เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงเคยได้ฟังและรู้จักเพลง ‘24/7, 365’ และ ‘Last Girl’ ของ elijah woods (อีไลจาห์ วูดส์) เมื่อปีก่อน ด้วยดนตรีและเนื้อหาที่โรแมนติกและอบอุ่น ทำให้เพลงแรกกลายเป็นซิงเกิลฮิตในหลายประเทศโดยเฉพาะโซนเอเชีย และมียอดสตรีมกว่าสามล้านครั้งต่อสัปดาห์ ความสาเร็จของ ‘24/7, 365’ นามาสู่ ‘ilu 24/7, 365 Asia Tour 2024’ ทัวร์คอนเสิร์ตในเอเชียครั้งแรกของศิลปินหนุ่มจากโตรอนโต ประจวบเหมาะกับที่เขาเพิ่งปล่อยอีพีล่าสุด ‘Silver Lining’ ที่หันมาพูดถึงการเติบโต การค้นหาตัวเอง และความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ การแสดงของเขาทำยอดขายบัตรหมดในหลายเมือง รวมถึงในกรุงเทพฯ ทั้งสองรอบการแสดง
“นี่ร้อนสุดๆ ไปเลยครับ เรามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวาน และในโทรศัพท์ผมบอกว่าอากาศอยู่ที่ 36 องศา แต่รู้สึกว่ามันน่าจะ 42 หรือ 45 เสียมากกว่า แล้วก็เหมือนกับอยู่ในซาวน่า เหงื่อท่วมตัวตลอดเวลาเลยครับ ผมไม่รู้เลยว่าพวกคุณทนกันได้อย่างไร เหลือเชื่อมากครับ” อีไลจาห์เห็นใจพวกเราที่ต้องเผชิญกับความอบอ้าวทุกวัน ถึงจะต้องเดินทางหนักและมาเจอกับสภาพอากาศในเมืองกรุงเข้าไปอีก แต่เขายังคงมีแรงเต็มเปี่ยมกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้ และพร้อมกับคอนเสิร์ตรอบแรกที่เขาจะขึ้นโชว์ในไม่กี่ชั่วโมง “เราเพิ่งผ่านมาสามเมือง แต่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ ผมไม่รู้เลยครับว่าจะต้องคาดหวังอะไร [จากคอนเสิร์ตแต่ละเมือง] ผู้ชมทุกคนก็มหัศจรรย์มากตอนที่พวกเขาร้องตามได้ทุกคาทุกเพลงแรร์ไอเทม และนั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างสาหรับผมเลย ผมตื่นเต้นกับกรุงเทพฯ นะครับ แล้วผมก็มีอะไรมากมายมาปล่อยให้โชว์ทั้งสองรอบนี้ ว้าว ไม่กดดันเลย” เจ้าตัวพูดติดตลก
อีไลจาห์ปลื้มใจมากที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นจากเอเชียและไทย “ฟังดูเหนือจริงมากครับที่ได้เห็นการตอบรับจากผู้ฟังในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทย เราประสบความสำเร็จมากๆ จากที่นี่ และผู้คนต่างต่อติดกับดนตรีของผม ผมไม่ทราบนะครับว่าโดยทั่วไปแล้วคนไทยชอบฟังเพลงรักกันหรือเปล่า แต่มันสุดจริงๆ ที่ได้เห็นผลงานเพลงที่ส่วนตัวมากๆ ของผมโด่งดังเป็นกระแสในสถานที่ที่ผมไม่เคยเยือนมาก่อน อีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะผมชอบผัดไทยด้วยครับ ผมกินผัดไทยห้าวันต่อสัปดาห์ที่แคนาดา เป็นเมนูอันดับหนึ่งในใจผมเลย” พอได้ยินอย่างนี้ เราจึงเบรกการสัมภาษณ์ครู่หนึ่งเพื่อบอกลายแทงผัดไทยร้านเด็ดในกรุงเทพฯ ให้อีไลจาห์ไปลองชิม
เรากลับมาถามเขาต่อว่า เขารู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นผลงานเพลงของตัวเองข้ามพรมแดนและบริบทสังคมที่แตกต่างกัน และเชื่อมโยง ‘ต่อติด’ กับคนฟังในอีกซีกโลกหนึ่ง “ผมว่าความงดงามเกี่ยวกับดนตรีก็คือผมสามารถเขียนเพลงจากสถานที่แห่งหนึ่งในช่วงชีวิตของผมและมีประสบการณ์ที่ทั้งส่วนตัวและจริงแท้สำหรับผม โดยเฉพาะ [อีพี ‘Silver Lining’] ชุดนี้ มันเกี่ยวกับการเสียเพื่อนคนหนึ่งไป ต้องผ่านพ้น เติบโต สูญเสีย และทะเลาะกับคนรอบข้างในชีวิต [แต่] เป็นสิ่งที่สวยงามมากๆ ที่ได้มาแสดงโชว์ที่นี่แล้วได้เห็นด้วยตัวเองว่าเพลงเหล่านี้มีความหมายต่อคนอื่นอย่างไรดีกว่าที่ผมจะนั่งเฉยๆ อยู่ในห้องเล่นเปียโนหรือทำอย่างอื่นครับ ผมว่าช่วงเวลาที่สิ่งต่างๆ จะดูหมองหม่นและน่ากลัวที่สุดคือตอนที่เราอยู่ตัวคนเดียวและไม่สามารถที่จะพูดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้กับใครได้” เขาเล่าต่อว่า เมื่อเขาปล่อยเพลงเพลงหนึ่งออกมา ผลงานชิ้นนั้นก็ไม่ได้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ของทุกคนให้มาแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดและความในใจร่วมกัน และคอนเสิร์ตคือโอกาสที่ทั้งผู้สร้างและผู้เสพดนตรีจะออกจากความโดดเดี่ยวได้ “ยกตัวอย่าง ตอนที่ผมเล่น ‘24/7, 365’ ผมขึ้นแสดงเพลงนี้มาเป็นปีแล้ว เล่นแทบจะทุกวัน แต่ผมไม่รู้สึกกวนใจอะไรเลย เพราะผมไม่ได้ร้องเพลงนี้เพื่อตัวผมหรือความรู้สึกของผมเอง แต่ผมร้องให้ผู้ชม ได้มองเขาและเห็นว่า ‘โอ้ เรากาลังสัมผัสเพลงเพลงนี้ไปพร้อมกับพวกคุณเป็นครั้งแรก’ นี่จึงไม่ได้เกี่ยวกับตัวผมอีกต่อไป แต่เกี่ยวกับคุณต่างหาก ผมตื่นเต้นและสบายใจตอนที่ได้เห็นใครบางคนในกลุ่มคนดูร้องไห้ กรีดร้อง หรือหันไปคุยกับเพื่อนว่า ‘แก ฉันรู้จักเพลงนี้!’ ทำให้ผมมีชีวิตชีวาขึ้นมา และเป็นสิ่งสาคัญที่ผมกำลังตั้งใจทำครับ”
หลังจากมีอีพีทั้งหมดสี่ชุดจนถึงตอนนี้ บทเรียนสำคัญที่อีไลจาห์ได้เรียนรู้จากวงการดนตรีคือความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง และการอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่ “ผมได้เรียนรู้ว่าผมไม่รู้และไม่เข้าใจอะไรเลยครับ ผมได้เรียนรู้ว่าดนตรีมีความเป็นปัจเจกสูงมากและคงอยู่เพียงชั่วคราว หมายถึงว่า ในแง่หนึ่ง คุณรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างรุนแรงมากในวันหนึ่ง แล้วก็เอาไปแต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งนั้นในวันถัดไป แล้วคุณก็ [ตั้งคาถามกับตัวเองว่า] ‘นี่เราเคยรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร เราเคยรู้สึกอินเลิฟ อกหัก ฯลฯ ได้อย่างไรกัน’ [แต่] ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือเราแค่ตั้งใจเดินไปทีละก้าวที่อยู่ข้างหน้า แค่ต้องใช้สัญชาตญาณนาทาง และซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่คุณอยากทาครับ” เราประทับใจในคาพูดจนเอ่ยปากชม “ขอบคุณครับ ผมพยายามครับ พยายามหนักมาก และมันก็ยากจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ทุกอย่างเจริญเติบโต แล้วมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องง่ายนะครับที่เราจะมองสิ่งต่างๆ แล้วคิดว่า ‘โอเค จะมีอะไรเกิดขึ้นในหนึ่งปีข้างหน้า แล้วถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนั้นจะเกิดตามมา’ แต่สิ่งสาคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปีข้างหน้า[แต่] คือความเป็นไปในตอนนี้ ‘เรากำลังคุยกันสนุกอยู่หรือเปล่า อาหารเช้าอร่อยไหมวันนี้ อากาศตรงนี้ร้อนไปไหม’ สิ่งพวกนี้ล้วนสำคัญที่สุดในโลกครับ” ตกตอนค่ำใจกลางสยามสแควร์ อีไลจาห์พิสูจน์คำพูดของตัวเองให้เราเห็นว่าเขาสนุกกับช่วงเวลาที่เขาเล่นร้องอยู่บนเวที และทำให้แฟนคลับดื่มด่ำทุกความรู้สึกตลอดการแสดงรอบแรก