คืนวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 2024 ทีมงานลอฟฟีเซียล ออมส์ เดินเข้าหลังเวทีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตของมาย – ภาคภูมิ ร่มไทรทอง ภายใต้ชื่อ AUTHENTIC MILE (มายของแทร่) FIRST SOLO CONCERT ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าโชว์ครั้งนี้จะดำเนินไปในแนวทางไหน แม้ว่าเราจะไม่มั่นใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะออกแบบ ‘คอนเสิร์ต’ เต็มรูปแบบแบบไม่มีเพลงหรืออัลบั้มเป็นของตัวเองได้อย่างไร แต่สิ่งที่เรามั่นใจได้จากการร่วมงานกับเขามาในอดีตก็คือ โชว์ครั้งนี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจอย่างแน่นอน
“ในการลงมือสร้างสรรค์งานศิลปะ ในที่นี้คือคอนเสิร์ตนะครับ ผมมองภาพออกเป็นสามส่วน มีช่วงเตรียมงาน (pre-production) ช่วงลงมือทำงาน (production) และช่วงหลังงาน (post-production)’ มายเปิดบทสนทนากับเราด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีหลังจากที่เราขอให้เขาพรั่งพรูทุกสิ่งอันที่อยู่ในใจเขาอันเกี่ยวเนื่องกับคอนเสิร์ต AUTHENTIC MILE (มายของแทร่) FIRST SOLO CONCERT ในครั้งนี้ “ผมรู้ตัวก่อนเล่นคอนเสิร์ตจริงราวๆ สามเดือนนิดๆ ก่อนหน้าครับ” นั่นทำให้เรานึกได้ว่า ก่อนคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของเขา มายมีโอกาสได้ไปเป็นหนึ่งในแขกรับเชิญในคอนเสิร์ต ‘COCKTAIL ข้อสอบ’ ของวงรุ่นพี่ และเรียกเสียงฮือฮาได้มาแล้ว หลังจากคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของเขาจบลง เขาก็ได้ไปเป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ต 28 YRS LOSO – WE ARE THE ROCK & ROLL CONCERT ของวงในตำนานแห่งประเทศไทย “พอผมรู้ตัวว่าต้องขึ้นคอนเสิร์ตปั๊บ ผมก็เริ่มหาคอนเซ็ปต์จากตัวเองก่อนทันทีเลยครับ จุดนี้เป็นการเริ่มทำ pre-production จากตัวเอง ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า show director จะเป็นใคร ทีมงานจะมีใครบ้าง ตอนนั้นคิดแค่ว่า คอนเสิร์ตเดี่ยวเลยเหรอ เพลงดังยังไม่มีสักเพลง แล้วจะยังไงกันดีนะ”
ความคิดของมายโลดแล่นเสมอเมื่อเขานั่งหลังพวงมาลัย ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ก็เช่นกัน “ตอนนั้นผมเริ่มต้นจากการคิด key concept ต่างๆ จากไอเดียที่ว่าคนที่เข้ามาดูคอนเสิร์ตครั้งนี้จะได้เห็นอะไรบ้าง เขาน่าจะอยากเห็นอะไรมากที่สุด ก็ค่อยๆ เริ่มต้นจากตรงนั้น ขับรถไปนั่งคิดไป ก็เกิดความคิดขึ้นมาในหัวแบบ pop up ขึ้นมาเลยว่าผมอยากจะใช้ชื่อคอนเสิร์ตว่า ‘AUTHENTIC MILE (มายของแทร่) FIRST SOLO CONCERT’ เพราะความยากของคอนเสิร์ตนี้คือเราไม่มีเพลงติดหู เราก็สู้ด้วยคอนเซ็ปต์นี้ให้มันเป็นประตูบานแรกที่จะให้แฟนๆ ของผมที่รู้จักผมในฐานะนักแสดงคนหนึ่งได้เปิดเข้ามารับรู้และเห็นตัวตนของผมมากขึ้น จะได้ส่งต่อความเข้าใจในตัวตนของผมไปในอนาคต ก็เลยเกิดมาเป็นคอนเซ็ปต์นี้ล่ะครับ”
หลังจากได้คอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนในหัวแล้ว มายก็ต้องเริ่มคิดสะระตะต่อไปว่า แท้จริงแล้ว ‘ความเป็นตัวตน’ ของเขาจะแยกย่อยออกมาให้เป็นตัวตนที่แท้จริงได้อย่างไร “ภาพที่แฟนๆ คุ้นชินกับการเห็นผมทำงานก็คือการออกอีเวนต์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้างเป็นส่วนใหญ่ การเล่นดนตรีแบบครบแบนด์เลยแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทุกคนก็เลยจะได้เห็นผมเล่นดนตรีอะคูสติกในรูปแบบโรแมนติก ซึ่งเป็นเพียงตัวตนด้านเดียวของผมเท่านั้น ผมอยากให้ทุกคนได้รับรู้หลากหลายด้านในตัวผม และคำจำกัดความสามคำที่ผมคิดออกทันทีในตอนนั้นก็คือ ‘romantic’, ‘erotic’ และ ‘exotic’ นั่นล่ะครับ”
เราถึงขั้นขมวดคิ้วเมื่อฟังมาถึงจุดนี้ แต่มายก็อธิบายต่ออย่างไหลลื่น “มุม romantic เป็นมุมที่ทุกคนเห็นบ่อยๆ อยู่แล้วครับ เพราะผมเป็นคนโรแมนติก” มายหัวเราะเสียงใส “ส่วน erotic นั้นก็ตามมาจากความโรแมนติกของผมนี่ล่ะครับ ส่วนตัวผมเสพงานอีโรติกเยอะมาก ทั้งงานศิลปะ และงานเพลง ผมว่างานอีโรติกมันมีเสน่ห์ในแบบของมัน ซึ่งพอผมเสพงานอาร์ตพวกนี้เยอะ มันก็เลยโยงมาที่ความ exotic เพราะผมเป็นคนชอบความสนุกสนานในเรื่องต่างๆ น่ะครับ” มายเสริมว่า เขาใช้เวลาคิดคอนเซ็ปต์ทั้งหมดที่อธิบายเรามาอย่างยืดยาวนี้รวบจบได้เพียงสิบนาที และหลังจากสิบนาทีนั้น ความคิดในหัวของเขาก็ถูกนำมาแตกไอเดีย เป็นจินตนาการใหญ่ๆ เพื่อนำไปขายกับทีมงานที่เขาคิดว่าน่าจะมีประสบการณ์ในการจัดการคอนเสิร์ตมากพอที่จะทำให้ภาพในหัวของเขาเป็นจริงได้ จนกระทั่งเข้าสู่ production อย่างจริงจัง
“สเต็ปถัดมาก็จะเป็นว่า เราจะจัดโชว์อย่างไรจากคอนเซ็ปต์นี้” มายอธิบายต่อ “สิ่งหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้ก็คือผมชอบ Michael Jackson มากมาตั้งแต่เด็กๆ คือตอนปีพ.ศ. 2536 ที่เขามาแสดงคอนเสิร์ตในเมืองไทย อี๊ผมเล่าให้ฟังว่าเขาเดินทางมาจากกาฬสินธุ์ ซึ่งสมัยก่อนก็ไม่ได้เดินทางง่ายอย่างนี้เนอะ มาที่กรุงเทพฯ เพื่อดูคอนเสิร์ต Michael Jackson แค่วันเดียว และแทบจะไม่เห็นตัวเลยด้วยซ้ำ แบบอยู่ไกลมากๆ เลย พอผมได้ยินอย่างนั้น บวกกับได้มีโอกาสดูสารคดีเกี่ยวกับตัวเขาอยู่เรื่อยๆ ผมเลยสงสัยมาตลอดว่าทำไมคนถึงชอบเขาได้ขนาดนั้น” และความสงสัยของมายก็มลายหายไปสิ้นเมื่อเขาได้เห็น Michael Jackson วาดลวดลายบนเวที “พอผมได้เห็นเขาแสดงบนเวที ได้เห็นอินเนอร์ความเป็นศิลปินของเขาแบบเต็มๆ ผมก็รู้เลยว่าเขาเป็นศิลปินที่ทำให้ผมอยากจะเข้าไปสัมผัสงานอาร์ตของเขาแบบใกล้ชิดมากๆ ส่วนตัวผมเต้นไม่เป็นนะ แต่ผมคิดแค่ว่าผมอยากจะแสดงอะไรสักอย่างที่เหมือน Michael Jackson ให้ได้ ผมเลยเลือกนำเอาความเป็นศิลปินในตัวผมไปเสนอให้คนที่มาดูงานคอนเสิร์ตของผมนี่ล่ะครับ”
เมื่อเริ่มต้นจากความต้องการเอาความเป็นศิลปินในตัวเองออกมาเสนอ การออกแบบคอนเสิร์ตของมายก็ค่อยๆ ออกมาเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนโดยเริ่มจากการ cover dance ให้กับ Michael Jackson ให้เต็มที่เป็นสเต็ปแรก และเมื่อชัดเจนแล้ว สเต็ปที่สองและสามก็ตามมาแบบไม่ยากนัก “หนึ่งสิ่งที่ผมคิดได้ตอนออกแบบโชว์ก็คือ Greeny Rose กลุ่มแฟนคลับของผมที่ผมจะเห็นพลังงานหลากหลายรูปแบบไหลวนอยู่ในหมู่ของพวกเขา ผมรู้สึกว่าผมอยากจะยกย่องพวกเขาให้มีพื้นที่หนึ่งเพลงเต็มๆ ในโชว์นี้ เป็นเพลงอะไรก็ได้ที่ Greeny Rose จะสามารถร้องและเต้นไปกับผมได้ และในเมื่อดนตรีที่ผมชอบที่สุดก็คือบลูส์ ตามมาด้วยร็อค ผมก็จะต้องมี trio band ในคอนเสิร์ตครั้งนี้เพื่อเชิดชูดนตรีบลูส์ แต่ก็ต้องไม่เยอะจนเกินไป เพราะก็ต้องดูกลุ่มคนที่เข้ามาชมคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ผมเลยตัดสินใจใส่เพลง Ain’t No Sunshine เข้าไปในลิสต์ อะไรประมาณนี้ครับ ก็ค่อยๆ ไล่ไปทีละสเต็ปว่าจะเอาอย่างไร แล้วก็ค่อยมาจัดให้โชว์เป็นระบบระเบียบ พอนึกภาพออกใช่ไหมฮะ”
ก็พอนึกออกนะ เรายิ้ม แม้ว่าในวันคอนเสิร์ตเราจะวุ่นวายอยู่ที่หลังเวทีจนไม่ได้เดินออกมาหน้าเวทีเลย แต่เราก็ได้ยินเพลงต่างๆ ไล่เรียงตามที่เขาบรรยายไว้ไม่ผิดเพี้ยน “ความโรแมนติกมันเกิดขึ้นอยู่แล้วครับ” มายหัวเราะ “เพราะหนึ่งเพลงที่ผมชอบที่สุดในชีวิตก็คือ Nothing’s Gonna Change My Love for You ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าต้องมีเพลงนี้นะ ฟังดูแล้วเพลงในคอนเสิร์ตมันหลากหลายมากเลยใช่ไหมฮะ มุมหนึ่งมันก็ดูเหมือนจะจับฉ่ายนะ แต่ความจับฉ่ายแบบนี้ ถ้าเราจัดระเบียบโชว์ให้ดีๆ ให้รัดกุมมากพอ โชว์โดยรวมจะมีรสชาติที่ดี มีน้ำหนักและส่วนผสมที่ลงตัว ผมก็ค่อยๆ ไล่ลงเพลงไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดแขกรับเชิญ ซึ่งเราต้องมาจัดระเบียบกันว่าแขกรับเชิญคนไหนที่เหมาะสมกับโชว์ของเรา”
มายบอกเราว่าคอนเซ็ปต์เดียวในการเลือกแขกรับเชิญของเขาก็คือ ทุกคนจะต้องเป็น authentic performer เท่านั้น “คือทุกคนต้องมีใจรักในการแสดงบนเวทีจริงๆ ครับ” เขาอธิบาย “ต้องมีตัวตนที่ชัดเจน เป็นศิลปินจริงๆ ผมไม่สนเลยนะว่าคนนี้มาแล้วจะช่วยให้บัตรขายดีขึ้นหรือเปล่า มาแล้วภาพบนเวทีจะสวยขึ้นไหม นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ผมสนใจ ผมสนใจแค่ว่า ถ้าแขกรับเชิญคนนี้มาแล้ว คนจะสัมผัสคำว่า AUTHENTIC MILE ได้มากแค่ไหนผ่านตัวตนของศิลปินรับเชิญเหล่านั้นครับ”
จังหวะที่มายคัดสรรศิลปินรับเชิญบนเวทีอยู่นั้นเป็นจังหวะที่กระแตกำลังจะมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว BeOnCloud พอดี “พี่กระแตเป็นคนที่แสดงได้ดีจริงๆ นะครับ” มายยืนยัน “ถ้าได้ดูเอ็มวีหรือการแสดงบนเวทีของเขาก็จะไม่สงสัยเลยว่าเขาเป็น authentic performer จริงๆ ส่วนพี่น้อยวงพรูนี่คงไม่มีคนสงสัยถึงการ perform ของเขาทั้งในฐานะนักร้องและนักแสดงแล้วใช่ไหมครับ เขามีอะไรบางอย่างในตัวที่ทำให้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเป็นเหมือนเขาได้ ผมเลยอยากให้เขามาเป็นแขกรับเชิญของผม เพราะอยากให้แฟนๆ ของผมได้เห็น authentic artist อีกคนที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจของผมน่ะครับ”
trio band ที่มายพูดถึงนั้นก็ประกอบไปด้วยตัวเขาเอง บวกกับแขกรับเชิญอีกสองคนอย่างเจษ (เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์) ที่มารับหน้าที่มือกลอง และพงษ์ (พงศกร พลสันติกุล) ผู้รับหน้าที่มือเบส “ตอนนั้นเจษเพิ่งเข้ามาร่วมค่าย BeOnCloud ครับ และเขาตีกลองได้ ส่วนพงษ์ก็เป็นมือเบสอยู่แล้ว เลยเลือกสองคนนี้มาร่วมเล่นวงกับผม ส่วนอาโป (ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) นี่ก็เป็นคู่หูกันมาตลอด ผมเชื่อว่าถ้าอาโปมาเป็นแขกรับเชิญ แฟนๆ จะมีความสุขแน่นอน ทั้งหมดทั้งมวลก็ประกอบร่างเป็นแขกรับเชิญที่บอกไปครับ ถ้าคุณมีโอกาสได้ดู จะเห็นว่าโชว์นั้นมีความหลากหลายในรสชาติ ในส่วนของโปรดักชั่นนี่ก็จัดเต็มเหนี่ยวเลยครับ ไม่ใช่เฉพาะส่วนแสงสีเสียงเท่านั้น แต่หมายถึงส่วนของการเตรียมตัวซ้อม เสื้อผ้าหน้าผม และขั้นตอนต่างๆ กว่าจะออกมาเป็นโชว์เต็มรูปแบบ เราก็ทำสุดความสามารถบนพื้นฐานของความพอดีที่เราทำได้ ตอนนี้ผมว่าผมต้องถามความเห็นของคนที่มาดูแล้วครับว่าชอบการแสดงครั้งนี้ของผมไหม และอยากให้ผมมีคอนเสิร์ต AUTHENTIC MILE แบบนี้อีกไหม ซึ่งผมหวังว่าจะมีนะครับ”
จัดหนักจัดเต็มขนาดนี้ ความรู้สึกตอนเดินลงจากเวที ม่านปิดแล้ว จบแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง “ผมรู้สึกมีความสุขมากเลยครับ” มายตอบทันที “ผมดีใจที่ได้เห็นเพื่อนๆ แฟนๆ หรือใครก็ได้ที่สละเวลามาดูงานที่ผมเป็นพ่องาน ผมรู้สึกดีใจที่เขาให้เกียรติผมมากขนาดนี้ และผมได้เห็นแววตาของทุกคนที่มีความสุข ได้รับพลังงานความสุขจากทุกคน ก็ทำให้ผมมีความสุขมากอย่างแน่นอน การแสดงดนตรีสดแบบนี้มันไม่ใช่แค่เรามีความสุขเพียงฝ่ายเดียว แต่มันคือการทั้งส่งให้และรับมาซึ่งพลังงานความสุข นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้รับมา หลังจากที่ส่งพลังงานเหล่านั้นออกไป มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่เปลี่ยนเป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตของผม การที่ได้ไปอยู่บนเวทีตรงนั้นประมาณสองชั่วโมงครึ่ง มันเป็นสองชั่วโมงครึ่งที่ผ่านไปไวกว่าที่ผมคิดไว้ ทุกคนที่มาปรากฏตัวที่งาน ไม่ว่าจะเป็นบนเวที หลังเวที หรือท่ามกลางผู้ชม ทุกคนเป็นคนพิเศษสำหรับผม ความสุขของผมเกิดขึ้นเมื่อผมเห็นแววตาที่มีความสุขของพวกเขานี่ล่ะครับ”
ส่งท้ายกันหน่อย เมื่อสักครู่บอกว่าใจหวังอยากให้มีคอนเสิร์ต AUTHENTIC MILE อีกใช่ไหม ความเป็นไปได้อยู่ที่สักกี่เปอร์เซ็นต์กัน “โอ้…” เราได้ยินเสียงมายเป่าปาก “ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิต เรื่องแบบนี้มันไม่มีทางจะ 100% อยู่แล้วครับ แต่ถ้าถามหัวใจอย่างเดียว หัวใจมันก็ไป 100% ที่จะจัดแล้วครับ ผมอยากเจอทุกคนอีกครั้งในรูปแบบคอนเสิร์ตเดี่ยวอยู่แล้ว ผมคงต้องถามคนอ่านทุกคนกลับ ถามแฟนๆ ว่าถ้าปีหน้าผมจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวอีกครั้ง ทุกคนจะมาอยู่ไหม และถ้าจะมา อยากจะเห็นอะไรในโชว์บ้าง เพราะผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเหมาะสมพอดีเนอะ ผมชอบฟังคนอื่นผสมกับฟังตัวเอง ถ้าผมฟังทั้งสองฝั่งมากพอ งานก็น่าจะออกมาถูกใจทุกคนใช่ไหมครับ” คุณตอบคำถามของมายได้ไหม
Author: Pacharee Klinchoo
Photographer: Intrachai Watmakawan