ทำความรู้จักกับ ‘นนกุล ชานน’ ผ่านบทสัมภาษณ์สุดพิเศษ

Share This Post

- Advertisement -

จากหนุ่มน้อยที่เดินเข้าวงการบันเทิงมาแบบไม่คิดมาก แต่วันนี้ ‘นนกุล – ชานน สันตินธรกุล’ ได้พิสูจน์แล้วว่าความตั้งมั่นและตั้งใจจริงของเขาทำให้เขายืนระยะ = ในวงการบันเทิงมาได้อย่างดีและยาวนาน

“ถ้าเริ่มต้นนับตั้งแต่เข้าวงการใหม่ มาจนถึงวันนี้ก็ 11 ปีแล้วครับ” นนกุล – ชานน สันตินธรกุล เริ่มบทสนทนากับเราด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แฝงไว้ด้วยความสุขุม ขัดกับสีหน้าแววตาที่เราคุ้นชินผ่านสื่อบันเทิงต่างๆ “ตอนนั้นคิดแค่ว่าอาชีพนักแสดงได้เงินเยอะดี และด้วยความเป็นเด็กวัยมัธยม ก็คิดว่าอาชีพนี้มันเท่ดี ได้เป็นพระเอก ได้เจอคนใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นเลยจริงๆ ครับ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนคือผมได้ไปเจอผู้กำกับคนหนึ่งที่พูดกับผมตรงๆ ว่า ‘พี่ชอบการแสดงของเรานะ’ มันทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าผมอยากจะจริงจังกับอาชีพนี้มากขึ้น เพราะตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยากจะทำอะไรในชีวิต แต่พอมีคนเก่งระดับมืออาชีพในสายงานที่ผมทำอยู่มาชมผม มันก็น่าจะแปลได้ว่าผมมีศักยภาพที่จะไปในทางนี้ต่อได้ ผมเลยเริ่มจริงจังกับอาชีพนักแสดง เรียกได้ว่าทัศนคติเปลี่ยนไปเลยครับ” 

เห็นว่าเคยอยากเป็นนักเขียนการ์ตูน ถึงขั้นเคยส่งผลงานไปประกวดมาแล้ว เล่าให้เราฟังหน่อยว่าทำไมถึงยอมแพ้ไป “ผมมองถึงความ…” เขาชะงักไปสักครู่ “จะพูดว่ามองตามความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่นะ เพราะในตอนนั้นก็มีการ์ตูนไทยในตลาดอยู่ แต่มันน้อยมากจริงๆ ผมจำได้ว่ามีแค่สองเรื่องเท่านั้นที่ได้ผลิตออกมาเป็นเล่มให้ได้อ่านจริงจัง ซึ่งพอผมดูความเป็นไปได้รอบด้าน ผมก็เห็นแล้วว่าการที่ผมส่งผลงานไปที่สำนักพิมพ์และเขาไม่ได้ตอบรับอะไรมามันก็เป็นคำตอบหนึ่งอยู่แล้ว และพอมันไม่มีคอนแท็กต์อะไร มันก็ไปต่อไม่ได้ ไม่มีหนทางไปต่อจริงๆ บวกกับเราเองก็ถามตัวเองว่ารายได้จากอาชีพนี้มันจะพอกินไหม เราไม่ได้อยู่ประเทศญี่ปุ่นที่วัฒนธรรมหนังสือการ์ตูนเข้มแข็งมากพอที่จะทำให้คุณมีความหวังว่า ถ้าคุณลงเดิมพันครั้งนี้ในระหว่างที่คุณยังเรียนอยู่ คุณอาจจะประสบความสำเร็จ มีรายได้พอประทังชีวิต หรือรวยไปเลยก็ได้ แต่พอเป็นประเทศไทยที่อุตสาหกรรมการ์ตูนมันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น ผมเลยไม่มั่นใจที่จะเอาชีวิตการเรียนของผมไปทิ้งกับตรงนั้นทั้งหมด คือจากประสบการณ์การเขียนการ์ตูนในช่วงนั้นทำให้ผมรู้เลยว่าอาชีพนี้ทำงานหนักมาก คุณต้องทุ่มเทสุดตัวไปกับมัน ผมมองแล้วว่าไม่น่าจะไหว ก็เลยไม่ได้ไปต่อตรงนี้น่ะครับ” 

ฟังดูแล้ว รายได้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกอาชีพของคุณมากเลยทีเดียว “ตอนเริ่มต้นก็ใช่เลยครับ” นนกุลตอบทันที “แต่ทุกวันนี้ อาชีพการแสดงของผมมันเดินมาถึงจุดที่ผมไม่จำเป็นต้องกังวลหรือคำนึงถึงเรื่องรายได้มากมายขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้มันเลยกลายเป็นว่าผมเลือกงานที่ผมรู้สึกว่าผมโอเค กับมันมากที่สุดครับ” ถ้าเลือกงานที่โอเคกับมัน เราพอเดาได้ว่าคุณจะใส่เต็มที่กับทุกชิ้นงานอย่างแน่นอน ความฝันสูงสุดของคุณในฐานะนักแสดงคืออะไร คุณได้รับรางวัลมาเยอะมากแล้ว ถือว่าคุณไปถึงจุดนั้นได้หรือยัง “ถ้าฝันใหญ่ที่สุดจริงๆ ยังไม่ถึงหรอกครับ ยังอีกไกลมากๆ เลย ผมอยากจะเป็นนักแสดงระดับโลกอยู่นะครับ ถึงผมจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้ในบทสัมภาษณ์สักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าพูดบ่อยไปแล้ว กลัวคนอ่านจะเบื่อ แต่ในใจลึกๆ ของผมก็ยังมีความฝันนี้อยู่ดีนั่นล่ะครับ” 

เขาบอกกันว่า ‘ฝันให้ไกล และไปให้ถึง’ ล่ะนะ ระหว่างทางฝัน นนกุลอยากเล่นบทอะไร เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก หรือสะดุดตาโปรดักชั่นระดับโลกบ้าง “มีในใจไว้สองบทครับ” เขาตอบ “บทแรกคือบทพ่อลูกอ่อน เพราะรู้สึกว่าในวัยที่ผมยังไม่มีลูกแบบนี้ บทนี้จะยากขนาดไหนในการเล่น เพราะผมรู้สึกว่าการเข้าใจความรู้สึกของพ่อลูกอ่อนทั้งๆ ที่เราไม่เคยมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก มันท้าทายผมในฐานะนักแสดงครับ ส่วนอีกบทก็คือคาแรกเตอร์แบบ John Wick ซึ่งจริงๆ แล้วผมชอบบทแอ็คชั่นมากนะ และผมรู้สึกว่าหนังแอ็คชั่นเป็นหนังประเภทที่คุณจะมาด้นสดหน้ากองไม่ได้ ถ้าเป็นบทดราม่า ถ้าคุณเตรียมตัวมาพร้อม ต่อให้คุณจำบทเป๊ะๆ ไม่ได้ คุณก็ยังพอเอาตัวรอดไปกับสถานการณ์อารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ณ จังหวะนั้นได้ แต่สำหรับบทแอ็คชั่น ถ้าคุณซ้อมมาไม่พอจริงๆ คุณไม่สามารถแสดงออกมาให้มีคุณภาพได้เลยนะครับ อย่างคิวบู๊ในเรื่อง John Wick เนี่ย คุณไม่มีทางมาด้นสดหน้าเซ็ตได้เลย การซ้อมหน้าเซ็ตมันมีอยู่แล้วล่ะ แต่คุณก็ต้องฝึกหนักมาก่อนหน้านั้น ผมเลยรู้สึกว่าบทแบบนี้เป็นงานคราฟต์มากๆ สำหรับอาชีพนี้ เป็นเสน่ห์ที่ผมชอบ และถ้ามีโอกาส ผมก็พร้อมจะลองเล่นครับ”

โอเค… เท่าที่คุยกับคุณมาถึงตอนนี้ เราว่านนกุลเป็นคนที่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ถามหน่อยว่าคุณคิดว่าเสน่ห์ของคุณคืออะไร “ไม่รู้เลยครับ” ตอบทันทีเลย เราแซว “ไม่เคยคิดถึงมันด้วยครับ ผมขอให้คนอื่นตอบละกัน คำถามนี้ ทุกวันนี้ผมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความภูมิใจในตัวเอง (self-esteem) ต่ำอยู่เลย คือผมหมายความว่าทุกวันนี้ผมยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่เลยครับ คือผมไม่ได้เกิดมาหล่อเท่หรือสูงมากมายกว่าคนอื่น ผมก็เลยไม่เคยมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น มีแค่เรื่องการแสดงนี่ล่ะครับที่ทำให้ผมกล้าพูดว่าผมมั่นใจ เพราะผมรักอาชีพนี้มาก เรื่องนี้ผมไม่แพ้คนอื่นง่ายๆ แน่นอน มาลองสู้กันหน่อย แต่ถ้าถามผมว่าอะไรคือเสน่ห์ของผม อันนี้ผมตอบไม่ได้จริงๆ ทุกวันนี้เวลาผมไปออกรายการไหน เห็นคนอื่นเขาตลก ตบมุกกันไปมา ส่วนผมนี่ไม่ได้เลย เล่นมุกไหนก็แป้ก บางทีเล่นไปแล้วเขาก็ไม่เก็ตว่านี่คือมุกนะ มันดันตึง บรรยากาศเสียไปเลย ก็เลยต้องนั่งเงียบๆ ไปครับ” จังหวะนั้นเราแอบเห็นใจเขานะ แต่ก็กลั้นขำไหล่สั่นเช่นกัน

คุณกวาดรางวัลมาหลายเวทีแล้ว ส่วนตัวคุณคิดว่ารางวัลเหล่านี้สำคัญกับอาชีพนักแสดงของคุณขนาดไหน “ถ้าถามว่าสำคัญไหม ผมว่ารางวัลเป็นเครื่องช่วยยืนยันของผมมากกว่าครับ เพราะจริงๆ แล้วมีนักแสดงที่เก่งกว่าผมเยอะแยะ แต่นักแสดงเหล่านั้นอาจจะยังไม่มีโอกาสได้แสดงเรื่องที่จะทำให้เขาได้รางวัล ซึ่งนั่นก็ไม่ได้แปลว่านักแสดงทุกคนจำเป็นต้องมีรางวัลเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพนะครับ ผมว่ารางวัลเป็นเครื่องยืนยันว่าผมกำลังเดินมาถูกทางในวิชาชีพนี้ละกันครับ มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอาชีพก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะต้องได้ ไม่งั้นไปต่อไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่ ผมเลยรู้สึกว่าได้รางวัลก็ดี ได้รางวัลเร็วก็ดี แต่การได้รางวัลมันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่า ‘โอเค คอมพลีท’ แบบนั้น ได้รางวัลแล้วก็ต้องไปต่ออยู่ดี มันมีบทอีกมากมายที่ผมยังไม่ได้ลองเล่น การได้รางวัลไม่ได้แปลว่าเราเป็นนักแสดงที่เก่งกาจที่สุด เพียงแค่ว่าบทที่เราได้รับทำให้เราได้เฉิดฉายบนเวทีมากที่สุดเท่านั้นเองครับ” 

ทิ้งท้ายหน่อย บอกอะไรก็ได้ “งั้นบอกแฟนคลับละกันครับ” เขายิ้ม “ขอบคุณที่ยังคอยสนับสนุนผมเสมอนะครับ ช่วงเริ่มต้นอาชีพผมอาจจะมีความพุ่งแรงอยู่ อะไรที่พัฒนาก็จะเห็นได้ชัดเจนไปหมด แต่พอมาถึงช่วงนี้ มาถึงจุดหนึ่ง การพัฒนาของผมอาจจะดูช้าๆ ไปบ้าง แต่ขอให้เชื่อว่าผมยังคงพยายามขยับไปข้างหน้าเสมอ ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ผมเสมอมา และผมหวังว่าจะได้เจอหน้าทุกคนไปเรื่อยๆ นะครับ”  

Photographer: Pannatat Aengchuan
Fashion Editor: Nopphasit Varittinanon 
Author: Pacharee Klinchoo 

- Advertisement -