‘Villains Are Made, Not Born’ วายร้ายไม่ได้เกิดมา แต่ถูกสร้างขึ้น!

Share This Post

- Advertisement -

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ค่ายภาพยนตร์หยิบจับเรื่องราวของ ‘ตัวร้าย’ จากจักรวาลต่างๆ มาบอกเล่าในฐานะตัวดำเนินเรื่องหลัก และก็ถึงเวลา The Penguin หนึ่งในตัวร้ายสุดไอคอนิคจากจักรวาลแบทแมนจะออกมาเฉิดฉายบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังอันหม่นมืดของตัวเอง ลอฟฟีเซียล ออมส์ อดนอนลงนั่งคุยกับบุคคลทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่ทำให้ซีรีส์ The Penguin ถือกำเนิดขึ้นมาได้ 

“สิ่งที่ทำให้ The Penguin หรือ Oswald Cobb น่ากลัว ไม่ใช่พละกำลังหรือความเข้มแข็งของเขา แต่คือความอ่อนแอ” คำพูดของ Matt Reeves หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างซีรีส์ The Penguin นั้นฮุคเราอยู่หมัด แม้ว่าเราจะคุ้นชินกับภาพอันหม่นมืดของจักรวาลแบทแมนและเมืองก็อตแธมอยู่เป็นทุนเดิม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหล่าคาแรกเตอร์หลักในจักรวาลนี้นั้นต่างก็มีต้นทุนชีวิตที่หนากันมาแต่อ้อนแต่ออกอยู่แล้ว สมกับที่หนึ่งในแบทแมนเคยตอบคำถามที่เดอะแฟลชถามเขาว่าคุณมีพลังพิเศษอะไรว่า “ผมรวย” นั่นแหละ 

“เรื่องราวในซีรีส์ The Penguin นี่แตกต่างจากซีรีส์ในจักรวาลแบทแมนและเมืองก็อตแธมมากเลยนะครับ” Rhenzy Feliz นักแสดงผู้รับบท Victor Aguilar ลูกสมุนมือขวาออสวาลด์เล่า “อย่างที่ลอเรน (Lauren LeFranc – โชว์รันเนอร์ และผู้อำนวยการสร้าง) เคยบอกไว้นั่นล่ะครับว่าการเล่าเรื่องราวของแบทแมนคือการเล่าเรื่องแบบมองจากที่สูงลงมาเห็นเมืองก็อตแธมที่กำลังเน่าเฟะ ในขณะที่เรื่องราวของออสวาลด์และผองเพื่อนในซีรีส์เรื่องนี้คือการเล่าเรื่องจากมุมมองของคนที่จมอยู่ในโคลนตมอันเน่าเฟะที่แบทแมนเห็น และเงยหน้าขึ้นมาน่ะครับ เป็นการเล่าแบบนั้น มันเลยแตกต่างจริงๆ” ซึ่ง Deirdre O’Connell นักแสดงผู้รับบทสำคัญ Francis Cobb หรือผู้ให้กำเนิดออสวาลด์ก็รีบสนับสนุนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “พวกเราจมอยู่ในโคลนแบบหนาๆ เลยล่ะค่ะ เหมือนเราเพิ่งรอดพ้นจากน้ำท่วมใหญ่มา และมาปรากฏตัวกันในซีรีส์เรื่องนี้เลยล่ะค่ะ ตอนที่ฉันได้รับบทมาอ่านครั้งแรก ฉันเห็นได้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้มีสไตล์ที่เฉพาะมากจริงๆ ค่ะ วิธีการเขียนบทคือพิเศษมาก ส่วนวิธีการเล่าเรื่องก็สวยงามมากจริงๆ บทจะทำให้คุณอยากจะค่อยๆ สำรวจไปในจักรวาลก็อตแธมในแง่มุมที่คุณไม่เคยได้เห็นจากซีรีส์เรื่องอื่น และพอคุณเริ่มเข้าใจเรื่องราวเฉพาะทั้งหมดในจักรวาลนี้แล้ว คุณก็จะได้เห็นเลยว่าปมต่างๆ และการเฉลยเรื่องราวความเป็นมาของผู้คนในซีรีส์เรื่องนี้นั้นน่าสนใจจริงๆ ฉันไม่เคยเห็นการเขียนบทแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ” 

เรื่องราวในซีรีส์ The Penguin เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาพยนตร์ The Batman (2022) จบลง นั่นคือ The Riddler จัดการระเบิดกำแพงกั้นน้ำทั่วเมือง ก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วเมืองก็อตแธม ซึ่งก็แน่นอนว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นส่งผลกระทบแต่เฉพาะกับชนชั้นรากหญ้า ในขณะที่บ้านหรูหราระดับครอบครัวเวย์นก็ลอยตัวเหนือปัญหาและน้ำท่วมไปตามระเบียบ “ฉันโชคดีที่แมตต์ให้อิสระในการทำงานกับฉันมากๆ เลยค่ะ”​ ลอเรนให้สัมภาษณ์ “ฉันรู้ว่าฉันจะต้องเริ่มทำงานนี้จากจุดไหน นั่นคือหนึ่งสัปดาห์หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเมืองก็อตแธม และฉันก็รู้ว่าฉันจะต้องสร้างเรื่องราวที่กินใจมากๆ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องทำให้ได้ แต่ในระหว่างการดำเนินเรื่องนั้น ฉันสามารถสร้างสรรค์อะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ แมตต์ให้อิสระฉันจริงๆ ค่ะ และก็ต้องยอมรับว่าซีรีส์นี้มันมีความท้าทายเป็นอย่างมากจากการร่วมงานกับทีมงานคุณภาพรอบตัว ตัวคอลิน (Colin Farrell ผู้รับบทเดอะเพนกวิน หรือออสวาลด์ คอบบ์) เองใช้เวลาทำความเข้าใจตัวละครของเขาถึงวันละสี่ชั่วโมง ส่วนทีม visual effect ก็ทำงานอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนเมืองอย่างนิวยอร์ก ลอนดอน และเมืองอื่นๆ ที่เราไปถ่ายทำมาให้กลายเป็นเมืองก็อตแธมที่ดูน่าเชื่อถือและมีเสน่ห์ การทำงานกับทุกทีมทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นการทำงานที่สนุกมากจริงๆ ค่ะ ทีมงานทุกคนคือผู้แบกซีรีส์นี้อย่างแท้จริงค่ะ” 

แม้ว่าผู้ชมจะคุ้นชินกับตัวละครหลักของซีรีส์อย่างเดอะเพนกวินแล้ว แต่จากปากคำของลอเรน ซีรีส์เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องราวที่คุณเคยอ่านมาอย่างแน่นอน “เรื่องราวในซีรีส์แตกต่างจากภาคคอมมิกมากๆ เลยค่ะ” ลอเรนอธิบาย “ฉันทำการบ้านโดยการอ่านคอมมิกที่เดอะเพนกวินปรากฏตัว อ่านเรื่องราวของ Holiday Killer เพื่อให้ได้แรงบันดาลใจ และสามารถทำงานเพื่ออุทิศให้กับเรื่องราวดั้งเดิมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในขณะที่สร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ๆ ให้กับจักรวาลนี้ไปพร้อมๆ กันเท่านั้นเองค่ะ ตัวละครที่ค่อนข้างคล้ายกับภาคคอมมิกที่สุดน่าจะเป็นฟรานซิส แม่ของออสนี่ล่ะค่ะ แต่ตัวละครอื่นๆ นี่ไม่เหมือนเลย อย่าง Sofia Falcone ก็เป็นตัวละครที่มีอยู่จริงในภาคคอมมิก แต่โซเฟียในเวอร์ชั่นของฉัน ไม่เหมือนโซเฟียภาคคอมมิกเลยค่ะ ไม่เคยมีใครเล่าเรื่องราวของเธอในแบบที่ฉันเล่ามาก่อนเลยค่ะ ส่วนวิคเตอร์ก็เป็นตัวละครใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อซีรีส์นี้โดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเราสร้างตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อซีรีส์นี้เยอะพอสมควรค่ะ และสำหรับฉัน การทำงานโดยเคารพต้นฉบับไปพร้อมๆ กับการสร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ๆ ให้น่าเชื่อถือนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจทำให้กับจักรวาลนี้ และฉันก็ไม่ได้สร้างจักรวาลนี้โดยอ้างอิงจากซีรีส์ชุดอื่นๆ หรือจักรวาลอื่นๆ เลยนะคะ ฉันหมกมุ่นอยู่กับจักรวาลนี้เท่านั้นเลยจริงๆ ก็ต้องรอดูกันค่ะว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร” 

“ในฐานะนักแสดงที่รับบทโซเฟีย ฉันรู้สึกได้เลยว่าเธอเป็นตัวละครที่แบกรับอะไรบางอย่างไว้ในใจค่อนข้างมาก” Cristin Milioti กล่าว “เหมือนเธอกำลังนั่งทับระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดมันก็ระเบิดออกมาจริงๆ อย่างที่ทุกคนได้เห็นในซีรีส์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเธอแบกรับอะไรบางอย่างมาตลอดทั้งในอดีต และปัจจุบัน ฉันต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะแสดงให้คนดูเชื่อได้ว่าตัวละครตัวนี้ถือไดนาไมต์ไว้ภายในใจตลอดเวลา แต่ก็ต้องซ่อนไว้ไม่ให้คนอื่นเห็น เป็นการแสดงที่ท้าทายมากจริงๆ ค่ะ” ฟังดูแล้วเหมือนบทโซเฟียจะเป็นบทที่มีเสน่ห์ถึงดูดพอสมควร ไม่ต่างจากบทเดอะเพนกวินนะ 

คุณคิดเหมือนกันไหมว่าเราต่างถูกดึงดูดให้เข้าหาคาแรกเตอร์สีเทาๆ แบบนี้ มันเป็นเพราะอะไรกัน “ฉันไม่มั่นใจเหมือนกันนะคะว่าทำไมคนเราถึงรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดแปลกๆ กับตัวละครอย่างออสหรือโซเฟีย” เธอลังเล “แต่ฉันขอพูดจากความรู้สึกตัวเองแล้วกันนะคะ ฉันรู้สึกว่าเวลาเราได้เห็นคนที่ลงมือทำอะไรบางอย่างเพราะเขาอยากทำจริงๆ มันดูน่าหลงใหลมากเลยนะคะ การได้เห็นคนหลุดจากกรอบอะไรบางอย่างที่ครอบพวกเขาอยู่ และลงมือทำสิ่งที่เขาอยากจะทำจริงๆ นั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นมันเกิดขึ้นในชีวิตจริง เพราะมันจะมีกรอบคุณธรรมอะไรบางประการครอบพวกเราไว้อยู่ การได้เห็นตัวละครทำอะไรสุดโต่งได้ขนาดนั้นอาจจะเป็นแฟนตาซีอันดำมืดลึกๆ ในตัวของพวกเราก็ได้มั้งคะ มันเลยทำให้พวกเรารู้สึกตื่นเต้น และถูกดึงดูดไปโดยปริยายน่ะค่ะ” 

เท่าที่ฟังมา ทุกคนตั้งใจที่จะสร้างสรรค์เมืองให้สมจริงพอที่จะเชื่อว่าผู้คนที่เติบโตมาอย่างถูกละเลยในเมืองใหญ่อย่างก็อตแธมนั้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นใคร แนวคิดในการสร้างสรรค์เมืองใหญ่ที่มีความสำคัญไม่แพ้คาแรกเตอร์ต่างๆ ในนั้นคืออะไรกันแน่ “พวกเราพยายามสร้างก็อตแธมให้ออกมาเป็นภาพที่ชัดเจน” แมตต์อธิบาย “ถ้าไม่มีแบทแมน ก็คงไม่มีเมืองก็อตแธมตั้งแต่แรกใช่ไหม ดังนั้น การดำรงอยู่ของแบทแมนทำให้เมืองนี้มันเน่าเฟะ มันไม่สามารถทำให้เมืองมันดีขึ้นได้หรอก เพราะถ้าเมืองมันดีขึ้น แบทแมนก็จะหมดความสำคัญไปทันที ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ในความเน่าเฟะของมัน มันก็ก่อให้เกิดคำถามต่างๆ เช่น ทำไมมันถึงดึงดูดให้คนเข้ามามากมายขนาดนี้ ก็เพราะมันเป็นเมืองใหญ่สไตล์อเมริกันจ๋าๆ ที่เต็มไปด้วยโอกาส เราต้องการให้ภาพของเมืองก็อตแธมเป็นแบบนั้นครับ มันเป็นเมืองใหญ่ที่ดึงดูดคนทุกสารทิศให้เข้ามาเพราะทุกคนเห็นโอกาสในนั้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเมืองที่ดำมืดและสิ้นหวัง เพราะมีคนมากมายที่พยายามต่อสู้และดำรงอยู่ให้ได้ นั่นอาจจะเป็นสถานการณ์ปกติของเมืองใหญ่ต่างๆ ทั่วโลก แต่มันดูจริงเป็นพิเศษเมื่อเมืองนั้นๆ ถูกฉาบด้วยภาพ American dream คิดเสียว่าเมืองก็อตแธมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเมืองอย่างนิวยอร์กและชิคาโก้ก็ได้ ผมคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้ก็แค่สำรวจชีวิตของคนในชนชั้นที่มักจะถูกลืมในเมืองประเภทนี้นั่นแหละ ส่วนตัวผมคิดว่าผมน่าจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองก็อตแธมได้นั่นแหละ มันก็ไม่ต่างจากนิวยอร์กเท่าไหร่หรอก มันมีขึ้น มีลง มีดี มีร้าย เป็นพื้นที่แห่งโอกาส แต่ก็มีความน่ากลัวและอันตรายแฝงอยู่ตามมุมตึก โอเค… มันอาจจะดูแย่กว่านิวยอร์ก แต่นั่นก็เป็นความตั้งใจที่จะดีไซน์ให้มันเป็นแบบนั้นของทีมงานนั่นล่ะครับ” 

“ผมว่าผมก็อยู่ในก็อตแธมได้นะ” Dylan Clark อีกหนึ่งผู้อำนวยการสร้างกล่าว “ผมว่าเราต่างก็ถูกดึงดูดเข้าหาเมืองประเภทนี้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เรามีคล้ายกันก็คือ เราต่างเห็นโอกาสในเมืองใหญ่เหล่านี้ แม้ว่ามันจะมีเรื่องราวดำมืด หรือเรื่องอันตรายอยู่บ้าง แต่เราก็อยากจะสำรวจมันอยู่ดี และสิ่งที่น่าสนใจของเมืองก็อตแธมก็คือ คาแรกเตอร์ต่างๆ ที่ถูกใส่มาอย่างนายกเทศมนตรี ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ นั้นคือผู้ที่พยายามจะทำให้เมืองนี้ดีขึ้น 

แต่บางครั้ง พวกเขาอาจจะเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดเองครับ” งั้นแบบนี้ คุณมีข้อจำกัดหรืออุปสรรคอะไรในการสร้างสรรค์เมืองก็อตแธมให้กับซีรีส์ชุดนี้ไหม เพราะมันคือการมองจากมุมที่แย่ที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ “ก็อตแธมปรากฏตัวในหลากหลายซีรีส์ ในหลากหลายมุมมองมาแล้ว ความยากคือเราอยากจะทำให้มันดูเป็นเมืองที่มีอยู่จริง มีคนอาศัยในนั้นจริงๆ ไม่ใช่เมืองในจินตนาการที่ลอยๆ อยู่ในอากาศ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่อยากจะให้มันเป็นนิวยอร์ก หรือชิคาโก้ เราก็เลยพยายามสร้างเมืองที่มีไวบ์ของ American dream แบบดาร์กๆ ขึ้นมาใหม่ ก็อาจจะเรียกได้ว่าก็อตแธมเป็นเมืองแบบอเมริกันโกธิคก็ได้นะครับ ทีมงานทุกคนทำงานหนักมากเพื่อให้ทุกคนเชื่อมันได้แบบไร้ข้อกังขาครับ” 

คุณคิดว่าสารสำคัญที่ซีรีส์ The Penguin ต้องการจะสื่อไปถึงผู้ชมคืออะไร “ฉันไม่มั่นใจนะคะว่าฉันจะตอบคำถามนั้นได้ไหม” คริสตินลังเล “แต่ส่วนตัวฉันคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้อาจจะกระตุ้นให้คุณเห็นคุณค่าของคนที่ถูกลืมเลือนและถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้บ้างนะคะ เพราะการที่ไม่มีใครเห็นค่าคือจุดร่วมที่ทำให้ตัวละครทุกตัวมารวมตัวกันค่ะ พวกเขาถูกมองข้าม ถูกทิ้งขว้างมาตลอดชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น และซีรีส์เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณได้คำตอบก็ได้นะคะว่าทำไมคนเราถึงโหยหาอำนาจกันขนาดนั้น ฉันแนะนำให้คุณหาคำตอบนี้โดยการรับชมซีรีส์เรื่องนี้เองแล้วล่ะค่ะ” 

“ส่วนฉันไม่มั่นใจนะคะว่าซีรีส์เรื่องนี้ต้องการสื่อสารอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ลอเรนตอบ “สิ่งที่ฉันตอบได้ในฐานะโชว์รันเนอร์และผู้สร้างก็คือ เราพยายามสำรวจแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปมในวัยเด็ก ภาวะชายเป็นใหญ่ และเรื่องอื่นๆ ในขณะเดียวกัน ซีรีส์เรื่องนี้ก็ถูกทำมาเพื่อครอบครัวในหลายๆ แง่มุม ถึงมันจะดำเนินเรื่องด้วย crime drama ก็ตาม แต่มันคือเรื่องราวของมนุษย์ที่เราอยากจะนำเสนอค่ะ ดังนั้น สำหรับฉัน มันไม่น่าจะมีสารอะไรที่ชัดเจนเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งนะคะ แต่เราพยายามถ่ายทอดตัวตนของออสที่ทั้งน่าขยะแขยง น่าสงสาร และน่าหลงใหลไปพร้อมๆ กันค่ะ ขอให้ผู้ชมเป็นผู้คิดเองนะคะว่าทำไมคุณ ถึงรักเขา ทำไมคุณถึงเกลียดเขา และทำไมคุณถึงทำความเข้าใจเขาได้ไม่ยากค่ะ” 

“ฉันรู้สึกว่านั่นคือเสน่ห์ของซีรีส์ชุดนี้เลยค่ะ” ไดเดรย์เสริม “มันบอกเล่าเรื่องราวดันดำมืดของตัวละครอย่างเดอะเพนกวิน และคนรอบข้างเขา สำหรับฉัน มันคือเรื่องราวของคนคนหนึ่งที่เกิดมาโดยเชื่อว่าตัวเองไร้ตัวตน และเขาก็พยายามที่จะทำตัวไร้ตัวตนต่อไป ในขณะเดียวกันความไร้ตัวตนของเขาก็ทำให้เขาถูกเมิน ไม่ให้ความสำคัญ เขาจึงได้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนความเพิกเฉยที่เขาได้รับจากสังคมมาเป็นอาวุธเพื่อต่อกรกับสังคมและเมืองที่เขาอาศัยอยู่ เขาค่อยๆ เก็บสะสมความรู้สึกรุนแรงไว้จนมันระเบิดออกมาอย่างที่เห็น ซึ่งเรื่องราวแบบนี้มันน่าจะกระตุ้นเตือนให้สังคมหันมาใส่ใจสมาชิกในสังคมให้มากขึ้นนะคะ” 

“ส่วนหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีเสน่ห์ก็คือการแสดงของคอลินนี่ล่ะครับ” แมตต์กล่าวทิ้งท้าย “เขาตีความคาแรกเตอร์เดอะเพนกวินได้น่าสนใจมากจริงๆ นอกเหนือไปจากความดิ่งดาร์กในจิตใจของออสแล้ว เขายังสามารถทำให้ออสทั้งมีเสน่ห์ ตลก และยังสามารถถ่ายทอดความไม่สมบูรณ์แบบของคาแรกเตอร์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย การแสดงของเขาไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่านี่คือตัวร้ายแบบสีดำจากซีรีส์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เป็นการแสดงที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราจะเข้าใจเขา แม้ว่าเราจะไม่ชอบการกระทำของเขา แต่เราก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่าอะไรพาเขามาถึงจุดนี้ได้ คอลินทำให้เราเข้าใจว่าความดำมืดทั้งหลายในใจของออสนั้นเกิดขึ้นและพัฒนามาได้อย่างไร อันนี้ต้องยอมรับจริงๆ ครับ” 

รับชมซีรีส์ The Penguin ได้แล้วทางช่อง HBO และ MAX เท่านั้น


Author: Pacharee Klinchoo
Photography: Courtesy of HBO

- Advertisement -