หลังจากที่เพลง ‘เผื่อวันไหนเธอจะกลับมา’ กลายเป็นเพลงฮิตและทำยอดวิวบน YouTube ไปกว่า 20 ล้านครั้ง กัน – เสฐพงษ์ เอวสุข ก็เลี่ยงที่จะต้องเจอความกดดันในการสร้างสรรค์ผลงานถัดไปไม่ได้ “จำได้ว่าตอนที่เริ่มเขียนเพลงใหม่ต่อจาก ‘เผื่อวันไหนเธอจะกลับมา’ ก็ปวดหัวอยู่พอสมควร” เจ้าตัวเกริ่น “แต่อยู่ๆ ก็ได้ไอเดียขึ้นมาครับ คือมีคนที่ชอบส่งเพลง ‘เผื่อวันไหนฯ’ เพื่อขอคืนดีแฟนเก่าหรือทักไปหาคนคุยเก่า เลยอยากจะทำเพลงเกี่ยวกับการที่เราไม่รู้ว่า เมื่อเราจากคนคนหนึ่งไปแล้ว จะยังกล้าทักไปหาบอกคิดถึงเขาอยู่ได้หรือเปล่า ก็ฮัมๆ เพลง หาคอร์ด ได้ประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า ‘ถ้าคิดถึงเธอ ฉันยังทักไปหาได้หรือเปล่า ถ้าฉันจะทักไปถามถึงเรื่องราว จากวันที่เราแยกทางกันไป…’” จึงกลายเป็นที่มาของเพลง ‘ถ้าคิดถึงเธอขึ้นมา’ ที่มีเนื้อเรื่องเอ็มวีเชื่อมโยงกับเพลงก่อนหน้า “เขียนเพลงนี้เร็วมาก ประมาณสี่ห้าชั่วโมง เขียน อัด ส่งพี่แทน (ธารณ ลิปตพัลลภ) แล้วทีเดียวผ่านเลย”
เราถามกันต่อถึงมุมมองต่อนิยามคำว่า ‘ความรัก’ ของเขาในฐานะคนหนุ่มวัย 22 ที่ทำเพลงรักและอกหักมาประมาณหนึ่ง “มันเป็นอะไรที่เราควบคุมมันไม่ได้ เราก็ไม่สามารถทำให้ [เป็นที่] รักได้ และไม่สามารถต่อต้านไม่ให้รักได้ ผมเลยมองว่า ความรักเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง เหมือนกับฝน ฝนจะตกเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ จะให้ฝนหยุดตกก็ทำไม่ได้ การไหลของชีวิต [ทำให้เรา] ไปเจอผู้คนมากมาย และเกิดความรักขึ้นมาครับ” แล้วเมื่อความรักนำพาไปสู่ภาวะใจสลายล่ะ “ผมรู้สึกว่าการอกหักเป็นสิ่งค่อนข้างจำเป็นในการเติบโตเป็นคนที่ดีขึ้นในแง่ของความสัมพันธ์หรือตัวเองก็ตาม ควรจะต้องผ่านการอกหักมาอย่างน้อยครั้งสองครั้งในชีวิต เราไม่สามารถควบคุม บังคับ หรือเป็นเจ้าของคำว่า ‘ความรัก’ ได้ เราใช้อวัยวะส่วนไหนรัก เรายังไม่รู้เลย เรื่องอกหัก เสียใครไป หรือการจากกัน… [ถ้าจะ] เสียใจก็เสียใจไป รักก็รักไป อย่าไปอะไรเลยครับ”
เราสังเกตได้ว่า สองเพลงล่าสุดของกันไม่มีท่อนแรปเข้ามาอย่างที่เขาใส่ในเพลงก่อนๆ หน้า นี่หมายความว่าเขาสนใจแรป – ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ทำให้เขาเข้าสู่วงการเพลง – น้อยลงหรือเปล่า “ในฐานะนักแต่งเพลง ผมจะมองความเหมาะสมของเพลงนั้นๆ เป็นหลักว่า ถ้ามีแรปแล้วช่วยก็ดีและอาจจะใส่ แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องมี ผมก็ไม่คิดว่าต้องยัดเข้ามา และสองเพลงหลังก็เป็นแค่นั้นเลยครับ” เขาตอบ แล้วตัวตนของ ‘guncharlie’ คืออะไรกันล่ะ “ผมว่าเอกลักษณ์จริงๆ ของผมไม่น่าใช่เสียงร้องหรือพาร์ทดนตรีสักเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องของเนื้อเพลงที่เล่าเรื่องในสไตล์ของผมเอง ผมอยากให้คนฟังเพลงผมแล้วเหมือนกับดูหนังหรืออ่านนิยายเรื่องหนึ่งอยู่ อันนี้คือเป้าหมายในการทำเพลงของผมครับ” ความชอบในวรรณกรรมตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมฯ ปลาย ก็ช่วยขัดเกลาความคิดและฝีมือในการแต่งเพลงของเขาเช่นกัน “ผมเป็นคนชอบอ่านนิยายครับ เวลาอ่านนิยายมันต่างจากตอนดูหนังหรืออ่านการ์ตูน เพราะมันทำให้เราเรียบเรียงอะไรบางอย่างในหัว แล้วก็ช่วยเรียบเรียงเรื่องราวในเพลงจริงๆ เวลาแต่งเพลง ผมจะคิดเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะเขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง จุดเริ่มต้นเป็นยังไง ตัวละครที่กำลังร้องเพลงนี้เขาเป็นคนยังไง จุดไคลแมกซ์มันอยู่ตรงไหน เราจะผ่อนตรงไหน จะขยี้และจบอย่างไร” พอเขาบอกว่า ฮารูกิ มูราคามิ เป็นผู้แต่งนิยายที่เขาชอบ เราก็พอจะเข้าใจอิทธิพลความเศร้าในงานเพลงของเขามากขึ้น
“โชคดีที่ว่าได้ลุยแข่งขันในวงการดนตรีตั้งแต่ ม. ปลาย ให้ [คุ้น] ชิน [กับวงการดนตรี] ถึงจะเป็นคนอินโทรเวิร์ตขนาดไหน แต่เมื่อเราจะเป็นศิลปินผู้ส่งสารเพลง จะอยู่ [เป็นคนเก็บตัว] อย่างนี้บนเวทีไม่ได้ เลยทำให้ผมโตขึ้นและนิ่งขึ้นครับ” นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติของกัน หลังจากที่เขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากรายการแข่งขันเพลงแรปรายการหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน จากนั้น เขาก็เล่าบทเรียนที่ได้สัมผัสในฐานะลูกหม้อค่าย Kicks Records “หนึ่งคือเรื่องของการแต่งเพลงครับ อย่างพี่แทนเขาเป็นหัวหน้าโปรดิวเซอร์มาหลายปี แต่งเพลงให้ศิลปินเยอะมากเลย และ Kicks เป็นค่ายที่เคร่งเครียดเรื่องเนื้อเพลงมาก ศิลปินทุกคนในค่ายต้องเขียนเพลงเองเวลาไปขายเพลงกับค่าย ผมเชื่อว่าฝีมือการแต่งเพลงและการเรียบเรียงเนื้อหาของผมก็เกิดจากช่วงแรกๆ ที่มาอยู่กับพี่แทน จำได้ว่าก่อนจะปล่อยซิงเกิลแรก ส่งไป 30-40 เพลงแล้วโดนปัดตลอดเลย ท้อเหมือนกันครับ แต่พอมองย้อนกลับไป จุดนั้นทำให้เรารู้จักตัวเองและลายเซ็น [การทำเพลง] เรื่องที่สองคือชีวิตการเป็นศิลปิน ได้พี่ๆ ช่วยสอนช่วยเตือนมาตลอดว่า ศิลปินก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นผู้สร้างสรรค์ศิลปะอันยิ่งใหญ่ สิ่งที่ต้องมีคือความรับผิดชอบเหมือนกับเป็นพนักงานประจำคนหนึ่ง เขาจะบอกอย่างนี้มาตลอดเพื่อไม่ให้หลงทาง ไม่หวนกระหายชื่อเสียง ความดัง และอะไรต่างๆ มากจนเกินไปครับ”
เราทราบมาว่า กันอยากจะยึดอาชีพนักดนตรีเป็นอาชีพไปตลอด แล้วเขามีเป้าหมายในวงการอย่างไรบ้าง “พี่คัตโตะ (อารมณ์ โพธิ์หาญรัตนกุล) ก็เพิ่งถามคำถามนี้กับผมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเองครับ เอาจริงๆ ไม่ได้หวังอะไรไปไกลเลย ผมแค่รู้สึกว่าอยากจะยึดถืออาชีพศิลปินและนักแต่งเพลงให้เลี้ยงชีพผมไปได้ตลอด แค่นี้เลยครับ” แต่เขาก็หวังว่าคนดนตรีทุกคนจะประกอบอาชีพอย่างยั่งยืนและมีชีวิตที่มั่นคงได้ถ้าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างทั่วถึง “ทางผู้ใหญ่เขาชอบพูดว่า ‘จะผลักดันวงการดนตรีไทยให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์’ แต่ผมคิดว่า สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เขาผลักดันคือศิลปินที่โผล่พ้นน้ำไปแล้วเท่านั้น แต่ว่ายังมีศิลปินอีกมากมายที่ยังอยู่ใต้น้ำ รอเวทีสักแห่งให้เขาได้แสดงความสามารถ แต่บางครั้งเขาก็ไม่ได้มีโอกาสขนาดนั้น… ผมไม่ได้มีความรู้อะไรมากนะครับ แต่ถ้าเขาสนับสนุนเรื่องการจัดไลฟ์เฮาส์ทุกเดือนในหลายๆ ที่ให้ศิลปินใต้น้ำได้ขึ้นโชว์ ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และคอมมิวนิตี้ดนตรีไทยก็จะได้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นด้วย
“ขอบคุณทุกคนที่มาอ่านกันนะครับ และขอบคุณด้วยครับถ้าชอบเพลงของผม หวังว่าจะติดตามผลงานกันไปเรื่อยๆ ผมเองก็จะตั้งใจทำงานต่อไปเพื่อให้เพลงของผมส่งไปถึงใจทุกคนอีกครั้ง คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ผมปล่อยเพลงเยอะมากๆ หลังจากปล่อยเพลง ‘ถ้าคิดถึงเธอขึ้นมา’ ก็โดนค่ายตามเดโมเพลงใหม่แล้ว (หัวเราะ) เพราะผมก็เพิ่งเจอแนวทางของตัวเอง เลยอยากจะย้ำกันเยอะๆ ผ่านการปล่อยเพลงติดๆ กันในปีนี้ครับ” กันพูดปิดท้าย จากเด็กหนุ่มผู้เขินอายบนเวทีแรปเมื่อห้าปีก่อน ตอนนี้ กันเป็นศิลปินหนุ่มผู้มีความมั่นใจและฉะฉานขึ้นมาก และเขาพร้อมจะสร้างผลงานให้สื่อสารเข้าไปในใจของทุกคนยิ่งกว่าที่เคย
ฟังเพลง ‘ถ้าคิดถึงเธอขึ้นมา’ ได้แล้วผ่านทุกช่องทางสตรีมมิ่ง และติดตามกันได้ทาง Instagram: @guncharlieee
Author: Peerachai Pasutan
Photography: Courtesy of The Label