คุณรู้จักเจมส์-จิรายุตั้งศรีสุขในบทบาทอะไรบ้างคุณชายพุฒิภัทรวันเฉลิมศรัณย์รเมศนายแพทย์ปุริมมานะแน่นอนว่าการเป็นนักแสดงฝังติดมากับชื่อของเจมส์-จิรายุแบบแยกไม่ออกแต่เจมส์ก็ยังมีบทบาทอื่นๆในชีวิตที่น่าสนใจไม่แพ้กันทั้งหนอนหนังสือคนบ้ากาแฟนักวิ่งมาราธอนแบรนด์แอมบาสเดอร์ของห้องเสื้อระดับตำนานคนรักไปจนถึงบุคคลที่เป็นแหล่งรวมใจของแฟนๆ ในครั้งนี้ที่เราได้เขามาขึ้นปกถ่ายแบบกับ DIOR MEN จึงถือโอกาสคุยกับเจมส์ถึง 9 แง่มุมในชีวิตที่มีความหมายต่อตัวเขา

Acting
กว่า 10 ปีบนเส้นทางนักแสดงสิ่งที่เจมส์ได้เรียนรู้จากอาชีพนี้คืออะไร
“ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจมี 2 ส่วน หนึ่งคือการใช้ชีวิตในกองละครหรือภาพยนตร์ อีกส่วนคือการอยู่นอกกองตอนเราเจอผู้คน ในกองเป็นส่วนที่ให้ประสบการณ์เยอะที่สุดเลย พอเราเป็นนักแสดง เราจำเป็นต้องทำอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวละคร เป็น นั่นหมายความว่าเรามีโอกาสได้ไปเห็นและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เราอาจไม่ คิดจะไปทำ เช่น เล่นเป็นคุณหมอ สถาปนิก หรืออื่นๆ เราต้องเข้าไปเรียนรู้เพื่อเข้าใจบริบทนั้น และสะสมมุมพวกนี้เยอะขึ้น ทำให้ผมค่อนข้างสนุกกับกระบวนการเรียนรู้ เพราะทำให้เราได้เห็นกว้างขึ้น ได้เข้าใจสิ่งต่างๆ ดีขึ้น”
ตอนเป็นนักแสดงช่วงแรกๆเคยบอกว่ายากมากรู้สึกว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ของเราแต่พอทำมาเรื่อยๆก็ปรับตัวได้ดีขึ้นอยากรู้ว่าเป้าหมายของเจมส์ตอนนี้ต่างจากตอนนั้นไหม
“ทุกวันนี้ก็ยังยากอยู่ แต่สมัยก่อนมันยากมาก แค่จำบทแล้วไปพูดหน้ากอง ก็ยากสุดๆ แล้ว พอผ่านมาสักพักมันเหมือนกับทำงานประจำไปเรื่อยๆ เหมือนร่างกายมันจำแล้วว่าต้องปฏิบัติยังไง พอสักพักก็เริ่มพยายามหลีกหนีความ วิตกกังวลจากการแสดงไปหาเป้าหมายอื่นในช่วงนั้นๆ เช่น ในช่วงหนึ่งเป้าหมายอาจเป็นการทำงานให้ดีขึ้นในวงการบันเทิง การเซอร์วิสแฟนๆ การสรรค์สร้างงานใหม่ๆ ที่เราฝันหรือจินตนาการ ณ ช่วงเวลานั้น พอมันผ่านมาทั้งหมดถึงวันนี้ ผมว่ามันยังมีเป้าหมายแหละ แต่เป็นโมเมนต์ที่เบาขึ้น เข้าใจขึ้น ปล่อยวางได้มากขึ้น ที่ผมชอบคือ ณ เวลานี้เรายังพยายามทำเหมือนเดิม แต่เราก็รู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีหลายเหตุและปัจจัยมากๆ มันอาจจะไม่ใช่ตัวเราคนเดียว มีสิ่งอื่นๆ ที่ทั้งควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ นั่นหมายความว่าไม่ควรเอาเวลามาวิตกกังวล”
ผลงานใหม่เรื่องเจ้าคุณพี่กับอีนางคำดวงที่จะฉายปีนี้มีความพิเศษอย่างไร
“ส่วนตัวที่ผมชอบคือมันเป็นคอเมดี้ครับ ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมเล่นมา ผมได้รับบทเป็นคนขรึมๆ หล่อลอยมาเลย ผมอยากเล่นคอเมดี้มาตลอด แต่ถึงอย่างนั้น ในเรื่องนี้ผมก็ยังได้รับบทขรึมอยู่นะ แต่เราก็มีโอกาสได้เล่นคอเมดี้บ้างในบางฉาก เพราะว่าด้วยมวลเรื่องมันไม่ใช่ละครซีเรียส ต่อให้ตัวผมขรึม แต่ก็มีบางจังหวะที่เราเล่นคอเมดี้ได้ แค่นั้นผมก็แฮปปี้แล้วครับ มันไม่ใช่ละครที่โบ๊ะบ๊ะอะไรนะ แต่เป็นคอเมดี้ที่มีเส้นเรื่องค่อนข้างแข็งแรงมาก ผมรู้สึกว่าสนุกดี”


แล้วภาพยนตร์เรื่องท่าแร่เจมส์มาร่วมงานนี้ได้อย่างไร
“เรื่องนี้พี่คุ้ย (ทวีวัฒน์ วันทา) ผู้กำกับเรื่องธี่หยด ติดต่อมา พล็อตเรื่องค่อนข้างแปลกนิดหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นหนังสยองขวัญนะ และนี่เป็นแนวสยองขวัญ เรื่องแรกที่ผมเล่นเลย ละครก็ไม่เคยเล่นสยองขวัญ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่อำเภอชื่อท่าแร่ ในจังหวัดสกลนคร เขาให้ผมรับบทเป็นบาทหลวง ผมเลยงงนิดหนึ่งว่า มันมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง เขาก็อธิบายว่าท่าแร่เป็นชุมชนคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผมได้ไปเห็นมาแล้ว เป็นแบบนั้นจริงๆ นี่เป็นภาพยนตร์ที่…ถ้าถามว่าน่ากลัวมั้ย ก็น่ากลัว มีความต้องสืบสวนค้นหาด้วย สนุก”
Singing
เคยได้ยินว่าเจมส์อยากจริงจังกับการร้องเพลงเจมส์ชอบอะไรในการร้องเพลง
“ผมชอบตอนอยู่บนเวที ผมก็เคยไปคุยกับศิลปินที่เป็นนักร้อง เขาบอกว่ามันมีพลัง แต่ผมยังหาตรงนั้นไม่เจอนะ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเราชอบความเฮฮา ชอบการเอนเตอร์เทน และชอบปฏิกิริยาของคนที่ส่งกลับมา ผมรู้สึกว่ามันสนุกที่ได้รีแอคกับผู้คน เพราะเราทำงานกับหน้ากล้องมาตลอด แล้วพอเห็นรีแอคชั่นคนมันก็เลยอาจจะเติมเต็มเราได้ว่า เราเล่นไปคนเห็นเลยนะ คนชอบหรือไม่ชอบ”
แล้วเจมส์อยากทำงานร้องเพลงจริงจังในระดับไหน
“จริงๆ ตอนแรกผมอยากไปไกลมากเลย แต่ผมเคยทำแล้วไม่รอด (หัวเราะ) ผมว่าผมยังหาตัวตนไม่เจอ ยังคิดไม่ออกว่าถ้าทำเพลงเองจะอธิบายเนื้อหาประมาณไหน ดนตรีแนวไหน ตอนที่เริ่มจริงจังเป็นช่วงที่เริ่มโตแล้ว เนื้อหา ความหมาย ความรู้สึกไม่ฉูดฉาดเหมือนตอนวัยรุ่น ถ้าเราเทียบกับช่วง ม.ปลาย จนถึงมหาวิทยาลัย เราจะรู้สึกพลุ่งพล่าน มีมุมที่อยากเล่าเป็นมุมของตัวเอง เป็นมุมของเธอ พอโตขึ้นค่อนข้างประนีประนอมขึ้น กระบวนการคิดเลยกลายเป็นว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้มีคาแรกเตอร์ที่คนอื่นชอบดี มันเลยไม่ตรงประเด็นสักเท่าไร”

Fashion
ในความคิดของเจมส์แฟชั่นคืออะไร
“ผมรู้สึกว่ามันเป็นการแสดงออกถึงตัวตนของเรา ถ้าเป็นสมัยก่อนมันจะมี เทรนด์ แบบเทรนด์นี้มานะ เทรนด์นั้นมานะ แต่สมัยนี้ทุกคนมีอัตลักษณ์ของตัวเองชัดเจนมากว่าฉันจะไปในแนวกางเกงขาหลวม กางเกงขาเล็ก แล้วเสื้อ
จะแบบหลวมๆ หรือพอดีตัว หรือจะเนี้ยบ หรือจะเท่ ผมว่าในยุคสมัยนี้มันคือการแสดงว่าเรามีบุคลิกอย่างไร มีรายละเอียดอย่างไร ใส่ใจตัวเองมากแค่ไหน”
เจมส์ได้รับการแต่งตั้งเป็น House Ambassador ของ Dior ด้วยและทำงานด้วยกันมาถึง 3 ปีช่วยเล่าถึงความประทับใจใน Dior หน่อย
“Dior เป็นแบรนด์ที่น่ารักมาก และสนุกสนานทุกครั้งที่มีโอกาสได้ทำงานด้วยกันสิ่งที่ผมชอบคือลุคของ Dior ไปกันได้กับสไตล์ของผมโดยไม่ต้องฝืน ตอนแต่งงานผมก็ใช้ชุดของ Dior โดยเลือกจากลุคที่มีอยู่แล้วได้เลย และส่งไปคัสตอมต่อ”
Coffee
รู้มาว่าเจมส์ชอบกาแฟ
“เรียกว่าคลั่งไคล้ (หัวเราะ) ไม่ใช่คลั่งไคล้กาแฟนะครับ ผมคลั่งไคล้วิธีการทำกาแฟ เริ่มจากผมเพิ่งมากินกาแฟได้ไม่นาน ช่วงโควิดรอบแรก พอกินไปกินมาเริ่มรู้สึกว่า มันมีรสชาตินั้นรสชาตินี้ออกมา ค่อยๆ อินมาเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกว่าคงจะดีนะ ถ้าเราทำกาแฟแล้วได้รสชาติที่จินตนาการ หรือตามเทสต์โน้ตที่เขียนไว้ตรงถุง ค่อยๆ ศึกษา พอมีบ้านเลยตั้งใจว่าจะสร้างเคาน์เตอร์เอาไว้สกัดกาแฟ”
นอกจากอยากรู้รสชาติมีอะไรอีกไหมที่ทำให้เจมส์ชอบการทำกาแฟ
“จริงๆ ผมสนุกกับกระบวนการระหว่างทางในการเรียนรู้มัน อย่างกาแฟมันจะ ค่อนข้างไปไกลมาก เอาจริงๆ มันเริ่มตั้งแต่เมล็ดที่เพาะ แต่ถ้าเราเป็นปลายทาง เราไม่ได้คั่วกาแฟ พอมาถึงเราจะเป็นขั้นตอนการบด เครื่องประเภทไหนให้รสชาติอย่างไร ใช้ความเร็วเท่าไรต่อรอบต่อวินาทีที่จะสกัดออกมา แล้วเป็นลักษณัฐพนธ์ะไหน ความละเอียดของเบอร์บดจะเชื่อมโยงกับตอนสกัด การเกลี่ยกาแฟ การแทมป์ (การกดผงกาแฟในก้านชงกาแฟให้แน่น) ต่อมาก็มีเครื่องทำกาแฟ เรื่องน้ำ ว่าจะใส่แร่ธาตุ ใส่อะไรเข้าไป ด้วยระยะเวลา ด้วยแรงดันเท่าไร ผมไม่ได้ลงคอร์ส เรียนกาแฟจริงจังหรอก นั่งดูยูทูบเอาครับ แล้วก็นั่งไล่แต่ละขั้นตอน ค่อยๆ จดว่า เขาพูดถึงอันนี้ๆ แล้วเราค่อยเอามาลอง เหมือนทำวิทยานิพนธ์ (หัวเราะ)”


Books
เจมส์เคยพูดว่าหนังสือให้วิธีแก้ปัญหาในหลายๆครั้งมีบทเรียนไหนที่เจมส์ดึงมาใช้กับตัวเองบ้าง
“มันมีมาโดยตลอด คือชีวิตผมมันจะเป็นวัฏจักร สมมติว่าปกติทำงานมาดีๆ แล้วมีปัญหา แล้วก็หลีกหนี แล้วก็ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วก็กลับมาทำงานๆวนไปเรื่อยๆ ซึ่งในทุกวัฏจักรก่อนจะพ้นปัญหาได้จะมีหนังสือเล่มหนึ่งเข้ามาเสมอ วัฏจักรอาจสั้นหรือยาวก็แล้วแต่ช่วง ผมชอบอย่างหนึ่งคือการอ่านหนังสือช่วยฟอร์มตัวเราให้เป็นอย่างในปัจจุบัน ค่อยๆ สะสมมา พอถึงทุกวันนี้เรารู้เลยว่า ทุกวิธีมันถูกหมด ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลานั้นเราเหมาะกับวิธีการไหนมากที่สุด เพราะแต่ละคนก็ต้องใช้วิธีการแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย แต่ละเหตุการณ์ผมว่า พอสะสมไว้เยอะๆ เมื่อเราต้องดึงออกมาใช้ในแต่ละช่วง มันเลยค่อนข้างเวิร์ก”
3 เล่มที่มีอิทธิพลต่อเจมส์
“ผมชอบ Principles ของคุณ Ray Dalio เพิ่งกลับมาอ่านอีกรอบ เขาเป็นสายการเงิน แต่ผมว่าเขามีวิธีการบางอย่างที่ค่อนข้างเวิร์ก สิ่งที่ผมชอบในหนังสือเล่มนี้คือ เขาบอกว่าเวลาเราจะทำอะไร อย่างน้อยที่สุดเราควรตั้งกระบวนการคิดหรือกระบวนการตัดสินใจไว้ก่อน ควรมีลำดับเช็กลิสต์ เราจะได้ลงมือปฏิบัติ หรือตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุด ณ เวลานั้น อีกเล่มคือ Dopamine Nation เหมาะกับยุคนี้ดี ผมว่าอาการ high dopamine มีอยู่จริงมากๆ ในยุคสมัยนี้ เจอเล่มนี้โดยบังเอิญ พออ่านแล้วรู้สึกว่าเรา high dopamine จริงๆ ข้อเสียของมันคือเราไม่เคยคุยกับตัวเองเลย เพราะมัวแต่ไถโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ เวลาคุยกับตัวเองน้อย เราก็จะปิดกั้นความรู้สึกที่อยู่ในใจลึกๆ มันค่อยๆ สะสม แล้วพลังเราจะต่ำลง ความสุขจะต่ำลง เล่มสุดท้ายคือ Thinking, Fast and Slow มันแยกให้เราเข้าใจสมอง ทำให้เราอ่านตัวเองได้ขาดขึ้น รู้ตัวมากขึ้นว่า อ๋อ นี่เรากำลังใช้สมองส่วนเร็วนะ ต้องมีตรรกะหน่อยไหม จะได้ไม่ผิดพลาดซ้ำ ซึ่งก็ผิดอยู่ดี (หัวเราะ) พอพูดถึง 3 เล่มนี้ ดูเป็นเชิงพัฒนาตัวเองเนอะ จริงๆ พยายามจะหันไปอ่าน ฟิคชั่นบ้าง… อ๋ออ จริงๆ ผมควรจะต้องตอบนี่ พุทธธรรม อันนี้ดีสุดเลย ผมลองศึกษา อ่านมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยไปไหนเลยครับ เพราะต้องกลับไปเปิดหา คำศัพท์ ต่อให้เขียนง่ายมากๆ แล้วก็ยังอ่านยากอยู่ดี”

Marathon
ทำไมเจมส์ถึงชอบการวิ่งระยะไกล
“เป็นค่านิยมครับ (ยิ้มเหมือนเล่นมุก) ตอนแรกผมวิ่งเพราะไปงานวิ่งของลูกค้าท่านหนึ่ง ตอนนั้นไปทำงานแหละ แต่พอเริ่มแล้วรู้สึกว่า เอ้อ ก็วิ่งได้นี่ พอเริ่มวิ่งก็มีก๊วน ตอนแรกผมไปวิ่งที่สวนรถไฟ จะมีทั้งตัวเทพๆ และคนที่วิ่งประจำอยู่ ซึ่งสนุกมากในการเปิดโลกว่า อ๋อ เขาวิ่งกันแบบนี้เหรอ ผมไปถามบางคน ‘วันนี้พี่ซ้อมเท่าไรครับ’ เขาก็ ‘อ๋อ วันนี้พี่ซ้อม 30 โลเจมส์’ ผมก็ซ้อม 30 โลพี่วิ่งไปไหนเหรอครับ (หัวเราะ) ตอนผมวิ่งครั้งแรกที่งานนั้นคือ 5 กิโลเมตร ผมก็งงทำไมมีคนวิ่งไกลจัง เราก็ค่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ มีคนบอกลอง 10 โลสิ นี่ไง 4 รอบเอง ผมก็วิ่งไปเรื่อยๆ พอได้ 4 รอบก็ยังไม่พอ ยังมีคนวิ่งเร็วกว่า บางคนบอกวิ่งเพซ 5 ครึ่ง บางคนบอกเพซ 5 เขาก็บอกว่าทำได้เจมส์ ผมก็ซ้อมตามตาราง ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ค่อนข้างสนุกด้วยแหละ และผมว่าการวิ่งระยะไกลมันได้คุยกับตัวเองเยอะ ถ้าไม่ทะเลาะกับตัวเองตอนที่ท้อตอนที่เมื่อย ก็จะคิดว่าจะทำอะไรดี ทำงานยังไงดี มีอะไรที่ยังมีปัญหาอยู่ เป็นการ reflect (ทบทวน) ตัวเองในยุคสมัยที่เราไม่ค่อยได้ทำ เพราะมัวแต่ไถมือถือ”
Marriage Life
อย่างที่รู้กันว่าเจมส์เพิ่งแต่งงานอยากรู้ว่าพอเปลี่ยนจากสถานะแฟนเป็นสามีภรรยามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม
“ไม่มีเลยครับ ผมว่าด้วยยุคสมัยด้วยแหละ คือเรารู้จักกันมานาน คบกันนานกลายเป็นว่าทุกอย่างค่อนข้างเหมือนเดิม ไม่ได้หวือหวาขึ้น แต่ไม่ได้น้อยลงเลย สำหรับคนอื่นไม่แน่ใจว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียไหม แต่ในความรู้สึกผม ความเสถียรก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีของชีวิตคู่”


FaNCLUB
เจมส์เคยพูดว่าช่วงแรกๆรับมือกับการดูแลแฟนคลับได้ไม่ดีเท่าไรพอเรียนรู้มาเรื่อยๆทำได้ดีขึ้นอยากรู้ว่าถึงวันนี้แฟนคลับมีความหมายอย่างไรสำหรับเจมส์
“แฟนคลับ ถ้าช่วงเล่นละครแรกๆ จะเป็นแบบหนึ่ง มีความกรี๊ดกร๊าด มาถึงวัยนี้ แฟนคลับก็เติบโตมาด้วยกันเป็นสิบๆ ปี สถานะแฟนคลับเหมือนเป็นครอบครัว เป็นคนที่คอยสนับสนุน เล่นกันได้ คุยกันได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ห่างกันสุดขอบโลกเลย เวลาเราไปทำอะไร ไปไหน เหมือนเราเป็นทีมเดียวกัน เฮฮากัน ถ้ามีอะไรที่เราให้ได้เราก็ให้ ถ้ามีอะไรที่เขาสนับสนุนเราได้เขาก็ทำ ความรู้สึกเหมือนเราเจอคนคุ้นเคย มีความสุขด้วยกัน เป็นแฟนคลับในความหมายของวัยนี้”
Food For Thought
เจมส์เคยพูดว่าเวลาเจอช่วงยากๆต้องหาอาหารจิตใจอาหารจิตใจที่ว่านั้นคืออะไร
“ผมเคยพูดคำนี้เหรอ เมื่อก่อนวาทกรรมเยอะนะเนี่ย (หัวเราะ) คือเวลาเจอปัญหา ผมจะมีวิธีใช้สิ่งอื่นเพื่อให้ผ่านพ้นไปได้ เช่น ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ก็ไปเจอเพื่อน คุยกับเพื่อนสักคนหนึ่ง แล้วก็แชร์ให้ฟัง และไม่ใช่แชร์เรื่องนั้นด้วยนะ เราแชร์เรื่องอื่นกัน แล้วพอคุยอะไรที่เพื่อนเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน เราก็รู้สึกว่ามันเติมเต็มจิตใจ กลับมามีพลัง ก็ไปทำงานต่อ หรือไปเรียนรู้การทำกาแฟได้สำเร็จ เป็นอิคิไกง่ายๆ เราได้มีความสุขกับตัวเอง พอมีพลังสตาร์ทติดกับอะไรอย่างหนึ่ง จากอีกสิ่งที่ดูกำลังจะแย่ มันก็ดีขึ้น ผมไม่ค่อยชอบจมดิ่งยาวๆ เพราะมันจะไปไกล ผมชอบเปลี่ยนไปทำอะไรให้สำเร็จสักอันหนึ่งก่อน เป็นอาหารจิตใจที่ดี (ยิ้ม) พอเติมพลังแล้วกลับมาสู้กับปัญหาต่อ บางทีมันอาจจะได้มุมมองที่ต่างไป จริงๆ มันเป็นเรื่องของการมองปัญหาโดยไม่มีอคติ เหมือนเราถอนอีโก้ออก เพราะเวลาอยู่กับปัญหา บางทีมันมีหลายปัจจัยมากเกินไปที่ทำให้ปัญญามันเกิดไม่ได้”
