“เพลงใหม่ของพวกเราที่กำลังจะออกชื่อว่า ‘ถ้าหากฉันรู้ว่ามันจะเจ็บ (Alternate Ending)’ ซึ่งชื่อเพลงมาจากตัว alt บนคีย์บอร์ดที่เราใช้เวลาจะกดคำสั่งทางเลือกต่างๆ ก็เอามาพูดเกี่ยวกับเรื่องความรักความสัมพันธ์” บอย – อริย์ธัช พลตาล นักร้องนำวง Lomosonic เปิดบทสนทนา “ถ้าเราจะอกหักและมันจะเจ็บขนาดนี้ ต้องเยียวยาตัวเอง ต้องผ่านความรู้สึกอะไรขนาดนี้ เราก็รู้สึกว่าถ้าเรากลับไปที่จุดเริ่มต้น และไม่เริ่มต้นสบตากับคนคนหนึ่ง มันอาจจะไม่ต้องเกิดเรื่องราวอะไรมากขนาดนี้ก็ได้ พูดง่ายๆ คือผมรู้สึกว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยความเจ็บช้ำก็ได้ครับ ผมเห็นหลายคนบอกว่า ถ้าเลือกย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะตัดสินใจแบบเดิม แต่ผมรู้สึกว่ามันจะมีคนที่ไม่เลือกทำแบบเดิมครับ จากประสบการณ์หลายๆ อย่าง ผมรู้สึกว่า ถ้ามันจะแย่ขนาดนี้ เราเป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดาก็ได้น่ะครับ”
“ขอเสริมเรื่องชื่อเพลงภาษาอังกฤษหน่อยนะครับ” ปิติ เอสตราลาโด สหพงศ์ เดน โดมินิค มือกีตาร์ประจำวงเสริม “ชื่อเพลงภาษาอังกฤษของอัลบั้มนี้ทุกเพลงจะพัฒนามาจากศัพท์ในวงการเกม จะเอามาเล่นกับชื่อเพลงทั้งหมด ซิงเกิ้ลแรกก็ใช้ชื่อว่า ‘Hard Mode’ พอซิงเกิ้ลนี้ก็ตั้งชื่อว่า ‘Alternate Ending’ ที่จะสื่อว่ามีบางเกมที่จบได้มากกว่าหนึ่งแบบ ถ้าเรากลับไปเล่นเกมเดิมอีกครั้ง เราอาจจะเลือกทางคนละแบบกับที่เราเล่นครั้งแรก มันก็จะจบอีกแบบหนึ่งครับ”
จริงๆ วงก็ยืนระยะในวงการมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว ไม่น่าจะมีใครที่ไม่รู้จัก Lomosonic แต่เราก็อยากรู้อยู่ดีว่า ถ้าให้วงเลือกแนะนำตัวเองผ่านเพลงหนึ่งเพลงให้คนที่อาจจะไม่รู้จักวง วงจะเลือกเพลงไหน “ผมเลือก ‘ความรู้สึกของวันนี้ (FELT)’ ครับ” บอยตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด “เพราะว่าเพลงกุมความหมายไว้ค่อนข้างดีในเรื่องของศิลปะการใช้ภาษา ในเรื่องของการเรียบเรียงดนตรี เรื่องซาวด์เพลง และเรื่องบรรยากาศของเพลงก็มีความเป็นตัววงสูงมาก มีความเป็นศิลปะ และมีพื้นฐานมาจากเพลงร็อคที่พวกเราชอบฟังอยู่แล้ว เพลงนี้น่าจะดีที่สุดครับ”
ขอชวนคุยเรื่องดนตรีร็อครวมๆ หน่อยได้ไหม “ผมว่ามันเป็นไปตามเวลาครับ” บอยตอบทันทีเช่นเคย “เราคงเคยชินกับวาทกรรมที่บอกว่า ‘Rock never dies.’ กันใช่ไหมครับ ครั้งหนึ่งร็อคเคยเป็นดนตรีกระแสหลักที่ไปไหนก็มีเด็กอยากตั้งวงเล่นเพลงร็อค แต่ตอนนี้ ถ้าว่ากันตามสถิติ ผมรู้สึกว่าร็อคไม่ใช่กระแสหลัก และวัฒนธรรมเพลงร็อคที่เคยรวมศูนย์กันอยู่ มันถูกกระจายไปหมดแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไปหมด วัฒนธรรมเพลงร็อคเข้าไปแทรกซึมอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เหล่านั้น มันไม่ใช่กระแสหลักอีกต่อไป ถึงเราจะอยากให้มันเป็นก็ตาม”
“แต่เราก็เห็นเพลงร็อคอยู่บ่อยๆ นะครับ” ป้อม – ฉัตรชัย งามสิริมงคลชัย มือกีตาร์และเสียงประสานเสริม “และในบรรทัดสุดท้าย ในทุกๆ เทศกาลดนตรีหรือทุกๆ อีเวนต์ เพลงร็อคก็ยังถูกใช้ในการขับเคลื่อนอยู่ดี เพลงร็อคยังมีผลทั้งในแง่วิทยาศาสตร์และในทางปฏิบัติที่ทำให้คนโดดไปด้วยกัน ผมเลยรู้สึกว่า ถึงเพลงร็อคจะไม่ใช่กระแสหลักแบบนั้น แต่คนก็ยังรอการเกิดใหม่ เพราะเราก็ยังมีความสุขกับเพลงร็อคเก่าๆ ที่เราคุ้นชินกันอยู่ดีครับ”
อายุวงขนาดนี้แล้ว เหลือเป้าหมายอะไรให้พิชิตอยู่ไหม เราถามต่อ “เรื่องของความสำเร็จมันอยู่ที่เวลาของแต่ละคนนะครับ ไม่มีไม้บรรทัดเดียวกันหรอก” บอยตอบทันที “มันตอบได้เป็นข้อๆ มากกว่าว่าความสำเร็จคืออะไร เช่น ในปัจจุบันนี้เราหากินกับอาชีพนี้อาชีพเดียวหรือเปล่า เอาตัวรอด มีข้าวกิน มีเงินใช้จากอาชีพนี้หรือเปล่า ใช่ครับ มีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองหรือยัง มีแล้วครับ มีอัลบั้มแล้ว ใช่ครับ อันนี้เรื่องของกายภาพนะครับ ในส่วนของจิตใจก็คือวงเติบโตยังไง มีผลต่อความรู้สึกคนแบบไหน ขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่ดีหรือเปล่า” ซึ่งป้อมก็พยักหน้ารับ “ผมว่าในเรื่อง ‘ได้อะไร’ เราได้มาหมดแล้ว แต่ว่า ‘ได้มาอย่างไร’ ครับที่ต้องมาคุยกัน คอนเสิร์ตใหญ่เราเคยเล่นมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังอยากเล่นให้มันใหญ่ขึ้นอีก อะไรแบบนี้ครับ”
“ในวันที่คอนเสิร์ตมันใหญ่ขึ้น” บอยเสริม “ถ้ามันมีใหญ่กว่าเสนอมาอีก ด้วยนิสัยของโลโมโซนิค ก็รู็สึกว่าอยากจะไป เพราะฉะนั้น มันก็นิยามได้ยากว่าความสำเร็จมันเป็นยังไง ส่วนในทิศทางที่วงจะไปเป็นแบบไหน ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของนักเรียนจบโรงเรียนออกแบบมามันสอนให้เราไม่ทำความสำเร็จซ้ำๆ เดิมๆตามสูตร ทุกครั้งเราทำอะไรก็ตามให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา ผ่านไปสักพักมันจะกลายเป็นสิ่งเก่า ก็จะเกิดการกบฏในตัวเอง เป็นการปฏิวัติการทำงานของตัวเองอยู่เรื่อยๆ มันทำให้การทำงานสนุกขึ้นด้วยครับ”
พวกคุณพูดเรื่องความสนุกในการทำเพลงบ่อยมาก ด้วยสถานการณ์โลกปัจจุบัน คุณรับมือกับแรงกดดันจากโซเชียลมีเดียและแฟนคลับอย่างไร “ไม่ได้รับมือเลยครับ” บอยตอบทันที “เหมือนกำปั้นทุบดินนะครับ แต่ความกดดันจากปัจจัยภายนอก หรือความเปลี่ยนแปลงในวงการเพลงที่เราควบคุมไม่ได้ เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ต้องไปรับมือกับมันครับ แค่ทำงานแล้วมีความสุขที่สุด ทำเพลงที่รู้สึกได้ว่ามันเท่ เรื่องนี้คือสำคัญที่สุด อย่างลูกของพี่อ๊อตโต้ (ชาญเดช จันทร์จำเริญ – มือกลอง) เดินมาบอกพ่อว่า ‘เพลงวงพ่อมันเท่จัง’ สิ่งนี้แหละถึงจะมีผลกับวงครับ”
และอีกหนึ่งปัจจัยที่วงยอมรับว่ามีอิทธิพลกับการทำเพลงของวงเป็นอย่างมากคือทัศนคติของค่าย genie records ที่พวกเขาสังกัดอยู่ “เป็นความโชคดีของวงที่ได้รับการสนับสนุนจากค่าย มีบอสอ๊อฟ (พูนศักดิ์ จตุระบุล – มือเบสวง Big Ass และผู้บริหาร genie records) ที่เข้าใจเรา ไม่ได้บังคับให้เราทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด และไม่เชิงว่าตามใจจะให้ทำอะไรก็ได้ แต่เราก็ได้รับโอกาสให้ทำเพลงให้ดีที่สุด และปล่อยให้มันเติบโตไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น อย่างเพลง ‘ส่งเธอได้เท่านี้ (GOODBYE)’ ก็กำลังจะเติบโตกลายเป็นเพลงที่เป็นสันหลังของโชว์ได้ ตอนที่เราทำเพลงเราก็ตั้งใจกันไว้แล้วแหละว่าเพลงน่าจะเติบโตได้ แต่ก็ไม่กล้าคิดว่าเพลงจะเลยเพดานไปขนาดนั้น เพียงแค่ว่าตอนที่มันออกจากตัวพวกเราไป เราต้องมั่นใจกันว่าโอเค ไม่อาย ไม่โดนลูกเพื่อนล้อ และเพลงต้องโชว์ว่าวงไม่ได้เป็นวงแก่ๆ ที่ยึดติดกับอดีต อะไรแบบนี้ครับ”
“สิ่งสำคัญสำหรับผมนะ” อ๊อตโต้เสริม “ผมว่ามันต้องออกไปแสดงสดได้ เรื่องของตัวเลขหรือยอดวิวเทียบไม่ได้เลยว่าหน้างานมีคนร้องเพลงของเราได้เท่าไหร่” และป้อมก็สรุปจบด้วยคำพูดเดิมของเขา “บรรทัดสุดท้ายของวงก็คือ ทุกเพลงต้องเล่นสดได้ดีน่ะ เพราะวงร็อคมันติ๊กถูกกันตรงนี้แหละครับ สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดมันวัดค่าตอนคุณเล่นสดเท่านั้นเลย”
Photographer: Pannatat Aengchuan
Author: Pacharee Klinchoo