เพิ่มพลังกายและความมีชีวิตชีวาไปกับ ‘Dopamine’ อีพีชุดล่าสุดของ JUNNY
ในวงการเคป็อปช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อของ JUNNY (จุนนี่) หนุ่มชาวแคนาเดียนเชื้อสายเกาหลีในวัยยี่สิบกลางๆ ก็ปรากฏขึ้นให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เริ่มต้นจากฐานะนักแต่งเพลงฮิตให้ศิลปินรุ่นพี่ ทั้ง ‘Mmmh’ ของ Kai, ‘Troll’ ของ IU หรือ ‘Imitation’ ของ Luhan แต่ระยะหลัง จุนนี่เป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะศิลปินเต็มตัว และมีซิงเกิลดังอย่าง ‘Thank You’, ‘Movie’, ‘Invitation’ ฯลฯ จนกลายเป็นศิลปินที่น่าจับตามองคนหนึ่ง มาปีนี้ จุนนี่ขอรีเฟรชตัวเองและเพิ่มอะดรีนาลีนความสนุกให้แก่แฟนๆ ของเขาผ่าน ‘Dopamine’ อีพีอัลบั้มชุดล่าสุดที่มีด้วยกันหกเพลง อาทิ ‘Rush’, ‘Complications’ และ ‘Daylight’ เราได้พูดคุยถึงงานชุดนี้กับเจ้าตัวตอนที่เขามาทัวร์คอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
“นี่เป็นงานที่ผมใช้เวลาทำประมาณหนึ่งปีได้ครับ อีพีนี้พูดถึงตัวผมในฐานะศิลปิน และสิ่งต่างๆ ที่ผมได้เผชิญในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง เราทุกคนล้วนผ่านช่วงเวลาทั้งดีและร้ายกันเนอะ เรื่องทำนองนี้เลยผนวกเข้ามาอยู่ในอัลบั้มนี้… ส่วนเหตุผลที่ผมตั้งชื่ออีพีนี้ว่า ‘Dopamine’ ก็เพราะผมรู้ตัวว่าตัวเองอยากหาสารกระตุ้นตัวใหม่เพื่อที่จะมาเขียนเพลง แต่พอผมได้สารตั้งต้นนั้นมา ผมก็ตระหนักได้ทันทีว่า ว้าว ผมเองก็มีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วนะ นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนกัน เหมือนกับตอนที่คุณค้นหาสิ่งต่างๆ ทางออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย นั่งดูคลิปสั้นๆ ต่างๆ นานา ที่คนอื่นเขาดูกันติดหนึบ แต่พอเราปิดโทรศัพท์ เราก็ถามตัวเองว่าเสียเวลาไปกับอะไรอยู่นะ เป็นความรู้สึกแบบนั้นเลยครับ และผมผ่านอะไรแบบนี้มาตอนที่กำลังทำเพลงใหม่อยู่” เขาเล่า
จะว่าไปแล้ว สารตั้งต้นที่ทำให้จุนนี่กลายเป็นศิลปินและนักแต่งเพลงคือ ‘ความรักในการทำดนตรี’ ของเขาเอง นั่นทำให้เขาตัดสินใจย้ายออกจากแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย บ้านเกิด มาผจญภัย ผจญเพลงและอาศัยอยู่ในเกาหลีใต้เมื่อห้าปีก่อน “เป็นครั้งแรกเลยที่ผมย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ แล้วดันย้ายออกไปอยู่ประเทศอื่นเลย ก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่ครับ ตอนนั้น ผมไม่รู้เลยนะว่าจะต้องคาดหวังอะไร และแค่อยากจะใช้ชีวิตตามที่วาดฝันไว้ ผมย้ายออกมา คิดไว้ว่าทุกอย่างคงจะสนุกและสวยงามแน่ๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกครับในช่วงแรกเริ่ม แต่ผมรู้ว่าต้องทำงานหนัก นั่งก้มหน้าเขียนเพลง แล้วโอกาสต่างๆ ก็เข้ามาในชีวิต และผมก็ได้เขียนเพลงให้ศิลปินนักร้องคนอื่นๆ ในช่วงนั้น เพราะอย่างนี้เอง ผมถึงได้มีชื่อในวงการและได้รับการทาบทามจากสังกัดที่สามารถสนับสนุนผมในฐานะศิลปินได้ บอกตามตรงนะครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ถ้าให้นั่งพูดเรื่องนี้กับพวกคุณนี่ คงต้องใช้เวลาทั้งวัน (หัวเราะ)”
แต่เราก็รู้ลึกขึ้นอีกนิดหนึ่งว่า ถึงจุนนี่จะรักการแต่งเพลงมากๆ แต่การร้องเล่นดนตรีอยู่เบื้องหน้าคือสิ่งที่เขาต้องการทำมาตั้งแต่เด็ก “พอย้อนกลับไปตอนที่ผมร้องเพลงต่อหน้าคนทั้งโรงเรียนช่วงอนุบาล แล้วก็ออกแสดงต่อหน้าคนทั้งเมืองแวนคูเวอร์ หรือไปประกวดร้องเพลงนี่ก็เคยทำมาเหมือนกัน ผมคิดได้เลยว่า ‘เฮ้ เราก็ชอบอยู่เบื้องหน้านะ ชอบอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์’ ดังนั้น ผมบอกเลยว่าตอนนี้ผมสนุกกับการเป็นศิลปินมากกว่าครับ และผมก็จะไม่ทิ้งอาชีพนักแต่งเพลงด้วย ผมยังรักการเขียนเพลงอยู่มากๆ ถ้าทำได้ ผมก็จะทำต่อไปครับ”
พูดถึงบทบาทนักแต่งเพลง จุนนี่คิดว่าการแต่งเพลงนั้นมีความท้าทายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเขียนให้ตัวเองหรือให้คนอื่น “ยากทั้งคู่นะครับ (หัวเราะ) ไม่มีอันไหนง่ายเลย ถ้าผมเขียนเพลงให้คนอื่นแล้วทุ่มความตั้งใจไป 200 เปอร์เซ็นต์ แล้วเขาชอบ ก็ผ่าน และเมื่อคุณทำอะไรแบบนี้มาได้สักพักหนึ่ง คุณจะรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร โดยพื้นฐานแล้ว เขาก็เป็นลูกค้าของคุณ บางครั้งผมเลยจินตนาการถึงตัวเอง สมมติว่าผมต้องแต่งเพลงให้ไค EXO อาจจะฟังดูตลกนะ แต่ผมจะจินตนาการว่าตัวเองเป็นไคที่แสดงอยู่บนเวที คิดไปถึงเมโลดี เพลง หรือเนื้อหาที่เขาอยากจะร้อง ไคเขาเป็นศิลปินที่ขับเคลื่อนด้วยการแสดง และก็มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว ผมก็จะสลัดตัวเองแล้วลองสวมบทบาทเป็นเขา [การแต่งเพลงให้คนอื่นจึง] ส่งเสริมความเป็นศิลปินของผมด้วย ผมมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นว่า ‘บางที เราน่าจะลองทำเองดูบ้างนะ’ แต่การเขียนเพลงให้ตัวเองใช้เวลานานมากๆ เลยนะครับ พอผมทำงานของตัวเอง ผมจะใจร้ายกับตัวเองมาก อะไรต่างๆ จะดูซับซ้อนกว่าเวลาผมทำงานตัวเองครับ ผมก็กำลังปรับเรื่องนี้อยู่นะ”
แล้วรู้ตัวไหมว่าต้องหยุดตอนไหนถึงจะพอ “ไม่รู้เลยครับ (กระซิบ หัวเราะ) ไม่รู้เลย ผมจึงไม่เคยพูดเลยครับว่าผมแต่งเพลงเอง หมายความว่าผมไม่เอาเครดิตทั้งหมดมาเป็นของตัวเองคนเดียว มีผู้คนรายล้อมที่คอยส่งสัญญาณให้ผมชิลลงบ้าง ใจเย็นลงสักหน่อย และคอยบอกว่า ‘เฮ้ย นี่ดีแล้วนะ’ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ ผมคงทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง ผมว่าเราต่างต้องการผู้คนแบบนี้นะ แต่ตอนนี้ ผมพอใจกับสไตล์และโครงสร้างของงานที่เรากำลังทำอยู่ครับ”
เราถามจุนนี่ต่อถึงความรู้สึกของเขาที่เห็นหลายคนจัดให้เขาเป็นศิลปินเค-อินดี้ “ผมไม่ได้คิดอะไรนะครับ บอกตามตรง ผมไม่ได้กังวลว่าใครจะจัดผมว่าเป็นศิลปินเคป็อป ฮิปฮอป ฯลฯ ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าผมเป็นอะไร นั่นแสดงให้เห็นว่าผมสามารถทำได้ทุกอย่าง และผมเองก็อยากจะให้มีความหลากหลายแบบนั้นครับ แล้วนี่ก็เป็นความตั้งใจของผมตั้งแต่เริ่มมาเป็นศิลปินเองด้วย ผมไม่อยากจะตั้งข้อจำกัด แต่อยากจะโชว์ว่าผมทำได้ทุกรูปแบบนะ ในอนาคต ผมก็จะเตรียมตัวแบบเดียวกัน และอาจเป็นอะไรอื่นๆ อีก เราไม่รู้วันข้างหน้าหรอกครับ เลยไม่สำคัญว่าผมจะได้รับการจัดหมวดหมู่ศิลปินอย่างไร ตราบใดที่ทุกคนยังสนุกไปกับเพลงและตัวผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง สุดท้ายแล้ว นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดครับ” เจ้าตัวตอบ เมื่อกล่าวถึงการสร้างความสุขและความสนุกให้แก่แฟนเพลง นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วที่จุนนี่ได้มาแสดงคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ ในงาน ‘Dopamine: 2024 JUNNY Tour’ หลังจากได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้ฟังชาวไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน “แน่นอนครับว่าเราต้องกลับมาแสดงที่เมืองนี้อีกปีนี้ เพราะผมรักกรุงเทพฯ มากๆ พูดตรงๆ นะครับ สิ่งที่ต่างไปในโชว์ครั้งนี้คือพลังงานและการเตรียมตัวต่างๆ ปีที่แล้วเราสนุกกันอย่างเหลือเชื่อเลย แต่ครั้งนี้ผมอยากจะตอบแทนแฟนๆ บ้าง ผมเลยจัดโชว์ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ มากันทั้งวงดนตรี ดีเจ แถมด้วยช่วงพิเศษที่ผมจะเต้นด้วยนิดหน่อย ก็มีหลายสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็เป็นบางอย่างซึ่งจะทำให้ผมได้แสดงศักยภาพของตัวเองด้วย นี่ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ในชีวิตผมด้วยนะ แล้วจะมีที่ไหนที่จะทำแบบนั้นได้ล่ะ… ก็เมืองไทยนี่แหละครับ ผมได้รับความรักจากผู้ฟังที่นี่ ทุกอย่างเลยฟังดูเข้าท่าครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งมากๆ ให้พูดเท่าไหร่ก็ไม่พอครับ”
หลังจบงานจากกรุงเทพฯ จุนนี่ก็บินไปแคนาดาและสหรัฐฯ เพื่อออกทัวร์ต่อเนื่อง เขาบอกว่าถึงแม้การแสดงในบางประเทศจะมีกำแพงทางภาษากั้นอยู่บ้าง “แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือพลัง [ของผู้ชม] ครับ ทุกคนคือแฟนเพลงของผม ถ้าผู้คนแคร์ พวกเขาจะรักเพลงของผมจริงๆ และจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และผมก็อยากจะใส่พลัง 200 เปอร์เซ็นต์ให้โชว์ในแต่ละเมือง นี่คือที่ผมคิดนะ หลังจบงานนี้ผมจะไปทัวร์ต่อในอเมริกาเหนือ อีกฟากโลกหนึ่งเลย แต่ผมยังเชื่อมโยงและนำทุกคนมาพบกันด้วยดนตรีของผม นั่นเป็นความรู้สึกที่เหลือเชื่อมากครับ” แล้วจุนนี่มีไอเดียสำหรับชุดถัดไปแล้วหรือยังล่ะ “เป็นคำถามที่ดีนะครับ (หัวเราะ)” เขาหยอก “ทุกอย่างอยู่ในนี้แล้ว (ชี้ไปที่ศีรษะตัวเอง) แต่ตอนนี้ ผมอยากจะดำดิ่งไปกับทัวร์คอนเสิร์ตก่อนแล้วค่อยว่ากันต่อหลังจากนั้น เพราะผมอาจจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และผมก็เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่รออยู่ครับ ตอนนี้เลยมีแต่แผนคร่าวๆ ร่างๆ ไว้ ไม่ได้มีอะไรจริงจัง พอทุกอย่างจบลง ผมจะมีข้อมูลและแรงบันดาลใจใหม่ๆ เอาไว้ใช้ในอัลบั้มชุดถัดไปครับ”
ตลอดการสัมภาษณ์สิบกว่านาที เราได้เห็นและได้ฟังความตื้นตันที่จุนนี่มีต่อแฟนเพลงชาวไทย และเขาย้ำสิ่งนี้อีกครั้งก่อนที่จะต้องไปถ่ายแบบให้เราต่อ และเตรียมตัวพักผ่อนสำหรับการแสดงในวันรุ่งขึ้น “ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานมา ผมมีแต่คำขอบคุณดังๆ ให้ทุกคนครับ ผมว่าแฟนเพลงชาวไทยสนับสนุนผมมาโดยตลอด และนี่ก็เป็นเกียรติมากๆ ถ้าไม่ได้พวกเขา ทุกอย่างนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ผมอยากทำให้พวกเขาภูมิใจไปได้ตลอดและผลิตงานเพลงดีๆ ให้ฟังกันหลังจากนี้ครับ และก็… อดใจรอแฟนเพลงในวันพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วครับ” เราเองก็หวังว่าจุนนี่จะมีโอกาสกลับมาแสดงที่เมืองไทยบ่อยๆ เพื่อเป็นสารแห่งความสุขและสร้างช่วงเวลาดีๆ ให้ชาว ‘จุนนี่เวิร์ส’ ทุกคน
Photographer: Intrachai Watmakawan
Stylist: Natthapon Samakkepilom
Author: Peerachai Pasutan