เดินเข้าหลังเวทีคอนเสิร์ต ‘ออนซอนเดย์’ คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกของโจอี้ – ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ และพูดคุยถึงเรื่องราวเบื้องหลังกว่าจะออกมาเป็นคอนเสิร์ตครั้งนี้ไปด้วยกัน 

Share This Post

- Advertisement -

Photographer: Intrachai Watmakawan 

Author: Pacharee Klinchoo 

“ตื่นเต้นที่สุดเลยครับ และก็กังวลด้วย” โจอี้ – ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ ตอบทันทีที่เราถามถึงความรู้สึกที่ได้รับการคอนเฟิร์มว่าจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิต “สิ่งที่กังวลเกิดจากตัวผมเองครับ ผมกังวลว่าคอนเสิร์ตนี้จะใหญ่เกินตัวเราไปหรือเปล่า ถามตัวเองเลยว่านี่เรากำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่จริงๆ ใช่ไหม มันใหญ่มากเลยนะ มันทำให้ผมรู้สึก… ยังไงนะ” เขานิ่งคิดไปสักพัก “ไม่ใช่กังวลสิ เรียกว่าประหม่าละกัน มีความเอ๊ะว่าเราจะทำได้ดีไหมนะ เป็นความกล้าๆ กลัวๆ แบบนี้ล่ะครับ 

“แต่พอได้ขึ้นคอนเสิร์ตจริงๆ มันก็ต่างออกไป ก่อนขึ้นเวทีคือผมตื่นเต้นมาก” เสียงของเขาก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน “พอได้ขึ้นไปบนเวทีจริงๆ ได้เห็นคนที่มาดู ผมรู้สึกได้เลยว่า ‘นี่คือคนของเรา’ เลยรู้สึกว่า ความกลัว ความเครียด และความรู้สึกกดดันที่เกิดขึ้นตอนซ้อมมามันหายหมดเลยครับ กลายเป็นว่าผมพร้อมมากๆ กับเวทีวันนั้น เป็นอย่างนั้นเลยครับ” ถ้าดีขนาดนั้น น่าจะเล่นสักสองสามวันนะ เราแซว “วันเดียวก็พอแล้วครับ” เขาหัวเราะร่วน “แรงไปหมดตั้งแต่วันแรกแล้วครับ” 

หลังจากเปิดกดบัตรได้ไม่กี่ชั่วโมง คอนเสิร์ตออนซอนเดย์ก็ประกาศ sold out อย่างรวดเร็ว ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร “อย่างที่ผมบอกไปว่าผมประหม่า ผมกังวล ผมกลัวว่าจะมีคนมาดูผมหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ จะมีคนซื้อบัตรมาดูคอนเสิร์ตของโจอี้ ภูวศิษฐ์ จริงๆ หรือเปล่า ผมไม่รู้เลยว่ามีแฟนเพลงที่รอเชียร์เราจริงๆ อยู่หรือเปล่า ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ครับ มันเลยกลัว พอประกาศขายหมดปุ๊บ มันเหมือน… ยังไงดี” อีกครั้งที่เขานิ่งไป “ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าต้องทำโชว์ออกมาให้ดีมากๆ เพื่อให้คนที่ซื้อบัตรเขา… บัตรมันหมดเลยนะพี่ ผมต้องทำให้ดีมากๆ เลยครับ ต้องเตรียมตัวให้ดีจริงๆ บอกกับตัวเองมาตลอดเลยครับ” 

อีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญที่ทำให้คอนเสิร์ตออนซอนเดย์นี้เกิดขึ้นได้ก็คือ ป่าน – ป่านแก้ว สัตยาวุฒิพงศ์ Vice President-Showbiz Promoter GayRay – GMM SHOW บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) ซึ่งเธอก็บอกว่าหลังจากดูความพร้อมจากสถิติหลังบ้านจนถี่ถ้วน โจอี้เป็นหนึ่งในศิลปินที่มีความพร้อมในการจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวแล้ว “ส่วนใหญ่เวลาคุยกับศิลปิน ถ้าเราแจ้งว่าเราพร้อมที่จะทำคอนเสิร์ตให้ ทุกคนจะดีใจ เพราะอยากจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองอยู่แล้วค่ะ” เธอให้สัมภาษณ์ “การทำงานร่วมกับโจอี้เป็นการทำงานสองฝั่งค่ะ หลังจากระดมไอเดียจนได้คอนเซ็ปต์รวมของคอนเสิร์ตแล้วว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน ฝั่ง ‘เกเร’ และฝั่งศิลปินก็จะแยกย้ายกันกลับไปทำการบ้าน ไปลิสต์เพลงที่อยากจะมีในคอนเสิร์ตมา และเอามาเจอกันตรงกลาง ในส่วนของแขกรับเชิญ โจอี้จะเสนอมาว่าอยากได้ใคร เพราะเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว และความผูกพันบางประการระหว่างศิลปินกับแขกรับเชิญ ซึ่งสิ่งที่ฝั่งเราจะช่วยซัพพอร์ตตรงนี้ก็คือเราช่วยติดต่อเช็คคิว ล็อคคิวให้เรียบร้อย และเอาแขกรับเชิญมาโยนใส่โชว์ว่าพวกเขาจะอยู่ส่วนไหนในคอนเสิร์ตนี้ ก็เรียกได้ว่าทุกอย่างขึ้นต้นจากศิลปิน และเอามาเจอกับผู้จัดว่าจะทำอย่างไรให้สคริปต์โชว์โดยรวมมันกลมกล่อมค่ะ” 

“ในส่วนของผมนะครับ” โจอี้เล่า “ก็เริ่มต้นโดยการเข้าประชุมเรื่องธีมกันก่อนว่าจะเอาธีมอะไร พอเลือกกันได้ว่าจะเอาธีม ‘ออนซอนเดย์’ ได้แล้วผมก็ไปหาเพลง ทั้งเพลงของตัวเอง และเพลงที่น่าจะเกี่ยวข้องกับโชว์นี้มาเสนอพี่ๆ ทีมงาน พอทีมงานตกลงเลือกเพลงมาได้ 100% แล้วก็เริ่มซ้อมเลยครับ ส่วนเรื่องแขกรับเชิญเนี่ย ผมตื่นเต้นมากเลยครับ ตื่นเต้นทั้งสามคนเลยจริงๆ แต่ที่ตื่นเต้นที่สุดน่าจะเป็นคุณอิงฟ้า (อิงฟ้า วราหะ) เรียกว่ายังไงดีนะ… ผมไม่เคยขึ้นฟีเจอริ่งคอนเสิร์ตใหญ่กับนักร้องหญิงมาก่อนเลย และนี่เป็นคอนเสิร์ตผม ผมรู้สึกว่าผมจะต้องเป็นคนรับหน้าที่พาพี่อิงฟ้าไปให้ได้ ผมยังชื่นชมพี่เขาอยู่เลยครับว่าพี่เขาช่วยผมได้มากเลย ผมก็ประหม่ากับพี่เขาอยู่น่ะครับ 

“ส่วนพี่เฟิด (คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์ – นักร้องนำวง Slot Machine) นี่ตื่นเต้นตั้งแต่วันซ้อมเลยครับ แต่พอได้ลงนั่งคุยกัน พี่เฟิดบอกผมว่าเดี๋ยวพี่เขาจะมาช่วยพาร์ทนี้เอง เดี๋ยวพี่ส่งพลังให้นะ ผมก็อุ่นใจ และแกก็ส่งพลังให้ผมได้จริงๆ พี่เขาทำให้ผมอุ่นใจเวลาร้อง คือตอนร้องเพลงอยู่แล้วหันไปเห็นพี่เฟิดเดินขึ้นมา ผมรู้สึกได้เลยว่าพี่แกจะพาผมไปจนสุดทางได้อย่างแน่นอน รู้สึกดีมากๆ เลยครับที่ได้รับพลังจากพี่เฟิด แล้วก็พี่เล็ก (เล็ก – รัชเมศฐ์ หรือเล็ก The Voice) เป็นพาร์ทที่ผมคิดไว้แล้วว่าถ้าได้ร้องเพลงด้วยกันมันน่าจะดีมากๆ ซึ่งมันก็ออกมาดีจริงๆ พี่เล็กมาเติมเต็มมู้ดเพลงให้ออกมาเพอร์เฟ็กต์มากๆ ดีมากๆ เลยครับ ถ้าพูดถึงคอนเสิร์ตนี้ทั้งหมด พาร์ทที่ผมตื่นเต้นที่สุดก็คือพาร์ทที่มีแขกรับเชิญนี่ล่ะครับ” 

ในวันที่โจอี้ก้าวขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของเขาเอง กรุงเทพมหานครมีคอนเสิร์ตพร้อมกันอีกไม่ต่ำกว่า 4 งาน ยังไม่รวมคอนเสิร์ตที่กระจัดกระจายตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ ทั่วประเทศอีก ถือได้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพในด้าน show business ที่เห็นได้เป็นรูปธรรมชัดเจนอย่างยิ่ง “ช่วงก่อนโควิดเป็นช่วงที่คอนเสิร์ตในประเทศไทยบูมมากๆ ทั้งคอนเสิร์ตของวงดนตรีจากต่างประเทศและในประเทศ ทั้งวงเล็ก วงใหญ่ มาครบหมด ก่อนจะหายไปช่วงโควิด” ป่านให้ข้อมูล “พอมันกลับมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะโตขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ เห็นได้ว่าเฉพาะในวันที่โจอี้จัดงาน มีคอนเสิร์ตสี่งานชนกันเฉพาะในกรุงเทพฯ ไม่รวมต่างจังหวัด เมื่อได้เห็นภาพรวมๆ เหล่านี้ เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นยุคที่แทบจะโตที่สุดของ music show business แล้วค่ะ” 

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดขนาดนี้ ในฐานะผู้จัด คุณคิดว่ามันมีอุปสรรคอะไรที่จะทำให้ show business ในประเทศไทยไปได้ไม่สุดบ้างไหม “ประเทศไทยจะมีช่วงเวลาหน้าฝนค่ะ” ป่านตอบทันที “ตั้งแต่เดือนเมษายนไปถึงเดือนตุลาคมของทุกปี ทุกคนจะต้องเข้าฮอลล์ไปจัดคอนเสิร์ต เราไม่สามารถจัด outdoor festival ในช่วงเวลานั้นได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็คือการกระจุกตัวกันในระหว่างนั้น ถ้าถามว่าเราต้องการสถานที่ในการจัดคอนเสิร์ตเพิ่มขึ้นไหม เราต้องการสถานที่ที่สามารถซัพพอร์ต indoor festival ได้ค่ะ ถ้าสังเกตดีๆ คอนเสิร์ตที่เกิดขึ้นในประเทศเราส่วนใหญ่จะเป็นสเกลขนาดกลาง ในช่วงระหว่าง 4,000 – 5,000 คนเท่านั้น สเกลใหญ่ๆ คือไม่มีเลย เรามีแค่ Impact Arena ดังนั้น การจัดงานสเกลใหญ่อินดอร์ของเราจึงไม่เพียงพอ ทุกวันนี้เราจำเป็นต้องจัดคอนเสิร์ตที่ Impact Arena ในวันธรรมดาเสียด้วยซ้ำไป เพราะไม่สามารถหาวันว่างในช่วงสุดสัปดาห์ได้เลย ในขณะที่ฮอลล์สเกลขนาดกลางก็ค่อยๆ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ยังพอให้เราเลือกได้บ้างค่ะ” 

ฟังแบบนี้แล้วเราก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้ดูคอนเสิร์ตเดี่ยวของโจอี้ในฮอลล์ที่สเกลใหญ่กว่านี้บ้าง “อยากเล่นอีกครับ” โจอี้ตอบทันทีเมื่อเราถามถึงความ ‘กระหายอยาก’ ที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองอีกครั้ง “แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า เพราะมันก็ต้องขึ้นกับฝั่งผมด้วยว่าผมจะต้องทำเพลงออกมาให้ติดหูคนฟัง ให้คนฟังเพลงของโจอี้ ภูวศิษฐ์ ให้เยอะกว่าเดิม หลังจากคอนเสิร์ตครั้งนี้ ผมเห็นความเป็นมืออาชีพและความตั้งใจของพี่ๆ ทีมงานแล้ว ผมอยากจะทำงานร่วมกับพี่ๆ ทีมนี้อีก ผมยังคุยกับพี่ป่านเลยว่า รอผมหน่อยนะครับ ถ้าผมทำเพลงดังๆ ให้ได้อีก ผมขอจัดอีกครั้งนะครับ หวังไว้นิดนึงครับ มันก็ขึ้นอยู่กับผมนี่ล่ะครับว่าผมจะไปต่อได้หรือเปล่า อยากจะมีออนซอนเดย์แชปเตอร์ทู อะไรแบบนี้ครับ เป็นความฝันเล็กๆ … ไม่เล็กหรอกครับ ใหญ่เลยล่ะ” 

พูดถึงความฝัน ความฝันสูงสุดในฐานะศิลปินของโจอี้คืออะไร “สูงสุดของผมก็เท่านี้ล่ะครับ” เขาตอบทันทีเช่นเคย “ได้ทำอัลบั้มขึ้นมา ได้มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองให้แฟนๆ ได้มาเจอกันบ่อยๆ และได้มีโอกาสไปเจอแฟนๆ ตามจังหวัดต่างๆ น่าจะเป็นที่สุดของผมแล้วในฐานะศิลปิน มันไม่มีอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้วครับ” 

- Advertisement -