พูดคุยกับ ‘กองทัพ-มิ้น’ พร้อมเปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน

Share This Post

- Advertisement -

กระแสโลกาภิวัตน์ระลอกล่าสุดดูจะทวีความรุนแรงและพร้อมทำลายทุกสิ่งให้หายวับไปกับตา หากไม่รีบทำความเข้าใจพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค หรืออิดออดต่อสายธารแห่งการปรับตัว วงการบันเทิงไทยก็หนีไม่พ้นกงล้อแห่งวัฏจักรนี้ การมาถึงของอินเทอร์เน็ตทีวี หรือแพลตฟอร์มการสตรีมมิ่งต่างๆ สร้างตัวเลือกให้ผู้ชมได้หลบหลีกจากความจำเจแบบเดิม ทั้งยังพัฒนาประสบการณ์ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น มีตัวอย่างของทั้งเนื้อเรื่องและการแสดงให้เปรียบเทียบ จนละครไทยเริ่มซบเซาจนน่าเป็นห่วง แต่ทุกวิกฤติมีโอกาสเสมอ ยามที่ความบันเทิงในจอแก้วได้รับความนิยมน้อยลง กลับเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกให้กับคนดู พลังงานแห่งความสดใสรวมกับการร่ายรำไม่จำเจจากบทที่พวกเขาได้รับ เสมือนเป็นดอกไม้ที่ผุดขึ้นกลางสนามหญ้าอันแห้งแล้ง ไม่มีใครทำนายได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยก็มีความหวังใหม่ๆ ให้เราได้พอลุ้น

พีค – กองทัพ ป๋วยเฮง และมิ้นท์ – รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร เป็นคู่ขวัญใหม่ป้ายแดงจากละครเรื่อง ‘ดุจอัปสร’ (2567) หนึ่งในจักรวาลเรื่องรักโรแมนติกของ ‘ดวงใจเทวพรหม’ ซึ่งเป็นภาคต่อของ ‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ’ ชุดละครทีวี 5 เรื่องซึ่งออกฉายในปี พ.ศ. 2555 และแจ้งเกิดพระเอก – นางเอกหลายคนให้กับวงการ ความท้าทายของทั้งพีคและมิ้นท์คือพวกเขาทั้งคู่ต่างรับภาระเป็นนักแสดงนำครั้งแรกในชีวิต สำหรับกองทัพ พีค เราอาจรู้จักเขาจากการเป็นลูกชายของปราบ ยุทธพิชัย หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเคยได้ยินว่าเขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันรายการเรียลลิตี้โชว์ที่ประเทศเกาหลีเพื่อค้นหาศิลปินไอดอลหน้าใหม่คนต่อไป ส่วนมิ้นท์ – รัญชน์รวี เคยผ่านงานการแสดงในวงการมาบ้างแล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้นางเอกหน้าสวยหุ่นสูงคนนี้

น่าค้นหามากกว่าเดิมคือดีกรีนักแบดมินตันประจำจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเคยคว้าเหรียญรางวัลในการแข่งขันกีฬาเยาวชนระดับชาติมาด้วย วินัยในการพัฒนาตัวเองและสปิริตแห่งความเป็นนักสู้ของทั้งคู่ ทำให้ลอฟฟีเซียล ออมส์ อยากรู้จักพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม ในโอกาสการถ่ายแฟชั่นเซ็ตกับ Gucci วันนี้

ไม่น่าเชื่อว่าคาแร็กเตอร์อย่างหนึ่งที่ทั้งสองมีร่วมกันคือการเป็นคน ‘อินโทรเวิร์ต’ ซึ่งดูเป็นคำร่วมสมัย และมีการพูดถึงกันมากขึ้น “ผมไม่ชินกับการเจอคนเยอะขนาดนี้” พีคเริ่มเล่าถึงชีวิตที่ต้องปรับตัว “บางทีก็อยากอยู่บ้านคนเดียว ตื่นเช้ามาไม่พร้อมเลย ก็ต้องทำให้ตัวเองพร้อมที่สุด คนเป็นอินโทรเวิร์ตจะรู้ว่าการเจอคนเยอะเหมือนถูกดึงพลังออกหมด ก็ต้องมีช่วงที่ไปนั่งเงียบๆ คนเดียวในห้องน้ำเพื่อชาร์จพลัง หายใจเข้าออกลึกๆ ไม่ใช่ว่าเราเกลียดคน แต่เราเป็นแบบนี้ ต้องปรับตัว พอมาหน้าเซ็ตก็ต้องพร้อมตลอดเวลา ซึ่งคนเราไม่ได้พร้อมตลอดหรอก ต้องเรียนรู้ที่จะปิดเปิดโหมด ไม่ใช่เสแสร้งนะ ถ้าบอกว่ามาทำงานมอบความสุขให้คนอื่นผมจะมีแรง แต่ถ้าบอกว่ามาทำเพื่อตัวเองจะหมดแรงทันทีเลย”

มิ้นท์นั่งพยักหน้าเห็นด้วยตลอดเวลาที่พีคพูด เพราะเธอก็ยอมรับกับเราตรงๆ ว่าเป็นคนประเภทนี้เหมือนกัน “ก่อนเข้ามาในวงการ เราเคยคิดว่าการเล่นละครดูเหมือนง่าย แต่แค่ซีนแรกของละครเรื่องแรกในชีวิตก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันที มิ้นท์ได้รับบทเล็กๆ ในละครเรื่อง ‘ข้ามสีทันดร’ (2561) ต้องเข้าซีนกับพี่พีช – พชร ซึ่งเราทั้งสองคนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ความสัมพันธ์ในเรื่องต้องสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก และเป็นฉากที่เราต้องไปห้ามเขา ซึ่งโดยส่วนตัวเป็นอินโทรเวิร์ตด้วย ไม่กล้าพูดถ้าไม่สนิท วันนั้นตื่นเต้นมาก มีพูดแค่ไม่กี่ไลน์แต่รู้สึกสั่นไปทั้งตัว แต่ต้องทำให้ได้เพราะทุกคนในกองรอเราอยู่ ต้องไม่ทำให้เขาเสียเวลา”

ลืมตามาอีกทีก็มีนักแสดงหน้าใหม่เต็มวงการไปหมด แม้ว่าคนยุคก่อนจะค่อนขอดเด็กสมัยนี้ว่าไม่มีความอดทนเหมือนตน แต่คุณสมบัติเด่นที่มีมากกว่าคนรุ่นไหนคือการกล้าฝัน และตั้งเป้าหมายให้ตัวเองแบบไม่ง้อใคร “ไม่เคยคิดว่าการทำงานในวงการบันเทิงต้องใช้ความอดทนขนาดนี้” มิ้นท์แชร์ทัศนคติที่เปลี่ยนไปของเธอ “นอกจาก ‘ดุจอัปสร’ แล้ว เราต้องถ่ายเรื่องอื่นๆ ด้วยที่อยู่ในซีรีส์ ‘ดวงใจเทวพรหม’ ซึ่งใช้เวลาทำงานกันเป็นปี หลายครั้งที่ต้องรอตั้งแต่เช้าจนเย็น และต้องเจอความท้าทายอีกเยอะมากกว่าจะผ่านโปรเจ็คท์นี้ไปได้ แต่มิ้นท์ได้ความอดทนจากการเป็นนักแบดมินตันมาเยอะ เพราะต้องซ้อมทุกวัน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ทำให้ตัวเองรู้ว่าวินัยคืออะไร” มิ้นท์ยังยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าต้องเล่นเป็นนางเอกเรื่องนี้ แต่ความรู้สึกนั้นก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความสนุกในการทำงาน เพราะบท ‘ฟ้า’ที่มิ้นท์ต้องเล่นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถทางการแสดง เพราะเป็นตัวละครที่มีหลายอารมณ์ ซับซ้อน ต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจบทบาทที่ได้รับ เพราะเธอไม่อยากให้คนดูรู้สึกผิดหวังกับโอกาสนี้ที่ได้รับมา

ขณะเดียวกัน ช่วงเวลาที่พีคเข้ามาในวงการบันเทิงนั้นก็เต็มไปด้วยการทาบทับของหลายเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เพราะนอกจากจะมีผลงานเพลงอย่างต่อเนื่อง เขายังต้องเรียนหนังสือแบบออนไลน์ตามเวลาประเทศอังกฤษ ซึ่งคอร์สจะไปสิ้นสุดตอนตี 5 ตามเวลาประเทศไทย และเขาต้องออกกองต่อทันทีตอน 7 โมงเช้า “ปกติผมเป็นคนนอนเร็ว แต่ช่วงนั้นก็พักผ่อนน้อยเพราะโอกาสทุกอย่างเข้ามาพอดี ถ้าให้แนะนำก็อยากบอกว่าทุกคนควรนอนและพักผ่อนให้เพียงพอครับ” เขาแซวตัวเองแบบติดตลกว่าความเบียดเสียดของตารางเวลานั้นเกิดจากการไม่ปล่อยให้โอกาสไหนหลุดไปแม้แต่อย่างเดียว “ต้องขอบคุณครอบครัวที่ทำให้ผมเป็นตัวของตัวเองและเลือกทำในสิ่งที่รักได้ พ่อเป็นคนชัดเจน ถ้าเขาไม่ชอบอะไรเขาบอก ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก บางทีพ่อไปถ่ายรายการ 6 วันต่อสัปดาห์ กลับมาบ้านหนึ่งวันแล้วต้องไปต่ออีก 2 อาทิตย์ ซึ่งผมเห็นว่าพ่อเหนื่อยมากแต่เขาไม่เคยพูดว่าเหนื่อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนเด็กผมเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วย มันอยู่กับความสม่ำเสมอมาตั้งแต่เด็ก มีเป้าหมายที่ชัดเจน พ่อเคยบอกว่าการที่เรามีฝันก็ต้องเดินไปให้ถึง แวะระหว่างทางได้บ้าง แต่ถ้ายังเดินอยู่ วันหนึ่งมันจะถึงฝัน ฉะนั้นจะไปถึงหรือไม่มันอยู่ที่ใจเรา”

นอกจากการแสดงในจอที่ทั้งพีคและมิ้นท์ดูจะเล่นเข้าคู่กันได้ดีแล้ว เรายังสัมผัสได้ว่าเคมีของเขาทั้งสองนั้นตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่รู้ว่าเกิดจากการบ่มตัวเองผ่านการทำงานในวงการบันเทิง หรือเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมา “คนยังคิดว่าการแสดงเพื่อทีวีภาพต้องชัด ต้องเล่นใหญ่ สิ่งที่ผมเรียนมาคือการอิมโพรไวส์ และเล่นมาจากความรู้สึกข้างใน” พีคเล่าถึงวิธีทางการแสดงที่เขาภาคภูมิใจ “ผมรู้สึกโชคดีมากที่ทีมงานทุกคนให้อิสระในการทำงานเรื่องนี้ บทเป็นแค่เส้นนำทางที่จะพาไปสู่จุดสุดท้ายที่ตัวละครต้องการ เพราะผมจะเล่นไม่ได้เลยถ้าข้างในไม่รู้สึกจริงๆ ส่วนมิ้นท์เป็นคนเล่นละครธรรมชาติมาก ซึ่งเป็นวิธีการแสดงที่คล้ายกับผมมาก ถ้าไม่รู้สึกจะไม่พูดออกมา เราส่งอะไรไป เขาส่งกลับมา ดันกลายเป็นสิ่งที่เราอยู่ในโมเม้นต์นั้นจริงๆ พอมาดูก็รู้สึกธรรมชาติมาก เหมือนเราพูดกันจริงๆ ถ้าซีนไหนยังไม่ดี มิ้นท์จะขอเล่นใหม่ รู้สึกว่าคือความใส่ใจในการทำงาน เคารพงานตรงนี้จริงๆ” มิ้นท์ขยายสิ่งที่พีคพูดให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าเธอชอบร่วมงานกับคนที่ยังไม่เคยร่วมงานด้วย รวมถึงนักแสดงที่ผ่านงานมาไม่มาก เพราะมีเสน่ห์บางอย่าง ยังมีความเป็นตัวเองเยอะ และไม่มีกรอบ “พีคเป็นคนมีความสามารถเยอะมาก ตอนแรกก็ตกใจเหมือนกันว่านี่เป็นเรื่องแรกๆ ของเขาจริงเหรอ เพราะเล่นได้ธรรมชาติมากๆ เล่นเหมือนเข้าใจตัวละครจริงๆ ทำการบ้านมาล่วงหน้าก่อนหมดเลย ทำงานด้วยกันง่าย เป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีมากๆ เลย” 

เรารู้สึกว่าได้ใช้เวลากับพวกเขาทั้งสองคนอย่างคุ้มค่า ทั้งคู่อยู่ในชุดสวยจาก Gucci พร้อมถ่ายแฟชั่นเซ็ตสุดพิเศษกับเรา ความมืออาชีพที่เห็นทำให้บางครั้งเรายังลืมไปบ้างว่านี่คือดาราหน้าใหม่ของวงการ พลังงานของความสดใสที่มาพร้อมกับความมั่นใจแผ่กระจายออกมาจากพวกเขาอย่างน่ามอง – รอติดตามได้เลย นี่ล่ะคือคลื่นลูกใหม่ที่จะนำพาให้วงการละครทีวีกลับมาคึกคักมากกว่าเดิม

Photographer: Pannatat Aengchuan 
Fashion Editor: Nopphasit Varittinanon
Author: Neeraj Kim

- Advertisement -