเยี่ยมไม่ใช่ความหรูหราซึ่งพวกเขาพยายามจะอวดอ้าง แต่มันคือความอุดมสมบูรณ์ของชีวิต หลังเกิดภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีชีวิตที่พร้อมดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และที่นิวยอร์กจะเกิดกลุ่มคนประเภทที่เรียกว่า ‘Lo life’ ซึ่งเดินทางจากบรูคลินตอนบ่ายวันเสาร์มาเดินซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อ Ralph Lauren จากห้าง Macy’s เนื่องจากแบรนด์นี้ถือเป็นยูนิฟอร์มของคนกลุ่มนี้ อันเป็นที่มาของชื่อ Lo Life ที่นำคำว่า Lo จากเชิ้ตโปโล มาใช้เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของพวกเขา ใส่กันให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหากใครใส่ราล์ฟ ลอเรนก็หมายถึงพวกโลไลฟ์

คนพวกนี้มีสิทธิ์มีสไตล์เหมือนกัน ไม่ว่ารุ่นไหน อายุเท่าไหร่ ทำงานอะไรจะหนุ่มบีบอย พ่อค้า ต่างมีรองเท้าผ้าใบตามเทรนด์ คนทุกชนชั้นต่างทำสิ่งเดียวกัน เกิดเป็นคนรุ่นใหม่ประเภท ‘บ้าแบรนด์’ ที่พุ่งเข้าใส่ยี่ห้อซึ่งกำลังเป็นที่นิยม โลโก้ที่ว่าฮิต สัญลักษณ์ตัวย่อของแบรนด์ต่างๆนานา โดยเฉพาะแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาและแบรนด์อเมริกัน ความนิยมของคนกลุ่มมากพบเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนน

เห็นได้จากภาพถ่ายขาว-ดำในช่วงสัปดาห์แฟชั่นของนิวยอร์กเมื่อปี 1980s โดยช่างภาพในตำนาน Amy Arbus

NY LOPT THA 3

NY LOPT THA 4

NY LOPT THA 5

NY LOPT THA 2

NY LOPT THA 8

NY LOPT THA 9

NY LOPT THA 10

ภาพขวา Elke Koska

NY LOPT THA12

NY LOPT THA 13

08073_p16+17

Madonna

NY LOPT THA 7

The Clash

FIFTY CHEFS

เรามักยุ่งกับรับประทานอาหารอย่างอร่อยในร้านโปรด ผ่านความตั้งใจปรุงแต่งสุดมือด้วยมือทั้งสองของเชฟผู้ชำนาญการเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด และนี่คือจุดเริ่มต้นของนิทรรศการที่รวบรวมสุดยอดภาพถ่ายของ Katie Wilson บอกเล่าเรื่องราวร่องรอยบาดแผลอันสวยงามบนมือของพ่อครัวกว่า 50 ชีวิต ผ่านภาพถ่ายสีขาวดำ

lopt th fifty chefs123

Katie Wilson เริ่มความคิดจะถ่ายภาพมือพ่อครัวเมื่อ 10 ปีก่อน โดยให้เหตุผลว่ามือของพวกเขามีบาดแผลที่น่าตื่นตา ตื่นใจ ทั้งร่องรอยการเผาไหม้ อุบัติเหตุ และที่สำคัญมือของพ่อครัวมีความหยาบกร้าน ต่างจากมือหมอ มือนักธุรกิจ มือนักออกแบบและนั่นมันคือความสวย

lopt th fifty chefs4

เชฟ Nuno Mendes จากร้าน Chiltern Firehouse

lopt th fifty chefs5

เชฟ Vivek Singh จากร้าน the Cinnamon Club

lopt th fifty chefs 1

เชฟ Antonio Carluccio จากร้าน Carluccio’s

11-dabbous_ollie_port_ff-e1426869821785

เชฟ Ollie Dabbous จากร้าน Dabbous

lopt th fifty chefs2

เชฟ Brett Graham จากร้าน the Ledbury

lopt th fifty chefs3

เชฟ Rose Gray จากร้าน the River Cafe

lopt th fifty chefs6

Justin Piers จาก St John แกลลอรี Justin Piers

lopt th fifty chefs7

เชฟ Ian Overall จากร้าน Middle Temple

รายได้ที่ได้จากการจัดแสดงครั้งนี้จะนำไปบริจาคให้องค์กร FareShare ของลอนดอน สามารถเข้าชมได้ที่ Londonnewcastle Project Space ตั้งแต่วันที่ 3-16 เมษายน 2015

‘AMY’ AMY WINEHOUSE DOCUMENTARY

‘I don’t think I’m going to be at all famous’ คือบทสัมภาษณ์ของเอมี่ ไวน์เฮาส์ หลังจากที่อัลบั้ม Back to Black ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกวาดรางวัลแกรมมี่ในปี 2007 ไปได้ถึง 5 สาขา และไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าจะเป็นอัลบั้มสุดท้าย

lopt th amy 3

ศิลปินสาวที่โดดเด่นด้วยสไตล์การแต่งตัวยุค 1960s และได้รับการจดจำในแง่ของพรสวรรค์ทางดนตรีอันล้นเหลือ อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก Frank ออกวางจำหน่ายในปี 2003 เป็นการรวบรวมคลุกเคลาส่วนผสมของดนตรีหลากหลายแนว โดยเอมี่รับหน้าที่แต่งเพลงในอัลบั้มนี้เกือบทั้งหมด เป็นอัลบั้มที่พาเอมี่เข้าสู่วงการเพลงอย่างเต็มตัว และปี 2006 กับอัลบั้มในตำนาน Back to Black ที่ผสานแนวเพลงทั้ง โซล, แจ๊สส์, ร็อค และคลาสสิกป๊อป ถือเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจนคว้ารางวัลจากนักวิจารณ์มามากมาย

loptimum th amy1

หากบางครั้งคุณแอบฮัมเพลงของเอมี่ ไวน์เฮาส์ ตอนขับรถ (สารภาพเลยว่าขณะพิมพ์นักเขียนกำลังเปิดเพลง Back to Black) นี่คือภาพยนตร์สารคดีที่แฟนเพลงผู้คลั่งไคล้เธอไม่ควรพลาด โดยจะพาไปรู้จักอีกด้านของชีวิตเธอและเชื่อว่าหลายยังไม่เคยเห็น ทั้งเบื้องหน้าที่เธอยืดสง่าอยู่บนเวทีไปจนถึงอีกด้านหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ ผ่านการถ่ายทอดแบบตรงไปตรงมาที่สุด และจะมีการใช้ฟุตเทจจากภาพ รวมไปถึงวีดีโอที่ไม่เคยถูกเผยแพร่มาก่อน โดยฝีมือการกำกับของ อาซิฟ คาพาเดีย ผู้เคยคว้ารางวัลบาฟต้า จากสารคดี Senna เรื่องราวของ ไอร์ตัน เซนนา นักแข่งรถฟอร์มูล่า 1 ระดับท็อปชาวสเปน ที่เสียชีวิตระหว่างแข่งขันมาแล้ว

ตัวอย่างแรกของภาพยนตร์สารคดี AMY

ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้มีกำหนดฉายที่ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 3 ก.ค. ปี 2015 นี้ ส่วนคอหนังและแฟนเพลงชาวไทยต้องรอติดตามข่าวกันต่อไป

DANIEL BECKERMAN RUN FOR SUPER

เราอาจจะเคยเห็นดาราดังหลายคนใส่แว่นที่เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ แดเนียล เบกเคอร์แมน ผู้ก่อตั้งแบรนด์แว่นตากันแดด SUPER แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไว้ก่อนอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ลองมาดูกันหน่อยสิว่า อะไรทำให้อัจฉริยะทางดีไซน์ผู้นี้ ‘หยั่งรู้’ ถึงปรากฎการณ์เช่นนี้ได้

super loptt

จากสายเลือดจารีตนิยมแบบอิตาเลียนจากฝั่งแม่ และจริตผู้ดีแต่รักความแปลกใหม่แบบอังกฤษของพ่อ ทำให้แดเนียล เบคเกอร์แมน ได้รับอิทธิพลมาจากบุพการีทั้งสองมาอย่างเต็มที่ การผสมรวมของความคิดทั้งสองขั้วทำให้เขาเกิดแบรนด์แว่นที่ดังระดับโลกอย่าง Super (ที่ก่อตั้งในนามบริษัท Retrosuperfuture ตั้งแต่ปี 2007) ความโดดเด่นในผลงานระดับโลกของเราการันตีเรื่องคุณภาพที่ผลิตในอิตาลี 100 เปอร์เซ็นตื บวกกับดีไซน์แบบอวองต์-การ์ด และสีสันที่ไม่เหมือนใคร ทำให้แว่นของเขาเป็นเหมือนผลงานศิลปะบนใบหน้าที่มัดใจคนได้ทั่วโลก สามารถขยายไปทั่วโลกมากกว่า 350 สาขา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการแว่น ลูกค้าที่เป็นระดับเซเลบริตี้ของเขามีตั้งแต่ ดาฟต์-พังก์, เซียนนา มิลเลอร์, โยโกะ โอโนะ, คาลา เดลาวีน, ริอานนา, บิยอนเซ, เจสซิกา อัลบา, คานเย เวสต์ ถึงแม้แว่นของเขาจะโด่งดังในวงการเสียขนาดนี้ แต่ความเจ๋งของแดเนียลคือ ‘เขาไม่เคยเอาผลงานของเขาไปโฆษณาแฝงในภาพยนตร์หรือโทรทัศน์แม้แต่ครั้งเดียว’

loptimum super 1

loptimum super 2

เขาแต่งตัวสบาย แค่เสื้อยืดและกางเกงยีนส์ผมสั้นๆ แบบเด็กผู้ชายทั่วไป และไม่มีรอยสัยแม้แต่ที่เดียวในตัว คำว่า ‘เทรนดี้’ คงจะไม่เหมาะหากเราจะนิยามบุคคลิกของเขา เพราะคำว่า ‘คูล’ ดูจะเหมาะกว่าในการอธิบายความเป็นแดเนียล เพราะทุกชิ้นที่เขาใส่ ทุกอย่างที่เขาทำ ล้วนแต่มีความหมายทั้งนั้น เขาอยากให้ตัวเองเป็นเทรนด์ เซ็ตเตอร์ ไม่ใช่เหยื่อของการตลาดแฟชั่น เขาเคยบอกว่า ‘จริงๆผมไม่ได้คลั่งไคล้แฟชั่นมากขนาดนั้น’ ในฐานะนักธุรกิจอายุน้อยที่กระโดดเข้าโลกของการแข่งขันทั้งๆที่มีประสบการณ์ในการบริหารงานเพียงน้อยนิด แต่มีหัวใจของการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม รวมทั้งต้องเริ่มคิดคำนวนตัวเลขด้วย

super lopt 18

‘มันเริ่มมาจากการที่ผมมีความคิดที่อยากจะทำอะไรสักอย่าง เราต้องสร้างอะไรขึ้นมาเองจากความเป็นไปได้ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นผมคงไม่สามารถพัฒนามันไปได้ต่อ ในอีกด้านหนึ่งผมพยายามคิดเป็นแบบขั้น เป็นตอนและเป็นวิทยาศาสตร์เหมือนอย่างที่ ลีโอนาร์โด ดา วินชี ผสมผสานศิลปะและวิทยาศาสตร์ได้อย่างลงตัว’

ก่อนที่แดเนียลจะก้าวเข้ามาเป็นนักธุรกิจอย่างเต็มตัว เขาเคยเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมอยู่ที่โรงเรียนโพลีเทคนิกที่เมืองมิลาน เค้าสารภาพว่า ‘ตอนนั้นผมไม่ค่อยตั้งใจเรียน รู้สึกเสียเวลาชีวิตไปมาก เลยตัดสินใจบินไปที่ลอสเองเจลิสและลอนดอน ทั้งไปเที่ยวแล้วก็ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ หลังจากนั้นก็กลับมาอิตาลี ปรึกษากับพี่ชายว่าอยากจะหาอะไรสักอย่างทำ สุดท้ายเราก็ได้เริ่มทำงานออกแบบกัน เป็นงานออกแบบไอคอนสำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ต่อมาพวกเราก็เริ่มทำนิตยสารที่มีชื่อว่า PIG เป็นนิตยสารอินดี้ที่นำเสนอทั้งเรื่องแฟชั่น เพลง การแต่งตัว รวมทั้งเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ (ปัจจุบันก็ยังทำอยู่) หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มในวงการนิตยสารเริ่มอยากจะทำโปรเจคตัวเองขึ้นมาบ้าง ในที่สุดเขาก็คิดถึงการทำแว่นตาขึ้นมา’

super lot11

‘ผมสนใจโลกของมนุษย์เงินเดือนนะ พวกเขาเป็นคนที่น่าสงสารเพราะตอนนี้มีแต่คนสนใจแต่สินค้าไฮแบรนด์ พอผมมองเห็นช่องว่างตรงนี้ที่น่าจะไปต่อได้ ผมบอกตัวเองเลยว่า ถ้าอย่างนั้นตัวผมนี่ล่ะที่จะเป็นคนทำเพื่อพวกเขาเอง’ แล้วเขายังกล่าวอีกว่า ‘ราคาสินค้าในแบรนด์ระดับสูง ก็แพงลิ่วจนซื้อไม่ได้ ส่วนร้านที่วางขายอยู่ข้างนอก คุณภาพก็แย่เกินกว่าจะใส่ได้เหมือนกัน’

ความท้าทายได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อความคิดของเขากำลังจะกลายเป็นจริง เขานึกอยู่สักพักและบอกว่า ‘ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าจริงๆแล้ว เราเริ่มมาจากตรงไหน ผมเคยเปิดสมุดหน้าเหลือง เพื่อลิสต์รายชื่อแว่นที่มีอยู่ทั้งหมด และโทรไปหาพวกเขาทีละร้าน คนใกล้ตัวรวมทั้งเพื่อนของผมมองว่า ผมคงจะบ้าไปแล้ว ไม่มีใครเชื่อผมเลย ยกเว้นแม้ เธอเป็นกำลังใจให้ผมเสมอ พวกเราช่วยเปิดสมุดหน้าเหลือง ไปหน้าแล้วหน้าเล่า แถมแม่ยังบอกให้ผมจดเบอรืทุกร้านให้ครบด้วย’

SUPER 11

ความท้าทายครั้งใหม่ของเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อสิ่งที่เขาต้องเผชิญนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องงาน ‘ตอนนี้ผมลดเวลาในการทำงานน้อยลงกว่าเดิมแล้วครับ เพราะผมต้องเสียเวลาไปกับงานใหม่ที่ต้องทำเพิ่มตอนกลางคืน แต่เป็นงานที่ผมมีความสุขมากๆ ผมลดเวลาของตัวเองลง เพื่อทุ่มให้กับโปรเจคใหม่ของผม อยากรู้ไหมล่ะว่าอะไร ก็ลูกสาวผมยังไงล่ะครับ!! เห็นไหมล่ะว่าการทำแว่นตาทำให้เขาเป็นคนวิสัยทัศน์และมองการไกลจริงๆ’

Super Spring/Summer 2015

super lopt10

Listen Now! James Bay, Hozier and Tove Lo

3 ศิลปินที่น่าจับตามอง Hozier, Tove Lo และ James Bay พร้อมกับอัลบั้มพิเศษ….

Hozier
หนุ่มผมยาวมาดเซอร์จากค่าย Island records เติบโตมาจากครอบครัวนักดนตรีที่หลงใหลในสไตล์บูลล์และโซล เป็นที่รู้จักมากขึ้นหลังจากเพลง From Eden เพลงช้าบาดใจมากระแทกใจสาวๆ (ที่จริงอยู่เฉยๆก็กระแทกใจสาวแล้ว) แถมความดังยังถูกเชิญให้ขึ้นโชว์เพลง Take Me To Church บนเวทีเดินแบบของเหล่านางฟ้า Victorias’ Secret Fashion Show 2014 ล่าสุดปลายปีที่แล้ว Spotify ได้ประกาศว่า เพลง Take Me To Church ของเขาอันไปอยู่อันดับ 1 ที่มีผู้แชร์มากที่สุดทั่วโลกในปี 2014 และยังครองท็อปชาร์ททั่วโลก มากกว่า 87 ล้านสตรีมมิ่ง ล่าสุดได้ปล่อยแทร็ก Work Song” พร้อมขึ้นโชว์ในรายการ The Tonight Show Starring Jimmy Fallon เรียกได้ว่าปี 2014 เป็นการแจ้งเกิดอย่างสวยงามของเขาก็ว่าได้

Hozier 2

Tove Lo
นักร้องสาวจาก สตอกโฮล์ม ผ่านการทำงานในแวดวงดนตรีมาแล้วกี่ปี เราจะไม่พูดถึง รู้แค่ว่าเธอเคยเขียนเพลงใฟ้ศิลปินที่มีชื่อเสียงมาแล้วมากมายทั้ง Icona Pop, Gavin Degrew, Girls Aloud หรือ Cher Lloyd และแทร็กที่ทำเธอกลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่น่าจับตามองก็คือ Habits (Stay High) จากอัลบั้ม Queen of the Cloud เพลงอกหัก ประชดชีวิตด้วยการ ‘เมา’ หัวราน้ำ แต่ในที่สุดก็ได้คำตอบว่าการเมาไม่ใช่ทางออกเสมอไป (จำไว้นะ) กลายเป็นเพลงชาติประจำสาวอกหักไปแล้ว และยังคว้าสองรางวัลใหญ่จากเวที Swedish Grammis หรือรางวัลแกรมมี่ของสวีเดน ทั้ง Song of the Year – Habits (Stay High) และ Artist of the Year

Tove Lo 5

Tove Lo (โทฟ โล) นักร้องสาวจาก สตอกโฮล์ม ผ่านการทำงานในแวดวงดนตรีมาแล้วกี่ปี เราจะไม่พูดถึง รู้แค่ว่าเธอเคยเขียนเพลงใฟ้ศิลปินที่มีชื่อเสียงมาแล้วมากมายทั้ง Icona Pop, Gavin Degrew, Girls Aloud หรือ Cher Lloyd และแทร็กที่ทำเธอกลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่น่าจับตามองก็คือ Habits (Stay High) จากอัลบั้ม Queen of the Cloud เพลงอกหัก ประชดชีวิตด้วยการ ‘เมา’ หัวราน้ำ แต่ในที่สุดก็ได้คำตอบว่าการเมาไม่ใช่ทางออกเสมอไป (จำไว้นะ) กลายเป็นเพลงชาติประจำสาวอกหักไปแล้ว และยังคว้าสองรางวัลใหญ่จากเวที Swedish Grammis หรือรางวัลแกรมมี่ของสวีเดน ทั้ง Song of the Year – Habits (Stay High) และ Artist of the Year

James Bay at Koko in London

James Bay
คลื่นลูกใหม่สัญชาติอังกฤษจากค่าย Republic Records ผู้ชนะปีล่าสุดของ BRITs Critics Choice Award และอันดับ 2 ใน BBC 1 Sound of 2015 แถมยังเคยเล่นเป็นวงเปิดให้กับวง The Rolling Stones ที่ Hyde Park หลังจากนั้นก็ถูกเชิญไปเล่นเป็นวงเปิดให้กับ Kodaline, John Newman และ Tom Odell และเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์ของ Burberry Prosum Spring/Summer 2015 เจมส์ เบย์ยังมีโอกาสได้ร่วมเล่นเพลงอคูสสิกที่เขาแต่งเองอีกด้วย อัลบั้มเดบิวต์ Chaos and the Calm ทั้ง 12 รวมถึงซิงเกิ้ล Hold Back The River มาพร้อมจิตวิญญาณความเป็นศิลปิน

James Bay at Koko in London

ทั้ง 3 อัลบั้มจาก 3 ศิลปิน สามารถดาวน์โหลดบน iTunes ในราคาพิเศษตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคมนี้เท่านั้น
James Bay – Chaos And The Calm ในราคา 5.99 USD (ประมาณ 180 บาท)
iTunes: http://po.st/iTChaosAndTheCalm
Tove Lo – Queen Of The Clouds ราคา 4.99 USD (ประมาณ 150 บาท)
iTunes: http://po.st/iTQueenofTheClouds
Hozier – Hozier ราคา 6.99 USD (ประมาณ 210 บาท)
iTunes: http://po.st/iTHozier

Unseen Photos of John Lennon and Yoko Ono

john9

ผู้จัดทำหนังสือศิลปะ Taschen รวบรวมภาพถ่าย จอห์น เลนนอน และภรรยา โยโกะ โอโนะ ที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนกว่า 800 รูป ถ่ายโดยช่างภาพชาวญี่ปุ่น Kishin Shinoyama ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นภาพถ่ายที่ถ่ายพร้อมกับอัลบั้มสุดท้าย Double Fantasy ณ เซ็นทรัล ปาร์ค นิวยอร์ก 3 เดือนก่อนหน้าที่จอห์น จะถูกยิง

john14

ภาพถ่ายแต่ละภาพที่ออกมาจากเลนส์ของ Kishin Shinoyama ล้วนเป็นภาพที่สะท้อนความรู้สึกในมุมมองที่แตกต่างและถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับยกย่องจากนักวิจารณ์จากญี่ปุ่น และโฟโต้บุ๊คของเขาล้วนเต็มไปด้วยภาพถ่ายของเหล่าคนดังมากมายและหนึ่งในนั้นคือภาพฉลองปกอัลบั้ม 1980 เป็นอัลบั้มที่ถ่ายเมื่อสามเดือนก่อนที่จอห์นจะเสียชีวิต 30 ปีต่อมาภาพถ่ายเหล่านั้นก็ยังไม่เคยถูกเผยแพร่ให้ใครได้เห็นมาก่อน

Kishin Shinoyama เกิดในกรุงโตเกียวปี 1940 เขาเริ่มถ่ายภาพโฆษณาสมัยเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยนิฮอน หลังจากนั้นผันตัวมาเป็นช่างภาพอิสระในปี 1968 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มถ่ายภาพให้บุคคลสำคัญ

john14

john11

john8

john12

john3

john5

john6

john10

john13

John1

john4

john2

หนังสือเล่มนี้จะรวบรวมภาพถ่ายที่คุณไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนกว่า 800 รูป

What Where When Why

1 copy

การเดินทางทำให้เราพบเจอสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ งานศิลปะก็ทำให้เราพบเจอสิ่งแปลกใหม่ได้เช่นกัน เมื่อการเดินทางและศิลปะแรงบันดาลใจอันเปี่ยมล้นก็บังเกิดขึ้นเป็นผลงานล้ำค่าของ ตุลย์ หิรัญญลาวัลย์ ช่างภาพอายุน้อยที่มีใจรักการเดินทาง และเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของนิทรรศการภาพถ่าย What Where When Why ที่รวบรวมความคิด ความรู้สึก ความทรงจำผ่านพื้นที่ทางจินตนาการร่วมกับกล้องถ่ายภาพ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ในสถานที่ต่างๆ ลองหลีกหนีความวุ่นวายในชีวิต มาพินิจผลงานที่อาจจะทำให้คุณได้กลับสู่ความสงบเพื่อมีแรงในการดำเนินชีวิตต่อไปอีกครั้ง

005.

009.

003.

052.

035.

036.

015.

049.

051.

055.

นิทรรศการ What Where When Why จัดแสดงตั้งแต่วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ ถึงอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม ณ The Jam Factory

G1 Contemporary curated by H Gallery

2222

H Gallery พื้นที่แสดงผลงานศิลปะชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย สร้างสรรค์แกลอรี่แสดงงานศิลป์สไตล์ ‘Fine Art’ แห่งล่าสุดใจบนทำเลที่ตั้งของศูนย์การค้าเกษร ย่านดาวน์ทาวน์ รวมถึงการถ่ายทอดรสนิยมผ่านภาพลักษณ์การตกแต่งสถานที่แบบมีระดับ

a1

a2

H Gallery นำเสอนนิทรรศการครั้งแรกของ วิลล์ โคลส ศิลปินชาวอังกฤษผ่านตัวตนในอดีตของเขาภาพใต้ชื่อ Disquiet ผลงานที่บอกเล่าความจริงในคราบลวงซึ่งพบเจอได้บนท้องถนนกรุงลอนในย่านแบบเดียวกับที่โคลสเติบโตมา และกระตุ้นให้เกิดอุปลักษณ์ของสิ่งที่คุ้นเคยในแบบที่แปลกออกไป

3

5

1

12

เสมือนเป็นจุดนัดพบที่เชื่อมความสร้างสรรค์ที่มีรสนิยมระหว่างศิลปิน ผลงานศิลปะ และนักสะสม เข้าไว้ด้วยกัน โดยนำเสนอผ่านนิทรรศการที่นำเสนอมุมมองในมิติใหม่ผ่านศิลปินไทยและระดับอินเตอร์ อาทิ สมบูรณ์ หอมเทียนทอง มิตร ใจอินทร์ รวมถึง วิลล์ โคลส ศิลปินชาวอังกฤษที่นำเสนอภาพเขียนในนิทรรศการ Disquiet ภาพเขียนเชิงมโนทัศน์ที่ซับซ้อนด้วยปริศนาเรื่องราวของภาพลวงตา

ๅจ

9

8

H Gallery เปิดให้ผู้ที่รักศิลปะได้เข้าสัมผัสความหมายที่แฝงไว้ในบริบทต่างๆ ที่ศิลปินต้องการสะท้อนผ่านแนวคิดในผลงานแต่ละชิ้น ได้ทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2558 ณ ชั้น G ศูนย์การค้าเกษร ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 ไปต้นไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย