ปลดปล่อยตัวตนให้เป็นอิสรเสรีไปกับนักแสดงหนุ่มมากฝีมือ ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจรในเซ็ตแฟชั่นเปี่ยมสีสันจาก GUCCI คอลเลกชั่น Spring/Summer 2025 

Share This Post

- Advertisement -

12 ปีก่อน เด็กผู้ชายหัวเกรียนในชุดนักเรียนคนหนึ่ง สร้างปรากฏการณ์จากฝีมือการแสดงในบท ไผ่ จากซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น (2556) แม้ไม่ใช่ผลงานแรกในวงการ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร ได้รับความสนใจจากซีรีส์ที่นิยามความเป็นวัยรุ่นในทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้สังกัดนาดาวบางกอก ทำให้ต่อได้ทดลองและฝึกฝนทักษะของตัวเองเพื่อขยายเพดานขีดจำกัดขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งการรับบทเป็นเด็กออทิสติกในซีรีส์ Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ (2560) ผันตัวมาเป็นเด็กฝึกในโปรเจ็กต์ 9×9 (2561) เพื่อพัฒนาการเป็นศิลปินเต็มตัว โดยเฉพาะการเพิ่มทักษะร้องกว่าและเต้นหรืออีกหนึ่งบทบาทของการเป็นพิธีกรในรายการ 789 เซอร์ไววัล (2566) ที่ได้รับการพูดถึงไม่น้อยไปกว่าเทรนนีในรายการ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงวัฏจักรแรกที่ทำให้ต่อ – ธนภพ ได้เห็นภาพกว้างของภูมิทัศน์แวดวงบันเทิง รวมถึงเข้าใจจังหวะการทำงานของชีวิตตัวเองด้วย ลอฟฟีเซียล ออมส์ ชวนต่อนั่งคุยในโอกาสที่ได้ถ่ายแฟชั่นเซ็ตกับ Gucci และในวันที่เขาไม่ใช่วัยรุ่น (แบบไผ่ ฮอร์โมนส์) อีกต่อไปแล้ว

NEW EXPERIENCE

“พออายุแตะเลข 3 แล้ว ไฟในตัวผมมันเยอะแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” เราเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องอายุ ถึงแม้จะเป็นเพียงตัวเลข แต่อย่างน้อยก็อยากให้ต่อได้ทบทวน และสะท้อนการเติบโตตลอด 12 ปีที่ผ่านมา “ถ้าย้อนกลับไปแค่ไม่กี่ปีก่อน ผมยังคงมีความโลภในการทำงานอยู่ อยากคว้าทุกสิ่งที่รู้สึกว่ามันน่าสนใจ แต่ตอนนี้เข้าใจมันมากขึ้นแล้วว่าเราทำทุกอย่างไม่ได้ ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่มีแค่ 2 โปรเจ็กต์คือ หนึ่งในร้อย (2567) และการุณยฆาต (2567) คนจะเห็นความชัดเจนบางอย่างมากขึ้น เช่น หลายคนก็นึกไม่ออกว่าผมจะเล่นบทคุณพระยังไง และปิดปีด้วยการตบกลับมาในบทที่เข้มข้น ทั้ง 2 งานมันเป็นคนละขั้วเลย แต่ผมโคตรอยากทำ พยายามจัดสรรจนมันประสบความสำเร็จได้ทั้ง 2 เรื่อง รู้สึกว่าเราจัดการได้ดีกับเวลาที่เรามี จริง ๆ ปีที่แล้วงานน่าสนใจเข้ามาเยอะมาก แต่ต้องเลือก เพราะสุดท้ายทุกงานกลับไปสู่คนดู เป็นการเคารพและให้เกียรติกัน เราค่อนข้างมั่นใจในสิ่งที่เราตัดสินใจว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์แค่เรา แต่จะสร้างประโยชน์ให้คนดูได้ด้วย”

เขาอธิบายต่อว่ามันเป็นกราฟพลังที่พลุ่งพล่านมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ไขว่คว้าน้อยลง เขามั่นใจว่าทุกผลงานที่เคยทำออกมาได้มาตรฐานยี่ห้อตัวเองอยู่แล้ว ทว่าผลที่ตามมาอาจไม่คุ้มค่าอย่างที่เขาเคยประเมินเอาไว้ “แค่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ผมยังคงทำงานแบบหุ่นยนต์ได้ นึกว่าตัวเองเป็น AI ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพัก พยายามพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนหมดนี่อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะเปลี่ยนร่างกายตัวเองเพื่อการแสดง อาจถึงเวลาที่ต้องหยุดทำบางอย่าง เพราะเริ่มอันตรายต่ออนาคต เช่น การที่สวิงน้ำหนักขึ้นลง ไม่มีประโยชน์เลย ร่างกายพังจนหมอขอร้องว่าต้องหยุดแล้วนะ หรือบางครั้งผมใช้กล้ามเนื้อหน้าเยอะแล้วพักผ่อนไม่พอ จนเกือบเป็นปลายประสาทอักเสบ เส้นประสาทผมเข้ามาชิดกันโดยไร้สาเหตุ สุดท้ายต้องอัลตร้าซาวนด์ในการดึงมันออก สิ่งนี้ผมไม่เคยพูดเลยเพราะไม่กล้าที่จะพูด แต่ผ่านมาสักพักแล้วก็รู้สึกว่าพูดได้ เพราะก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องแลก ส่วนตอนนี้ก็มีบ้างที่รู้สึกเสียดายกับสิ่งที่ไม่ได้ทำ แต่เชื่อเถอะ เวลาของมนุษย์เราทุกอาชีพมีเวลาของมัน และเลิกพูดได้แล้วว่าอาชีพไหนมั่นคงหรือไม่มั่นคง โลกตอนนี้ไม่มีอะไรมั่นคงอีกแล้ว มันเตือนสติเราแล้วว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้ตลอดทุกเหตุการณ์มันหล่อหลอมให้ผมกลายมาเป็นเวอร์ชั่นนี้”

TIME AND LUCK

ถึงแม้ปีที่ผ่านมา ต่อ – ธนภพ จะมีผลงานละครเพียง 2 เรื่อง แต่เรากลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้อยู่ในแสงไฟตลอดเวลา หรือนี่คือดอกผลของการทำงานหนักเหมือนหุ่นยนต์ก่อนหน้านี้อย่างที่เขาบอก “เวลา และ โชค แค่ 2 คำนี้เลย” เขาตอบทันทีเหมือนว่าเป็นสิ่งที่เชื่ออยู่เสมอมา “ถ้าให้พูดตรงๆ เลย ฝีมือไม่ใช่คีย์ที่ทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จ คนเก่งไม่ใช่ผู้ชนะ แต่ถ้าอยากชนะ คุณไม่เก่งไม่ได้ คุณต้องเก่ง คุณต้องถูกเวลา และที่สำคัญคือคุณต้องโชคดีด้วย” เขาขมวดปัจจัย 3 อย่างที่นำพาตัวเขามาถึงจุดนี้ ซึ่งเราเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ช่วงโควิดที่ผ่านมา ผมไม่ต่างจากทุกคนเลย เพราะอยู่เฉย ๆ จนรู้สึกไร้ค่าและต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่บ่งบอกว่าโชคคือตอนนั้นมีโปรเจ็กต์ ใต้หล้า (2565) ซึ่งคืออีกหนึ่งเรื่องหลักของช่อง ONE 31 ในปีนั้น แต่มันโดนหั่นครึ่ง และคาอยู่ในช่วงเวลานั้นพอดี พอกลับไปถ่ายทำได้ ผมไม่ต้องรอเวลาเตรียมงาน เราทำกันอยู่แล้ว เลยทำให้ผมไม่หายไป แต่รู้สึกว่าแม้จะรับเป็น 10 งาน แต่ทำเสร็จไปแล้ว ผมก็อาจว่างงานอยู่ดี เผลอๆ นะ ช่วงแรกที่คนยังช็อกอยู่ เขาไม่ดูละครด้วย ดูแต่ข่าว ตามแต่ตัวเลข มันเพิ่งเป็นช่วงครึ่งหลังที่ทำให้ซีรีส์เรทติ้งดี เพราะทุกคนชินแล้ว ฉะนั้นความเก่งเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความเก่งมันไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว มันพึ่งพาปัจจัยมากกว่านั้น”

เรายังคงสนใจคำว่า ‘เวลา’ ที่เขาพูดมากๆ เพราะในยุคที่มีศิลปินหน้าใหม่หลั่งไหลมาจากหลากหลายทิศทางอย่างทวีคูณ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ ต่อ – ธนภพ ยังคงติดลมบน และเป็นบุคคลที่ยังมีคนคิดถึงอยู่เสมอ “คุณเชื่อคำว่า ติดลมบนเหรอ?” เขาถามกลับ “อยากแนะนำให้น้องๆ หน้าใหม่ในวงการลองถามตัวเองว่าเชื่อคำนี้ไหม ถ้ายังเชื่อ ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก สิ่งที่ผมรู้ก็คือคุณต้องเข้าใจในแต่ละยุค ถ้าเป็นช่วงซีรีส์ฮอร์โมนส์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คำนี้อาจใช้ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ มันไม่มีลมให้ติดละ ทุกวันนี้ลมมาจากหลายทิศ เมื่อก่อนทำได้เพราะทิศทางลมมันน้อย ช่องทางทุกอย่างมันน้อย ผมว่าไม่เกิน 10 ปี เราจะไม่มีกำแพงเรื่องประเทศอีกแล้ว ฉะนั้นถ้าคุณทำงานแล้วฝันว่าจะติดลมบนเมื่อไหร่ ผมว่าก็ในฝันนั่นละ อาชีพนักแสดงมันใช้ปัจจัยภายนอกเยอะแต่สิ่งที่น่าตลกคือ ตัวชี้วัดความสำเร็จไหมคือภายใน และเป็นสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ เช่นว่าผมประสบความสำเร็จ แต่นี่ยังไม่ใช่จุดนั้น ตอนนี้ ผมกำลังอยู่ในระหว่างทาง”

แล้วอะไรล่ะเป็นตัวชี้วัดที่บอกตัวเองว่าได้สร้างงานในคุณภาพที่ดีพอแล้ว? “มันรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนทำแล้ว” เขาตอบ “คนตัดสินไม่ใช่ผม แต่เป็นคนดู แล้วการที่พูดประโยคนี้ช่วยเข้าใจด้วยว่ามันไม่ใช่การโยนให้ใคร แต่ผมพูดความจริง ความสาแก่ใจในแบบผม มันเห็นและสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนถ่าย เพราะ…เรามีทีม เรารู้อยู่แล้วว่าพวกเราพอใจหรือยัง แต่สิ่งนี้มันเอาไปรวมกับผลไม่ได้ ทีมไม่เคยบอกผลลัพธ์ได้ และอย่าลืมว่าเราถูกครอบทุกอย่างไว้ด้วยคำว่าเทรนด์อีก ตราบใดก็ตามที่ออกไปแล้วหลุดเทรนด์ นั่นคือจบ ถ้าเอาความรู้สึกเหล่านี้ไปฝากไว้กับปัจจัยภายนอก คุณไม่ผิดหวังตายเลยเหรอ ไม่ได้หรอกผมทำไม่ได้ ความสะใจมันอยู่ที่ตัวผมเอง”

FOCUS ON QUALITY

การถ่ายแฟชั่นเซ็ตกับ Gucci ในวันนี้ทำให้เราได้เห็นอีกหลายมุมมองที่น่าสนใจโดยเฉพาะความสดใสที่ ต่อ – ธนภพ ได้อยู่ในชุดสบายๆ รับซัมเมอร์ “ผมชอบกางเกงขาสั้นที่ใส่วันนี้มาก ผมว่ารอบนี้ถ้าใครชอบขาสั้น มันสะใจจริงๆ ผมเรียนโรงเรียนชายล้วน และอยู่ในยุคแฟชั่นขาสั้นอีก ผมเก็ตสิ่งนี้มาก ๆ มันมีสไตล์ และใช้หลากหลายวัสดุ ความกว้างและความยาวมันถูกต้องมากๆ อีกชิ้นที่ชอบคือกระเป๋าผ้าแคนวาส สีรับซัมเมอร์แต่ไม่หวานแหววจนเกินไป เป็น
ชิ้นแบบ Unisex ที่ใครถือก็ได้” 

ความผ่อนคลายตลอดเวลาที่คุยกับเขาน่าจะเป็นรูปธรรมของความสนุกในชีวิตครั้งใหม่ที่เขาบอกมาก่อนหน้านี้ มันยังคงแฝงไว้ด้วยความจริงจังในคำตอบ แต่ไม่พุ่งตรงไปข้างหน้าจนลืมซึมซับความสวยงามระหว่างทาง “ปีที่แล้ว มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเยอะมาก เช่น คนเรียกเราจากชื่อบทบาท หรือการที่เห็นคนแต่งตัววินเทจออกไปถ่ายรูปกัน และยังได้ปิดปีได้สะใจมากกับซีรีส์ที่ช่วยตั้งคำถามให้กับสังคม หลายคนรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ได้รับเล่นเรื่อง การุณยฆาต เพราะเป็นนิยายวายชื่อดัง เราไม่มีสิทธิ์จะชักนำใคร แต่ถ้ามันอยู่ในงานเราเมื่อไหร่ มันเป็นศิลปะละ ผมมีสิทธิ์พูดได้อย่างเต็มที่ถ้าตัดสินใจลงมาแล้ว เลยมองว่าเราได้ใช้ศักยภาพในขอบเขตตัวเองได้เต็มที่แล้ว” เราไม่ลืมถามถึงโปรเจ็กต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเขา “ปีนี้จะมีในฝั่งทีวีให้ได้ติดตามกันแน่ๆ อีกอันคือผมจะพยายามออกมาในภาพยนตร์ให้ได้ ซึ่งไม่ใช่ปีนี้แน่ๆ แต่ถือว่าบอกไว้เพราะอยากให้รอ มันจะเป็นอีกหนึ่งก้าวใหญ่ของผมเหมือนกัน”

THIS OR THAT

ถ้ามีวันหยุด 4 วันติดกันจะท่องเที่ยวหรืออยู่บ้านเฉยๆ
“เที่ยว ผมอยู่บ้านเป็นเรื่องปกติ ถ้าเลือกได้ก็คงเที่ยว ผมคิดถึงการพาป๊ากับแม่เที่ยว มันอาจจะฟังดูน่าอายคือ ผมพาพ่อแม่ตัวเองเที่ยวครั้งล่าสุดเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ที่เหลือในระหว่างนั้นเขาได้เที่ยวทุกปีโดยการที่ผมฝาก พี่ชายให้พาพวกเขาไปเที่ยวหน่อย แต่มันไม่เคยสร้างความรู้สึกว่าผมทิ้งครอบครัวนะ เพราะผมยังคงดูแลและเต็มที่มากๆ แต่อดคิดถึงไม่ได้ว่าบางครั้งเราไม่ได้อยากแค่ซัพพอร์ต แต่อยากมีภาพตัวเราได้อยู่ตรงนั้นบ้าง มันเห็นชัดว่า ถ้าผมช้าไปกว่านี้ เขาจะไม่ได้เที่ยวได้หลากหลายเท่านี้แล้ว จะเริ่มมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้น”

อยากออกกำลังกายจะเลือกเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อน
“คนเดียวครับ ผมไม่เล่นกับใคร (หัวเราะ) ผมมีเพื่อนนะ แต่วิธีการออกกำลังกาย ผมไม่สามารถร่วมกับใครได้จริงๆ เพราะมันติดเรท คือผมไม่สามารถมีเสื้อผ้าบนร่างกายได้เวลาออกกำลังกาย ผมเสพติดและเคยชินไปแล้ว  ตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนน้ำหนัก และเป็นวิธีการบางอย่างของผมที่ทำให้รู้สึกว่าทุกครั้งที่ออกกำลังกายแล้วมีเพื่อนร่วมด้วย มันไม่โฟกัส”

มี 2 โปรเจ็กต์ที่ต้องเลือกระหว่างออกซิงเกิ้ลเดี่ยว 1 เพลงกับทอล์กโชว์ 60 นาที
“ทอล์กโชว์สิครับ ผมเป็นคนพูดมากอยู่แล้ว (หัวเราะ) ขอแค่มีแฟนคลับที่ผมรักมายืนตรงหน้า ผมก็จะมีเรื่องให้พูดได้เลย อาจจะมากกว่า 60 นาทีด้วย เพราะผมมองเขาเป็นครอบครัว แล้วซาบซึ้งกับการสนับสนุนของเขา เรารู้ว่าเราไม่ได้คุยกับเขาได้ทุกครั้ง พอได้คุย แฟนๆ จะรู้แล้วว่ายาวแน่ ทุกครั้งจะเป็นผู้จัดการลากกลับบ้าน!”

1 ชิ้นที่ใส่แล้วมั่นใจสุดๆระหว่างรองเท้ากับเสื้อตัวนอก
“ต้องรองเท้าอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่าสิ่งสำคัญของความมั่นใจมนุษย์คือคำว่า Ground แล้วผมอินกับรองเท้าหนังมาก จริง ๆ ผมประทับใจรองเท้าที่ใส่ถ่ายวันนี้มาก มันสัมผัสได้ถึงคุณภาพคุ้มราคา การเย็บที่เป็นแฮนด์เมด ผมดูออกว่าทำถึง เสื้อตัวนอกจะเป็นสิ่งแรกที่ตาเห็น ใช่ คนทั่วไปอาจมองสิ่งนี้ แต่ถ้าเป็นคนที่คุณจะพูดคุยหรือมีส่วนร่วมด้วย รองเท้าจะเป็นรายละเอียดที่นิยามความเป็นตัวเราได้ดีกว่า”

Photographer: Intrachai Watmakawan
Fashion Editor: Watcharachai Nun-ngam
Writer: Neeraj Kim

- Advertisement -