พูดคุยกับความสำเร็จและเรื่องราวของ ‘กวาง AB Normal’

Share This Post

- Advertisement -

“เป้าหมายของการเป็นศิลปินสำหรับผมเหรอครับ” กวาง – ศิริศิลป์ โชติวิจิตร หรือกวาง AB Normal ทวนคำถามของเรา “ผมตอบตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้วครับว่า ผมขอแค่ว่าถ้าเพลงขึ้นแค่โน้ตสองโน้ตแล้วคนจำได้ว่าเพลงนี้คือเพลงของผม หรือรู้ว่าผมร้องเพลงนี้ ผมก็โอเคแล้วครับ” นั่นแปลว่ากวางประสบความสำเร็จตั้งแต่เพลง ‘พูดไม่ค่อยเก่ง’ ที่แจ้งเกิดวง AB Normal ตั้งแต่ปี 2002 แล้วสินะ

“ผมว่าผมไปอยู่ ณ จุดบนสุด และจุดล่างสุดมาแล้ว ผมเลยรู้สึกว่าผมไม่ได้มีเป้าหมายอะไรในฐานะศิลปินอีกแล้ว ผมแค่ต้องการว่าอย่าลืมกันก็พอแล้ว แค่นั้นจริงๆ ไม่ใช่ว่าฉันจะมุ่งหน้าไปเป็นร็อคเกอร์ที่หนึ่งของประเทศไทย หรือของโลก ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้ว ขอแค่คนฟังอย่าลืมผมก็พอใจแล้วจริงๆ ทุกครั้งที่ผมออกเพลงใหม่มา และมีการตอบรับกลับมาจากแฟนเพลง ให้ผมได้รู้ว่ามีคนรอฟังผมอยู่ ผมก็รู้สึกโอเคแล้ว พอได้ไปแสดงคอนเสิร์ต มีคนมาดูเยอะแยะ คนดูยังร้องเพลงผมได้อยู่ ผมก็ถือว่าผมแฮ้ปปี้กับชีวิตมากๆ แล้วครับ หลังจากนี้ผมก็ทำเพลงเอาสนุกแล้วครับ ขอให้ได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตก็เอาให้มันเต็มที่เท่านั้นเลยครับ เท่านั้นจริงๆ” 

ในวันที่เรารวบรวมศิลปินเพื่อมาลงฉบับ Rock Issue นี้ กวางเพิ่งจะได้ปล่อยเพลง ‘น้ำที่ตา’ ออกมาไม่นาน “เพลงนี้ห่างจากเพลงที่แล้วมาได้ปีนิดๆ ครับ กระแสตอบรับก็ค่อนข้างโอเคเลย ช่วงนี้ผมได้ไปเป็นดาวติ๊กต็อก เลยได้พูดคุยกับแฟนๆ มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน สามารถรับคอมเมนต์และฟีดแบ็คจากฝั่งคนดูได้แบบแทบจะเรียลไทม์เลยครับ ก็รู้สึกว่าโอเคมากจริงๆ” 

นับตั้งแต่ที่โลกรู้จักกวาง AB Normal มาจนถึงวันนี้ ก็เกินสองทศวรรษมาแล้ว พฤติกรรมการเสพเพลงของผู้คนเปลี่ยนไป ผู้คนก็เปลี่ยนรุ่นไป โลกเปลี่ยนไปจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม กวางใช้หลักการอะไรในการบาลานซ์ความต้องการของตัวเองและความต้องการของตลาดในการออกเพลงในยุคนี้ “ต้องบอกก่อนว่าผมได้เคยทำตามใจค่าย และทำตามใจตัวเองมากๆ มาแล้วนะครับ” เขาออกตัว “การหาจุดตรงกลางนี่ต้องบอกก่อนเลยว่าตัวศิลปินต้องเข้าใจเจ้าของค่ายหรือคนจ่ายเงินก่อนเลยว่าความรู้สึกของเขาเป็นอย่างไร จากเดิม… ความที่ผมเป็นศิลปิน มันจะมีโรคที่เรียกว่า ‘ร็อคสตาร์ซินโดรม’ อยู่น่ะครับ ผมไม่ฟังคนอื่นเลย ไม่สนใจ ไม่มองเลยว่าคนอื่นจะคิดยังไง คิดแต่ว่าทำไมค่ายต้องพูดแบบนี้ ทำไมเจ้าภาพงานต้องขอเพลงแบบนี้ คิดได้แต่แบบนั้น แต่พอโตมาถึงจุดหนึ่ง และผ่านจุดนั้นมาได้แล้ว พอย้อนกลับไปคิดก็เริ่มที่จะเข้าใจเหตุผลของคนอื่น อย่างที่เข้าใจว่าทำไมเพลง ‘พูดไม่ค่อยเก่ง’ ถึงต้องถูกปล่อยออกมาเป็นเพลงแรก อะไรอย่างนี้ครับ 

“พอเราเริ่มมองเห็นคนอื่น เริ่มรับฟังความเห็นของคนอื่นมากขึ้น ผมก็เริ่มเรียนรู้ที่จะหาจุดตรงกลางระหว่างความชอบของตัวเองที่ไม่ได้ไปทำความเสี่ยงให้กับค่ายมากเกินไป กับความต้องการของตลาดที่ไม่ฝืนตัวผมจนเกินไป” กวางอธิบาย “มันก็เจอจุดตรงกลางที่ทำงานกันลงตัวได้ในแบบปัจจุบันครับ ผมบอกได้เลยครับว่าตอนนี้ผมเป็นดีไซเนอร์ ไม่ได้เป็นอาร์ติสต์นะครับ ความแตกต่างของสองอาชีพนี้ก็คืออาร์ติสต์ต้องการให้คนอื่นเข้าใจเขา หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้สนใจเสียด้วยซ้ำว่าคนอื่นจะเข้าใจเขาหรือเปล่า เขาแค่ต้องการนำเสนอตัวตนของตัวเองเท่านั้น แต่ในฐานะดีไซเนอร์ เขาต้องแปลสารที่เขาต้องการสื่อให้คนข้างนอกเข้าใจ มันคือการเอาความต้องการของคนข้างนอกมาดีไซน์เป็นผลงานให้คนอื่นรับรู้และเข้าใจได้ นี่คือความแตกต่าง พอผมเข้าใจตรงนี้ ผมก็เลยเจอจุดลงตัวที่สามารถทำเพลงที่ผมสบายใจ คนฟังตอบรับได้ และค่ายก็โอเคด้วยครับ” 

กวางยอมรับว่าเขาเองก็โชคดีที่ผู้ใหญ่ในค่าย genie records เปิดโอกาสให้เขาทดลองทำเพลงแบบที่เขาต้องการได้อย่างอิสระ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำมากขึ้น “ตอนแรกผมเคยเชื่อว่าเพลงร็อคมันโดนเพลงแนวอื่นกลบไปหมดแล้วอยู่พักใหญ่เลยนะ” กวางออกความเห็นเรื่องสถานการณ์ของเพลงร็อคในโลกยุคปัจจุบัน “แต่ผมก็เพิ่งมาเข้าใจว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย มันแตกแขนงไปอยู่ในรูปแบบที่หลากหลาย และคนฟังก็มีสิทธิในการเลือกฟังมากขึ้น ในเพลย์ลิสต์ของคนคนหนึ่งมันหลากหลายกว่าเดิมมาก หมดยุคที่คนจะเดินออกมาประกาศตัวว่า ‘กูเป็นร็อคเกอร์เว้ย’ แล้ว เขาเป็นคนฟังเพลง และเขาก็ฟังเพลงได้หลากหลายแนวมาก อาจจะเป็นเพราะว่าพฤติกรรมการฟังเพลงผ่านอินเทอร์เน็ต และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากมายในยุคปัจจุบัน ทำให้คนสามารถเลือกฟังเพลงแบบที่เขาต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องเจียดเงินเก็บไปซื้อหนึ่งอัลบั้ม และพออัลบั้มใหม่ออก ก็ไม่มีเงินจะซื้อฟังแล้ว ก็อดฟังไป มันไม่ใช่อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คือ… ออกมาเลย ร้อยเพลงก็จะฟังร้อยเพลงต่อกันได้ แนวเพลงมันเลยกระจัดกระจายไปมากกว่า ผมเชื่อแบบนั้นนะครับ” 

การวัดผลความสำเร็จเปลี่ยนไปมาก ไล่มาตั้งแต่นับจำนวนก็อปปี้ นับยอดดาวน์โหลด นับยอดวิว ไปจนถึงยอดใช้เพลงในแอพพลิเคชั่นต่างๆ กวางมีแรงกดดันมากขึ้นหรือน้อยลงแค่ไหนในฐานะศิลปินที่ผ่านการประเมินมาแล้วทุกยุค “แรงกดดันมันอยู่ช่วงประมาณก่อนปล่อยเพลงและหลังปล่อยเพลงหนึ่งอาทิตย์ครับ” กวางตอบรับ “แต่อย่างที่บอกไปว่า พอผมไม่ต้องไปแบกความคาดหวังอะไรเยอะแยะ ผมก็รู้สึกว่าประมาณนี้ผมก็โอเคแล้ว แต่ถ้าถามว่าสุดท้ายมันแฮ้ปปี้ไปถึงคนที่ลงทุนให้ผมไหม อันนี้มันก็อยู่ที่การประเมินทางฝั่งเขาครับ มันกดดันกับชีวิตผมมากขนาดไหนเหรอ” เขานิ่งคิด “ผมว่ายุคนี้ศิลปินไม่จำเป็นต้องมีนายทุนเหมือนศิลปินยุคก่อนแล้วนะครับ สมมติว่าวันหนึ่งทางค่ายคิดว่าผมไม่คุ้มค่าการลงทุนของค่ายแล้ว ผมก็สามารถออกไปทำงานเองได้ โลกเปิดโอกาสให้ผมได้ออกไปสนุกกับการทำเพลงของตัวเองต่อได้ครับ ผมเลยไม่ได้รู้สึกกดดันระดับโดนปืนจ่อตลอดเวลาน่ะครับ

“ผมต้องขอบคุณคนฟังนะครับ” กวางสรุปบทสนทนากับเรา “คนฟังที่ผมเคยขออย่างเดียวคือ อย่าลืมกัน ผมเคยหยุดทำเพลงไปหกปี ตอนที่จะกลับมาทำเพลงอีกครั้ง จากที่เคยไปห้างแล้วต้องมีการ์ดคุมไป ตอนนั้นสามารถเดินตลาดได้อย่างสบายๆ ไม่มีใครมารุมล้อม เคยกลัวว่าเราไม่ได้เป็น AB Normal แบบวันนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่พอได้กลับมาจริงๆ ค่ายให้โอกาสได้ทำเพลงที่ชอบจริงๆ มีผลตอบรับกลับมาระดับหนึ่ง ก็รู็สึกสบายใจขึ้นมากครับ ผมขอแค่นี้จริงๆ ครับ แค่อย่าลืมกัน ถ้าผมปล่อยเพลงใหม่ หรือมีผลงานอะไรใหม่ๆ ก็ฝากให้ทุกคนติดตามกันต่อนะครับ” 

Photographer: Pannatat Aengchuan
Author: Pacharee Klinchoo

- Advertisement -