หลังจากที่ ‘จีดีเอช’ ได้ปล่อยโปสเตอร์และตัวอย่างภาพยนตร์ ‘วิมานหนาม’ ก็ได้กระแสตอบรับและเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชม ด้วยความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง และการรับบทที่ต้องฟาดฟันทางการแสดงของทีมนักแสดงในเรื่อง ทำให้แฟนๆ ต่างพากันได้ร่วมลุ้นในการรับบทบาทในครั้งนี้ โดยหนังเรื่องนี้จะจบลงที่ตรงไหน อย่างไร? สามารถติดตามชมได้พร้อมกัน 22 สิงหาคมนี้ ทุกโรงภาพยนต์
ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมเรื่องการแสดงในบทบาท ‘ทองคำ’ ที่ได้เจฟ ซาเตอร์มารับบทในครั้งนี้ ซึ่งเจฟได้สวมบทบาทเป็นตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องการแสดง และรวมไปถึงการร้องเพลง ‘เหมือนวิวาห์’ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งบทเพลงในเรื่องนี้ ส่วน ‘เสก’ ที่ได้เต้ย พงศกร มารับบทก็แสดงได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน โดยมีเนื้อเรื่องและประเด็นในภาพยนต์ คือเรื่องราวของคู่รักชายรักชาย ที่ทั้งสองคนช่วยกันทำสวนทุเรียนมานานถึง 5 ปี จนกว่าจะมีวันนี้ เมื่อทุเรียนเริ่มผลิดอก ออกใบ พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวผล ทองคำจึงตัดสินใจรวบรวมเงินส่วนตัวจากการขายทรัพย์สินของตนเองเพื่อที่จะนำมาไถ่ที่ดินสวนทุเรียนนี้ให้กลับมาเป็นชื่อของเสก โดยได้โฉนดที่ดินมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนทะเบียนสมรสของพวกเขา แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทองคำต้องเสียเสกไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา เพราะเสกนั้นโชคร้ายจากการประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต
หากพูดถึงการแสดงของ ‘เจฟ ซาเตอร์’ นั้นทำได้ดีเหนือความคาดหมาย โดยครั้งนี้เจฟได้สลัดลุคหนุ่มหล่อ ดีกรีนักร้องแนวหน้าของเมืองไทยออกไปได้อย่างหมดจน ทำให้เรามองเห็นตัวละครที่ชื่อว่า ‘ทองคำ’ จนลืมนึกไปเลยว่าเขาคนนี้คือเจฟ ซาเตอร์ ในส่วนการแสดง ท่าทาง สีหน้าและอารมณ์นั้น ทำให้เราเชื่อได้ว่ากำลังดูเรื่องราวของทองคำอยู่จริงๆ แอคติ้งและอินเนอร์ที่เจฟได้สื่อสารผ่านตัวละครออกมาเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจและรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง เรื่องราวปัญหาต่างๆ ที่เขาต้องเผชิญเพียงลำพัง จุดเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวละครนั้นทำให้เรารู้สึกตามไปกับตัวละครนั้นจริงๆ
หลังจากที่ ‘เสก’ เสียชีวิตลงไปตัวของทองคำเอง ต้องเผชิญกับการมาของ ‘แม่แสง’ แม่ของเสก และ ‘โม๋’ สาวไทยใหญ่ที่แม่แสงได้เก็บมาเลี้ยง โดยการมาในครั้งนี้ของแม่แสงนั้นต้องการที่ดินของสวนทุเรียนแห่งนี้ ทั้งๆ ที่ทองคำและเสกร่วมสร้างด้วยกันมา ที่มากไปกว่านั้นคือทองคำเขาได้ขายทรัพย์สินของตนเพื่อมาไถ่ที่ผืนนี้คืนให้เสก และโม๋ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้แม่แสงนั้นยกที่ดินให้ตัวเอง ทำให้สงครามชิงวิมานจึงเริ่มขึ้นด้วยความดุเดือด!!!
และจะไม่พูดถึงการแสดงของ ‘อิงฟ้า วราหะ’ ก็จะเป็นไปไม่ได้ โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ก้าวจากวงการนางงามสู่การแสดงหนังในชีวิต โดยได้พลิกบทบาทและทุ่มสุดตัวกับภาพยนต์ในเรื่องนี้ โดยเปลี่ยนลุค ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม จากภาพจำนางงามที่เราเคยได้เห็นกันมา การปะทะในซีนอารมณ์กันระหว่างเจฟ ซาเตอร์ และแม่สีดา พัวพิมล จนต้องยกให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีซ ครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดง
ในครั้งนี้ ‘อิงฟ้า’ ได้รับบทเป็น ‘โม๋’ ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่ตัวเธอเป็น แต่เมื่อได้เข้าบทบาทแล้วนั้น ทำให้เราเชื่อสนิทใจไปได้เลยว่าเธอคือโม๋จริงๆ ในส่วนขององค์แรกของหนัง บทโม๋เหมือนจะไม่มีอะไรมาก หากดูเพียงผิวเผินก็ดูเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ถูกแม่แสงเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น ดูเป็นหญิงสาวที่ไทยใหญ่ที่ใช้ชีวิตไปอย่างธรรมดาตามประสาทั่วไป เมื่อหนังเดินทางเข้าสู้องค์สองและองค์สาม เราจะเห็นว่า ความคิดและการกระทำของตัวละครโม๋ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ ตัวละคร ‘โม๋’ นั้นได้จัดเต็มทั้งด้านการแสดงและด้านอารมณ์ในหนังเราจะเห็นได้ว่าตัวละครนี้ ต้องเผชิญกับอารมณ์ของตัวละครอยู่เสมอ แถมยังต้องสวิทซ์อารมณ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการแสดงครั้งแรกของอิงฟ้า อีกทั้งตัวละครยังต้องแบกรับปัญหาต่างๆ ที่เราจะได้เห็นได้จากในเรื่องเพิ่มเติม
อีกตัวละครที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั้นคือ ‘แม่แสง’ ที่ได้แม่สีดา พัวพิมลมารับบทนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่กังขาเรื่องการแสดงของแม่สีดา จากประสบการณ์การที่อยู่ในวงการบันเทิงมามากกว่า 20 ปี นับว่าอีกอีกหนึ่งนักแสดงที่มีคุณภาพของเมืองไทย โดยบทแม่แสงนี้ทำให้เราได้เห็นถึงความรักที่มีต่อลูกเมื่อได้สูญเสียลูกผู้เป็นดั่งดวงใจของแม่ไป แน่นอนครับว่าแม่สีดานั้นเคยผ่านการสูญเสียลูกชายแท้ๆ มาแล้ว ทำให้ตัวละครแม่แสงถ่ายทอดออกความรู้สึกออกมาผ่านการกระทำและอารมณ์ของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งในเรื่องนี้แม่สีดายังต้องรับบทเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องนั่งรถเข็นอยู่ตลอดเวลาที่แสดงได้เป็นอย่างธรรมชาติ บอกเลยครับว่าสมบทบาทในฐานะดารารุ่นเก๋าอย่างไม่มีที่ติ
มาถึงตัวละครที่เป็นตัวแปรสำคัญของหนังเรื่องนี้กับตัวลคร ‘จิ่งนะ’ ที่รับบทโดยหฤษฎ์ บัวย้อย โดยในหนังเรื่องนี้จิ่งนะเป็นน้องชายของโม๋ ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของทองคำ ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าสนใจ หากพูดถึงการแสดงแล้วก็ต้องขอชื่นชมในการมารับบทในครั้งนี้ เพราะได้ถ่ายทอดตัวละครจิ่งนะออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบซึ่งในหนังเราจะเห็นว่าจิ่งนะนั้นดูเป็นเด็กไทยใหญ่บ้านๆ ที่ธรรมดาและไม่มีอะไร แต่ความคิดและสิ่งที่ตัวละครต้องแบกรับไว้นั้นมีเยอะเกินกว่าที่เราจะคาดเดาได้ การสื่อสารผ่านทั้งการแสดง แววตา น้ำเสียงและรวมไปถึงอินเนอร์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
และสุดท้ายที่ประเด็นของหนังเรื่องนี้ ที่ทุกคนได้ทราบกันดีว่ามีการเสนอถึงประเด็นชายรักชาย โดยที่ตัวหนังได้ไปโฟกัสเกี่ยวกับเรื่องราวของสิทธิ การถือครองทรัพย์สิน รวมไปถึงสิทธิในการยินยอมให้การรักษา ซึ่งสำหรับคู่รักเพศทางเลือกที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน ต่อให้อีกฝ่ายกำลังจะตายเราก็ไม่มีสิทธิและไม่สามารถทำอะไรได้ และนี้คือที่พบภายในหนังว่านี่คือสิ่งของความเหลื่อมล้ำเพราะเหยื่อคือผู้ใดก็ตามที่ไม่เข้าใจกฏหมายและวิธีใช้มัน ทำให้สิ่งที่ควรเป็นที่คอยปกป้องกลายเป็นหนามที่ทิ่มแทงใจของเรา โดยหนังก็ได้เล่าอย่างตรงไปตรงมาในข้อเท็จจริงนี้ แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พีคขึ้นไปอีกคือจุดหักเหกับความจริงที่ได้ปรากฎขึ้น โดยเราจะค่อยๆ ได้เห็นความจริงเผยออกมาทีละนิดผ่านเนื้อเรื่อง ซึ่งหนังก็ได้ไต่ระดับความเข้มข้น เพิ่มความเครียด และได้ใส่ความเชือดเฉือนลงไป พร้อมกับซาวด์ดนตรีประกอบที่เร้าอารมณ์คนดูขึ้นไปอีก จนทำให้เราคาดไม่ถึง
โดยภาพรวมแล้ว ‘วิมานหนาม’ เป็นหนังดราม่าที่ครบอรรถรส ในแง่ของพล็อตและบทอาจจะไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย แต่ภายในเนื้อเรื่องสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ พร้อมขยี้ประเด็นความน้ำเน่าเหล่านั้นออกมาได้อย่างน่าชม ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความจัดจ้าน และในแง่ของตัวละครในเรื่องต่างก็มีบทบาทเป็นของตัวเอง จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่น่าติดตามสำหรับวงการหนังในเมืองไทย