Author: Peerachai Pasutan
ถึงจุดนี้ เราคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงการพลิกโฉมตัวเองของมะเหมี่ยว – สุทธิภัทร สุทธิวาณิช นักร้องนำวง Zweed n’ Roll ที่กลับมาใช้ชื่อเล่นเดิม ‘มะเหมี่ยว’ และเดบิวต์ในฐานะศิลปินเดี่ยวนาม ‘MAMIO (มามิโอะ)’ พร้อมซิงเกิล ‘วิถีรัก (Lover)’ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา เราเคยมีโอกาสสัมภาษณ์เธอครั้งหนึ่งเมื่อสามปีก่อน เลยพอจะเห็นได้จริงๆ ว่ามะเหมี่ยวในวันนี้มั่นใจและสดใสขึ้นทั้งภายนอกและภายใน สังเกตได้จากเสียงหัวเราะและความฉะฉานของเธอระหว่างการพูดคุย เราหวังว่าบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้พอจะแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้บ้าง
ก่อนอื่น เราขอให้มะเหมี่ยวพูดอะไรสักอย่างถึงคนที่กำลังติดอยู่ในตัวตนที่ไม่ใช่ตัวเอง หรือกำลังสวมหน้ากากที่สังคมโยนมาให้ “เราว่าการที่จะอยู่ในสังคมมันก็เป็นตัวเองได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว” เจ้าตัวเกริ่น “แต่อยากให้ทุกคนฟังเสียงของตัวเองให้ดี เพราะทุกคนก็มีเสียงของตัวเองอยู่แล้ว จริงๆ ลึกๆ เรารู้ว่าต้องการอะไร หรือสังเกตร่างกายของเราก็ได้ ร่างกายมันไม่โกหก… เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง แล้วก็มั่นใจกับรักตัวเองให้มากที่สุด เพราะว่าไม่มีใครอื่นสำคัญค่ะ ถ้าไม่ใช่ครอบครัว” ช่วงเวลาที่ผ่านมา มะเหมี่ยวก็ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ยึดติดกับกรอบทางเพศ สไตล์ หรือค่านิยมอย่างใดอย่างหนึ่งที่สังคมสร้างอคติต่างๆ ขึ้น เธอพูดถึงการประกอบสร้างชุดความคิดและธรรมเนียมของสังคมไว้ว่า “อย่างในกรณีของเรา เราไม่ได้มองว่าผู้ชายหรือผู้หญิงจะต้องแต่งตัวแค่แบบนั้นแบบนี้ ในแง่ของแฟชั่น เรารู้สึกว่ามันมีความสนุกได้มากกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีกรอบ คือเราเป็นคนที่ไม่เคยอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ เวลาอยู่ในโรงเรียน เราก็จะมีปัญหากับอาจารย์ตลอดเรื่องทรงผมหรือการแต่งกาย”
มะเหมี่ยวมองว่า เมืองไทยยังมีกำแพงและกรอบที่จำกัดความคิดความอ่านของคน จนนำมาสู่ความกลัวและความไม่กล้าแสดงออก “เราว่าประเทศเราชอบบังคับและสั่งให้ทำ จนบางทีมันไม่เมคเซนส์และทำให้คนไม่ตั้งคำถาม ก็ทำตามๆ กันไป เลยส่งผลให้คนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องทำตามคนหมู่มากโดยที่ไม่ได้กลั่นกรองจากความคิดของตัวเอง และเราว่าคนส่วนใหญ่ยังเป็นแบบนี้กันอยู่ จริงๆ การตีความในการใช้ชีวิตนั้นส่งต่อกันมาทางกมลสันดานด้วย” ข้อจำกัดที่ว่ายังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงวงการเพลงด้วย “เอาง่ายๆ แค่เรื่องการแสดงออก ฝรั่งเขาถูกเลี้ยงดูมาโดยที่สามารถพูดสิ่งต่างๆ ได้เลย 200 เปอร์เซ็นต์ แล้วศิลปินเป็นแบบนั้นทุกคน ไม่ว่าจะอยู่บนเวทีหรือสัมภาษณ์ เขาไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะมีคนเกลียดหรือแอนตี้เขาหรือเปล่า แต่คนไทยยังพูดไม่ได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เลย มันมีอะไรหลายอย่างที่ปลูกฝังเรามาและส่งผลถึงกลิ่นของดนตรีและเพลงด้วยว่า ‘เราเล่าได้แค่นี้’ ไม่ค่อยมีพวกบ้าดีเดือดเหมือนที่ฝรั่งทำ เราเลยคิดว่ายังยากอยู่ค่ะ [ที่วงการเพลงไทยจะมีที่ยืนในระดับโลกได้]” ทั้งนี้ ปัญหานี้พอจะถูกรื้อและแก้ไขได้โดยเริ่มที่สถาบันครอบครัว
“ครอบครัวต้องเสริมสร้างความคิดความกล้าแสดงออกให้เด็ก เขาถึงจะโตมาแล้วมีความคิดเป็นของตัวเองโดยที่ไม่กลัวเสียงของสังคมส่วนใหญ่ ครอบครัวจะเป็นคนยื่นดาบกับเสื้อเกราะให้เด็กแล้วบอกว่า ‘อะ ไปลุยกับโลกสิ’ (หัวเราะ)”
มาที่เรื่องผลงานเพลง มะเหมี่ยวเพิ่งปล่อยซิงเกิลที่สี่ ‘ตอนจบ (The End)’ ไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน “เพลงนี้พูดถึงความสัมพันธ์ที่ฝืนจนฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว และรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องแยกย้ายกันไป กลับมารักตัวเอง เขียนเพลงนี้ประมาณกลางปีที่แล้วค่ะ เป็นช่วงพักฟื้นผ่าตัด [กระดูกสันหลังคด] อยู่ และได้พี่โป โปษยะนุกูล มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้” มะเหมี่ยวเล่าที่มาที่ไปของซิงเกิลนี้ ถ้าเปิดฟังสองซิงเกิลก่อนหน้า ‘เนื้อร้าย (Cancer)’ และ ‘มายา (Maya)’ ด้วย เราอาจจะพอเห็นเค้าโครงเรื่องและประเด็นร่วมกันระหว่างสามเพลงนี้ “เป็นเรื่องที่… เหมือนเมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเป็นคนอดทนเก่งมาก ฝืนทุกอย่าง และคิดว่าเราควรจะสู้กับทุกอย่างให้สุด แต่ปีนี้เรารู้สึกว่า บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องสู้ เพราะมีแววให้เห็นแล้วว่า ‘ทำไปก็เท่านั้น’ โดยเฉพาะเรื่องของคน คนเราเปลี่ยนกันไม่ได้อยู่แล้วค่ะ ถ้าเกิดให้โอกาสหนึ่งครั้ง แล้ว [สิ่งต่างๆ จะดีขึ้นกว่าเดิม] ไม่ได้ ก็คงไม่ให้โอกาสที่สองแล้ว หลังจากนี้คงไม่ฝืนที่จะรั้งใครไว้แล้วถ้าเขาไม่ได้อยากจะอยู่กับเรา” ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงจะเปลี่ยนผ่านมาเป็นศิลปินเดี่ยว แต่มะเหมี่ยวยังคงเป็นศิลปินใต้ชายคา Warner Music Thailand อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง “ทำงานกับวอร์นเนอร์สนุกนะคะ เขาเป็นค่ายที่ให้ความสำคัญต่อการเป็นตัวเองของศิลปินและการหาแก่นของแต่ละคน สนับสนุนและเข้าใจเนเจอร์ของศิลปินคนนั้นๆ แล้วเรารู้สึกว่าเป็นที่ที่เราแฮปปี้ที่จะอยู่ [ทุกอย่าง] ยังเหมือนเดิมค่ะ”
นอกจากการปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่แล้ว ปีนี้มะเหมี่ยวก็ได้รับโอกาสให้ขึ้นแสดงดนตรีร่วมกับ Coldplay ด้วย “Coldplay นี่คือใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว (หัวเราะ) มันเป็นเหมือนแบบ… เหมือนฝัน เหมือนถูกหวย มัน… เกินฝันไปอีกที่ได้ยืนบนเวทีเดียวกับศิลปินระดับโลก แล้วเป็นคนที่เราชอบด้วย” น้ำเสียงของมะเหมี่ยวนั้นตื้นตันใจ เหมือนกับว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน “เป็นประสบการณ์ที่คงหาไม่ได้อีกแล้ว พอเขามาที่บ้านเรา แล้วเขาเลือกเรา [ให้ขึ้นเวทีด้วย] ดีใจมากๆ ค่ะ” นอกจากนี้ มะเหมี่ยวยังเปิดตัวในฐานะนักแสดงจากภาพยนตร์ ‘Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา’ ด้วยในปีนี้ “เราเคยแค่ไปถ่ายเอ็มวีกองเล็กๆ นะ พอเขาเรียกไปแคสต์ ก็ลองทำอะไรใหม่ๆ ดูแล้วดันผ่าน ก็ตกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะผ่านด้วย (หัวเราะ) เราชอบการไปออกกอง ชอบการที่ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองแล้วมันขาดใครไปไม่ได้ พอถ่ายออกมาเสร็จแล้วเป็นผลลัพธ์ที่สวยงาม เราเลยรู้สึกว่านี่เป็นงานที่มหัศจรรย์มากๆ ค่ะ ใช้ทั้งแรงกายแรงใจ ดวงฟ้าดวงฝน (หัวเราะ) และใช้คนเยอะ” แม้จะต้องออกกองถ่ายหลังจากพักฟื้นผ่าตัดได้แค่สามเดือน แต่มะเหมี่ยวก็สู้เต็มที่ “มันโหดมากเลย เราต้องยืนตัวตรงๆ ตลอด ต้องเอาแม่ไปกองด้วย ให้แม่ใส่เสื้อผ้าให้ (หัวเราะ) แค่ออกกองปกติก็โหดแล้วนะ แต่อันนี้คือ… โอ๊ย แล้วดันเป็นหนังแอคชั่นด้วย แต่ถ้าไม่รับไว้แล้วเมื่อไหร่จะได้เล่น (หัวเราะ)” เจ้าตัวเล่าอย่างออกรส
ไหนๆ ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อีกครั้ง เราจึงให้มะเหมี่ยวกล่าวทิ้งท้ายปี 2024 ของเธอสักนิดหนึ่ง “ปีนี้เป็นเหมือนการสลับฉากสำหรับเรา เป็นการเกริ่นและอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังเป็นมะเหมี่ยวหรือ MAMIO ได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะยังต้องทำวงอยู่ แต่ก็สนุกมากที่เริ่มทำ MAMIO ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต เรารู้สึกว่าได้เจอตัวเองคนเดิมที่หายไปนานมากๆ แล้วมีความสุขกับตัวเอง… เรามีไฟในใจที่ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง (หัวเราะ)” เจ้าตัวทิ้งท้าย “ปีหน้าสนุกกว่านี้แน่นอน เราจะทำอัลบั้มเต็มของ MAMIO และคิดว่าจะเป็นตัวเองให้ชัดเจนกว่านี้อีกค่ะ”
ฟังเพลง ‘ตอนจบ (The End)’ ได้แล้วผ่านทุกช่องทางสตรีมมิ่ง และติดตามมะเหมี่ยวและผลงานเพลงของเธอได้ที่ YouTube และ TikTok: @thisismamio