Autumn Night ค่ำคืนแห่งฤดูใบไม้ร่วงอันแสนอ่อนโยนของศิลปินสาวชาวญี่ปุ่น Mifuu Oda
นับแต่อดีตกาลนานมา ‘ธรรมชาติ’ นอกจากจะเป็นแหล่งกำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตแล้ว ยังเป็นต้นธารแห่งแรงบันดาลใจของความคิดสร้างสรรค์หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานศิลปะ นับแต่อดีตจนปัจจุบัน มีศิลปินหลายคนหยิบฉวยเอาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติมาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้นรวมถึงมิฟุ โอดะ (Mifuu Oda) ศิลปินหญิงรุ่นใหม่ชาวญี่ปุ่นจากเมืองวากายามะ ผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวในการสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดสีอะคริลิก ที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของหญิงสาวที่มีต่อธรรมชาติอันงดงามรอบตัวเธอ ผลงานของโอดะไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติเท่านั้น หากแต่ยังดึงดูดผู้ชมด้วยสีสันสดใสที่หลอมรวมเข้ากับอารมณ์ความรู้สึกและบรรยากาศอันแสนอ่อนโยนได้อย่างลงตัว
ในครั้งนี้ มิฟุ โอดะ เดินทางมาแสดงผลงานในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในนิทรรศการเดี่ยว ‘Mifuu Oda’s Bangkok Mini Solo Exhibition in Thailand: Autumn Night’ โดยเธอกล่าวถึงแรงบันดาลใจเบื้องหลังผลงานในนิทรรศการครั้งนี้ของเธอว่า “แนวคิดของนิทรรศการในครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง เพราะประเทศญี่ปุ่นตอนนี้ผ่านพ้นฤดูร้อนมาแล้ว และเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ที่อากาศเย็นสบาย กลางคืนมาถึงเร็วขึ้น ทำให้ฉันได้มีโอกาสมองดวงดาว ท้องฟ้า อวกาศ ได้เห็นใบไม้สีแดง ดมกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ และได้จินตนาการไปกว้างไกล ถือเป็นฤดูกาลที่ดีมาก เพราะทำให้ฉันได้ใช้ความคิดของตัวเอง ผลงานส่วนใหญ่ของฉันจะได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวที่พบเจอรอบตัว และความรู้สึกส่วนตัวของฉัน ที่เอามาแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นงานศิลปะ
“ฉันชอบวาดภาพเด็กผู้หญิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ฉันศึกษาค้นคว้าและฝึกฝนการทำงานศิลปะด้วยตัวเอง ถึงแม้ตัวฉันเองก็เรียนมาทางสายศิลปะ แต่ก็ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนวาดภาพโดยตรง ฉันศึกษาในภาควิชาการวางแผนศิลปะ (Art Planning) แต่ด้วยความที่ฉันอยู่ในสังคมของมหาวิทยาลัยศิลปะ เพื่อนๆ รอบตัวฉันก็วาดภาพกันทั้งนั้น ถึงแม้ฉันจะเรียนในสาขาอื่น แต่ฉันก็ยังไม่ล้มเลิกความชอบในการวาดภาพ ฉันก็เลยฝึกวาดภาพด้วยตัวเอง บวกกับประสบการณ์ตอนมัธยมปลายที่เคยเข้าชั้นเรียนศิลปะ แล้วครูสอนวิธีการวาดภาพด้วยการปาดสีอะคริลิกด้วยเกรียง ฉันก็คิดว่ามีวิธีการวาดภาพแบบนี้ด้วยหรือ ฉันก็เรียนรู้จากอาจารย์ท่านนี้ และศึกษาจากการดูงานของศิลปินท่านอื่นและเอามาปรับใช้กับสไตล์ตัวเอง เพราะอย่างที่บอกว่าฉันชอบวาดรูปเด็กผู้หญิง ก็เลยเอาสไตล์การปาดสีด้วยเกรียงมาใช้กับการวาดเด็กผู้หญิงนั่นเอง”
นั่นเป็นที่มาของผลงานของโอดะ ที่เป็นส่วนผสมของงานสไตล์คาแรคเตอร์เด็กผู้หญิงน่ารักสดใส อ่อนหวาน ผสานเข้ากับพื้นผิวอันเต็มไปด้วยร่องรอยของฝีแปรง (หรือเกรียงปาดสี) อันขรุขระหยาบกระด้าง เปี่ยมพลังความเคลื่อนไหว ที่คล้ายกับงานศิลปะในสไตล์แอ็บสแตรกต์เอ็กซ์เพรสชั่นนิสต์ (Abstract Expressionist) นั่นเอง “ฉันอยากถ่ายทอดความอ่อนไหวทางอารมณ์ เหมือนอารมณ์ของเด็กผู้หญิงที่เวลามีการเปลี่ยนฤดูกาลก็จะมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ฉันเลยหยิบเอาสไตล์ของศิลปะแอ็บสแตรกต์เอ็กซ์เพรสชั่นนิสต์มาเป็นแรงบันดาลใจ ส่วนตัวละครเด็กผู้หญิงในภาพวาด ก็อาจจะบอกได้ว่ามาจากตัวของฉันเองก็ได้ เพราะเป็นคาแรคเตอร์ที่แสดงความรู้สึกนึกคิดของตัวฉันเองออกมา
“ฉันยังได้แรงบันดาลใจจากศิลปินที่ฉันชอบอย่างโยชิกิ โอคามูระ (Yoshiki Okamura) และซะเมะโฮชิ (Samehoshi) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันมีโอกาสได้ไปชมผลงานของคุณซะเมะโฮชิด้วยตาตัวเองแล้วรู้สึกประทับใจมาก หรือแม้แต่ผลงานของโคลด์ โมเนต์ (Claude Monet) ฉันก็เพิ่งไปดูมาเร็วๆ นี้ งานเหล่านี้มีมิติมากๆ ฉันก็เลยอยากทำงานของตัวเองให้มีมิติเหมือนกัน เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นผลงานจริง น่าจะประทับใจมากกว่าการเห็นในภาพจากหน้าจอเท่านั้น
“ก่อนหน้านี้ฉันสร้างผลงานมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ตอนนั้นฉันทำงานศิลปะแบบดิจิทัลเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียจนมีคนรู้จักฉันระดับหนึ่ง ต่อมาตอนเรียนจบฉันจึงเริ่มวาดภาพด้วยสีอะคริลิก พอเอางานชุดนี้ลงในโซเชียลก็ทำให้คนสนใจและติดตามกันเยอะมาก ทำให้ฉันเปลี่ยนแนวทางมาวาดภาพด้วยสีอะคริลิกเป็นหลัก เพราะมันเวิร์คกว่ามาก”
ถึงแม้ผลงานของโอดะในนิทรรศการครั้งนี้จะเป็นภาพของเด็กหญิงตาโตน่ารัก สีสันสดใส อ่อนหวาน และดอกไม้ใบหญ้าอันงดงาม แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความรู้สึกเศร้าสร้อยเอาไว้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงชื่อและธีมหลักของนิทรรศการอย่างค่ำคืนแห่งฤดูใบไม้ร่วงนั้นก็ยิ่งให้อารมณ์ถึงความมืดหม่น ร่วงโรย และการจากลาอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่สาว Gen Z อย่างเธอน่าจะชื่นชมฤดูใบไม้ผลิเสียมากกว่า “อย่างที่บอกว่าฉันวาดภาพเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นอารมณ์ของผู้หญิง หรืออารมณ์ของเด็กสาว ย่อมต้องมีความขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้ว เดี๋ยวสุข เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเหงา ก็แสดงออกมาในผลงานที่ฉันทำ ฉันดีใจที่ผลงานของฉันสามารถสื่อถึงอารมณ์เหล่านี้ออกมาได้ชัดเจนจนผู้ชมสามารถรับรู้ได้
“เหตุผลที่ชอบฤดูใบไม้ร่วง เพราะว่าเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก จากฤดูร้อนเป็นฤดูหนาว อากาศจะเปลี่ยนแปลงจากร้อนไปสู่หนาว ทำให้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมหลายอย่างด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันเป็นคนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด ที่เมืองวากายามะ ซึ่งทำให้ฉันได้เห็นใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงดาวสวยงาม สำหรับฉัน แค่การได้เฝ้ามองธรรมชาติก็มีความสุขแล้ว ฉันเลยรู้สึกว่าฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ฉันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือน
“ถ้าฉันเป็นคนเมือง ฉันคงจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หรืออาจจะรู้สึกได้จากการเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วเห็นสินค้าเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล หรืออาจจะรู้สึกหนาวขึ้น อากาศเริ่มเย็นลงเท่านั้นเอง เพราะฉันคงไม่มีโอกาสได้เฝ้ามองธรรมชาติอย่างที่ฉันทำอยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีมากที่ฉันมีโอกาสได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ฉันรักสภาพแวดล้อมที่ฉันอยู่ตอนนี้ที่สุด
“ตอนเรียนมหาวิทยาลัยฉันได้ไปเรียนที่เมืองโอซาก้า 4 ปี แต่ฉันรู้สึกว่าในเมืองอากาศไม่ค่อยดี เมืองใหญ่มีบรรยากาศค่อนข้างขมุกขมัว แล้วก็ไม่ค่อยมีธรรมชาติ ไม่เหมือนที่บ้านของฉัน ถึงแม้ฉันจะรู้สึกว่าผู้คนในเมืองโอซาก้าสนุกสนานดี นิสัยดี แต่สุดท้ายฉันก็ชอบในธรรมชาติมากกว่า ก็เลยกลับมาอาศัยและทำงานอยู่ที่บ้านแทน
“ฉันวาดภาพเกี่ยวกับเรื่องราวที่ตัวเองชอบ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ฉันรู้สึกนึกคิดออกมา ด้วยการใช้เทคนิคการไล่สี โดยใช้สีสันที่อ่อนโยน เพื่อให้คนที่มาดูภาพของฉันรู้สึกอ่อนโยนไปด้วย ฉันอยากให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้พักร่างกาย พักสายตา ละทิ้งความรู้สึกหนักอึ้ง ปล่อยกายใจให้เบาสบายไปกับความรู้สึก สุข เศร้า เหงา ปะปนกัน ฉันอยากให้ทุกคนที่ได้ดูภาพของฉันมีความรู้สึกร่วมไปด้วยกันกับฉัน”
นอกจากแรงบันดาลใจและเทคนิคในการทำงานแล้ว โอดะยังเผยถึงเคล็ดลับในการผลักดันให้ผลงานของเธอเป็นที่รู้จักและชื่นชอบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกออนไลน์ว่า “โดยส่วนใหญ่ศิลปินคนอื่นๆ จะรอให้ผลงานเสร็จสมบูรณ์ก่อน แล้วค่อยมาเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย แต่ส่วนตัวฉันคิดว่า ถ้าเราคิดว่าผลงานของเราโอเค และรู้สึกอยากให้คนดูแล้ว ถึงแม้จะยังทำไม่เสร็จ ก็ลงเผยแพร่ให้คนดูไปก่อนก็ได้ เพื่อดูผลตอบรับ สมมุติทำไปได้แค่ 60% ถ้าเราอยากให้คนดู ก็ลงไปได้เลย ส่วนใหญ่คนที่ไม่ชอบลงเพราะว่าเขาชอบความสมบูรณ์แบบ แต่คนที่ไม่ชอบความสมบูรณ์แบบก็มี ดังนั้น ถ้าเราอยากอวดผลงานให้คนดู ก็อวดไปเลย ไม่ต้องคิดมาก เพราะบางครั้งในการทำงานจะมีจังหวะพิเศษบางอย่างที่เกิดขึ้นแค่ห้วงเวลานั้น ถ้าทำมากไปกว่านั้นก็จะไม่ได้แล้ว ดังนั้น ถ้าเรารู้สึกว่าจังหวะนั้นเกิดขึ้น เราก็ต้องให้คนดูเดี๋ยวนั้นเลย เพราะถ้าไม่ให้ดูตอนนี้ จะให้ดูตอนไหน”
ท้ายสุดโอดะฝากนิทรรศการครั้งนี้ของเธอถึงมิตรรักแฟนศิลปะชาวไทยว่า “ครั้งนี้ฉันได้มาเมืองไทยเป็นครั้งแรก ฉันคิดว่าประเทศไทยกับญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างกันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอากาศ วัฒนธรรม ฉันจึงอยากจะสื่อสารให้คนไทยได้เห็นและรู้จักญี่ปุ่นมากขึ้นผ่านผลงานของฉัน การได้มาแสดงนิทรรศการในประเทศไทยครั้งนี้ฉันรู้สึกดีใจมาก เพราะถ้าไม่มีแรงเชียร์จากแฟนๆ ทุกท่าน ฉันคงไม่มีโอกาสมาถึงทุกวันนี้ได้ ที่สำคัญก็คือ ในคราวนี้ฉันนำผลงานจริงมาให้ชมกัน ฉันคิดว่าการชมงานของจริงนั้นสามารถสื่อสารได้มากกว่าการเห็นภาพถ่ายหรือดูทางหน้าจอโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นอะไรที่พิเศษมาก จึงอยากให้ทุกคนมาชมกัน”
นิทรรศการ Mifuu Oda’s Bangkok Mini Solo Exhibition in Thailand: Autumn Night จัดแสดง ณ เมซง เจอี กรุงเทพฯ (Maison JE Bangkok) ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน – 22 ธันวาคม 2567