‘เล็ก Greasy Cafe’ ให้สัมภาษณ์ถึงเพลง ‘ความหมายของการมีลมหายใจ’

Share This Post

- Advertisement -

“ผมเคยได้ยินคำที่คนเขาพูดกันว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ และผมก็รู้สึกว่า เอ๊ะ… มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ” เล็ก – อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือเล็ก Greasy Cafe ลงนั่งให้สัมภาษณ์กับเราถึงเพลง
‘ความหมายของการมีลมหายใจ’

อันเป็นซิงเกิ้ลล่าสุดของเขาหลังจากห่างหายจากการปล่อยเพลงไปถึงสามปี “เพราะผมรู้สึกว่า การที่มีคนคนหนึ่งมองเห็นคุณค่าในตัวเรา มันน่าจะทำให้เรามีความสุขมากๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะทุ่มเทความรักอย่างบริสุทธิ์หัวใจมากๆ ให้มันเกิดขึ้นเป็นความรักครั้งหนึ่งในชีวิต มันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราตาบอดนะ เราไม่เห็นด้วยจริงๆ นะ และถ้าเกิดว่ามีคนอีกคนหนึ่งเจอความรักที่แย่มากๆ มาก่อน และเขาก็พยายามอย่างสุดหัวใจที่จะทำให้ความรักครั้งใหม่ของเขาเกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์หัวใจมากๆ มันก็ไม่ได้ทำให้เขาตาบอดอยู่ดี ผมเชื่อแบบนั้นนะ” 

โอ้โห… แปลว่าคุณเชื่อเรื่องความรักอย่างสุดหัวใจเลยสินะ เราถึงกับอึ้งในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดจบไป เพราะมันขัดกับความรู้สึกในใจเราอย่างสิ้นเชิง “ถ้าเกิดว่าความรักที่เกิดขึ้นมันไม่ดี โอเค… มันเกิดขึ้นได้” เขาพูดต่อราวกับอ่านความในใจเราออก “มันอาจจะเกิดจากการที่เรารักผิดคนหรือเปล่า หรืออาจจะเกิดจากที่ว่ามันหมดเวลาแล้วหรือเปล่า เพราะในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจากเป็นหรือจากตาย เราก็ต้องจากกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า อย่างน้อยเราก็ได้รู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง เคยมีความรักที่ดีมากๆ เกิดขึ้นกับเราน่ะครับ” 

ก็ค่อนข้างจี้ใจดำนะ เราหัวเราะขื่นๆ ทั้งประเด็นรักคนผิด และประเด็นหมดเวลา แต่เราก็ยังไม่คล้อยตามเขาง่ายๆ หรอก คนเราเคยผิดหวัง มันก็ต้องกลัวเจ็บกันบ้างแหละ จะให้ทุ่มเทกับความรักแบบไม่กลัวเจ็บเลยก็ไม่น่าจะใช่หรือเปล่า เราตั้งข้อสังเกต “เข้าใจเลย” เขาตอบรับ “หลายๆ คนจะกลัวเจ็บหลังจากเจอความรักที่อาจจะไม่ได้ดีในอดีต แต่ผมว่าถ้าเรากลัวเจ็บแบบนั้น เราก็จะไม่เต็มที่กับรักครั้งใหม่ คือเราก็ไม่รู้จริงๆ หรอกว่าการที่เราเจอคนคนหนึ่ง หรือเวลามีคนคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตเราน่ะ เขาจะเข้ามาทำร้ายเราหรือเปล่า หรือเขาจะมารักเรามากๆ เราไม่รู้จริงๆ และผมเชื่อว่าการจากกันที่ทำให้เราเจ็บปวดมันอาจจะมาจากเหตุผลที่หลากหลายมากมายก็ได้ ซึ่งมันอาจจะไม่เหมือนเดิมที่เราเคยเจอมากับรักครั้งที่แล้วหรอกครับ แล้วทำไมเราถึงไม่ลองที่จะทุ่มเทกับความรักครั้งใหม่ดูล่ะครับ” 

งั้นถ้าจะแนะนำหนึ่งเพลงของ Greasy Cafe ที่บ่งบอกความเป็น Greasy Cafe มากที่สุด มันจะคือเพลงรักเพลงไหน “เพลง ‘สิ่งเหล่านี้’ ครับ” เขาตอบแบบไม่ต้องคิด “เพลงนี้เกิดจากสาเหตุบางอย่างในชีวิตผม และมันเป็นวิธีการมองโลกของผมเอง ผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่าความรักมันสวยงามมากๆ เวลามองไปบนฟ้า จะเห็นแต่ดวงดาวมากมาย อะไรแบบนี้ แต่กับความรักที่ผมเคยเจอ ผมไม่ค่อยเห็นดวงดาวเท่าไหร่นะ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะเห็นแต่เมฆฝนเป็นหลักน่ะ เพราะฉะนั้น เรามาพูดความจริงกันดีกว่า ว่าเราเจอความรักแบบนี้มาจริงๆ แต่มันก็มีความสวยงามในแบบของมันอยู่ ก็เหมือนกับเพลงล่าสุดนั่นแหละครับ ที่ผมตั้งข้อสงสัยว่า ‘ความรักมันทำให้ตาบอดจริงๆ เหรอ’ อะไรแบบนั้นครับ” 

ฟังๆ ดูแล้วคุณแต่งเพลงจากความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และความเชื่อของตัวเองหมดเลยนี่นา เราเข้าใจถูกไหม “90 กว่าเปอร์เซ็นต์ก็แต่งจากตัวเองครับ” เล็กตอบรับ “แต่บางครั้งก็อาจจะเป็นแบบว่าคนที่ผมสนิทมากๆ เจอเรื่องอะไรบางอย่างมา และผมรู้สึกไปกับเขาด้วย เพราะสามารถเชื่อมโยงไปถึงช่วงเวลาที่ผมเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ผมก็จะเอามาเขียนได้เหมือนกันนะครับ” แล้วถ้าเกิดมีปัญหาตัน เขียนไม่ออก คุณจัดการตัวเองอย่างไร ในกรณีที่ใช้ตัวเองเป็น material ในการเขียนเกือบทั้งหมดแบบนี้ “มันมีช่วงเวลาแบบนั้นอยู่จริงๆ ครับ คิดไม่ออกจนคิดว่าก่อนหน้านี้ที่แต่งเพลงได้นี่ฟลุคหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก ใจเราอาจจะไม่นิ่งพอในช่วงเวลานั้นเท่านั้นเองครับ 

“ในการเกิดมาจนถึงทุกวันนี้” เล็กเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เจือด้วยอารมณ์อะไรบางอย่างที่เราก็จับได้ “เราก็เจอเรื่องมาเยอะ ก็จะค่อยๆ นึกถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ หรือบางทีอ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าว และเจอเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเอ๊ะขึ้นมาว่าช่วงเวลาหนึ่งเราเคยรู้สึกแบบนี้นี่นา หรือบางทีคนอินบ็อกซ์เข้ามาเยอะๆ ผมก็เริ่มจับประเด็นว่าหลายๆ คนพูดเรื่องคล้ายๆ กันหมดเลย มีคนเจ็บปวดเหมือนๆ กันเจ็ดแปดคนในช่วงเวลาสองสามวัน ทุกคนพูดเรื่องเดียวกันหมดเลย เราก็เอาเรื่องเหล่านั้นมานั่งคิดว่าเราเคยมีอะไรของตัวเองแบบนั้นหรือเปล่านะ และเราก็เอาเรื่องของคนอื่นมาถามตัวเองว่าเราเคยเป็นแบบนั้นหรือเปล่า และถ้าเคยเป็น เรารู้สึกแบบไหน อะไรแบบนี้ครับ” 

อยู่ในวงการมานานแล้ว เตรียมทำอัลบั้มที่ห้าแล้ว เป้าหมายของคุณในฐานะนักดนตรีตอนนี้อยู่ตรงไหน “ผมว่าผมดีใจมากๆ ที่ยังได้มีโอกาสทำเพลงอยู่ครับ” อีกครั้งที่เขาตอบแบบไม่ต้องคิด “และผมก็ตื่นเต้นมากๆ ทุกครั้งในวันที่ได้ออกไปเจอคน และได้ออกไปเล่นคอนเสิร์ต สิ่งสำคัญในการเล่นคอนเสิร์ตคือ เวลาเล่นเสร็จ ผมจะนั่งพักแป๊บหนึ่ง และออกมาถ่ายรูปกับคน ช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างระหว่างผมกับแฟนๆ บางคนเดินเข้ามาพร้อมความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ผมรู้สึกได้ และพอถึงคิวเขา เขาก็ปล่อยโฮเลย และเรื่องบางเรื่องที่เขาเล่าให้ผมฟัง ผมก็ปล่อยโฮเหมือนกัน ผมรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนการแชร์ข้อมูลบางอย่างที่สำคัญมากๆ ต่อกัน ซึ่งผมรู้สึกว่า เวลาผมไปเล่นคอนเสิร์ต มันก็เหมือนกับผมออกไปเติมพลังเหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าผมออกไปให้พลังใครอยู่ฝ่ายเดียว แต่เหมือนผมได้รับพลังกลับมาด้วย เพราะฉะนั้น สำหรับแผนการในอนาคต ผมไม่ได้คิดว่ามันจะไปได้ถึงไหน อะไรแบบนั้น ผมคิดแค่ว่าถ้ามันยังมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ผมคงทำมันไปเรื่อยๆ ทำไปจนกว่าผมจะหมดแรงไปเองครับ” 

Photographer: Intrachai Watmakawan
Author: Pacharee Klinchoo
Stylist: Kajib S. Lee 
Make Up: Ananya Phuriputtichai 
Hair: Panusak Kuntuk 

- Advertisement -