พูดคุยกับวง ‘Clockwork Motionless’ กับเพลงที่จะทำให้คุณตกหลุมรัก

Share This Post

- Advertisement -

“ชื่อวงคือ…” กัน – เอกชัย ประตังทะสา นักร้องนำวงชื่อแปลก Clockwork Motionless เริ่มต้นอธิบายเมื่อเราถามถึงที่มาของชื่อวงยาวเหยียดเช่นนี้ “ตอนนั้นอยากได้ชื่อวงยาวๆ ที่มีความหมายว่า ‘อยากหยุดเวลา’ ก็เลยค้นหาจนได้คำว่า ‘clockwork’ กับ ‘motionless’ รวมกันเป็นฟันเฟืองในนาฬิกาที่ไม่เคลื่อนไหว เป็นความหมายโดยนัยอ้อมๆ สื่อสารว่าพวกเราอยากหยุดเวลาของทุกคนไว้ในคอนเสิร์ตของเรานี่ล่ะครับ” ความเป็นมาและความหมายน่าสนใจมาก เรายอมรับ แต่ทำไมถึงอยากได้ชื่อวงยาวๆ เวลาแฟนๆ เรียกอังกอร์ไม่ยากเหรอ “ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเท่ครับ ตอนนั้นเราชอบวง Of Monsters and Men กันอยู่แล้ว เลยอยากได้ชื่อวงยาวๆ แบบนั้น” กันยิ้ม ซึ่งตูม – เทอดไทย ทองโต มือเบสของวงก็หัวเราะ “ตอนนั้นไม่คิดครับว่าแฟนๆ จะอังกอร์ยาก แค่อยากเท่เท่านั้นเลย”

“ตอนนั้นก็คิดไว้เหมือนกันครับว่า สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จำง่ายคือคำว่า ‘clockwork’ ให้ทุกคนเรียกว่า ‘clockwork’ เฉยๆ ก็ได้ครับ” กันพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ ซึ่งเอาเข้าจริง เรายังไม่เห็นใครเรียกชื่อวงนี้แบบเต็มยศมานานมากแล้วนะ ก็เป็นไปตามเป้าประสงค์เลยทีเดียว 

ถ้าคุณไม่รู้จักวงนี้ ทางวงขอแนะนำให้คุณลองฟังเพลง ‘ถ้าวันนั้นฉันกอดเธอไว้’ เพราะ “ถ้าฟังแล้วคุณชอบเพลงนี้ คุณก็น่าจะชอบวงนี้เลย” บัตร – ธนบัตร ช่างไม้ มือกีตาร์ว่า ส่วนเพลงใหม่ที่กำลังจะออกนั้นมีชื่อว่า ‘ไกลเกินกลับมา’ ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้มที่สองของวง ‘Leave’ ที่วางแผนจะออกในเร็ววัน พร้อมแพ็คเกจซีดีสุดพิเศษสำหรับคนที่ยังเห็นซีดีของวงรักเป็นของสะสมอยู่อีกด้วย “เพลงนี้ผ่านกระบวนการการทำมาอย่างยาวนานมากครับ พวกเรากลั่นกรองกันมานานพอสมควร อยากให้ทุกคนสัมผัสบรรยากาศเบาๆ จากวงบ้างในชุดนี้ เนื้อหาเพลงก็ยังคงเศร้าเหมือนเดิม สิ่งที่พิเศษมากๆ ของเพลงนี้คือพวกเราได้เขียนเพลงกันเอง และเชื่อว่าแฟนๆ ของวงหลายคนน่าจะชื่นชอบ พวกเราอยากนำเสนอเพลงในมู้ดแบบไม่ต้องกระแทกกระทั้นดนตรี บรรยากาศเข้มข้น หรือการร้องแบบทรมานๆ บ้าง เพลงนี้จะเป็นเพลงที่เบาสบายมากๆ อยากให้มาลองฟัง Clockwork Motionless แบบสบายๆ บ้างครับ เป็นความเศร้าแบบสบายๆ บ้าง ไม่ใช่เศร้าแบบโอ๊ย… จะตายแล้วครับ”

พูดแล้วก็นึกได้ว่า เพลงเกิน 90% ของวงเป็นเพลงเศร้าทั้งนั้นเลย ทำไมถึงเลือกที่จะสื่อสารความเศร้าเป็นหลักแบบนี้ล่ะ… กับคำถามนี้ สมาชิกวงพร้อมใจกันเงียบไปสักพัก ก่อนที่เม่น – ศิริยศ เรืองตังญาณ มือกลอง จะแทรกความเงียบขึ้นมา “ความเศร้าเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องเจอนะครับ การจากลา ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง ผมว่าทุกคนน่าจะมีประสบการณ์ร่วมเรื่องเดียวกัน” ส่วนบัตรเสริมขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นผม ผมคิดว่าพวกเราทำได้ดีเรื่องการถ่ายทอดสิ่งนี้นะครับ” และนั่นก็ได้รับการตอบรับเป็นการพยักหน้าน้อยๆ จากสมาชิกในวง

“ถ้าในมุมมองของผมนะ” กันพูดต่อ “ผมรู้สึกว่า ถ้าผมเห็นคนคนหนึ่งรู้สึกเศร้าอยู่ ผมก็คงอยากเข้าไปอยู่เป็นเพื่อน เพราะช่วงเวลาที่คนเราเศร้ามันเป็นช่วงเวลาที่อ่อนไหวมากๆ เลยครับ บางทีเขาอยากมีคนอยู่ข้างๆ แค่สักคนก็ยังดี อะไรอย่างนี้ วงเราคงอยากจะไปรับใช้ความรู้สึกคนที่กำลังเศร้าอยู่ เพลงเราอาจจะไม่ช่วยให้เขาดีขึ้นได้ แต่อยากให้เพลงได้อยู่กับเขาในช่วงเวลาที่เขาไม่โอเค แค่นี้ก็โอเคแล้วนะครับ” 

ฟังดูแล้วอบอุ่นหัวใจมากนะ เราอดอมยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เล่าให้ฟังหน่อยว่า ในความเห็นของวง สถานการณ์เพลงร็อคเป็นอย่างไรบ้างในยุคนี้ “ผมว่าเพลงร็อคมันก็ยังใช้งานได้อยู่ ยังมีกระแสอยู่เป็นประจำนะครับ” เม่นออกความเห็น ซึ่งกันก็พยักหน้ารับ “เพลงร็อคยังคงทำงานบนความรู้สึกของผู้คนได้อยู่ ผมว่าเพลงร็อคไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ แค่เกิดวิวัฒนาการบางอย่างที่เป็นสีสันใหม่ๆ ในวงการดนตรีร็อค ตัวเพลงอาจจะไม่ได้เข้มข้นดุเดือดเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งผมคิดว่ามันคงเป็นวิวัฒนาการที่ทำให้เพลงร็อคอยู่รอดในโลกยุคนี้ได้ ทำให้มันยังคงรับใช้อารมณ์ความรู้สึกของคนได้เหมือนเดิมครับ ผมว่าด้วยใจความการสื่อสารของเพลงมันก็ยังคงเป็นเรื่องประสบการณ์และความรู้สึกของผู้ฟังว่าพวกเขามีประสบการณ์ร่วมหรืออินไปกับเนื้อเพลงนั้นๆ มากขนาดไหน คนฟังรู้สึกว่าเพลงนั้นเป็นเพลงของเขาหรือเปล่าน่ะครับ” 

“จริงๆ แล้วผมว่ามันเป็นวงจรนะ” บัตรเสริม “เพลงร็อคอาจจะถูกเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว แต่มันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ และผมเห็นว่าหลายๆ วงที่อาจจะเป็นวงป็อป หรือวงเกิร์ลกรุ๊ปต่างๆ เวลาแสดงสดจริงๆ เขาก็เอาความเป็นดนตรีร็อคใส่เข้าไปในการแสดงอยู่แล้ว ความเป็นร็อคยังคงอยู่ เพียงแต่ว่ามันถูกแปรเปลี่ยนเป็นเพลงร็อคแบบที่ไม่ใช่เพลงร็อคโดดๆ เหมือนสมัยก่อนแล้ว เท่านั้นเองครับ” 

ออกความเห็นกันไปแล้ว ถามถึงความฝันและความคาดหวังของวงหน่อย อยากจะไปได้ถึงจุดไหนกันบ้าง “ตั้งแต่เริ่ม เราก็ฝันเล็กๆ กันครับ ฝันแค่ว่าขอให้มีเพลงของตัวเองสักเพลง” กันตอบ “พอได้มีเพลงของตัวเอง ผลตอบรับดี เป้าหมายก็เพิ่มขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่ง คืออยากมีเพลงที่เป็นที่รู้จักมากขึ้น และอยากจะได้มาอยู่ค่ายใหญ่ๆ ซึ่งในวันนี้ พวกเราได้มาอยู่ค่าย genie records กันแล้ว ฝันถัดไปก็คืออยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ของวงในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ครับ” ขอให้ประสบความสำเร็จในเร็ววันนะ เราอวยพร มีอะไรอยากทิ้งท้ายไหม “ถ้าคุณยังไม่เคยฟังเพลงของ Clockwork ก็อยากให้ลองเข้าไปฟังกันสักเพลงสองเพลงนะครับ” บัตรรับหน้าที่ส่งท้าย “เผื่อบางทีเพลงของพวกเราอาจจะตรงกับความรู้สึกของคุณก็ได้ และขอฝากอัลบั้ม ‘Leave’ ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สองของวงด้วยนะครับ” 

Photographer: Pannatat Aengchuan
Author: Pacharee Klinchoo

- Advertisement -